ความคิดเห็นที่ 1 ก่อนอื่นขอกางแผนที่เดินทาง ต่อจากตอนที่แล้วก่อน จากสถานีรถไฟบึงบอระเพ็ด ใช้ถนนหมายเลข 225  พาดผ่านประเทศไทยในแนวตะวันตกไปตะวันออก เกือบจะตรงเลย ผ่าน อ.ชุมแสง อ.หนองบัว ข้ามมาจังหวัดเพชรบูรณ์ หลบแนวเขารังที่ขวางระหว่าง อ.ชนแดน กับ อ.เมือง ตรงมายัง อ.บึงสามพัน แล้วข้ามไป จ.ชัยภูมิ ทันที  ผ่าน อ.ภักดีชุมพล อ.หนองบัวระเหว และ อ.บ้านเขว้า เข้าจังหวัดชัยภูมิพอดี (ไม่มีอ้อม)ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 16:55:52

ความคิดเห็นที่ 2 แทบไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางที่ดูเหมือนจะไม่ไกล ระยะสั้นๆจาก จ.นครสวรรค์ไปยัง จ.ชัยภูมิ จะใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าที่คิด  ผมออกจาก สถานรถไฟบึงบอระเพ็ดเวลาบ่ายโมงครึ่ง มาถึง จ.ชัยภูมิ หกโมงเย็นครึ่ง พลบค่ำเลย!  ทำให้พลาดโอกาสในการบันทึกภาพ เทียบกับอดีตไปอย่างน่าเสียดาย  แต่ด้วยโอกาสที่จำกัด เลยต้องพยายามบันทึกภาพกันไปแบบมืดๆ  ท่ามกลางสุนัขเห่า...ในวัด ในระหว่างทาง ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว ถนนรถวิ่งสวนทาง มีการเล่นน้ำสงกรานต์เป็นระยะๆ ทำให้ทำเวลาได้จำกัด แต่ได้ชมธรรมชาติดี  ท้องเริ่มหิว เลยต้องพยายามสอดส่ายตาดูร้านอาหารริมทาง  เส้นทางนี้บอกได้เลยว่า ไม่มีปั๊มน้ำมันใหญ่ๆ แบบที่คุ้นตา เมื่อขับรถบนถนนสายหลักๆ ที่พุ่งออกไปจากรุงเทพฯ ทำให้สุภาพสตรีทั้ง เด็กและคนแก่ ต้องใช้ความอึดกันน่าดู จนมาได้ร้านอาหาร ที่พอจะเป็นที่พึ่งทั้งท้องและถ่าย ก็เมื่อเลย แยกหนองบัวมา ดังแสดงในแผนที่ คห.1  เจ้าของร้านเข้าใจทำที่นั่งทานอาหารยกระดับ ทำให้สะดวกต่อการชมวิวอย่างมากครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 17:05:16

ความคิดเห็นที่ 3 ลองแพนกล้องมาทางร้านด้านหน้าหน่อย แต่ดันย้อนแสงแดดที่แรงกล้า เลยต้องใช้เทคนิคซ้อนภาพมาช่วย เพื่อให้ได้เห็นถนนด้านหน้า และทางที่เข้ามาครับ  ร้านไม่เล็กนัก แต่จะมองไม่เห็นที่นั่งยกระดับจากริมถนนนะครับ พอดีฟลุ๊คเลี้ยวเข้ามาก่อนถึงได้เห็น และรีบจับจองเป็นพื้นที่ส่วนตัวเลย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 17:08:17

ความคิดเห็นที่ 4 ภาพบนซ้าย : หลังจากทานอาหารอิ่มแล้วก็มองหาห้องน้ำกัน ซึ่งระหว่างทางเดินไปด้านหลังร้าน ก็ได้พบเรือนไม้แบบสมัยก่อน ที่มีการไขว้ไม้ระแนง ทำให้นึกถึงอาคารเรียนสมัยผมเด็กๆ ที่ อ.ชนแดนไม่ไกลจากที่นี่สักเท่าใดนัก ภาพล่างขวา : นอกจากนี้ยังได้เห็นวิวยุ้งข้าวที่ผมเคยวิ่งเล่น ตอนเด็กๆ ทั้งที่โรงเรียนอนุบาล (ป.เตรียม) และหลังบ้านผมเอง ช่างมีความสุขเหมือนหลุดเข้าไปในอดีตเลย ภาพล่างซ้าย : ติดกับห้องน้ำ ผมก็ได้เห็นสำนักงานแบบเปิดโล่ง (Open Office ผมตั้งชื่อเองนะครับ..ฮิฮิ) มีเครื่องคอมพิวเตอร์ ทีวี พร้อม เหมือนที่บ้านผมเลย  ว่าแต่ตอนกลางคืนคงมียุงเข้ามารบกวนไม่เบา แต่กลางวันก็ให้ความรู้สึกคลาสสิคดี น่าจำเอาไปทำบ้าน เพียงแต่ต้องปิดกระจก ติดแอร์เท่านั้น ภาพบนขวา : ตรงหน้าห้องน้ำเจอเครื่องจักรอะไรหว๋า หน้าตามแปลกๆ ไม่คุ้นัก คิดว่าต้องเกียวกับการเกี่ยวข้าวแน่ๆ  ผมกลับมาค้นจากในเน็ต บอกว่าเป็นเครื่องนวด-เกี่ยวข้าว ราคาประมาณ แสนห้าหมื่นบาท  อุปกรณ์แบบนี้ หาดูที่กรุงเทพฯได้ยาก จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 17:15:13

ความคิดเห็นที่ 5 ในที่สุดก็ถึง จ.ชัยภูมิ พลบค่ำพอดี นับว่าผิดคิวไม่น้อย  ตอนวางแผนยังคิดว่าน่าจะถึง จ.ชัยภูมิประมาณบ่ายสามโมง กลับพลาดไป สามชั่วโมงกว่า เพราะออกจาก จ.นครสวรรค์ช้ามากๆ นั่นเอง จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 17:17:06

ความคิดเห็นที่ 6 ขอกางแผนที่ ในเขตเทศบาลเมือง ชัยภูมิกันก่อน เผื่อคนที่ไม่คุ้นเคยจะได้เข้าใจที่ตั้งของ วัดปรางกู่ก่อน ซึ่งผมเองเคยมาเมื่อปี พ.ศ.2537 ยังจำไม่ได้ บอกได้ว่า เหมือนไม่เคยมาเลย จำทางเข้าหน้าวัดไม่ได้จริงๆ ยังหลงไปวัดกลางเมืองเก่าเลย ทั้งๆ ที่เหลือบเห็นป้ายบอกทางไป ปรางค์กู่ อยู่แวบๆ แต่ใจคิดว่า ถนนหน้าวัดน่าจะเป็นอย่างที่คิด แต่ผิด เลยต้องวนรถกลับมาใหม่ ถนนในเทศบางเมืองชัยภูมินี้ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนเหมือน จังหวัดอื่น คือ เป็นเมืองที่ ถนนสายใหญ่ วิ่งผ่ากลาง หมายถึง สายที่ 201 จาก อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ที่จะไป อ.ชุมแพ ต้องผ่าเมือง กับถนนอีกเส้น ที่ผมวิ่งมาจาก ด้านตะวันตก มาบรรจบกับ ถนนที่มาจาก อ.สีคิ้ว ก่อนเข้าเมืองเล็กน้อย แล้วไป เจอสี่แยก ที่มีวงเวียนอนุสาวรีย์เจ้าพ่อพระยาแล ตั้งอยู่ โดยพระองค์ท่านหันหน้ามาทางใต้ ก็อย่างที่เห็นในภาพนั่นแหละ มาถึงปุ๊บก็คือด้านหน้าเลย ถ้าหากตรงไป ก็ อ.ชุมแพ หรือ จ.ขอนแก่น  แต่การไปวัดปรางค์กู่ ก็เลี้ยวขวา ขับไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นเอง ตรงสามแยกพอดี ครับ ซึ่งเสร็จจากตรงนี้ จะไป จ.ขอนแก่นต่อ ก็ไม่ต้องวนรถกลับไปที่ อนุสาวรีย์ฯ อีก ขับต่อไปจนพบถนนสาย 201 ขับต่อไปได้เลย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 17:27:08

ความคิดเห็นที่ 7 ตอนนี้ผมมาถึง ปรางค์กู่ หน้าวัดปรางค์กู่แล้ว เกือบทุ่มน่ะ เขากำลังจะมีงานปิดทองพระธาตุปรางค์กู่ 16 - 18 เมษายนพอดี  อีก 3 วันน่ะ (วันที่ผมไปคือ วันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2554)  ไม่รู้ว่าขากลับ ผมจะผ่านมาแถวนี้อีกหรือเปล่า หรือถ้ามาก็จะมาเวลาใด  ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องเข้าไปเก็บภาพเท่าที่ทำได้ ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 17:31:11

ความคิดเห็นที่ 8 นี่เป็นรูปเก่าๆ ที่ผมเคยมาถ่ายไว้ที่วัดนี้ เมื่อตอนปี พ.ศ.2537 ผมมากับคุณแม่ ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ได้มากราบนมัสการหลวงพ่อสุรนิต ที่เป็นเจ้าอาวาสวัดปรางค์กู่แห่งนี้  ซึ่งปัจจุบันท่านก็ได้มรณะภาพไปแล้ว จึงนับว่าเหลือแต่อดีตความทรงจำ กับภาพเก่าๆ ที่อยู่ในอัลบั้มรูปผมเท่านั้น ไม่รู้ว่า ปัจจุบันยังมีคนรู้จักท่านหรือเปล่า ท่านเป็นพระที่เข้ามาพัฒนาวัดปรางค์กู่แห่งนี้ ในปี พ.ศ.2525 จากวัดเก่าๆ โทรมๆ จนกลายเป็นวัดที่มีความงดงาม สิ่งปลูกสร้างถาวรวัตถุมากมาย อย่างที่เห็นในรูป ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 17:35:56

ความคิดเห็นที่ 9 จากรูปจะสังเกตุเห็นหนุ่ม(หน้ามล) หัวโล้นอยู่คน ไม่ต้องสงสัย นั่นคือตัวผมเองในสมัยปี 2537 ครับ อายุตอนนั้นก็ประมาณ 29 ปี เพิ่งลาสิกขา จากการบวชพระมาสดๆ ร้อนๆ ระหว่างทางกลับบ้านเกิด อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ ก็แวะกราบหลวงพ่อสักครั้ง ซึ่งก็นับว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นท่าน เพราะหลังจากนั้นผ่านมาอีก 4 ปี ท่านก็มรณะภาพ ไม่มีโอกาสได้กราบท่านอีกเลย ซึ่งเช่นกัน คุณแม่ผมท่านก็ได้จากไป ในปีพ.ศ.2547 ภาพเหล่านี้จึงเป็นภาพประวัติศาสตร์ ทั้งความสมบูรณ์ของสิ่งต่างๆ ที่หลวงพ่อท่านได้สร้างใหม่ๆ ในครั้งนี้ ผมจึงได้ย้อนอดีตเข้าไปชมอีก แม้จะไม่มีทั้งสองท่านแล้วก็ตาม จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 17:40:57

ความคิดเห็นที่ 10 ภาพซ้าย : สิ่งแรกที่อยากเห็นก็คือ กุฎิหลวงพ่อ ซึ่งยังคงสภาพส่วนใหญ่ไว้เช่นเดิม หากแต่ ตัวอักษรตรงหน้าจั่วทางเข้ากุฎิได้ถูกลบเลือนออกไป คงเหลือร่องรอยเก่าๆ ไว้พอคาดเดาว่า ใช่ที่นี่ ไม่ผิดแน่นอน เหลือบเห็น แผ่นสติ๊คเกอร์สีน้ำเงิน มีคำเตือนใจว่า "กาลเวลาย่อมกินสรรพสิ่ง"  อาจเพื่อให้คนที่รักคิดถึงหลวงพ่อท่านได้ ละวางจิตใจลงไปบ้าง ภาพกลาง-ขวา : ผมเดินเข้ามาถึงหน้าประตูเข้ากุฏิ (พอดีจะเข้าห้องน้ำด้วย) ก็ยังเห็นชื่อหลวงพ่อ ทั้งชื่อเดิม "พระอธิการสุรนิต" กับ ชื่อทางสมณศักดิ์ "พระครูไพบูลย์ ชัยสาร" ติดอยู่ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนได้กลับมาอยู่ใกล้ท่านอีกครั้ง ย้อนอดีตไป ตอนที่ผมเป็นเด็ก เรียนชั้นมัธยมต้น ผมป่วยบ่อย คุณแม่ผมจึงยกผมให้เป็นลูกท่านตามความเชื่อโบราณ แต่ไม่ได้อยู่ที่วัดนะครับ ท่านเลยตั้งชื่อผมให้(เปลี่ยนจากชื่อเดิม) และผมก็รักชื่อนี้มาตั้งแต่นั้น  อ้อ..ในตอนนั้น หลวงพ่อท่านยังไม่ได้อยู่วัดปรางค์กู่นี้นะครับ ท่านอยู่ วัดไตรยางค์วนาราม (มีชื่อเดิมว่า วัดยางสามต้น) ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ริมถนนหมายเลข 11 จาก อ.อินทรบุรี-จ.พิษณุโลก  ใกล้กับทางแยกไป อ.หัวดง (หมายเลข 1304)   หลวงพ่อท่านได้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ เก่งทางทำนายทายทักดูดวงได้แม่น ท่านได้ทายอนาคตชีวิต(ในปัจจุบัน)ผมไว้ได้ตรงอย่างไม่น่าเชื่อ ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 17:58:57

ความคิดเห็นที่ 11 โชคดี ที่ตอนมาถึง ผมได้พบกับพระองค์หนึ่ง ท่านได้บอกถึงงานปิดทองประจำปี และพาผมไปพบกับรูปปั้นหลวงพ่อท่านในวิหาร ตอนกลางคืนนั้นเลย ทำให้ผมได้พบและกราบหลวงพ่อท่านตรงนี้ ขออนุโมทนามา ณ. ที่นี้ด้วยครับ  แม้ว่า พระท่านจะบอกว่า ในวันงาน จะการยกรูปปั้นหลวงพ่อไปให้คนปิดทอง กราบไหว้ ที่ลานหน้าพระปรางค์เลย  แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าขากลับจากหนองคาย จะผ่านทางนี้หรือเปล่า และถึงจะผ่าน ก็ไม่รู้ว่าผ่านเวลาใดอาจะเป็นตอนดึก และต้องรีบขับรถเข้ากรุงเทพฯ แข่งกับเวลาอีกด้วย จึงต้องรีบถ่ายภาพไว้ก่อน ดังในรูปข้างล่างนี้ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 18:04:39

ความคิดเห็นที่ 12 หลังจากนั้น ผมก็กราบลาพระองค์นั้น แล้วก็ถือกล้องถ่ายภาพ เดินท่อมๆ ไปค้นหา วงเวียนนักษัตร ตามในรูปคห.8 ว่าอยู่ตรงไหน และมีสภาพเช่นใดในปัจจุบันครับ ซึ่งก็ได้ภาพ โบสถ์ วงเวียนนักษัตร องค์พระใหญ่กลางแจ้ง ตามต้องการครบ ท่านกลางเสียงสุนัขในวัดเห่าเป็นแบล๊คกราวด์ ตลอดเวลา..ฮา จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 18:07:40

ความคิดเห็นที่ 13 ภาพซ้าย : ก็ได้ภาพเจ้าตัวเห่า ตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ มาให้ชมกัน น่ารักน่าชัง ในวัยกระเตาะเลย  ถ้ามาตอนกลางวันคงได้ลูบหัวเล่น  กลางคืนนี้ สุนัขจะเปลี่ยนสัญญชาติญาณ มาดเข้ม ไม่ไว้ใจใคร เห่าลูกเดียวไม่คุย..เอ๊ย..ไม่เป็นมิตรด้วยเด็ดขาด ยกเว้นคนที่รู้จักคุ้นเคยกับเขาเท่านั้น ภาพขวา : กลับละครับ มืดแล้ว เป็นภาพด้านหลังประตูวัด ก่อนออกจากวัดไป  จะเห็นที่ถนนด้านนอกมีผู้คนสิ่งของมากมาย ที่กำลังจัดเตรียมงานอยู่ ไม่เงียบเหงาเหมือนปกติ ถ้ามีโอกาส(บุญ) ขากลับอาจได้แวะเข้ามาไหว้พระธาตุปรางค์กู่ และเข้ามารำลึกสถานที่ต่างๆในวัดปรางค์กู่แห่งนี้ได้ถนัดๆ หน่อย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 18:13:21

ความคิดเห็นที่ 14 ภาพซ้าย : ระหว่างทางก่อนจะถึง จ.ขอนแก่น ได้เจอห้องน้ำปั้มสวยๆ เลยเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก เผื่อจำเอาไปเลียนแบบในการแต่งบ้านครับ ภาพขวา : เดินเข้าไปที่ห้องน้ำ สะดุดตาคนๆหนึ่งที่คุ้นเคยกันมานาน อ้อ..ตัวผมเองในกระจก แหม..เข้าใจวางจริงๆ ดูเหมือนมีประตูอยู่อีกด้าน แล้วมีคนกำลังยืนมองตัวเราเองอยู่ เลยเก็บภาพมาให้ดูเล่นๆ ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 18:16:02

ความคิดเห็นที่ 15 ผมได้ถึง จ.ขอนแก่นประมาณสี่ทุ่ม แต่เนื่องจาก ขากลับ บังเอิญผมได้กลับมาพักที่ จ.ขอนแก่นอีกครั้ง (แต่คนละโรงแรมกัน)  ทำให้ได้มีโอกาสผ่าน จ.ชัยภูมิอีกครั้ง พอมีเวลา เลยขอแวะเก็บภาพ ปรางค์กู่ และวัดปรางค์กู่แบบชัดๆ ได้โดยไม่ต้องหาโอกาสหน้ามาแวะอีกครับ จุดแรกขอเริ่มที่ วงเวียนอนุสาวรีย์เจ้าพ่อพระยาแลอีกครั้ง ในแบบกลางวัน ต่อด้วยรูปถนนไปยังปรางค์กู่เส้นเล็กๆ ที่มีป้ายประชาสัมพันธ์งานปิดทองพระธาตุปรางค์กู่ ประจำปี 2554 ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 18:24:38

ความคิดเห็นที่ 16 มาถึงแล้วละครับ ปรางค์กู่ โบราณสถานประจำจังหวัดชัยภูมิ ที่อยู่ภายในตัวเมืองเลย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 18:26:10

ความคิดเห็นที่ 17 ผมเดินย้อนมาตรงสามแยก เพื่อเก็บภาพความสัมพันธ์ระหว่างวัดปรางกู่ กับปรางค์กู่ ว่าตั้งอยู่แบบใดกัน ด้วยภาพพานอรามา จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 18:27:57

ความคิดเห็นที่ 18 เข้าไปบันทึกภาพโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานใกล้ๆ หน่อย แม้จะไม่มีผลในปัจจุบัน แต่ก็ทำให้ทราบว่าในทุกปี ก็จะมีการจัดงานลักษณะนี้ตลอด น่าจะใกล้ๆ กับเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งผมเองก็ไม่เคยทราบมาก่อน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 18:30:02

ความคิดเห็นที่ 19 มาที่ป้ายชื่อ "ปรางค์กู่" โบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ กรมศิลปากร ตั้งแต่ปีพ.ศ.2497  แต่ทราบมาว่า เพิ่งจะมีการบูรณะให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เสร็จในปี พ.ศ.2542  (ถึงว่าซี ตอนที่ผมเคยมาในปี พ.ศ.2537 นั้น จึงไม่ทันสังเกตุว่ามีปรางค์กู่อยู่ตรงหน้าวัด ผมจำไม่ได้จริงๆ แม้กระทั่งทางเข้าวัด ยังคิดว่า ต้องเลี้ยวขวาก่อน แล้วต่อมาจึงจะเห็นวัดในด้านซ้ายมือ) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 18:35:19

ความคิดเห็นที่ 20 เดินผ่านป้ายเข้าไปละครับ เป็นสนามหญ้า ขอเดินลัดเข้าไปเลย พอดีเขากำลังมีการประดับตกแต่งแสงสีตอนกลางคืน กลางวันเลยดูรกตาไปหน่อย แต่ก็ได้สีสรรแตกต่างจากยามปกติที่ไม่มีการจัดงานใดๆ ซึ่งหาดูภาพได้จากในเน็ต เห็นปรางค์กู่ ทีแรกยังนึกว่าเป็นแค่เจดีย์ทรงเหลี่ยม เท่านั้น ไม่ใช่ครับ ภาพที่เห็นคือด้านหลังของพระปรางค์ครับ ทางเข้าอยู่ฝั่งตรงข้ามครับ นึกขำๆ ว่าคนสร้างเขาคงไม่ได้คำนึงถึงถนนที่เลี้ยวเข้ามาจากตัวเมืองกระมัง..ฮิฮิ เพราะ พระปรางค์นี้คงเกิดก่อนเมืองชัยภูมิมานับร้อยๆ ปี   ผมลองค้นดู พบประวัติเมืองชัยภูมิ ได้สร้างโดยพระยาแล ตั้งแต่ปี พ.ศ.2360 ในขณะที่ ตรวจพบข้อมูลทางโบราณคดีว่า ปรางค์กู่สร้างสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พ.ศ.1724-1763  โอ้โฮ..ห่างกันประมาณ 400 ปีเชียว.. (อ้อ... ในสมัยโน้น ไม่ได้นับปีแบบพ.ศ.นะครับ เพราะไทยเราเพิ่งจะนับแบบ พ.ศ.กันในสมัย รัชกาลที่ 6 คือ พ.ศ.2456 นี้เอง พูดง่ายๆ คือเริ่มใช้ก็นับเป็นพันแล้ว ไม่ได้นับหนึ่ง เหมือน ร.ศ. ที่นับจากก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ในปี พ.ศ.2325) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 18:49:34

ความคิดเห็นที่ 21 ตอนแรกผมเองก็ไม่คิดจะเดินเข้าไปข้างใน เลยลองส่องกล้องเอาจากนอกกำแพงแทน ได้เห็นหน้าบันสวยๆ ซุ้มประตูที่วางแยกไว้ข้างๆ องค์ประธานของพระปรางค์  ตอนแรกก็คิดว่าคงถอดเอาออกมาวางไว้ข้างๆ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่  เป็นอีกห้องหนึ่งแยกออกมาจาก องค์ประธานของพระปรางค์ เพียงแต่ ฝาผนังได้หายไปเกือบหมด เหลือแต่ผนังทางเข้าตรงประตูเท่านั้น แถมหันหน้าไปทางด้านหลังพระปรางค์อีก จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 18:53:25

ความคิดเห็นที่ 22 ตอนไปเดินถ่ายภาพปรางค์กู่นี่ ผมก็งงๆ ด้วยความไม่คุ้นเคย แต่หลังจากได้ภาพกลับมา และนำมาจัดเตรียมโพสกระทู้นี้ จึงพอจะสรุปได้ดังแผนผังข้างล่างนี้ครับ ว่ามีแบบแปลนการวางส่วนต่างๆของพระปรางค์อย่างไร คือจากทางเข้าด้านตะวันออก ตรงเข้ามาจะเป็นห้องยื่นออกไปจากแนวกำแพง มีหน้าต่างสองด้าน เมื่อผ่านเข้ามาห้องที่สอง จะมีประตูสองด้านซ้ายขวา ไปยังห้องด้านข้าง ซึ่งห้องด้านซ้ายผนังสูงทึบ ห้องด้านขวา ผนังสูงแค่ครึ่งเดียว เลยไปเป็นทางเดินมี แนวก้อนหินเตี้ยๆเรียงให้รู้ว่าเป็นทางเดิน ตรงไปยัง องค์ประธานพระปรางค์ตรงกลาง ซึ่งมี 2 ห้องอีกเช่นกัน ห้องแรกจะมีหน้าต่างด้านซ้าย ด้านขวาเป็นผนังทึบ  ห้องด้านในก็คือที่ประดิษฐานองค์พระธาตุ  (เป็นพระพุทธรูป ไม่ใช่พระธาตุเป็นชิ้นสีขาวขุ่นอย่างที่เข้าใจ) ไม่มีหน้าต่าง หลังคาสูงทึบ  อ้อ.. สำหรับทุกห้องที่กล่าวมาแล้ว ยกเว้นห้องด้านในนี้ จะไม่มีหลังคานะครับ เปิดโล่งรับแดดฝนกันเต็มที่ ในอดีตคงเคยมี และทำด้วยไม้ จึงพังทลายไปหมด เหมือนโบราณสถานแถวๆ จ.สุโขทัย และ จ.อยุธยา นั่นแหละครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 19:02:25

ความคิดเห็นที่ 23 เอ้า..งานนี้ถือว่าพาเที่ยวชมโบราณสถานแบบขอมกันหน่อย ตอนนี้เดินมาด้านข้างปรางค์กู่แล้ว เลยเก็บภาพองค์ประธานชัดๆ ไว้ดูกัน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 19:05:05

ความคิดเห็นที่ 24 จะถึงด้านหน้าแล้ว อ้าว...มีป้ายชื่อปรางค์กู่ แบบหินอ่อนด้วยหรือนี่ เข้าใจทำได้เข้ากับพระปรางค์พอสมควร จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 19:06:28

ความคิดเห็นที่ 25 เก็บภาพด้านหน้า ฝั่งซ้ายหน่อยครับ จะเห็นส่วนต่างๆของพระปรางค์ได้ค่อนข้างครบจากมุมนี้ครับ แล้วยังมีต้นตาลแถมมาให้เห็นด้วย รู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่า ต้นตาลชอบขึ้นใกล้ๆกับโบราณสถาน โดยเฉพาะพระปรางค์ต่างๆ เหมือนว่าคนสมัยก่อนชอบปลูกต้นตาล เพราะนอกจากจะใช้ประโยชน์ได้หลากหลายแล้วยัง ให้ความรู้สึกถึงอายุที่ยืนยาว ทั้งอายุของต้นตาลจริงที่อาจเป็นร้อยปี และความสูงของต้นด้วย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 19:10:51

ความคิดเห็นที่ 26 ตามไปเที่ยวด้วยค่ะ    อยากขับรถเส้นทางหนองบัวชัยภูมิมานานแล้ว   ไม่มีโอกาสสักทีเลย...  ห้าชั่วโมงเชียวหรือคะ   นั่งกันเมื่อยยยย... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 19:11:49

ความคิดเห็นที่ 27 ลองมาเก็บภาพด้านหน้าอีกฝั่งหน่อย ไว้เปรียบเทียบกัน จะเห็นว่าด้านนี้ โล่งๆ ตรงองค์ประธานกลาง ซึ่งตอนนี้ได้จัดวางเต็นท์ทำบุญไว้แทน   จึงพอสรุปได้ว่า องค์ประธานกลางของพระปรางค์นี้นิยมสร้างไว้ตรงกลางกำแพง แม้ว่าจะมีอาคารอื่นๆ ตั้งอยู่มากกว่าด้านในด้านหนึ่งก็ตาม จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 19:13:19

ความคิดเห็นที่ 28 สวัสดีครับ คุณป้าฟู: มิตรรักแฟนประจำของผม.. ได้แวะเข้ามาทักทายคนแรกเลย เปิดกระทู้มา 3 ชั่วโมงแล้ว..  คงดูธรรมะและโบราณไปหน่อย เลยไม่ค่อยมีคนสนใจกันนัก  แต่เพื่อเก็บไว้อ้างอิง อันจะเป็นประโยชน์ภายหลังก็ต้องลงให้ครบตอนละครับ  ขอบคุณที่ติดตามชมครับ มาต่อกัน ครับ  บริเวณด้านหน้าพระปรางค์ จะเห็นก้อนหินสีเข้มอยู่ในกรอบพลาสติค เป็นรอยจารึกของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา นะครับ ถัดไปทางเหนือ ก็จะเห็นป้ายรายละเอียด พระปรางค์แห่งนี้ตั้งอยู่ ถัดไปก็คือสระน้ำ ที่มักจะมีคู่กับ พระปรางค์ (ทำให้นึกถึง ปราสาทเขาพระวิหาร ที่ยังต้องมีสระตราว และสระน้ำบนโน้นไว้ใช้ด้วยเลยครับ) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 19:20:36

ความคิดเห็นที่ 29 รีวิวคุณมิราชชก็มีคนสนใจกันเยอะนะคะ    แต่ช่วงนี้คงติดภาระกิจยังไม่ว่างเข้ามาดู       ข้อมูลมีประโยชน์มากกกกค่ะ     อนาคตคงมีคนเข้ามาหาความรู้กันตรึม...   เราชอบอ่านของคุณ เพลิดเพลินและได้อาหารสมองด้วย... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 19:24:21

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณ คุณป้าฟูที่ให้กำลังใจครับ  พอดี เว็บพันทิปไม่มียอดคลิ๊กให้ทราบ ทำให้ไม่รู้ว่ามีคนเข้ามาดูเยอะหรือเปล่า จนกว่าจะมีคนโพสทักทาย หรือให้กิฟท์ครับ (สาเหตุที่ไม่มีคงกลัวว่าจะนำไปใช้ในการตลาด และการค้าได้) มาดูด้านหน้าพระปรางค์กันอีกที  ได้มีการจัดวางรูปปั้นต่างๆไว้ให้กราบไหว้ และป้ายข้อมูลไว้ให้ศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ด้วย  นับว่าเป็นการประยุกต์ให้ทันสมัย ที่โลกปัจจุบันนิยมเรื่องเหตุผลมากกว่าความเชื่อ แบบอยากจะทราบที่มาจริงๆ นอกจากความศักดิ์สิทธิ์ เท่านั้น จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 19:45:15

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณมากๆครับผม จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 19:55:21

ความคิดเห็นที่ 32 เริ่มจากแผ่นป้ายข้อมูล ประวัติของปรางค์กู่ อย่างละเอียด ซึ่งผมก็พยายามเก็บภาพให้พอที่เพื่อนๆ จะอ่านได้  สรุปได้ว่า เป็นโรงพยาบาลในสมัยโบราณ ในรูปแบบแพทย์แผนโบราณรักษาร่วมกับความเชื่อของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เวทย์มนต์ต่างๆอย่างที่เราเคยเห็นในการรักษาด้วยไสยศาสตร์ลี้ลับ อย่างที่แพทย์แผนปัจจุบันไม่ยอมรับนั่นแหละครับ   สร้างในสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ราวพ.ศ.1724 - 1763  โดยมี พระไภษัชยคุรุไวยทูรยประภา เป็นผู้ทำการรักษา ซึ่งแน่นอน คงไม่แค่รักษาด้านร่างกาย น่าจะครอบคลุมถึงเรื่องจิตใจ ในเชิงความเชื่อ เช่นทำนายทายทัก สะเดาะเคราะห์ เป็นต้น (ถ้าเป็นแผนปัจจุบันก็คือ จิตแพทย์ หรือ โหราศาสตร์) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 20:00:15

ความคิดเห็นที่ 33 สวัสดีครับ คุณdigimontamer : ไม่พลาดเช่นเคยครับ ขอบคุณเช่นกันที่ติดตามมาตลอด ครับ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้แวะเข้าไปชมกระทู้ของคนอื่นเลย ไม่มีเวลาครับ พระพุทธรูปองค์แรกคือ "พระธาตุปรางกู่"  เห็นทีแรกผมก็งงๆ ว่า พระธาตุไม่ใช่ชิ้นกระดูก หรือหินก้อนใสขุ่นๆ ที่นำมาบูชา กลายเป็นพระพุทธรูปแทน แปลกจริงๆ ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 20:06:23

ความคิดเห็นที่ 34 ขอข้ามมายังรูปปั้นองค์สุดท้ายเลย เพราะไม่รู้จักองค์อื่นๆ  องค์สุดท้ายนี้แหละเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจมากราบไหว้นมัสการเลย คือ รูปปั้นของ หลวงพ่อสุรนิต  อันเดียวกับที่เห็นในวิหารตอนกลางคืนเมื่อขามา(ในรูปคห.11) แอบรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ที่ช่างปั้นได้ไม่ค่อยเหมือนตัวจริงท่านนัก และน่าจะมีแว่นตาให้ด้วย เพราะปกติท่านจะสวมแว่นเป็นประจำ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 20:10:17

ความคิดเห็นที่ 35 ติดกันคือ แผ่นป้ายข้อมูลประวัติของหลวงพ่อ ครับ ท่านเกิดที่จ.กาฬสินธุ์ (ผมเพิ่งทราบเช่นกัน) มีข้อมูลเกี่ยวกับ การไปจำวัดของท่านที่ จ.พิจิตรน้อยมาก จนท่านมาจำวัดที่ จ.ชัยภูมิ ซึ่งทีแรกไม่ได้อยู่วัดปรางค์กู่ ต่อมาวัดได้ว่างเว้นเจ้าอาวาส ชาวหนองบัว จึงได้นิมนต์ท่านมาเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่นั้นมาจนมรณะภาพ ในปี พ.ศ.2541 ซึ่งช่วงนั้น ผม(และคุณแม่) ได้ย้ายบ้านมาอยู่กรุงเทพฯใหม่ๆ ไม่มีใครส่งข่าวให้ทราบ มารู้ทีหลังก็ล่วงเลยมานานแล้ว จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 20:18:35

ความคิดเห็นที่ 36 ถัดมาก็คือ ป้ายข้อมูลของปรางค์กู่ คาดว่าจะเป็นอันเดิม ที่อยู่ในสภาพเก่ามีรอยขูดขีด แถมยังตัวอักษรมีขนาดเล็ก อ่านยากพอสมควร  ต่างกับแผ่นป้ายใหญ่ ในคห.28 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 20:20:59

ความคิดเห็นที่ 37 เอาละ ถึงเวลาเข้าไปไหว้พระธาตุในปรางค์กู่กัน  ภาพนี้มองจากด้านหน้า ตามแนวประตูทั้ง 5 บาน (ข้างนอก 3 บาน ข้างใน 2 บาท)   อ้อ..คำว่าประตูนี้ ขอมเขาเรียกว่า "โคปุระ" ให้ความรู้สึกว่ามีคาน เอ๊ย..วงกบด้านบนของประตูใหญ่ๆ เป็นกรอบให้เราเดินลอดเลย.... จากภาพจะเห็นการประดับแถบผ้า ให้ดูเลอเลิศ เหมือนผู้หญิงที่แต่งหน้าให้สวยงามโดดเด่นขึ้นมาจากปกติ  อิอิ...บางคนอาจไม่ชอบ เพราะดูไม่เป็นธรรมชาตินัก  แต่เอาล่ะ..ปีหนึ่งมีสักครั้ง ก็ดูแปลกตาดี ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 20:25:33

ความคิดเห็นที่ 38 ภาพซ้าย : เดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย ทางผู้จัดปูพรมแดงให้เดินสบายๆ ไม่เจ็บเท้า เพราะต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าไป อันเป็นการให้ความเคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์โบราณ ภาพขวา : เดินผ่านประตู 3 บานแรกเข้าไปแล้ว ก็จะเห็นองค์ประธานตั้งเด่นสง่าอยู่ตรงหน้า ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 20:28:28

ความคิดเห็นที่ 39 เข้าไปใกล้อีกนิด ต้องแบ่งภาพในการบันทึก ภาพซ้าย : บานประตูข้างใน 2 บาน ก่อนจะถึงองค์พระธาตุข้างใน (ผมใช้เทคนิคปรับแสงโฟโต้ชอบช่วย มิฉะนั้นจะมองไม่เห็นข้างใน เพราะแสงข้างนอกสว่างมาก) ภาพขวา : แหงนดูซุ้มประตูข้างบน มีรูปแกะสลัก นิยมเรียกว่า ทับหลัง อยู่ด้วย แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็คงเอกลักษณ์ ความเป็นพระปรางค์ ของขอมไว้อย่างชัดเจน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 20:31:38

ความคิดเห็นที่ 40 เข้ามาในห้องด้านใน ขอเก็บภาพพระธาตุชัดๆ มาให้ชมกัน ครับ  จะสังเกตุเห็นคำบูชาด้วย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 20:33:53

ความคิดเห็นที่ 41 กราบนมัสการแล้ว ก็เก็บภาพต่อ ภาพซ้าย : แหงนขึ้นไปดูเพดานข้างบน มืดครับ ต้องใช้แฟลชช่วย ซึ่งส่องสว่างได้เท่าที่เห็น  เนื่องจากทรงสูง ทำให้รู้สึกเย็นสบายมาก แค่ก้าวเข้ามาพ้นประตูที่ไม่มีบานปิดเปิดเท่านั้น  อากาศข้างนอกตอนนั้นบอกได้ว่าร้อนมากๆ ครับ ภาพกลาง : หันกลับมาดูประตูทางเข้าด้านหน้า ซึ่งขอบประตูห้องในนั้นอยู่ใกล้ตัวผมมาก ไม่สามารถถ่ายภาพได้ ขอบวงกบประตูที่เห็นก็คือของห้องด้านหน้า ครับ แม้ห้องนี้จะไม่มีหลังคาแต่ก็มืดกว่าด้านนอกประตูมาก ภาพขวา : เงยกล้องขึ้นดูเพดานห้องด้านหน้า ยืนยันว่าเปิดโล่ง มีแค่หน้าบัน เหนือประตูเท่านั้น คาดว่าแต่ก่อนคงมีหลังคาทำด้วยไม้ เมื่อกาลเวลาผ่านไป จึงผุพัง และอาจโดนเผาทำลายในช่วงสงครามอันยาวนาน ไม่มีผู้มาบูรณะจึงเหลือเพียงก้อนหินที่กองซ้อนกันเป็นผนังห้องเท่านั้น จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 20:38:48

ความคิดเห็นที่ 42 เดินมาอยู่ห้องด้านหน้า ภาพซ้าย : หันไปทางซ้ายมือ อันเป็นด้านเหนือ จะเป็นผนังทึบสูงถึงเพดาน ภาพกลาง : หันไปทางขวามือ เป็นด้านใต้ จะเป็นช่องหน้าต่างเล็กๆ มองลอดออกไปเห็นซุ้มประตูของอาคารด้านข้าง ภาพขวา : เดินออกมาข้างนอก หันไปทางขวา ก็จะเห็นอาคารด้านข้างชัดๆ ว่าหลังคาหายไป ผนังด้านข้างก็พังลงมาเหลือแค่พอพยุงซุ้มประตูไว้ได้เท่านั้น จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 20:49:09

ความคิดเห็นที่ 43 ตรงทางเดินระหว่างองค์ประธานกับห้องด้านหน้าติดกำแพง มองไปทางเหนือก็จะเห็นเต้นท์ทำบุญ พระประจำวัน และ ตักบาตร 108 องค์ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 20:51:39

ความคิดเห็นที่ 44 เดินออกมาที่ห้องติดกำแพง (ห้องใน) ซึ่งมีประตู 4 ด้านเลย ภาพซ้าย: หันไปทางซ้าย คือด้านเหนือ จะเห็นประตูด้านนี้ เลยไปเป็นห้องเล็กๆ ที่มีผนังครึ่งเดียว ดูเรียบตรงอาจเป็นความตั้งใจสร้างให้เป็นแบบนี้ก็ได้ ภาพขวา:  หันไปทางขวามือ คือด้านใต้ เลยประตูด้านนี้ก็คือห้องเล็กๆ ที่มีผนังสูงทึบยันเพดาน (ที่ไม่มีในปัจจุบัน) ภาพกลาง : เดินออกมาอีกห้อง (ห้องด้านหน้าที่โผล่พ้นกำแพงมาครึ่งห้อง) จะเห็นประตูทางออก ครับ  บังเอิญผมไม่ได้หันไปเก็บภาพ หน้าต่างทั้งสองด้านของห้องนี้ เพราะดูจะถ่ายภาพเยอะเกินไป (เยอะจริงๆ) ให้ดูภาพใน คห.25 และ 27 ก็จะเห็นหน้าต่างทั้งสองด้านเช่นกัน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 20:56:47

ความคิดเห็นที่ 45 ตอนนี้ผมพาเพื่อนๆ ชมปราสาท เอ๊ย...พระปรางค์ เสร็จแล้ว (ดูแล้วทำให้นึกถึงปราสาทตาควาย หรือ ตาเมือนธม ที่มีขนาดเล็กเหมือนกัน) ก็จะพาไปรำลึกภาพในอดีต ที่วัดปรางค์กู่ ก่อนกลับบ้าน(วันที่ถ่ายภาพ ครั้งหลังนี้ เป็นวันกลับ และเป็นสถานที่สุดท้ายที่ได้เก็บภาพ ก่อนจะมืด..... และถึงกรุงเทพฯ ก็เที่ยงคืนไปแล้ว... เพราะรถมากจริงๆ ในคืนวันที่ 17 เมย.54) ภาพซ้าย : คือซุ้มประตูวัดปรางค์กู่ ด้านหน้าชัดๆ ครับ เหนือซุ้มมีรูปปั้นภาพนูนต่ำ พุทธประวัติด้วยครับ ภาพขวา : ป้ายชื่อวัดตรงกำแพงวัด  ภาพทั้งสองยืนถ่ายคนละจุด แล้วนำมาต่อกัน กำแพงไม่ได้สั้นอย่างที่เห็นในภาพนะครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 21:02:11

ความคิดเห็นที่ 46 เลยเดินมาเล็งมุมที่ คนทั่วไปจะเห็นเมื่อขับรถจะเข้าวัด  ถนนหน้าวัดแคบ เมื่อมาเจอประตูแคบๆ อีก ต้องตีวงเลี้ยวให้ดี เดี๋ยวจะเบียดประตูวัด สีประตูกับสีรถจะสลับกันได้...ฮา เดินเข้าไปใกล้ๆ เก็บภาพตัวอักษรบนประตูที่ระบุเวลาเปิด-ปิดวัดตามปกติ และเบอร์โทรในกรณีเข้ามาหลังเวลาดังกล่าว จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 21:05:36

ความคิดเห็นที่ 47 เมื่อก้าวผ่านประตูวัดเข้ามาก็จะเห็น อาคารและสิ่งต่างๆในวัดดังในรูปครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 21:09:07

ความคิดเห็นที่ 48 เพื่อความสะดวกในการระบุตำแหน่งที่ตั้ง ผมเลยนำภาพจาก กูเกิ้ลเอิร์ทมาให้ดูกัน (เทคโนโลยีปัจจุบันทำให้เรา มองหาสถานที่ต่างๆ ในโลกใบนี้ ให้เราลดความคิดถึงได้ด้วย) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 21:12:36

ความคิดเห็นที่ 49 เมื่อเดินเข้ามาในวัด เริ่มจากซ้ายมือเป็นกุฏิเจ้าอาวาส ภาพซ้าย : เป็นภาพด้านหลัง กับ ด้านข้าง ครับ สังเกตุให้ดี ว่าไม่มีห้องชั้นสองตรงมุมที่เห็นพอดี ภาพขวา : เป็นภาพด้านหน้าเฉียงๆ โดยมีป้าย "สำนักงาน เจ้าคณะตำบลในเมือง" อยู่ข้างหน้าด้วย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 21:16:54

ความคิดเห็นที่ 50 ภาพซ้าย : เดินมายังด้านหน้ากุฏิเจ้าอาวาส จะเห็นรูปปั้นพญานาคสีสรรสดใน หงอนประดับด้วยแก้วสีทอง คงความงามแม้จะผ่านมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ภาพขวาบน : เป็นหน้าจั่ว ซึ่งเคยพิมพ์ชื่อหลวงพ่อตามสมณศักดิ์ไว้ กลับมีสติคเกอร์ "กาลเวลาย่อมกินสรรพสิ่ง" ไว้เตือนใจแทน ดั่งที่ผมเคยถ่ายไว้เมื่อขามา ใน คห.10 โน้น ภาพขวาล่าง : ผนังด้านซ้ายหน้าประตูเข้า มีป้ายบันทึกรายนามผู้บริจาค ซึ่งได้เห็นรายชื่อหลวงพ่ออยู่เป็นอันดับแรก ท่านได้บริจาคทรัพย์ส่วนตัวที่ได้จากการถวายของญาติโยม ในการทำนายทางโหราศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่แค่กุฏิหลังเดียว  ยังมีสิ่งปลูกสร้างอีกหลายแห่ง  ท่านบวชตั้งแต่เด็ก จนมรณภาพในผ้าเหลือง ไม่เคยครองเพศฆราวาสเลยในชีวิตท่าน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 21:27:53

ความคิดเห็นที่ 51 นี่เป็นรูปของหลวงพ่อท่าน ที่ผมได้ถ่าย ณ.ห้องพระชั้นบนของกุฏิแห่งนี้  ครั้งนี้ ไหนๆ ก็มีโอกาสมาแล้ว จึงขอขึ้นไปชมอีกสักครั้ง แม้จะจำไม่ได้ว่าเป็นห้องด้านไหน  ผมถือรูปนี้เดินขึ้นบันไดไปเลย กลับไม่พบห้องพระแบบนี้อีกแล้ว กลายเป็นห้องพักของพระเณรที่มาร่วมงานปิดทองพระธาตุ เลยไม่ได้บันทึกภาพมาเปรียบเทียบ แทบไม่น่าเชื่อว่าผ่านมา 17 ปีแล้ว พอเห็นพรมสีชมพูในรูป ผมยังจำความรู้สึกวันนั้นได้เลย ตอนที่ท่านอนุญาตให้เข้าไปถ่ายภาพใกล้ๆ ตัวท่านได้ (ดังในรูปขวาบน คห.8) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 21:44:36

ความคิดเห็นที่ 52 ถอยออกมาห่างๆ เพื่อให้เห็น สิ่งต่างๆ โดยรอบ ภาพขวา : จะเห็นรูปปั้นพระแม่ธรณีบีบมวยผมตั้งอยู่กลางวงเวียน โดยมีวิหารอยู่ด้านหลัง โบสถ์อยู่ด้านขวามือครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 21:47:11

ความคิดเห็นที่ 53 ภาพซ้าย : เดินเข้าไปใกล้รูปปั้นพระแม่ธรณีฯ สนามหญ้าในวงเวียนดูโทรมพอสมควร ภาพขวา : วิหารสวย ที่ใช้ประดิษฐานรูปปั้นที่สำคัญ โดยเฉพาะของหลวงพ่อเองด้วย และยังเก็บโลงศพหลวงพ่อ(เปล่าๆ) อีกด้วย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 21:49:50

ความคิดเห็นที่ 54 ภาพซ้าย : ผมเดินผ่านหน้าโบสถ์ ข้ามมาอีกด้าน เพื่อเก็บภาพวงเวียนนักษัตรชัดๆ ครับ หันกลับไปมองด้านหน้าวัด เป็นภาพตรงกันข้าม ในคห.47 ภาพขวา : เดินเลยโบสถ์มาแล้ว ตรงหน้าวงเวียนนักษัตร จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 21:53:15

ความคิดเห็นที่ 55 นี่แหละครับ วงเวียนนักษัตรชัดๆ ในสภาพปัจจุบันที่ยังคงสภาพไว้ได้ ดูแล้วมีความสมบูรณ์แทบจะเหมือนเดิมเลยครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 21:54:43

ความคิดเห็นที่ 56 ลองเปรียบเทียบกับภาพเดิมที่ผมถ่ายไว้ในปี พ.ศ.2537 ซึ่งคราวนี้ผมพยามถ่ายภาพในมุมใกล้เคียงเพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของวงเวียนนักษัตรแห่งนี้ นอกจากหญ้าที่ขึ้นรก และแห้งไปหน่อย ก็เห็นมีความแตกต่างตรงสี ที่ทาลงบนรูปปั้นสัตว์ทั้งหมด ที่ไม่เหมือนเดิม คือปัจจุบันดูออกเหลืองๆ มากกว่าสมัยก่อนที่ออกจะน้ำตาลแดง ครับ วันนี้ขอพักกระทู้ไว้ก่อน เพราะดึกแล้ว ไว้พรุ่งนี้มาต่อกันให้จบครับ แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 54 22:03:03 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 22:00:59

ความคิดเห็นที่ 57 ที่ปรางค์กู่ตามปรกติจะไม่เอาผ้าไปพันไว้ใช่ไหมคะ... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 22:16:35

ความคิดเห็นที่ 58 ละเอียดลึกซึ้งเหมือนเดิม  ชอบครับ จากคุณ : tiger's nest เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 23:30:00

ความคิดเห็นที่ 59 เข้ามากราบพระด้วยค่ะ  สาธุ จากคุณ : สาวหน้าใส เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 54 23:59:33

ความคิดเห็นที่ 60 ก่อนอื่นต้องขอบคุณ คุณป้าฟู และ คุณ digimontamer ที่ได้อุทิศ กิฟท์ให้เป็นเกียรติแก่กระทู้ตอนนี้ครับ ขอตอบคุณป้าฟูครับ ปกติปรางค์กู่เขาจะปล่อยโล่งๆ ไว้ตามรูปข้างล่างนี้ครับ (จาก บล๊อก ชัยภูมิ แชท) http://chaiyaphum-chat.blogspot.com/2009/12/chaiyapoom-pagoda-ku.html สวัสดีครับ คุณtiger's nest : ยินดีที่ชอบครับ เคยทำละเอียดแล้วเลิกยาก เพราะระหว่างโพสนี้ ผมก็ได้ความรู้ และมันส์ในอารมณ์การบรรยายเหมือนกัน..ฮา สวัสดีครับ คุณสาวหน้าใส : เช่นกันครับ ขออนุโมทนาด้วยคน ถ้าหากมีโอกาสแวะไปแถวนั้น ก็ไปทำบุญ ไหว้พระ ที่ปรางค์กู่ หรือที่วัดก็ได้นะครับ เพราะทุกวันนี้ดูไม่เหมือนก่อนเลย คิดถึงหลวงพ่อจังเลย ถ้าหากท่านยังไม่มรณะภาพ จะเข้าไปกราบท่านแทนคุณแม่ที่ล่วงลับไปแล้วเลยครับ แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 54 01:27:45 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 01:26:10

ความคิดเห็นที่ 61 ชอบกระทู้นี้จังค่ะ ขอบคุณที่นำสิ่งที่หลายคนมักจะละเลยไปมาให้ชมนะคะ จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 02:29:18

ความคิดเห็นที่ 62 เมื่อก่อนตอนวัยมัธยมบ้านอยู่ใกล้ปรางค์กู่ค่ะ วันหยุดหิ้วตะกร้าไปทำบุญที่วัดเป็นประจำ ตอนที่ยังไม่รื้อบูรณะใหม่ ปรางค์องค์ที่เป็นทางเข้าที่มีต้นมะขามเฒ่า นั่นคือที่ปีนเล่นไล่จับของเราค่ะ ปีนขึ้นไปหมดทุกก้อนสูงแค่ไหนก็ปีนถึง เก็บดอกมะขามและมะขามอ่อนมาทำส้มตำกินกันตามประสาเด็กซน แต่องค์ปรางค์ประธานมีพระพุทธรูป มิบังอาจ แล้วก็ที่สำคัญเป็นที่ซุ่มอ่านหนังสือสอบจนมีการมีงานอยู่ทุกวันนี้ ช่วงเข้าพรรษาเราเคยไปช่วยวัดทำเทียนตกแต่งรถขบวนแห่เข้าประกวดด้วย ย้ายบ้านจากปรางค์กู่ไปนาน พอกลับมาเห็นปรางค์กู่ในปัจจุบัน น้ำตาแทบจะไหล มันไม่เหลือบรรยากาศเก่า ๆ เลย ไม่ใช่ที่ซ่องสุมเล่นกระโดดยางของเด็ก ๆ อีกแล้ว ต้นตาลสามต้นเรียงกันที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของคนโบราณให้มองเห็นแต่ไกลก็เหลือเพียงต้นเีดียว ไม่เหลือความเขียวครึ้มร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่เลย ดอกเฟื่องฟ้า ดอกลั่นทม ดอกว่านสี่ทิศที่ออกดอกเหลือเฟือไม่เหลือแล้ว ไม่มีเสียงนกร้องรอบปรางค์อีกแล้ว ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ เหมือนจะสมบูรณ์ขึ้นยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ขาดชีวิตชีวายังไงไม่รู้ จากคุณ : season_2u เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 11:00:01

ความคิดเห็นที่ 63 ตามมาชมต่อจากภาคแรกครับ  ^^ จากคุณ : สุดท้ายตรงไหน เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 14:53:45

ความคิดเห็นที่ 64 ตามมาชมครับ บรรยายภาพละเอียดดีจังเลย ขอบคุณครับ ปล.กิ๊ฟท์หมด ขออภัยครับ จากคุณ : ยุง บิน ชุม เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 15:26:48

ความคิดเห็นที่ 65 สวัสดีครับ คุณ cat_on_a_hot_tin_roof_ : ยินดีที่ชอบครับ สวัสดีครับ คุณ season_2u : ก็นี่แหละครับ "กาลเวลาย่อมกินสรรพสิ่ง" ตามสติ๊คเกอร์ที่ติดหน้าจั่วกุฏิเจ้าอาวาสในรูป คห.50  ตรงพระปรางค์ ที่ต้องเปลี่ยนแปลง คงเป็นเพราะกรมศิลปากรได้เข้าบูรณะ ในช่วงปี พ.ศ.2540 - 2542 นั่นเองครับ ไม่งั้น ต้นไม้ หรือ กองเศษวัสดุต่างๆที่รก อาจทำลาย พระปรางค์ได้ และด้วยเหตุผลในเรื่องการท่องเที่ยวด้วย ที่ต้องจัดทำให้ดูเป็นระเบียบครับ สวัสดีครับ คุณ สุดท้ายตรงไหน : ยังไม่จบ เชิญติดตามต่อได้เลยครับ ข้ามมาอีกฝั่งของถนนในวัด ก็คือ หอระฆังและหอกลอง เท่าที่จำได้ว่า ตอนปี พ.ศ.2537 ยังไม่มีการสร้างขึ้นมา สภาพจึงดูใหม่มากครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 15:37:41

ความคิดเห็นที่ 66 สวัสดีครับ คุณยุง บิน ชุม : ด้วยความยินดี ครับ ไม่เป็นไรขอให้แวะทักทายบ้างก็รู้สึกขอบคุณแล้วครับ ถัดมา ทางหน้าวัด ก็คือ องค์พระใหญ่กลางแจ้ง ที่ผมถ่ายมาแล้วเมื่อขามาตอนกลางคืนโน้น (คห.12) ตอนกลางวันดูสีสดสวยดี  แม้จะย้อนแสงไปหน่อยนะครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 15:40:31

ความคิดเห็นที่ 67 ภาพซ้าย : ลองหามุมอื่นถ่ายดูบ้าง เอาด้านข้างนี่แหละครับ แปลกตาดี เพราะจะได้เห็นด้านหลังองค์พระไปในตัว   สังเกตุให้ดีว่าจะยังคงมีฉัตรทอง อยู่เหนือเศียรพระเช่นเดิมนะครับ (ภาพที่แล้ว มองไม่เห็น เพราะแสงแดดแยงตา จ้ามากๆ) ภาพขวา : เห็นป้ายข้อมูลใต้ฐานพระ จึงเข้าไปเก็บภาพใกล้ๆ เผื่อจะได้มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติม  ก็คือ ชื่อองค์พระ "พระพุทธมงคล ชัยสาร" สร้างเมื่อ พ.ศ.2535  ทำให้ตอนที่ผมมาคราวนั้น ปี พ.ศ.2537 จึงได้เห็นองค์พระนี้แล้ว จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 15:45:09

ความคิดเห็นที่ 68 ก่อนจะกลับออกจากวัด ผมได้เหลือบเห็นรูปถ่ายในอัลบั้มว่ายังคงมีอีกภาพที่ยังค้นหาว่าอยู่ที่ไหนไม่เจอ ครับ  ทีแรกก็คิดว่าเป็นห้องพระ เหมือนในรูป คห.51 ข้างบน  แต่ดูอีกทีไม่ใช่ เลยต้องค้นหากันหน่อยว่าอยู่ที่ไหน  พระเณรแถวๆ นั้นก็ไม่มี (คงไปร่วมงานปิดทองที่ปรางค์กู่กันหมดแล้ว) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 15:48:25

ความคิดเห็นที่ 69 ผมไปเก็บภาพมาหลายแห่ง นึกขึ้นได้ยังขาดอีกที่ คือ โบสถ์ ครับ  คือเก็บภาพแต่ข้างนอก ข้างในไม่ได้เก็บ แต่ใจคิดว่าโบสถ์อาจปิดอยู่  แต่เอาละ ลองไปเดินเก็บภาพรอบๆ โบสถ์ดูก็ดีครับ ภาพข้างล่างมองจากถนนกลางวัด ซึ่งเป็นด้านหลังของโบสถ์  (สาเหตุที่ไม่ตั้งให้หน้าโบสถ์ออกถนน อาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับทิศ การสร้าง ซึ่งนิยมให้ทิศตะวันออกเป็นหน้าโบสถ์ ถนนอยู่ทางทิศตะวันตก ก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ ให้สังเกตุว่ามีสองประตู (อันนี้ไม่แปลก) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 15:52:21

ความคิดเห็นที่ 70 คราวนี้เดินอ้อมมาอีกด้านของโบสถ์ ซึ่งเป็นด้านหน้า  เดินออกไปมองจากนอกรั้วกำแพงโบสถ์เข้ามา และ เดินกลับเข้ามามองออกไปอีกที จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 15:54:47

ความคิดเห็นที่ 71 มาถึงหน้าประตูโบสถ์ ปิดล๊อค ครับ แต่ด้วยความพยายามอยากจะเห็นว่าข้างในโบสถ์เป็นอย่างไร เลยดันประตูเข้าไปเล็กน้อย พอมีช่องว่างให้สอดกล้องเข้าไปท่ามกลางความมืดมิดภายในโบสถ์ ใช้แฟลชยิงเพื่อบันทึกภาพให้ได้ ผลคือ ได้ภาพออกมาอย่างที่เห็นในภาพขวาครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 15:56:53

ความคิดเห็นที่ 72 ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับภาพหลวงพ่อ ในคห.68 จึงคาดว่า ท่านน่าจะถ่ายในโบสถ์แห่งนี้จริงๆ ครับ  แหม..ผมเกือบลืมไป ว่าในตอนนั้น หลวงพ่อท่านได้พาเดินชมวัด เลยมาถึงโบสถ์  นี่ขนาดผมเป็นคนถ่ายภาพเองยังลืมไปสนิทเลยครับ กาลเวลากลืนกินสิ่งต่างๆ ได้จริงๆ แม้จะเป็นความทรงจำของเรา  แต่ภาพถ่ายที่บันทึกนี่สิ ยังคงอยู่ได้นานกว่า  ถึงมีคนเคยพูดว่า "ภาพถ่ายสามารถหยุดกาลเวลาได้"  อันนี้ในความเป็นจริงก็ไม่สามารถหยุดได้ เพราะต้องเสื่อมชำรุด ตามกาลเวลา แต่ก็มักจะนานกว่าสิ่งของที่บันทึกอยู่ในภาพถ่ายเสมอๆ อย่างน้อยก็สภาพดั้งเดิม ตอนแรกๆ ที่สร้าง ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 16:01:14

ความคิดเห็นที่ 73 หลังจากนั้น ก็ส่ายกล้องเก็บภาพภายในโบสถ์ แบบที่ไม่สามารถเล็งกล้องด้วยตาได้ (ใช้มือถือกล้องสอดเข้าไปในโบสถ์แบบมืดๆ สุ่มถ่ายไปเรื่อยๆครับ) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 16:02:58

ความคิดเห็นที่ 74 ก่อนจะกลับ ผมขอนำภาพถ่ายในอดีตและปัจจุบันมาเปรียบเทียบ(เชิงซ้อน) เพื่อดูความแตกต่าง คล้ายๆ กับเกมส์ Photo Hunt (จับผิดภาพ) ในตู้เกมส์นั่นแหละครับ ซึ่งภาพแรก ก็คือ บริเวณหน้ากุฏิเจ้าอาวาส ซึ่งพบสิ่งแตกต่างหลักๆ 6 อย่างคือ ป้ายชื่อบนหน้าจั่วที่เลือนหายไป, ระย้าที่ห้อยลงมาจากหน้าจั่วมีขนาดเล็กลงมาก, โคมไฟเพดานได้กลายเป็นพัดลมไป, ป้ายเล็กๆ ตรงซุ้มต้นไม้ ที่ผมนั่งในอดีตได้หายไป, คานไม้รองรับซุ้มต้นไม้เหนือเสา ตรงที่ผมนั่งได้หายไป และ เก้าอี้นั่งด้านหน้าพร้อมต้นไม้ ได้หายไป กลายเป็นที่โล่งแทนครับ เพื่อนๆ อาจจะเห็นความแตกต่างได้มากกว่า นี้ เป็นเพราะกาลเวลาเป็นเหตุครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 16:08:36

ความคิดเห็นที่ 75 ภาพนี้ เป็นลานกว้าง ระหว่างกุฏิเจ้าอาวาสกับ โบสถ์  นอกจากต้นไม้ใหญ่ ที่โตขึ้นมาบัง วิหารด้านหลัง รูปปั้น พระแม่ธรณีฯ แล้วยังมีสองจุดหลักๆ คือ กระถางขาวๆ ได้หายไป  กับมีการสร้างหลังคาจอดรถชั่วคราวขึ้นมาด้านข้างโบสถ์ ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 16:11:09

ความคิดเห็นที่ 76 ภาพต่อมา เป็นด้านหน้าวิหารครับ  นอกจากความเก่า ของนาคบนราวบันไดแล้วยังมีความแตกต่างอยู่ 3 จุดครับ คือ ประตูหน้าวิหารตรงบันได ได้สร้างเพิ่มมา, ผิวด้านหน้าราวบันได ได้มีการปูกระเบื้องสีแดงเพิ่มเข้าไป และ กระถางด้านข้างราวบันได ได้หายไป ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 16:14:26

ความคิดเห็นที่ 77 นี่เป็นภาพตรง วงเวียนนักษัตร ที่เป็นของคุณแม่ผม คือ มะโรงงูใหญ่ หรือพญานาค ครับ มี 5 จุดที่แตกต่างกัน คือ ตัวอักษรอธิบายปีมะโรงกับชื่อผู้บริจาคสร้างได้เลือนหายไป, ต้นไม้ที่เคยเล็กๆ ก็ได้เติบโตใหญ่จนต้องมีการตัดปลายออกเหลือแต่โคนให้เห็น, มีการนำพระพุทธรูปมาวางไว้รอบๆ โคนต้นไม้กลางวงเวียน, ต้นหญ้าในวงเวียนที่หายไป เหลือแต่ดินโล่งๆ และ สีที่โคมไฟรอบๆ วงเวียนได้เปลี่ยนมาเป็นสีขาวแทน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 16:18:53

ความคิดเห็นที่ 78 นี่เป็นภาพใกล้ๆ กับภาพเมื่อกี้ (คห.77) ที่วงเวียนนักษัตร แต่ตอนนี้เป็นปีของผม คือ มะเส็งงูเล็กครับ  ตอนนั้นถ่ายคู่กับหลวงพ่อ นั่งลงไม่ทัน เลยออกมาท่าก้มๆ หน่อย เพราะผมสูงกว่าหลวงพ่อเล็กน้อย แหมภาพนี้ งูดันมาตรงหัวผมพอดี อาจทำให้ใครๆ คิดว่า ผมเป็นเฒ่าหัวงูได้...ฮา แต่ถึงอย่างไรภาพนี้ก็ได้ยืนยันเรื่องการสร้างหอระฆัง-หอกลอง ได้เป็นอย่างดีว่า ในตอนปี พ.ศ.2537 ยังไม่มีการสร้าง จึงได้มองเห็น ศาลาการเปรียญได้เต็มๆ ไม่มีอะไรบัง สิ่งที่แตกต่างก็มี 5 จุดคือ หอระฆัง-กลองที่เพิ่มเข้ามา, ป้ายข้อมูลปีมะเส็ง, โคมไฟในวงเวียนที่ เดิมมีต้นละ 4 หลอด ได้เหลือ หลอดเดียว (คงแตกชำรุดไปนั่นเอง) พร้อมสีที่เปลี่ยนเป็นสีขาว และ ต้นไม้ที่เติบโตขึ้นมาอีก 2 จุด ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 16:25:08

ความคิดเห็นที่ 79 มาจนถึง Photo Hunt ภาพสุดท้ายที่ หน้าองค์พระใหญ่กลางแจ้ง ครับ มีแตกต่างอยู่ 5 จุด คือ ประตูเหล็กด้านหน้าได้หายไป, โคมไฟสี่เสา ได้ลดจำนวนหลอดลงเหลือเสาละหลอดเดียวจากเดิมมี เป็นพวงโดยรอบ, กระถางบัวสองใบด้านหน้าฐานองค์พระได้เพิ่มเข้ามา, สีที่ฐานสิงห์ด้านหน้ากลายเป็นสีขาว และ สีหลังคาศาลาการเปรียญได้เปลี่ยนจากสี เขียวเก่าๆ กลายเป็นสีแดงอิฐไปทั้งหลัง  โดยทั้งนี้ องค์พระได้ทาสีทองสดใหม่กว่าเดิมอีก จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 16:32:48

ความคิดเห็นที่ 80 ถึงเวลากลับละครับ วัดปรางค์กู่  เวลาสี่โมงเย็นครึ่งแล้ว เต็มอิ่มกันมากพอให้หายคิดถึง ผมต้องรีบกลับละ เพราะในวันนั้นต้องกลับกรุงเทพฯด้วย เก็บภาพซุ้มประตูวัดด้านหลัง มาให้ดูกัน เป็นภาพพุทธประวัติ  สังเกตุให้ดีว่า หน้าตักพระจะเอียงๆ ไม่รู้ว่าประติมากรผู้สร้างสรร จะจงใจให้เป็นหรือ เป็นความผิดพลาดกันแน่ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 16:37:39

ความคิดเห็นที่ 81 นี่เป็นภาพสุดท้ายของกระทู้ตอนนี้ ซึ่งก่อนจะไปจากวัด ได้หันกลับไปเก็บภาพถนนหน้าวัดอีกครั้ง ครับ  ตอนนี้จำได้ดีแล้วครับ "วัดปรางค์กู่" แห่ง จ.ชัยภูมิ ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 16:41:50

ความคิดเห็นที่ 82 ขอบคุณครับ จากคุณ : คนมีแฟนขับ (chun_cx) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 17:09:34

ความคิดเห็นที่ 83 อ่านกระทู้ของคุณมิราชช แล้วเพลินดีครับ รู้สึกสนุกไปด้วย  ดูแล้วได้เห็น หลาย ๆ  มุม เลย  เหมือนได้รู้จักแต่ละจัีงหวัดมากขึ้นไปด้วยเลยครับ  ^ จากคุณ : สุดท้ายตรงไหน เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 18:29:43

ความคิดเห็นที่ 84 สนุกดีครับ  ขอบคุณที่พาไปเที่ยวครับ จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 19:13:37

ความคิดเห็นที่ 85 สวัสดีครับ คุณสุดท้ายตรงไหน : ยินดีที่ชอบครับ ผมก็ร่ายยาวไปตามลำดับการเดินทาง นะครับ ระหว่างทางสงสัยตรงไหนก็ค้นหาจากกูเกิ้ลตรงนั้นเลย (หมายถึงขณะที่โพสเรื่องนั้นๆ อยู่ที่หน้าจอ)  ก็เลยได้สาระ และมุมมองหลายด้าน เพื่อเป็นหลักฐานในอนาคต ของสถานที่แห่งนั้นได้ด้วยครับ สวัสดีครับ คุณคนมีแฟนขับ (chun_cx) และคุณเล็กทาโร่  : ขอบคุณเช่นกันครับ คอยติดตามตอนต่อไปนะครับ เป็นที่ช่วงขอนแก่น - คำชะโนด ที่เคยมีข่าวเรื่อง "ผีจ้างหนัง" ในอดีต  คราวนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ตะลุยเข้าไปสู่ใจกลางป่าต้นคำชะโนดเลย ไปสัมผัสกันใกล้ๆ ชนิดที่เรียกว่า ไม่มืดไม่ออกมา..ฮา คอยติดตามชมในสัปดาห์หน้าครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 54 21:08:50

ความคิดเห็นที่ 86 คราวนี้มาไม่ทัน ตลาดวายซะแล้ว แล้วกิฟท์ก็หมดแล้วด้วย ขอติดไว้ก่อนนะคะ คุณมิราชชเปิดเผยอายุในกระทู้นี้ซะแล้ว อิ อิ รายละเอียดเยอะมากจริงๆ ทุกซอกทุกมุมเลยค่ะ เยี่ยมมากๆๆๆๆ เวลาดูภาพเก่าๆที่บุคคลที่รักในภาพเสียไปแล้ว รู้สึกใจหายยังไงไม่รู้นะคะ จากคุณ : เด็กอุดมเดช เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 54 14:25:25

ความคิดเห็นที่ 87 สวัสดีครับ คุณเด็กอุมเดช : ไม่เป็นไร เดี๋ยวคอยติดตามตอนหน้าก็แล้วกันครับ ไม่รู้ว่าสัปดาห์หน้า จะเสร็จทันหรือเปล่า เพราะวันหยุดมากจริงๆ ไม่เป็นไรครับเรื่องอายุ  เพราะอายุเป็นเพียงตัวเลข...ฮา ใจที่สู้ต่างหาก ทำให้ลุยได้ไม่แพ้ตอนหนุ่มๆ  แต่พอกลับมาต้องรู้สึกปวดขา ปวดเท้า นานเกือบสัปดาห์ ทั้งๆ ที่วิ่งทุกสัปดาห์เป็นประจำ ใช่ครับ ภาพเก่าๆ ที่มีคนที่รักเราอยู่ นั้นทำให้เราได้คิดว่า ไม่มีอะไรแน่นอน "กาลเวลาย่อมกินสรรพสิ่ง"  แต่ถ้าคิดในแง่ดี ก็คือจะได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม ไงครับ ขอบคุณทุกๆ ท่านด้วยนะครับที่ติดตามมาจนถึงท้ายกระทู้ตอนนี้ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : วันแรงงาน 54 00:40:11

ความคิดเห็นที่ 88 วันนี้ เอ๊ย..เมื่อวานนี้มาต่อกันในตอนที่ 3 แล้วนะครับ พาไปขอนแก่นยันคำชะโนด เลย ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้นะครับ http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10547216/E10547216.html ต้องขอโทษที่ต้องให้รอนานไปหน่อย เพราะสัปดาห์ที่แล้ว วันหยุดเยอะไม่มีเวลาทำ (เพราะต้องทำที่ ที่ทำงาน เพราะไฟล์ภาพโหลดจากกล้องลงที่เครื่องคอมพ์ที่นั่น อีกทั้งข้อมูลประกอบก็อยู่ในคอมพ์ที่นั่นด้วย  สำหรับการโพสที่บ้านอย่างตอนนี้ จะโพสถามตอบเล็กน้อยได้เท่านั้น ครับ) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 54 23:28:50

ความคิดเห็นที่ 89 เส้นทางจากนครสวรรค์ไปชัยภูมินั้น เวลาขับรถผ่านจริงๆ ใช้เวลาค่อนข้างนานทีเดียวครับ เพราะไต่ข้ามเขาพังเหย ลงสู่ อ.บ้านเขว้า เข้าตัวจังหวัดชัยภูมิ ผมชอบใจคำที่เขียนว่า "กาลเวลาย่อมกินสรรพสิ่ง" จริงๆ จากคุณ : owl2 เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 23:00:43