|
India (New Delhi, Jaipur, Jodhpur, Udaipur, Agra)
|
|
**อัลบั้มนี้ภาพไม่ค่อยชัดนะครับเพราะกล้องหาย จึงดึงภาพออกจากกล้องวีดีโอและกล้องจากมือถือมาใช้ เฮ้อ ๆ ๆ ๆ **
“อินเดีย” ถือได้ว่าเป็น “รักแรก” ของผมตั้งแต่ยังไม่เคยเห็นห น้ากันมาก่อนด้วยซ้ำ จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ กำลังดูสารคดีแล้วจู่ ๆ ก็มีภาพ ทัชมาฮาล โผล่มาออกมา มันเหมือนมีมนต์สะกด ผมจ้องมองด้วยสายตาเปล่งประกายและมุ่งมั่นตั้งแต่นั้นมาว่า สักวันเราต้องไปให้เห็นกับตาของตัวเองให้ได้ ... แล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ผมจะตามหาความรักครั้งแรกของผม
22 – 27 กรกฎาคม 2554 คือกำหนดการเดินทางครั้งนี้ เมื่อมาเทียบกับเพื่อนๆชาวต่างชาติ ชาวยุโรป ที่ไปเจอที่นั่น ถือได้ว่าน้อยมาก เพราะพวกเค้าใช้เวลาไม่ต่ำกว่าเป็นเดือน ๆ เพื่อจะได้สัมผัสกับอินเดียอย่างเต็มที่ เอาล่ะ ในเมื่อเรามีเวลาน้อย ก็ขอใช้สอยเวลาที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าก็แล้วกัน…
New Delhi, Jaipur, Jodhpur, Udaipur, Agra คือเมืองต่างๆที่ได้ไปเยือน สำหรับทริปอินเดียในครั้งนี้ กลิ่นอายของความหอมเครื่องเทศที่กระทบจมูก ความเป็นธรรมชาติของวัฒนธรรมท้องถิ่น และความมีน้ำใจของผู้คน โดยเฉพาะนอกเมือง ยังคงอบอวลเหมือนเสน่ห์ที่ต้องมนต์ขลังให้เราพลอยอมยิ้มทุกครั้งที่นึกถึง ภาพความทรงจำที่เด็ก ๆ วิ่งมาโพสต์ท่าให้ถ่ายรูปอย่างไม่เขินอาย ชาวบ้านที่เข้ามาจับมือทักทายแม้จะไม่เคยพบปะกันมาก่อน แต่เราก็สัมผัสได้ถึงมิตรภาพอันอบอุ่นที่เขาเหล่านั้นมอบให้ มันช่างน่าประทับใจและควรค่าแก่การจดจำยิ่งนัก ถ้าจะเปรียบอินเดียเป็นอาหารซักจาน มันก็คงเป็นอาหารที่กึ่งสุก กึ่งดิบ คนที่รวยก็รวยสุดโต่ง คนที่ยากจนข้นแค้น ต่างก็เดินปะปนอยู่มากมายบนท้องถนน มันเป็นความแตกต่างที่น่าสลดใจเสมอ เวลาเห็นคนขอทานเดินมาขอเศษเงิน... ทัชมาฮาลสวยสมคำเล่าลือ ผมใช้เวลานั่งมองแทบไม่ละสายตากว่าเป็นชั่วโมง ทึ่งในความงดงามและอัศจรรย์ใจยิ่งนักเมื่อได้มาเห็นกับตาของตัวเอง ถ้าเปรียบนครสีชมพูของเมือง Jaipur เป็นหญิงสาวที่อ่อนช้อยแล้ว เมือง Jodhpur เมืองแห่งสีฟ้าที่มีบ้านเรือนทาสีฟ้าอย่างสวยงาม ก็คงเป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่นเช่นกัน ส่วนเมือง Udaipur ที่มีพระราชวังซิตี้พาเลส ท่ามกลางทะเลสาปปิโซโล่ ก็งดงามจับใจ แถมยังได้ชมการแสดงระบำท้องถิ่นแบบอินเดียที่มีชื่อว่า Dharohar Performance ที่ พิพิธภัณฑ์บากอร์กีฮาเวลี ทำให้ค่ำคืนนั้นเติมเต็มไปด้วยความสุขอย่างแท้จริง .... ด้านความทันสมัยที่ก้าวหน้าของเมืองนิวเดลลี ที่มีทั้งรถไฟฟ้า การคมนาคมที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น แต่การไปไหนมาไหนต้องผ่านการตรวจอาวุธตลอดเวลาที่เดินท างไปยังสถานีรถไฟฟ้า, สถานีรถไฟ เรียกได้ว่า วัน ๆ ผมผ่านการลูป ๆ คลำ ๆ มาหลายครั้งต่อหลายครั้ง -*- แต่ก็นะ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน แม้จะต้องต่อแถวยาวแค่ไหน และเมื่อผ่านการตรวจแล้วกระเป๋ายังต้องผ่านการสแกนอีก ก็คงต้องปล่อยๆกันไป ปรับตัวและทำความเข้าใจ จะได้ไม่มีปัญหา...แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่วาย โดนล้วงกระเป๋าที่สถานีรถไฟฟ้านิวเดลลีจนได้ กล้องถ่ายรูปที่ถอยมาใหม่และผ่านการบันทึกภาพและความทรงจำตลอดเวลา 5-6 วันที่เดินทางมา หายวับไปในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ แรกๆก็โมโหและโกรธมาก ๆ แต่ตอนหลังๆก็เริ่มเข้าใจในสัจธรรมว่า มันก็เท่านี้แหละชีวิต อย่าไปคาดหวังอะไรว่าของๆเรามันจะอยู่กับเราตลอดเวลา ปรับตัว ปรับใจ และยอมรับกับมัน น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า... ปกติแล้วผมเป็นคนใจเย็นในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเจอตุ๊ก ๆ จอมตื้อ พ่อค้าแม่ค้า ที่คอยยัดเยียดขายของแบบประชิดตัว บางครั้ง เราก็ต้องทำเสียงแข็งและท่าทีไม่สนใจ เพื่อตัดความรำคาญออกไป คำพูดที่เปล่งออกมาบ่อยมาก จนแทบจะเป็นคำพูดประจำตัวไปแล้วคือ “No, Thank You” แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว...
ถ้ามีโอกาส ก็คงต้องกลับมาอีก ไม่รู้สินะ อินเดีย เป็นมากกว่าเมืองท่องเที่ยว แต่เป็นเหมือนที่พักพิงทางใจให้เราเดินช้าลง ใช้สติ ความคิดมากขึ้น การเดินทางมาอินเดียครั้งนี้ จึงเป็นเสมือนบทเรียนอีกบทหนึ่งให้เราก้าวสู่บทต่อๆไปของชีวิต … สัญญาว่าจะกลับมาเยือนอีกครั้ง… เชื่อสิ !!!
หนุ่ม
จากคุณ |
:
khundanait
|
เขียนเมื่อ |
:
8 ส.ค. 54 18:57:34
|
|
|
| |