ความคิดเห็นที่ 1 ฟังเพลงเพลงประกอบ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการชมครับ แก้ไขเมื่อ 25 เม.ย. 54 05:12:08 จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:19:47

ความคิดเห็นที่ 2 การเดินทางร่วม 500 กิโลจากจังหวัดฉะเชิงเทรา แม้จะดูไกล และเหน็ดเหนื่อย แค่เพียงได้สัมผัสละอองน้ำที่กระทบก้อนหินเป็นฝอยๆ และสัมผัสความงดงามของน้ำตกเกริงกระเวีย ก็ทำให้เราสดชื่น หายเหนื่อยได้เหมือนกัน   น้ำตกเกริงกระเวีย เป็นน้ำตกที่สวยงาม มีความสูงประมาณ 5 เมตร มีน้ำไหลตลอดปี ตั้งอยู่ริมถนนสายทองผาภูมิ-สังขละบุรี จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:20:50

ความคิดเห็นที่ 3 จากน้ำตกเกริงกระเวียเพียงแค่เดินข้ามฝากถนน ลัดเลาะไปตามแนวป่าอีกประมาณ 600 เมตร ก็ยังสามารถชื่นชมความงดงามของน้ำตกไดช่องถ่อง   น้ำตกไดช่องถ่อง เป็นน้ำตกที่มีความสวยงาม มีความสูงประมาณ 15 เมตร สายน้ำไหลผ่านป่าไม้อันร่มรื่น เหมาะสำหรับการพักผ่อน ลงเล่นน้ำ และชื่นชมธรรมชาติ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:21:49

ความคิดเห็นที่ 4 ระหว่างทางเดินไปน้ำตกไดช่องถ่องกว่า 600 เมตร ธรรมชาติ และป่าไม้ที่ดูธรรมดา แต่ในความธรรมดานั้นมักซ่อนความสวยงามไว้เสมอๆ เหล่าบุปผานาๆพันธุ์ที่คอยแต่งแต้มผืนป่าให้มีสีสัน ประดับประดาพงพนาไม่ให้ดูแข็ง และโหดร้ายเกินไปนัก เป็นความสวยงามของธรรมชาติที่ดูลงตัวทีเดียว จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:22:40

ความคิดเห็นที่ 5 น้ำตกไดช่องถ่องในวันนี้ แม้น้ำจะดูน้อยไปนิด แต่ก็ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยได้พอสมควร ภาพนี้เป็นเพียงน้ำตกในชั้นแรกจากหลายๆชั้นเท่านั้น หากอยากเข้าไปชมชั้นอื่นๆที่สวยงามกว่านี้ ต้องเดินเท้าเข้าไปลึกพอสมควร พวกเราเลยตัดสินใจขอชมความงดงามแค่เท่านี้ก็พอ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:23:29

ความคิดเห็นที่ 6 สังขละบุรี เป็นอำเภอชายแดนติดต่อกับพม่า ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีประมาณ 220 กม.และอยู่ห่างจากอำเภอทองผาภูมิ 74 กม. เส้นทางคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา และตัดผ่านภูเขา เลียบทะเลสาบเขื่อนเขาแหลม มองเห็นทัศนียภาพที่งดงาม อำเภอสังขละบุรีมีชาวมอญอาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมาก จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:24:18

ความคิดเห็นที่ 7 สังขละในเช้าตรู่ของวันนั้น ธรรมชาติที่บรรจงสร้างสรรค์บวกเข้ากับสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น เข้ากันได้อย่างลงตัวและกลมกลืน ประหนึ่งเทพนิยายเล่มเก่าที่เปิดอ่านกี่ทีก็ไม่มีวันเบื่อ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:25:03

ความคิดเห็นที่ 8 ภาพของสะพานมอญในวันนั้นคงไม่แตกต่างอะไรไปจากสะพานแห่งชีวิต ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา ที่มาจากหลายๆที่ แต่มีจุดประสงค์เดียวกันคือ มาเสพเทพนิยายแห่งสายน้ำ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:26:01

ความคิดเห็นที่ 9 สะพานมอญแห่งนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สะพานอุตตมานุสรณ์ โดยหลวงพ่ออุตตมะร่วมกับชาวมอญได้ทำการก่อสร้างขึ้น มีความยาว 850 เมตร เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย บริเวณสะพานนี้เป็นจุดชมวิวที่จะมองเห็น 3 แม่น้ำมาบรรจบกันคือ แม่น้ำซองกาเรีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี ไหลมารวมกันจึงเรียกว่า "สามประสบ" จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:26:51

ความคิดเห็นที่ 10 ภาพของวิถีชีวิตยามเช้า ความเรียบง่ายของการดำเนินชีวิต ยังคงเป็นมนต์เสน่ห์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้เคลิ้มไปกับเทพนิยายเล่มนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:27:40

ความคิดเห็นที่ 11 “สะพานไม้แห่งชีวิต” หากเรียกขานแบบนี้ก็คงไม่ผิดอะไรนัก ตามความคิดของผม เพราะความรู้สึกเมื่อยืนอยู่นิ่งๆบนสะพาน มองดูผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา มองดูการใช้ชีวิต การดำเนินชีวิต ช่างแตกต่าง และหลากหลายความรู้สึก หลากหลายอารมณ์ยิ่งนัก แก้ไขเมื่อ 25 เม.ย. 54 14:44:48 จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:28:25

ความคิดเห็นที่ 12 สายน้ำที่สงบนิ่งในวันนี้แม้อาจดูตื้นเขินไปบ้าง แต่ผู้คนก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่คู่กับสายน้ำกันอย่างปกติ บางทีการได้นั่งมองวิถีชีวิตของชาวบ้าน ทำให้เราอดที่จะอิจฉาพวกเขาไม่ได้ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:29:16

ความคิดเห็นที่ 13 หากลองคิดย้อนกลับไปในวันที่เริ่มก่อสร้างสะพานมอญตอนแรกๆ คงลำบากยากเข็ญไม่ใช่น้อย เมื่อดูจากโครงสร้าง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสมัครสมานสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความมานะอดทนของชาวบ้าน จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:30:00

ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อมายืนในมุมมองที่สูงทำให้เห็นทัศนียภาพที่สวยงาม ลำพังสะพานไม้ที่ทอดยาวก็น่าตื่นตาตื่นใจมากพอสมควรอยู่แล้ว เมื่อมารวมกับทัศนียภาพโดยรอบที่โอบล้อมด้วยทิวเขา สายน้ำ หมู่บ้านชาวมอญ ทำให้เคลิบเคลิ้มไปกับมนต์เสน่ห์ของเทพนิยายแห่งสายน้ำนี้ไม่ใช่น้อย จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:30:43

ความคิดเห็นที่ 15 หากเปรียบเป็นความงดงามทางด้านจิตใจ สะพานไม้แห่งนี้คงเปรียบได้กับสายใยเชื่อมโยงมิตรภาพ ความรัก ความผูกพันของชาวมอญ ชาวพม่า ชาวกะเหรี่ยง และชาวไทยให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:31:23

ความคิดเห็นที่ 16 นอกจากความงดงามของวิวทิวทัศน์แล้ว การได้เห็นการดำเนินชีวิตของคนท้องถิ่นก็สวยงาม และเพลิดเพลินไม่แพ้กัน ภาพของชาวบ้านที่อยู่กันแบบเรียบง่าย ชีวิตที่เกิดมาคู่กับสายน้ำ คู่กับธรรมชาติ ทำให้เราได้ข้อคิดขึ้นมาเหมือนกัน กับการใช้ชีวิตแบบพอเพียง จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:32:08

ความคิดเห็นที่ 17 มนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิต การได้เดินทางไปในสถานที่ต่างๆ การได้เห็นความสวยงามของวิวทิวทัศน์ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว แต่การได้เพ่งมองการใช้ชีวิต มองผู้คนที่ใช้ชีวิตแตกต่างไปจากที่เราเคยเห็น ทำให้เราได้รับรู้ถึงมนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิตที่สวยงาม แม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ทำให้เรามีความสุข และอดอมยิ้มไม่ได้เหมือนกัน จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:32:50

ความคิดเห็นที่ 18 ผมชอบภาพนี้มาก แม้จะยืนดูอยู่ห่างๆ แต่กลับรับรู้ได้ถึงความรัก ความอบอุ่น เป็น มนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิต ที่มองกี่ครั้งก็ทำให้ผมมีความสุข จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:33:31

ความคิดเห็นที่ 19 แม่ค้าชาวมอญที่ยืนขายข้าวเกรียบอยู่เชิงสะพานมอญ ดูเธอตั้งใจ และขยันขันแข็ง บนพื้นฐานแห่งความสุขในการได้ขายของ ดูแล้วเป็น มนต์เสน่ห์ของวิถีชีวิต ในอีกรูปแบบหนึ่ง จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:34:14

ความคิดเห็นที่ 20 ชุดแต่งกายที่ดูเรียบง่าย แต่เป็นเอกลักษณ์ของคุณยายชาวมอญ ทำให้เห็นถึง มนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิต ที่สวยงาม จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:35:03

ความคิดเห็นที่ 21 จากสะพานมอญผมเดินทางต่อมายังวัดวังก์วิเวการาม ซึ่งอยู่ห่างออกมาประมาณ 5 กิโล ช่วงเวลาสายๆของวันนั้นอาจเป็นความบังเอิญ และโชคดีของพวกเราที่ได้เห็นประเพณีการยกช่อฟ้าของชาวมอญ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:35:42

ความคิดเห็นที่ 22 ได้เห็นถึงความสามัคคี ความสุขในการสืบสานวัฒนธรรมประเพณี การมีกิจกรรมร่วมกัน เป็นเอกลักษณ์ที่น่ายกย่อง และชื่นชม จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:36:29

ความคิดเห็นที่ 23 จากหลักฐานระบุไว้ว่า มอญเป็นชนกลุ่มน้อย ที่อพยพหลบหนีภัยทางด้านการเมืองการปกครอง และการสงครามมาจากประเทศพม่า การอพยพของชาวมอญเข้าสู่ประเทศไทยนั้น มักจะกระจายกันตั้งหลักแหล่งอยู่ตามบริเวณลุ่มแม่น้ำ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:37:04

ความคิดเห็นที่ 24 การสร้างเขื่อนเขาแหลมในปี พ.ศ. 2527 ทำให้บ้านเรือน และพื้นที่เดิมถูกน้ำท่วม ชาวมอญส่วนใหญ่ต้องอพยพโยกย้ายขึ้นมาอยู่ที่ตั้งใหม่ เหนือพื้นที่เดิมขึ้นมาประมาณ 3 กิโลเมตร บางส่วนอพยพโยกย้ายไปอยู่ในที่ดินของวัดวังก์วิเวกการาม โดยการอพยพสมัยนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากถนนหนทางไม่สะดวก ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องใช้เกวียนในการขนของ หรือไม่ก็เดินเท้า   หมู่บ้านใหม่ซึ่งหลวงพ่ออุตตมะช่วยเหลือให้ชาวมอญมาอยู่นี้ มีการแบ่งพื้นที่กันอย่างชัดเจน ตั้งบ้านเรือนเรียงรายกันไปตามริมห้วยซองกาเลียจนถึงริมลำน้ำบีคลี่ด้านทิศตะวันออกของวัด จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:38:15

ความคิดเห็นที่ 25 ท่าทางการแสดงออก สีหน้า แววตา บ่งบอกถึงความสุข แม้จะไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนอย่างแท้จริง แต่ผมเชื่อว่าชาวมอญทุกคนรัก และเทิดทูลในผืนแผ่นดินสยาม ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:39:44

ความคิดเห็นที่ 26 เจดีย์พุทธคยา ตั้งอยู่ใกล้ๆกับวัดวังก์วิเวการาม ห่างจากสะพานมอญประมาณ 5 กิโลเมตร หลวงพ่ออุตตมะได้สร้างเจดีย์พุทธคยานี้ขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุกระดูกนิ้วหัวแม่มือขวาของพระพุทธเจ้าที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร เพื่อเป็นที่สักการะของพุทธศาสนิกชน   บริเวณใกล้กับเจดีย์พุทธคยา มีร้านจำหน่ายสินค้าจากพม่าหลายร้านจำพวกเครื่องประดับ ผ้า แป้งพม่า เครื่องไม้ เป็นต้น จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:40:44

ความคิดเห็นที่ 27 วัดวังก์วิเวการาม เป็นวัดจำพรรษาของหลวงพ่ออุตตมะ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนชาวไทย ชาวมอญ รวมทั้งชาวกระเหรี่ยง และพม่าที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นเป็นอย่างมาก ปัจจุบันหลวงพ่ออุตตมะได้มรณะภาพไปแล้ว แต่ร่างของหลวงพ่อยังตั้งอยู่ที่วัดวังก์วิเวการาม จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:41:39

ความคิดเห็นที่ 28 ความอบอุ่น ความร่มเย็น เมื่อรวมกับความเลื่อมใสในพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชน สามารถสัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรมเมื่อผมย่างก้าวเข้ามาในพระอุโบสถวัดวังก์วิเวการาม ผู้คนจากทุกสารทิศแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือมาสักการะกราบไหว้หลวงพ่ออุตตมะ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:42:30

ความคิดเห็นที่ 29 ลูกสาวตัวน้อยกับการมาขอเหรียญครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อไปหยอดตู้รับบริจาค บางทีเธออาจจะเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว ว่าการทำบุญแบบนี้หมายความว่าอะไร ส่งผลทางด้านจิตใจอย่างไร จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:43:17

ความคิดเห็นที่ 30 เมืองบาดาล หรือวัดใต้น้ำ ในวันนี้น้ำแห้งจนสามารถมองเห็นได้โดยทั่วบริเวณ วัดใต้น้ำแห่งนี้คือ วัดเก่าของหลวงพ่ออุตตมะ โดยชาวมอญร่วมใจกันสร้างขึ้น แต่เมื่อมีการสร้างเขื่อนวิชราลงกรณ์ จึงได้ย้ายวัดไปสร้างใหม่ ณ ที่ปัจจุบัน และใช้ชื่อว่าวัดวังก์วิเวการาม     ..     หลวงพ่ออุตตมะเดิมชื่อ เอหม่อง เป็นชาวมอญโดยกำเนิด ได้ฉายาว่า อุตตมะรัมโภ แปลว่าผู้มีความเพียรสูงสุด จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:44:08

ความคิดเห็นที่ 31 บริเวณใกล้เคียงกับวัดใต้น้ำแห่งนี้ยังเป็นที่มาของชื่อสามประสบ คือแม่น้ำสามสายไหลมารวมตัวกัน ได้แก่แม่น้ำรันตี มาจากทุ่งใหญ่นเรศวร แม่น้ำบีคลี่มาจากลำห้วยหลายสายทางตะวันออกของสังขละ และแม่น้ำซองกาเลียมาจากประเทศพม่า จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:44:54

ความคิดเห็นที่ 32 ด่านเจดีย์สามองค์ เป็นเขตสิ้นสุดชายแดนไทยด้านทิศตะวันตก ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองลู ไปตามทางหลวงหมายเลข 323 โดยก่อนถึงตัวอำเภอสังขละบุรี 4 กิโลเมตรจะมีทางแยกด้านขวาไปด่านเจดีย์สามองค์ เป็นระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร เส้นทางลาดยางตลอดสาย พระเจดีย์สามองค์นี้เดิมเรียกว่า หินสามกอง เป็นที่สักการะของคนไทยโดยทั่วไปก่อนที่จะเดินทางออกจากเขตแดนไทยเข้าสู่เขตแดนพม่า ต่อมาในปี พ.ศ. 2472 พระศรีสุวรรณคีรี เจ้าเมืองสังขละบุรีได้เป็นผู้นำชาวบ้านก่อสร้างเจดีย์ขนาดเล็กสามองค์ดังที่เห็นในปัจจุบัน .. นอกจากนี้ด่านเจดีย์สามองค์ยังเป็นช่องทางเดินทัพที่สำคัญของไทย และพม่าในอดีต บริเวณด่านเจดีย์สามองค์ มีร้านขายสินค้าจากประเทศพม่า นักท่องเที่ยวสามารถข้ามชายแดนเข้าไปชมตลาดพญาตองซู ซึ่งเป็นตลาดชายแดนที่มีการจำหน่ายสินค้าของพม่าได้อีกด้วย จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:45:56

ความคิดเห็นที่ 33 จากด่านเจดีย์สามองค์ ผมวกกลับมาทางเดิม เพื่อไปเข้าพักที่หน่วยฯป้อมปี่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม ระหว่างทางยังสามารถชมวิวทิวทัศน์ของทิวเขาบริเวณจุดชมวิวแม่น้ำรันตีได้อีกด้วย จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:46:38

ความคิดเห็นที่ 34 หน่วยพิทักษ์อุทยานฯป้อมปี่ ตั้งอยู่ริมอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ์ ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ประมาณ 2 กิโลเมตร สามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามเหนืออ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ์ อีกทั้งยังเป็นจุดชมวิวที่สามารถชมความงามของพระอาทิตย์ตกในยามเย็นได้อีกด้วย เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ กางเต็นท์พักแรม หรือจะเลือกเข้าพักที่บ้านพักของทางอุทยานฯก็ได้ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:47:30

ความคิดเห็นที่ 35 ลูกสาวตัวน้อยดูตื่นเต้นกับธรรมชาติที่สวยงามแบบนี้เอามากๆ ความงามของธรรมชาติอันบริสุทธิ์ คงไม่ต่างอะไรกับความไร้เดียงสาของเด็กน้อย วันเวลาจะบ่มเพาะให้ทั้งสองสิ่งนี้ไปในทิศทางใด ขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ และทะนุถนอมฟูมฟัก จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:48:17

ความคิดเห็นที่ 36 นั่งมองแสงสียามเย็นย่ำ ในวันที่ฟ้าปิดบังดวงสุริยา พลันให้อารมณ์เหงาหงอยคล้อยตามสีแสง การได้นั่งทบทวนเรื่องราวบางสิ่งบางอย่าง กับบรรยากาศที่จูงใจแบบนี้ บางครั้งสายน้ำ ขุนเขา ก็เป็นเพื่อนที่แสนดี เชิญชวนให้เราเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศแห่งความสุขได้ดีทีเดียว จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:49:09

ความคิดเห็นที่ 37 ผมชอบภาพนี้มาก ดวงตะวันใกล้จะลาลับขอบฟ้า เรือลำน้อยกำลังเร่งเครื่องอย่างรวดเร็วให้ทันกับพายุฝนที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามา หน่วยพิทักษ์อุทยานฯป้อมปี่แห่งนี้ชั่งสวยงามเหลือเกิน สวยงามทั้งวิวทิวทัศน์ ความเงียบสงบของธรรมชาติ น่าจะเป็นทางเลือกสำหรับการพักผ่อนได้ดีทีเดียว จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:50:06

ความคิดเห็นที่ 38 จากหน่วยฯป้อมปี่ ผมมุ่งหน้าสู่อำเภอทองผาภูมิ จุดมุ่งหมายต่อไปคือตำบลปิล๊อก ดินแดนในม่านหมอกสุดเขตแดนสยาม ระหว่างทางผมยังแวะชื่นชมธรรมชาติที่เขื่อนวชิราลงกรณ์   เขื่อนวชิราลงกรณ์ เป็นเขื่อนหินถมแห่งแรกของประเทศไทย เททับหน้าด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยมีวัตถุประสงค์ด้านผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นหลัก สร้างปิดกั้นแม่น้ำแควน้อยบริเวณตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อยู่ห่างจากตัวอำเภอไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 6 กิโลเมตร ตัวอ่างเก็บน้ำอยู่ในท้องที่อำเภอทองผาภูมิ และอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี มีพื้นที่รับน้ำฝน 3,720 ตารางกิโลเมตร   เริ่มก่อสร้างในเดือนมีนาคม 2522 เสร็จในปี 2527 แต่เดิมมีชื่อว่า เขื่อนเขาแหลม หลังสร้างเสร็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯ ทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนวชิราลงกรณ์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2529 และพระราชทานชื่อใหม่ว่า เขื่อนวชิราลงกรณ์ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:51:40

ความคิดเห็นที่ 39 ภาพนี้เป็นบริเวณจุดชมวิว กม.15 เส้นทางบ้านไร่-อีต่อง ก่อนถึงตำบลปิล๊อก ตลอดเส้นทางในช่วงนี้จะโอบล้อมด้วยเทือกเขาสูง จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:52:50

ความคิดเห็นที่ 40 เส้นทางจากบ้านไร่ถึงบ้านอีต่อง ตำบลปิล๊อก ถนนค่อนข้างแคบ รถสวนกันค่อนข้างลำบาก ระยะทางกว่า 30 กิโลเมตร(399 โค้ง) สองข้างทางร่มรื่น ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ และเทือกเขาสูงตลอด จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:53:54

ความคิดเห็นที่ 41 ก่อนถึงบ้านอีต่องประมาณ 1 กิโล พวกเราขึ้นมายังฐานช้างศึก ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 135บริเวณด้านบนจะอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,053 เมตร เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ของฝั่งไทย และฝั่งพม่า รวมถึงชื่นชมกับทะเลหมอกที่สวยงามได้อีกด้วย จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:54:40

ความคิดเห็นที่ 42 ตื่นเช้านะลุง ขอปาดคนแรกเลยละกันนะ ป.ล. MV นั้นใช้ที่ลาวนะครับ จากคุณ : ประธานชมรมคนมีแฟนน่ารัก เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:56:41

ความคิดเห็นที่ 43 ดีบุกตื่นเช้าเหมือนกันเลยนะครับ อุตส่าห์หนีมาแล้วนะเนี่ย -------------------------------------------------------------------------- บริเวณโดยรอบของฐานช้างศึกสามารถมองเห็นหมู่บ้านอีต่องที่อยู่ด้านล่างได้อย่างชัดเจน แม้จะเป็นเวลายามบ่าย แต่โดยรอบบริเวณยังปกคลุมไปด้วยหมอกบางๆอยู่ตลอดเวลา จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 04:59:59

ความคิดเห็นที่ 44 ฐานช้างศึก หรือบางคนเรียก ยอดดอยปิล็อก บ้างก็เรียก ต่องปะแล เป็นจุดยุทธศาสตร์จุดหนึ่งของชายแดนไทย-พม่าเป็นฐานที่มั่นของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 135 ปัจจุบันเป็นจุดชมวิวที่นักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางมาถึงดินแดนแถบนี้จะแวะเข้ามาเยี่ยมเยือนอยู่มิขาด พลอยทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ประจำการอยู่ที่นี่ มีเพื่อนพูดคุยแก้เหงาไปได้บ้าง จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:01:04

ความคิดเห็นที่ 45 ณ. บริเวณจุดชมวิวฐานช้างศึก ในช่วงที่ทัศนวิสัยดีสามารถมองเห็นทะเลอันดามันฝั่งประเทศพม่าได้ และอาจได้เห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเหนือทะเลอันดามันได้ แต่ในช่วงฤดูหนาวคงเห็นได้ยากหน่อย เพราะบรรยากาศโดยรอบจะปกคลุมไปด้วยหมอกบางๆตลอดเวลา ถึงแม้จะเป็นตอนกลางวันที่แดดแรงก็ตาม จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:01:49

ความคิดเห็นที่ 46 แนวเทือกเขาแห่งนี้เสมือนพรมแดนแบ่งอาณาเขตระหว่างประเทศไทยกับประเทศสหภาพพม่า โดยมี เนินเสาธง ที่ทางการทหารไทยได้จัดตั้งเสาธงพร้อมติดธงชาติไทยขนาดใหญ่ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าพื้นที่นี้เป็นจุดพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศสหภาพพม่า   ทางการทหารไทยจึงได้ให้ชื่อพื้นที่แห่งนี้ว่า “เนินเสาธง” และได้อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเข้าเที่ยวชมได้ โดยมีกำลังของทหารไทย และกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดนของไทยรักษาความปลอดภัยให้ตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อเราอยู่บนเนินเสาธงนี้แล้ว เราจะได้พบกับบรรยากาศเย็นสบาย อากาศสดชื่นแสนบริสุทธิ์สามารถมองลงเห็นทิวทัศน์ได้รอบตัวเรา ทั้งทิวทัศน์ที่สวยงามในประเทศไทย และทิวทัศน์ในประเทศสหภาพพม่า จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:03:33

ความคิดเห็นที่ 47 บ่ายแก่ๆของวันนั้น สายหมอกหนาตัวมากขึ้นบนฐานช้างศึกเมื่อฝนหยุดตกได้ซักพัก บางช่วงถึงขนาดมองไม่เห็นอะไรเลย คงมีแค่เพียงละอองขุ่นๆของสายหมอก กับหัวใจที่เต้นรัวด้วยความตื่นเต้นของพวกเราเพียงเท่านั้น จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:04:27

ความคิดเห็นที่ 48 ไออุ่นแห่งความรักบวกกับไอหมอกในบรรยากาศที่ชุ่มช่ำหลังฝนตก ภาพแห่งความรักของสองพี่น้อง แม้บางครั้งอาจมีทะเลาะกันบ้าง แต่ก็อยู่บนพื้นฐานของความต่างวัย เห็นภาพแบบนี้แล้วทำให้ชุ่มชื่นหัวใจได้เหมือนกัน จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:05:22

ความคิดเห็นที่ 49 จุดเด่นของฐานช้างศึกแห่งนี้ คือการสัมผัสอากาศหนาวเย็นสบายตลอดปี และชมทะเลหมอกที่ปลกคลุมเหนือทิวเขาในฝั่งสหภาพพม่า ผสมกับเสียงสวดมนต์ที่ลอยมาจากวัดในหมู่บ้านอีต่องเบื้องล่าง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สบายตาสบายใจยิ่งนัก ภาพนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ของวันใหม่ ทะเลหมอกในหุบเขาดินแดนฝั่งสหภาพพม่าดูสวยงามใช้ได้ทีเดียว จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:06:10

ความคิดเห็นที่ 50 อีต่อง ในภาษาพม่า หมายถึง ภูเขาเทวดา บ้านอีต่อง เป็นหมู่บ้านชายแดนไทยที่เคยรุ่งเรืองจากการค้าแร่ในอดีต ปัจจุบันเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆเงียบสงบ มีเสน่ห์ก็ตรงที่ความเงียบสงบ บวกกับวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ อากาศก็ค่อนข้างหนาวเย็นตลอดปี จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:06:56

ความคิดเห็นที่ 51 ยามเช้าแบบนี้ แสงสีทองจากดวงตะวันกำลังเปร่งประกายชะโลมผืนหมอก วิถีชีวิตของผู้คนในแถบนี้กำลังเริ่มต้นก้าวย่าง บนพื้นฐานแห่งความเรียบง่าย และความสวยงามของธรรมชาติ ดินแดนในฝันแห่งนี้ยังมีผู้คนจำนวนอีกไม่น้อยที่ใฝ่หา จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:08:23

ความคิดเห็นที่ 52 แสงแรกของวันใหม่บนฐานช้างศึก ดวงตะวันดวงเดียวกันกับเมื่อสองวันก่อนที่ผมมองรอดหน้าต่างจากที่บ้าน แต่ความสวยงาม ความอบอุ่น ชั่งต่างกันนัก เหมือนดวงตะวันคนละดวงกัน นั่งมองสายหมอกเคียงคู่ดวงสุริยา จิบกาแฟร้อนๆ อย่างแผ่วเบา ช่วงเวลาดีดีแบบนี้มักจะผ่านไปเร็วเสมอ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:09:09

ความคิดเห็นที่ 53 ดินแดนในฝันแห่งนี้ยังคงรอคอยการมาเยือนอยู่เสมอ ก้าวย่างแต่ละก้าวเมื่อได้เข้ามาสัมผัสเส้นทางสายความฝัน สมกับการรอคอยอันยาวนาน  “เทพนิยาย”เล่มนี้จะอยู่ในใจผมตลอดไป แล้วพบกันใหม่ทริปหน้าครับ สวัสดีครับ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:09:53

ความคิดเห็นที่ 54 ตามไปชมสาวมอญด้วยค่ะ อยากไปเที่ยวที่นี่จัง ถ้าไม่มีรถส่วนตัว ไปทางรถไฟได้ไหมคะ จากคุณ : sa_bkk เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:10:21

ความคิดเห็นที่ 55 สวยจังเลยค่ะ   เป็นสถานที่อันดับต้นๆ ที่อยากไปมาก...  น้องใบหยกเริ่มโตขึ้นผิดตาแต่ก็ยังน่ารักเหมือนเดิมจ้า.... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:23:54

ความคิดเห็นที่ 56 ประทับใจสุดสุดเลยทริปนี้ ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : chatty-kris เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:28:34

ความคิดเห็นที่ 57 อะ พี่เอกนึกครึ้มอะไร ปั่นรีวิวแต่เช้าเลยยยยยยยยยย   เข้าสู่วัยทองนอนไม่ค่อยหลับใช่มั๊ย ทริปนี้น่าตามรอยมากๆ อยากไปสังขละบุรีบ้างจัง จากคุณ : คนช่างฝัน สาวข้างบ้าน เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:28:49

ความคิดเห็นที่ 58 แวะมาชมครับลุงเอก เห็นรีวิวแล้วคิดถึงสังขละจังเลยครับ รูปยังดองอยู่เลยเนี่ย คงต้องรออีกสักพักใหญ่ๆ จึงจะคลอดรีวิวออกมาบ้าง จากคุณ : the Sixth Floor เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:54:26

ความคิดเห็นที่ 59 วันนี้เจอครบทั้งรีวิวขาดึก กะรีวิวขาเช้าเลยวุ้ย จากคุณ : ประธานชมรมคนมีแฟนน่ารัก เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 05:57:53

ความคิดเห็นที่ 60 ไปด้วยคน....นะน้าม่วง จากคุณ : โรม ณ. โคราช เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 06:52:40

ความคิดเห็นที่ 61 ที่ไหนต้นไม้มีสีเขียว บนพื้นดินมีภูเขา แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว    สังขละ....บรรยากาศที่ดีมาก  น่าไปเทียวแหะ . . . แท้งกิ้วสำหรับรีวิวดีดี ภายสวยครับ จากคุณ : ชานม (ชานมชงเอง) เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 07:12:02

ความคิดเห็นที่ 62 ยังไม่เคยไป เลย ลุงเอก อยากไปชมของจริง จัง แฮะ  ๆ ขอบคุณครับ สำหรับรีวิว  แฮะ ๆ ตามมาเที่ยว ค๊าฟ อิอิ จากคุณ : นายฟ้าใส เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 07:23:07

ความคิดเห็นที่ 63 สวยทุกรูปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : แผนลวงสำเร็จแล้ว เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 07:49:15

ความคิดเห็นที่ 64 นั่งชมวิถีชีวิตคนมอญ แล้วก็เพลินดีนะครับ ลุงเอก จากคุณ : One Light One Shadow เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 07:50:04

ความคิดเห็นที่ 65 แอ่ะ..... สาวน้อยใส่สายเดี่ยว  คุงพ่อมะหวงเหรอคะ วิวภูเขา + ทะเลหมอก ดูสวยสดชื่นจริงๆ ได้ยืนรับอากาศเย็นสบายๆ อากาศบริสุทธิ์สิ่งที่หาจากในเมืองไม่ได้  ดีจังค่ะน้าม่วง หน้าฝนนี้เค้าไปตามหาสายหมอกบ้างดีกว่า จากคุณ : Angletaire เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 08:07:43

ความคิดเห็นที่ 66 ตามน้าม่วงไปเที่ยวสังขละด้วยคนเด้อ ทะเลหมอกสวยมากๆ ชอบๆ จากคุณ : narasri เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 08:12:18

ความคิดเห็นที่ 67 ตอนแรกคิดว่าสะพานมอญจะเล็ก และ สั้นกว่านี้ แต่พอเห็นรูปของลุงเอกต้องเปลี่ยนความคิดทันที ถ้าเดินข้ามคงเหนื่อยแน่ๆ ว่าแต่ตื่นมารีวิวแต่เช้าเลยครับลุงเอก กะ ไม่ให้ FC ปาดเลยใช่มะ จากคุณ : keep it up เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 08:13:29

ความคิดเห็นที่ 68 ครบทั้งธรรมชาติ + วัฒนธรรมเลยนะค่ะรีวิวนี้ แถมความสดชื่น น่ารักๆจากสาวน้อยด้วย จากคุณ : ZhuZhuJoopJoop เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 08:16:25

ความคิดเห็นที่ 69 สวยจังค่ะ สังขละ-ปิล็อก น่าไปเที่ยวมาก ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ  จากคุณ : ย้ำคิดย้ำฝัน เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 08:16:56

ความคิดเห็นที่ 70 แวะมาชมวิวสังขละฯสวยๆแต่เช้าค่ะ เป็นอีกสถานที่ที่น่าไปเยือนจริงๆ จากคุณ : ZoSha เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 08:32:35

ความคิดเห็นที่ 71 "มนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิต การได้เดินทางไปในสถานที่ต่างๆ การได้เห็นความสวยงามของวิวทิวทัศน์ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว แต่การได้เพ่งมองการใช้ชีวิต มองผู้คนที่ใช้ชีวิตแตกต่างไปจากที่เราเคยเห็น ทำให้เราได้รับรู้ถึงมนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิตที่สวยงาม แม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ทำให้เรามีความสุข และอดอมยิ้มไม่ได้เหมือนกัน " เยี่ยมยอดครับพี่  ชอบมากๆๆเลย รีวิวสุดยอดอีกแล้ว ผมชอบอ่านที่พี่เขียนนะครับ  เป็นเรื่องราใชีวิตการเดินทางจริงๆๆ จากคุณ : ชายเอ ทุ่งรังสิต เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 08:34:24

ความคิดเห็นที่ 72 คิดเหมือนกันค่ะ ว่าต้นปีหน้าอยากไปเที่ยวสังขละบุรีกับเพื่อนๆ เป็นไกด์ไลน์พาเที่ยวที่ดีมากเลยค่ะ จากคุณ : Nainame เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 08:44:12

ความคิดเห็นที่ 73 เคยอยากจะไป แต่ท้อใจกับระยะทาง อาศัยชมรีวิวไปก่อนแล้วกัน ขอบคุณนะค๋ะ จากคุณ : ครอบครัวตัว ป เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 08:46:41

ความคิดเห็นที่ 74 โห๊ว....ฟิตจริง น้าม่วง รีวิวตีสี่ ผมยังไม่ตื่นเลย เมื่อวานโดนฝนซัดอย่างบ้าคลั่ง เปียกไปทั้งตัว เพราะภาระกิจ ตามหาไก่เหลือง(แต่ไม่เจอสักตัว) จากคุณ : Hero11147 เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 08:51:58

ความคิดเห็นที่ 75 ดูแล้วอยากไปอีกครั้งจริงๆค่ะลุงม่วง จากคุณ : SCFM เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 08:52:50

ความคิดเห็นที่ 76 รูปสวยจังเลยครับ พี่ม่วง จากคุณ : Paksabuy เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 08:53:21

ความคิดเห็นที่ 77 มาตอนที่เค้าเริ่มกลับกันแล้วไม่เป็นไรเที่ยวย้อนรอยได้มีรายละเอียดครบแบบนี้ไม่กลัวหลง และเรื่องที่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้คือความสวยงามของบรรยากาศและรายละเอียดประกอบภาพผ่านหลังเลนส์ฝีมือของ ม่วงมหากาฬ ทริบหน้าไปด้วยนะ จากคุณ : โอไก่่ขัน (somchaikaikhan) เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 08:58:46

ความคิดเห็นที่ 78 มาตอนจบ(ไปนานแล้ว) ทริปหน้าอย่าให้เค้าพลาดนะลุง ฝากคิดถึงเจ้าตัวเล็กด้วยค่ะ รูปชุดนี้เค้าชอบจัง ขอบคุณค่ะ จากคุณ : route rover เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:04:13

ความคิดเห็นที่ 79 วิถีชีวิตชาวมอญดูน่าสนใจดีนะครับ ผมเองยังไม่เคยไปที่นี่เลย อยากไปชมสะพานมอญบ้างจัง บรรยากาศแต่ละที่ดูน่าเที่ยวมากๆครับ แล้วก็ "ภาพงาม เพลงก็เพราะครับ" ขอบคุณครับ จากคุณ : Koon Shy_Tour Dee เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:04:24

ความคิดเห็นที่ 80 มาแอบซุ่มรีวิวแต่เช้าเลยนะลุงเอก ขอขอบคุณรีวิวและภาพสวยๆเช่นเคยครับ อ้อน้องใบหยกน่ารักมากกก จากคุณ : BANBONDOI เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:07:53

ความคิดเห็นที่ 81 ยังไม่เคยไปเลย  ภาพสวยมากค่ะ อยากไป จากคุณ : NATTZIKA เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:08:20

ความคิดเห็นที่ 82 น้าม่วง รีวิวนี้น้ำน้อยนะ (ที่ใต้สะพาน) มีแต่เนื้อๆ (ที่บนสะพาน) จากคุณ : 3KKK เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:08:59

ความคิดเห็นที่ 83 ขอตามไปด้วยคนนะคะ ขอบคุณสำหรับรีวิวค่ะ ^_^ จากคุณ : มะม่วงทองดำ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:14:12

ความคิดเห็นที่ 84 แวะมาเยี่ยมชมรีวิวสวยๆกับคำบรรยายที่สละสลวย(ขัดกับหน้าตา)ครับลุง จากคุณ : แมงปอบินเดี่ยว เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:20:45

ความคิดเห็นที่ 85 อยากไปสังขละอย่างมากมาย  คิดถึงปูที่ปิล๊อก ขอบคุณนะครับสำหรับรีวิวและภาพสวยๆ นะครับ จากคุณ : noiwanwannoi เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:21:44

ความคิดเห็นที่ 86 สะพานมอญนี่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่เลยเนอะลุงม่วง ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สวย ถ้ามีโอกาสก็อยากไปนั่งเล่นบนสะพานมองวิถีชีวิตผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาซักครั้ง จากคุณ : harumi เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:22:37

ความคิดเห็นที่ 87 ตามไปเที่ยวด้วยคนค่ะ เคยจะได้ไปสังขละ ปีล็อก หลายครั้งมาก แต่ก็พลาดทุกครั้ง ได้แต่เฉียดๆ สงสัยเราจะวาสนาไม่ถึง  - -" เห็นภาพแบบนี้แล้วยิ่งอยากไปมากขึ้นอีก  ขอบคุณสำหรับรีวิวค่ะ  ^^ จากคุณ : ShiNyShadoWy เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:25:56

ความคิดเห็นที่ 88 ขออนุญาตลุงเอกแป๊บนะจ้ะ จิ้มไปที่ คห.82 กรี้ดดดดดดด น้าเค คิดถึงมากกกๆๆๆๆๆๆ หายไปไหนมา ดีใจที่เห็นน้าเคเช้าวันนี้จริงๆ ......................................................................................................... สังขละงดงามจริงๆลุง เสียดายที่เค้าไปแค่ผาตาดไม่ได้เลยไปสังขละพร้อมลุง ยิ่งเห็นรูปยิ่งคิดว่า เร็วๆนี้คงได้ไปเยือนที่นี่แน่ๆ อีกครั้ง จากคุณ : เด็กชายถั่วงอกหัวโต เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:28:21

ความคิดเห็นที่ 89 ชอบอารมณ์ที่มีอยู่ในทุกภาพเลยค่ะคุณม่วง สุข และสวยจนบอกไม่ถูก ขอขอบคุณสำหรับทุกภาพ ทุกคำบรรยาย และ ความน่ารักของยัยหนูตัวน้อยด้วยนะคะ จากคุณ : JOYJARI เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:34:07

ความคิดเห็นที่ 90 เสียดายที่ไม่ได้ไป แต่... ไม่เสียดายที่ได้ดูภาพสวยๆๆ  เหมือนไปเอง --- จากคุณ : ยายแก่สีม่วง เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:35:21

ความคิดเห็นที่ 91 ภาพ พร้อมคำบรรยาย ประทับใจจริงๆคทะ จากคุณ : SuPerHyPerOverUltraGLUE เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:36:56

ความคิดเห็นที่ 92 แวะมาชมครับ ลุงม่วง อ่านเพลินเลย ลูกสาวน่ารักมากๆ ขอตามไปเที่ยวด้วยคนนะครับ ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ กิ๊ฟเดือนนี้หมดแล้ว ผมให้ แทนนะครับ จากคุณ : กัปตันลูกชุบ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:36:59

ความคิดเห็นที่ 93 สดชื่นได้ใจในยามเช้าวันฝนตกมาก ๆ คะ เอกกี้..... รีวิวได้เช้ามาก....แสดงว่าหนีเที่ยวเพิ่งกลับแน่ ๆ เลย.... จากคุณ : กานพลู...คนชอบเที่ยว เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:37:44