ความคิดเห็นที่ 1 จากคราวที่แล้ว เราเดินทางโดยเครื่องบินระยะทาง 1,300 กิโลเมตร กลับมาอิสตันบูล จุดหมายสุดท้ายของทริปนี้ จากเครื่องบินเริ่มเห็นมัสยิดสไตล์ออตโตมันซึ่งกระจายอยู่ทั่วไป นครอิสตันบูลเป็นเมืองเก่าแก่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากตั้งแต่ยุคโรมัน จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 โปรดให้สร้างเมืองใหม่นี้บนทำเลที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการค้าและการทหารและขนานนามว่าคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งแปลว่านครแห่งคอนสแตนติน หลังจากที่อาณาจักรโรมันแผ่ขยายอาณาเขตไปกว้างใหญ่ไพศาล จนยากที่จะดูแลได้ทั่วถึงจักรพรรดิโรมันจึงแบ่งจักรวรรดิโรมันออกเป็นสองส่วนคือโรมันตะวันตกมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรมตามเดิม และโรมันตะวันออกมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ต่อมาภายหลังอาณาจักรโรมันตะวันตกอ่อนแอและเสื่อมสลายลงจากการรุกรานของพวกอนารยชน เหลือแต่เพียงอาณาจักรโรมันตะวันออกซึ่งได้รับชื่อใหม่เป็นจักรวรรดิไบแซนไทน์ โดยรับเอาวัฒนธรรมกรีกและภาษากรีกเป็นของตน มีศาสนาคริสต์นิกายกรีกออร์โทดอกซ์ (Greek Orthodox) เป็นศาสนาประจำชาติ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:16:42

ความคิดเห็นที่ 2 อาณาจักรไบแซนไทน์อยู่ติดกับดินแดนของพวกอาหรับและเติร์กที่นับถือศาสนาอิสลาม จึงต้องทำสงครามศาสนาอยู่เนือง ๆ โดยเฉพาะสงครามครูเสด วัฒนธรรมไบแซนไทน์ได้ซึบซับเข้าไปในวัฒนธรรมอิสลามโดยเฉพาะสถาปัตยกรรม โดมของโบสถ์ฮาเกียโซเฟียเป็นต้นแบบของการสร้างโดมในมัสยิดจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของอิสลาม เราเริ่มต้นจากจัตุรัสกลางเมืองชื่อว่าจัตุรัสสุลต่านอาเหม็ด (Sultanahmet Square) ซึ่งเป็นสวนสาธารณะ รอบบริเวณนี้เต็มไปด้วยอาคารสำคัญของอิสตันบูล รวมทั้งโรงแรมที่พัก ร้านอาหารสำหรับนักท่องเที่ยวมากมาย จัตุรัสนี้ถูกขนาบด้วยวิหารฮาเกียโซเฟียและมัสยิดสีน้ำเงินที่ตั้งประจัญหน้ากัน อวดถึงความยิ่งใหญ่ จนทำให้สวนสาธารณะตรงกลางเล็กกระจ้อยร้อยไปเลยทีเดียว จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:18:03

ความคิดเห็นที่ 3 ฝั่งด้านตะวันออกจากจัตุรัสคือโบสถ์เซนต์โซเฟีย มีชื่อเรียกแบบกรีกว่าฮาเกียโซเฟีย (Haghia Sophia) อิสลามเรียกว่าอายาโซเฟีย (Aya Sofya) ซึ่งแปลตรงตัวว่า Holy Wisdom หรือพระปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคกลาง มีอายุเก่าแก่กว่า 1,500 ปี เป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปะยุคไบแซนไทน์ เดิมเป็นโบสถ์คริสต์ แต่หลังจากพวกออตโตมันยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้จึงเปลี่ยนโบสถ์คริสต์ให้เป็นมัสยิดอิสลาม จนเมื่อประเทศตุรกีถือกำเนิดภายใต้ข้อกำหนดว่าเป็นรัฐที่ไม่มีขีดจำกัดทางศาสนา (secular state) รัฐบาลจึงได้เปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อทุกคนจะได้มีโอกาสชมความมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่อย่างไร้ข้อจำกัดทางศาสนา จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:19:06

ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อผ่านประตู Imperial Gate ที่มีขนาดใหญ่ วิวที่เห็นทำให้ทุกคนตะลึงงันถึงความใหญ่โตมโหฬารที่อยู่ด้านหลังประตูตรงหน้า ซึ่งงดงามไปด้วยกระเบื้องโมเสกสีทอง จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:19:41

ความคิดเห็นที่ 5 เหนือประตูทางเข้าจะพบภาพโมเสกภาพแรก ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะแบบไบแซนไทน์เลยทีเดียว ถึงเวลาผ่านไปเป็นพันปี แต่ภาพโมเสกเหล่านี้ก็ยังมีสีสันสวยสดงดงาม ไม่เหมือนภาพวาดที่สีซีดจางหายไปตามเวลา จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:20:07

ความคิดเห็นที่ 6 จักรพรรดิจัสติเนียนแห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ทรงโปรดให้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟียนี้ขึ้นใหม่แทนที่โบสถ์หลังเดิมที่ถูกไฟไหม้ สร้างเสร็จในราวปี ค.ศ.537 ใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี 10 เดือน นับว่าเป็นโบสถ์คริสต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมายาวนานกว่าพันปี จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:20:51

ความคิดเห็นที่ 7 ภายในมีเนื้อที่ถึง 7,500 ตารางเมตร มีสองชั้น ชั้นบนจัดเป็นห้องแสดงภาพกระเบื้องโมเสก จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:21:28

ความคิดเห็นที่ 8 โบสถ์แห่งนี้ผ่านภัยพิบัติที่เกิดจากธรรมชาติและมนุษย์มาหลายครั้งหลายหน จนในปี ค.ศ.1453 หลังจากกรุงคอนสแตนติโนเปิลโดนพวกออตโตมันตีแตกสำเร็จ ก็ได้เปลี่ยนโบสถ์หลังนี้เป็นมัสยิด มีการใช้ปูนฉาบปิดทับภาพโมเสกในศาสนาคริสต์ และประดับด้วยสัญลักษณ์และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามแทน เช่นแผ่นป้ายตัวอักษขนาดใหญ่ 8 แผ่น ทำด้วยไม้ เขียนพระนามของพระอัลลาห์ พระมูฮัมหมัด และบุคคลสำคัญอื่น ๆ ในศาสนาอิสลามด้วยภาษาอาหรับ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:21:59

ความคิดเห็นที่ 9 โชคดีที่พวกเติร์กที่นับถือศาสนาอิสลามมิได้เผาทำลายศาสนสถานเดิมของพวกคริสต์ (เหมือนที่พวกล่าอาณานิคมนิยมทำกันในทวีปอเมริกาจนทำให้สถาปัตยกรรมดั้งเดิมของพวกอินเดียนแดงถูกทับอยู่ใต้โบสถ์คริสต์) แต่กลับเปลี่ยนให้เป็นสถานที่บูชาในศาสนาของพวกตนแทน ทำให้ชนรุ่นหลังได้มีโอกาสชื่นชมสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดมาเช่นในปัจจุบัน จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:22:40

ความคิดเห็นที่ 10 โดมขนาดใหญ่ตรงกลางอยู่สูงจากพื้น 55 เมตร ตั้งอยู่บนเสาขนาดใหญ่ 4 ต้น โดมที่นี่เป็นต้นแบบของการสร้างโดมในสมัยต่อ ๆ มาซึ่งได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของมัสยิดอิสลาม จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:23:09

ความคิดเห็นที่ 11 โดมมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 30 เมตร และเจาะเป็นช่องหน้าต่างโค้งเพื่อรับแสงสว่าง 40 ช่อง ประดับด้วยกระเบื้องโมเสกสีทองทั้งหมด การก่อสร้างต้องอาศัยหลักการทางคณิตศาสตร์แบบกรีกและความสามารถทางวิศวกรรมแบบโรมันในการคำนวณการกระจายน้ำหนักจากโดมครึ่งทรงกลมลงบนเสาและผนังสี่เหลี่ยมที่ทำให้เกิดช่องว่างตรงกลางขนาดมหาศาล ซึ่งไม่เคยมีก่อนในสมัยนั้น จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:23:44

ความคิดเห็นที่ 12 ตรงที่เคยเป็นที่ตั้งแท่นบูชาของวิหารแบบคริสต์ก็กลายเป็นมิหรับ (Mihrab) ซึ่งบอกทิศของนครเมกกะสำหรับการทำละหมาด จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:24:39

ความคิดเห็นที่ 13 แมวน้อยกำลังสวดมนตร์ตรงหน้า mihrab แปลกจริง ๆ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:25:17

ความคิดเห็นที่ 14 Mimbar หรือธรรมาสน์ที่อิหม่ามยืนนำละหมาดหรือใช้เทศน์สอนศาสนา จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:25:58

ความคิดเห็นที่ 15 ระเบียงสำหรับสุลต่านสำหรับประกอบพิธีละหมาด มีม่านฉลุเพื่อพรางตาจากคนทั่วไปไม่ให้เห็นพระพักตร์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกลอบปลงพระชนม์ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:26:24

ความคิดเห็นที่ 16 ลวดลายกระจกโมเสกตามช่องหน้าต่างดูผสมผสานระหว่างสไตล์ตะวันตกกับอิสลาม จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:27:03

ความคิดเห็นที่ 17 ภาพโมเสกพระแม่มารีกับพระกุมารเยซูนี้เป็นภาพโมเสกเก่าแก่ที่สุดในโบสถ์ที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน สร้างขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 9 มีอายุกว่า 1,100 ปี เคยถูกฉาบทับด้วยปูนในยุคที่วิหารถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิดอิสลาม เพราะศาสนาอิสลามห้ามสร้างหรือวาดภาพของรูปเคารพที่เป็นสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เมื่อถูกเปลี่ยนกลับเป็นพิพิธภัณฑ์ ภาพโมเสกนี้จึงได้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกอีกครั้ง จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:27:36

ความคิดเห็นที่ 18 บนเพดานยังมีรูปโมเสกของอัครเทวทูตกาเบรียล (Gabriel) โรงเรียนเอกชนชายย่านสามเสนก็ได้ชื่อมาจากเทวทูตองค์นี้ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:28:06

ความคิดเห็นที่ 19 ทูตสววรค์เซราฟิม (seraphim) มี 6 ปีก เป็นทูตสวรรค์ในลำดับชั้นสูงสุดในศาสนาคริสต์ มีหน้าที่ดูแลรักษาบัลลังก์ของพระเจ้า จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:28:39

ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อเข้าวิหารฮาเกียโซเฟียแล้วอย่าลืมขึ้นชั้นสองเพื่อชมภาพโมเสกเก่าแก่กว่าพันปีเป็นศิลปะแบบไบแซนไทน์ ภาพที่เห็นเป็นภาพของพระเยซู พระหัตถ์ขวาประทานพระพร พระหัตถ์ซ้ายถือคัมภีร์ไบเบิล ขนาบข้างด้วยจักรพรรดคอนสแตนตินที่ 9 และจักรพรรดินีโซซึ่งปกครองจักรวรรดิไบแซนไทน์ในคริสตวรรษที่ 11 จักรพรรดิถือถุงเงินเป็นเครื่องหมายของการบริจาคให้แก่โบสถ์ ส่วนจักรพรรดินีถือม้วนหนังสือ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:29:22

ความคิดเห็นที่ 21 ข้างกันเป็นภาพโมเสกคล้าย ๆ กันซึ่งสร้างในสมัยต่อมา จักรพรรดิพระองค์นี้คือจักรพรรดิจอห์นที่ 2 พร้อมจักรพรรดินีไอรีน คราวนี้เป็นภาพพระองค์ถวายเงินให้พระแม่มารีที่กำลังอุ้มพระกุมารเยซูบนตัก ลองเปรียบเทียบรูปนี้กับรูปที่แล้วซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษก่อนหน้านี้ จะเห็นว่ารูปนี้มีความคล้ายจริงมากขึ้น รูปจักรพรรดินีไอรีนทำผมเกลียว แก้มเป็นสีแดง จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:29:58

ความคิดเห็นที่ 22 ที่มุมกำแพงติดกับรูปจักรพรรดินีไอรีน ยังมีรูปโมเสกอีกรูปซึ่งหลายคนมองข้ามไป เป็นรูปพระโอรสของพระองค์ในวัย 17 พรรษา หน้าตาดูไม่ค่อยแข็งแรง เชื่อว่าจักรพรรดิและจักรพรรดินีบริจาคพระราชทรัพย์ให้กับโบสถ์เพื่อให้พระโอรสมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:30:24

ความคิดเห็นที่ 23 ภาพที่เห็นนี้ถือว่าเป็นภาพที่งดงามที่สุดทั่วทั้งโบสถ์ ด้วยความนุ่มนวลราวกับภาพวาด สีหน้าที่ดูเหมือนจริงและโทนสีที่ใช้ดูคล้ายกับภาพวาดจากศิลปินอิตาเลียนในยุคเรอเนซองส์ ภาพนี้แสดงถึงพระเยซูในวันพิพากษาโลก ขนาบด้วยพระแม่มารีกับเซนต์จอห์นแบปทิสต์ที่กำลังวิงวอนขอพระเมตตาให้แก่ชาวโลก น่าเสียดายที่ช่วงล่างของภาพเสียหายไปมาก จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:31:05

ความคิดเห็นที่ 24 ภาพโมเสกพระเยซูอันโด่งดัง จนเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของอาณาจักรไบแซนไทน์ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:31:43

ความคิดเห็นที่ 25 ภาพจำลองแสดงถึงภาพโมเสกที่สมบูรณ์ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:32:13

ความคิดเห็นที่ 26 จริง ๆ ยังมีภาพโมเสกอีกมากมายภายใต้ภาพวาดลวดลายแบบอิสลามในยุคหลัง หากกระเทาะออกหมดให้เห็นลวดลายแบบคริสต์เบื้องหลังจะเป็นการทำลายศิลปะแบบอิสลาม จึงยังคงมีภาพเขียนโมเสกอีกมากมายที่ซ่อนตัวอยู่ รอวันปรากฏให้คนรุ่นหลังค้นพบ ภาพนี้จะเห็นรอยปูนกระเทาะทำให้เห็นโมเสกด้านหลัง จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:32:54

ความคิดเห็นที่ 27 ใครไปถึงอย่าลืมมองหาเสามีรูต้นนี้ เชื่อกันว่าหากอธิษฐานแล้วสอดนิ้วโป้งเข้าไปในรู แล้วหมุนมือให้ครบรอบ 360 องศาได้ คำอธิษฐานนั้นจะสมหวัง จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:33:23

ความคิดเห็นที่ 28 จะหมุนให้รอบต้องมีเทคนิคเล็กน้อย จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:33:59

ความคิดเห็นที่ 29 เหนือประตูทางออกยังมีภาพโมเสกอีกภาพ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่อาจจะพลาดรูปนี้เพราะเดินหันหลังให้ ทางโบสถ์จึงตั้งกระจกเงาบานใหญ่ไว้ตรงทางออกเพื่อสะท้อนภาพโมเสกด้านบน จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:34:33

ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อหันกลับไปชมก็จะเห็นความงดงามของภาพโมเสก ถ้าเป็นทางเข้าคงไม่พลาด จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:35:37

ความคิดเห็นที่ 31 ภาพนี้ถูกค้นพบจากการบูรณะในปี ค.ศ.1849 เก่าแก่ตั้งแต่ปี ค.ศ.944 ตรงกลางเป็นรูปพระแม่มารีกำลังอุ้มพระกุมารเยซูบนตัก ฝั่งขวาของภาพเป็นจักรพรรดิคอนสแตนติน (ผู้สร้างกรุงคอนสแตนติโนเปิล) กำลังถวายแบบจำลองของเมือง ฝั่งซ้ายของภาพเป็นจักรพรรดิจัสติเนียน (ผู้สร้างโบสถ์ฮาเกียโซเฟีย) กำลังถวายแบบจำลองของโบสถ์ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:36:19

ความคิดเห็นที่ 32 ออกจากโบสถ์หันกลับมาชมด้านนอกอีกครั้ง หลังจากกรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกยึดจากพวกออตโตมันเติร์กในปี ค.ศ.1453 ก็เปลี่ยนจากโบสถ์คริสต์ให้เป็นมัสยิด มีการสร้างเสามินาเร็ต (minaret) 4 เสาเพื่อบ่งบอกความเป็นมัสยิด และเป็นต้นแบบของมัสยิดแบบออตโตมันทั่วอิสตันบูลและตุรกี จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:37:11

ความคิดเห็นที่ 33 เดินเลียบกำแพงมาด้านข้างอีกข้างหนึ่ง จะเป็นสุสานของสุลต่านหลายองค์ ส่วนนี้เปิดให้ชมฟรี หลายคนมักพลาดไปไม่ได้เข้าไปชม จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:37:52

ความคิดเห็นที่ 34 ภายในเต็มไปด้วยศิลปะอิสลามสวยงามอลังการ แถมชมฟรี จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:38:46

ความคิดเห็นที่ 35 ลวดลายภายในโดม จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:39:14

ความคิดเห็นที่ 36 ศาสนาอิสลามห้ามวาดรูปสิ่งมีชีวิต จึงนิยมใช้ลวดลายทางเรขาคณิตบ้าง ลายพรรณพฤกษาบ้าง หรืออักษรอารบิกบ้างเพื่อประดับประดาเช่นอย่างในภาพนี้ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:39:46

ความคิดเห็นที่ 37 ฝั่งตรงข้ามกับโบสถ์ฮาเกียโซเฟีย ที่ตั้งประชันความยิ่งใหญ่ในระยะไม่เกิน 500 เมตรเป็นมัสยิดชื่อสุลต่านอาห์เหม็ด (Sultan Ahmet Mosque) ตามพระนามของสุลต่านที่โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อให้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าโบสถ์ฮาเกียโซเฟีย สร้างขึ้นในราวปี ค.ศ. 1609-1616 มัสยิดแห่งนี้มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่ามัสยิดสีน้ำเงิน (Blue Mosque) จากสีกระเบื้องเคลือบชั้นดีจากเมืองอิสนิก (Iznik) ที่ใช้ประดับภายใน (ตอนเช้าแสงจะส่องเข้าหามัสยิดสีน้ำเงิน ส่วนตอนบ่ายแดดเปลี่ยนทิศส่องเข้าหาฮาเกียโซเฟีย) จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:40:31

ความคิดเห็นที่ 38 ตั้งแต่พวกเติร์กยึดนครคอนสแตนติโนเปิลสำเร็จ ก็มองวิหารฮาเกียโซเฟียเป็นต้นแบบในการสร้างเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมแบบออตโตมัน ขณะเดียวกันก็มองว่าฮาเกียโซเฟียคือสิ่งท้าทายจากอดีตอันรุ่งเรืองของพวกไบแซนไทน์ ซึ่งผู้ที่เข้ามาอยู่ใหม่ต้องการเอาชนะให้ได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาถึง 100 กว่าปีถึงมีสถาปนิกที่มีความสามารถเก่งกล้าสร้างมัสยิดที่มีขนาดใหญ่ทัดเทียมฮาเกียโซเฟียได้ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:41:11

ความคิดเห็นที่ 39 เสามินาเร็ตที่นี่มีถึง 6 เสา ลักษณะสูงชลูด ปลายแหลมเหมือนแท่งดินสอ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของมัสยิดแบบออตโตมัน เมื่อสร้างเสร็จชาวเมืองต่างรู้สึกไม่พอใจเพราะมัสยิดแห่งนี้มีจำนวนเสามินาเร็ต 6 เสาเท่ากับที่เมกกะ เหมือนจะตีเสมอสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาอิสลาม สุลต่านจึงมีพระบัญชาให้สร้างเสาที่มัสยิดในเมกกะ (ซึ่งอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมันในขณะนั้น) เพิ่มอีก 1 เสา รวมเป็น 7 เสา จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:41:43

ความคิดเห็นที่ 40 ประตูทางเข้า มัสยิดแห่งนี้เข้าชมฟรี แต่ต้องแสดงอาการสำรวมเพราะมีผู้เข้าไปประกอบพิธีละหมาดภายในแทบจะตลอดเวลา จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:42:39

ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาจะเป็นลานกว้าง ล้อมรอบด้วยโดมเล็ก ๆ 30 โดม ตั้งอยู่บนเสา 26 ต้น ตรงกลางเป็นบ่อน้ำรูป 6 เหลี่ยม สมัยก่อนไว้ใช้ชำระร่างกายก่อนเข้าไปภายในมัสยิด จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:43:41

ความคิดเห็นที่ 42 ภายในเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ผนังประดับด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินอมเขียวถึงสองหมื่นแผ่น ทำให้ภายในมีสีออกน้ำเงินยามเมื่อแสงอาทิตย์ส่องทะลุผ่านช่องกระจกเข้ามา เป็นที่มาของชื่อมัสยิดสีน้ำเงืนหรือบลูมอสก์ (Blue Mosque) จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:44:22

ความคิดเห็นที่ 43 โดมกลางมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 23 เมตร ยังเล็กกว่าโดมของฮาเกียโซเฟีย รายล้อมด้วยครึ่งโดมเล็กทั้งสี่ด้าน จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:45:15

ความคิดเห็นที่ 44 มีคนเข้ามาทำละหมาดตลอดเวลา จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:45:58

ความคิดเห็นที่ 45 ภายในรับความสว่างจากแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างถึง 2609 ช่อง จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:47:35

ความคิดเห็นที่ 46 ลวดลายหน้าต่างเป็นรูปพรรณพฤกษาตามแบบอิสลาม จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:48:21

ความคิดเห็นที่ 47 หลังคาถูกค้ำด้วยเสาหินอ่อนขนาดยักษ์ 4 ต้น กว้าง 5 เมตร จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:49:04

ความคิดเห็นที่ 48 จัตรัสสุลต่านอาเหม็ดมีขนาดกว้างขวาง คั่นระหว่างฮาเกียโซเฟียและบลูมอสก์ซึ่งหันหน้ามาประชันกันอย่างไม่มีใครยอมใครในแงความยิ่งใหญ่ เป็นที่ที่ทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยวมาทำกิจกรรม นั่งเล่น ถ่ายรูป เป็นจุดนัดพบ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:49:45

ความคิดเห็นที่ 49 คุณลุงคนนี้แต่งตัวในชุด Nusreddin ซึ่งเป็นตัวละครในนิทาน คล้าย ๆ ศรีธนญชัยบ้านเรา เจ้าปัญญา ฉลาดยียวน เจ้าเล่ห์ มีอารมณ์ขัน เป็นตัวละครสำคัญในโลกอิสลาม ไม่ว่าประเทศไหนต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี ท่าทางเขาจะมายืนเล่าเรื่องตลกให้นักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมาฟัง แต่ว่าฟังไม่รู้เรื่องอะ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:50:25

ความคิดเห็นที่ 50 ของที่ระลึกที่วางขาย ผมได้ตุ๊กตา whirling dervish มาประดับบ้านตัวนึง จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:51:00

ความคิดเห็นที่ 51 หนุ่มคนนี้ขายสารพัดถั่ว ขอเค้าถ่ายรูปก็เหมือนไม่ค่อยเต็มใจให้ถ่ายแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ซักพักพอตำรวจมาเท่านั้น เข็นรถหนีเลย เข้าใจละว่าทำไมไม่ค่อยอยากให้ถ่ายรูป จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:51:40

ความคิดเห็นที่ 52 คนนี้ขายแป้งคล้าย ๆ โรตี แต่ใช้วิธีจี่บนกระทะร้อน ไม่ได้ทอดแบบโรตีบ้านเรา จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:52:37

ความคิดเห็นที่ 53 ส่วนคนนี้ขายขนมน้ำตาลเหมือนบ้านเรา แต่เมืองไทยมีการเอามาปั้นเป็นรูปต่าง ๆ ที่นั่นก็แค่พันไม้เฉย ๆ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:53:08

ความคิดเห็นที่ 54 วันต่อมา ช่วงเช้าเราจะไปชมพระราชวังท็อปกาปึกัน ที่นี่เป็นที่ประทับของสุลต่านออตโตมันมากว่า 400 ปี เคยเป็นที่ว่าการรัฐบาล เป็นโรงเรียนฝึกวิชาทหาร เป็นศูนย์กลางการปกครองของจักรวรรดิออตโตมันที่แผ่ขยายไปทวีปยุโรป แอฟริกา และเอเชีย พระราชวังท็อปกาปึอยู่ด้านหลังฮาเกียโซเฟียแค่นี้เอง มีกำแพงสูงล้อมรอบ มีประตูทางเข้าใหญ่ เรียกว่า Imperial Gate เมื่อผ่านชั้นแรกเข้าไปจะเป็นสนามหญ้าก่อน ยังไม่ถึงตัวพระราชวัง จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:54:01

ความคิดเห็นที่ 55 อาคารน้ำพุของสุลต่านอาเหม็ดที่ 3 (Fountain of Ahmet III) ตั้งอยู่หน้ากำแพงวัง สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1728 ด้วยศิลปะแบบร็อคโคโคสไตล์ตุรกี คำว่า fountain แบบออตโตมันไม่ได้มีน้ำพุพุ่งขึ้นมาแบบยุโรป แต่เป็นก๊อกน้ำสาธารณะที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ตามพระคัมภีร์กุรอาน น้ำคือต้นกำเนิดแห่งชีวิต รัฐจึงต้องสร้างแหล่งน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนเพื่อการอุปโภคบริโภค จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:54:36

ความคิดเห็นที่ 56 เมื่อเดินผ่านประตูชั้นแรกเข้ามาทางซ้ายจะเห็นอาคารสีอิฐในรูป นี่คือโบสถ์ฮาเกียไอรีน (Hagia Eirene) เป็นโบสถ์ไบแซนไทน์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากฮาเกียโซเฟีย จากการขุดค้นได้พบซากอาคารที่เชื่อมต่อสองโบสถ์นี้เข้าด้วยกัน แสดงว่าสองอาคารนี้น่าจะเคยเป็นส่วนหนึ่งของหมู่อาคารทางศาสนาในยุคไบแซนไทน์ ต่อมาบางส่วนถูกรื้อทิ้งเพื่อสร้างกำแพงพระราชวังทำให้โบสถ์ฮาเกียไอรีนอยู่ในเขตกำแพงวัง โบสถ์แห่งนี้ไม่เคยถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิด ตำนานเล่าว่ามีพระสนมของสุลต่านองค์หนึ่งเป็นหญิงสาวชาวอิตาเลียนได้ทูลขอให้ให้ใช้อาคารแห่งนี้เพื่อเป็นที่เก็บของ เพื่อที่นางจะได้แอบลักลอบมาสวดมนต์ต่อพระเจ้าในโบสถ์แห่งนี้ ปัจจุบันโบสถ์ฮาเกียไอรีนไม่เปิดให้เข้าชมนอกจากมีการแสดงหรือคอนเสิร์ตสำคัญเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 54 01:43:42 จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:56:17

ความคิดเห็นที่ 57 เดินผ่านสนามต่อมาจะเจอประตูทางเข้าอีกชั้น ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของพระราชวังท็อปกาปึ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:57:03

ความคิดเห็นที่ 58 ภายในพระราชวังท็อปกาปึไม่ได้มีอาคารใหญ่โตงดงามแบบพระราชวังในยุโรปหรือประเทศอื่น ๆ แต่เป็นอาคารหลังเล็ก ๆ อยู่รวมกันมากกว่า ซึ่งสะท้อนวิถีชีวิตแบบเร่ร่อนอยู่กระโจมของพวกเติร์ก แต่เปลี่ยนจากกระโจมที่เคลื่อนย้ายได้เป็นอาคารเล็ก ๆ ที่สร้างถาวรอยู่กับที่ โชคร้ายว่าวันนี้ฝนตกหนักติดต่อกันหลายชั่วโมง เลยเดินเล่นถ่ายรูปข้างนอกไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะพระราชวังแห่งนี้มีจุดสนใจอยู่ที่ของที่จัดแสดงภายใน อยากจะอธิบายเรื่องการชื่อพระราชวังนี้ซักหน่อย ชื่อสะกดว่า Topkapı Palace ตรงตัว i ไม่มีจุด ภาษาเตอร์กิชใช้อักษรลาตินแต่ดัดแปลงให้เข้ากับภาษาเตอร์กิช ตัว i จะเขียนสองแบบ ถ้ามีจุดบนหัวแบบปกติ จะออกเสียงสระอิ แต่ถ้าไม่มีจุดบนหัว จะออกเสียงสระอึ ชื่อพระราชวังไม่มีจุดบนตัว i เลยออกเสียงว่าท็อปกาปึ ไม่ใช่ท็อปกะปินะครับ ฟังแล้วนึกถึงไอศครีมท็อปปิ้งเป็นกะปิ (เพิ่มเติมคำอธิบายเรื่องชื่อครับ) แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 54 15:21:30 จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:57:47

ความคิดเห็นที่ 59 ปัจจุบันพระราชวังท็อปกาปึใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสมบัติล้ำค่าของราชวงศ์ออตโตมันที่ปกครองประเทศยาวนานถึง 470 ปี มีทั้งเครื่องแก้ว เครื่องเงิน พระภูษาอาภรณ์ที่ใช้ เครื่องประดับ ตลอดจนถึงสมบัติที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศาสนาอิสลาม ในยุคที่จักรวรรดิออตโตมันรุ่งเรืองได้แผ่ขยายอาณาเขตไปกว้างขวางในทวีปยุโรปและเอเชีย สุลต่านออตโตมันทรงได้รับมอบของขวัญ เครื่องบรรณาการที่มีค่าจากประเทศต่าง ๆ ปัจจุบันได้ถูกนำมาแสดงไว้ที่พระราชวังแห่งนี้ เสียดายที่ห้ามถ่ายภาพเลยไม่มีภาพมาให้ชมกัน ของสำคัญที่ห้ามพลาดชมเด็ดขาดคือโคตรเพชร 86 กะรัต ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กอีก 49 เม็ดเรียงเป็นสองแถว กับกฤชท็อปกาปึทำจากทองคำประดับมรกตเม็ดใหญ่สามเม็ด จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 23:59:36

ความคิดเห็นที่ 60 ก๊อกน้ำดูเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้แม้แต่ในพระราชวังก็มีก๊อกน้ำประดับประดาอย่างงดงามให้เห็นอยู่ทั่วไป จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:01:08

ความคิดเห็นที่ 61 อาคารด้านนอกส่วนใหญ่ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสมบัติล้ำค่าของประเทศ แต่ถ้าอยากชมวิถีชีวิตของชาววังจริง ๆ แล้วต้องตีตั๋วเข้าชมส่วนชั้นในที่เรียกว่าฮาเร็ม (Harem) ซึ่งในอดีตคือโซนที่อยู่ของสตรีชาววังตั้งแต่พระชนนี และพระสนมทั้งหลายของสุลต่าน ผู้ชายที่จะเข้าไปได้นอกจากองค์สุลต่านแล้วก็มีเด็กอายุไม่ถึง 13 ปีและพวกขัณฑีเท่านั้น แขกก็มีขัณฑีเหมือนกันนะเออ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:02:03

ความคิดเห็นที่ 62 ภายในฮาเร็ม ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดก็คือพระชนนีของสุลต่าน มีหน้าที่ดูแลงบประมาณและค่าใช้จ่ายในฮาเร็ม สตรีที่เข้ามาอยู่ในฮาเร็มส่วนใหญ่เป็นทาสชาวต่างประเทศซึ่งอาณาจักรออตโตมันแผ่ขยายดินแดนไปถึง การแข่งขันและความอิจฉาริษยาระหว่างนางสนมด้วยกันมีสูงมาก ต่างต้องการช่วงชิงอำนาจทั้งในฮาเร็มและนอกฮาเร็ม หากใครมีพระโอรสให้สุลต่านได้ ผู้นั้นก็เพิ่มโอกาสในการเป็นพระชนนีของว่าที่สุลต่านองค์ต่อไป ซึ่งจะมีบทบาทในการกำหนดอนาคตของอาณาจักรออตโตมัน เรื่องราวเกี่ยวกับฮาเร็ม คุณ flymom ทำรีวิวไว้ละเอียดมาก ลองหารีวิวมาอ่านนะครับ สนุกสนานมากมาย จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:05:17

ความคิดเห็นที่ 63 ภายในฮาเร็มมีห้องมากมายถึง 400 ห้อง แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวชมประมาณ 20 ห้อง จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:06:02

ความคิดเห็นที่ 64 สังเกตการจัดห้องเหมือนนั่งอยู่ภายในกระโจม มีโซฟานั่งกับพื้น แทนที่จะมีโต๊ะเก้าอี้ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:06:59

ความคิดเห็นที่ 65 ชมศิลปะแบบเติร์กกันไปเรื่อย ๆ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:07:39

ความคิดเห็นที่ 66 ตามไปเที่ยวเมืองแห่งประวัติศาสตร์โลกด้วยคนค่ะ      ถ้ามีโอกาสได้ไปเมื่อไรก่อนไปคงต้องอ่านข้อมูลจนตาแฉะแน่เลย.... ทุกมุมเมืองคงมีแต่เรื่องราวให้ค้นหานะคะ จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:08:05

ความคิดเห็นที่ 67 ลวดลายต้นสนดูเป็นเอกลักษณ์ไม่เคยเห็นที่อื่นเลย จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:08:15

ความคิดเห็นที่ 68 เตาผิง ให้ความอบอุ่นในหน้าหนาว จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:10:07

ความคิดเห็นที่ 69 ลวดลายประดับมุขเป็นรูปดอกทิวลิป จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:11:41

ความคิดเห็นที่ 70 ทราบหรือไม่ว่าดอกทิวลิปที่เป็นสัญลักษณ์ของฮอลแลนด์ จริง ๆ เป็นดอกไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากตุรกี สมัยก่อนฮอลแลนด์ต้องซื้อหน่อทิวลิปไปปลูก ต่อมามีการปรับปรุงและขยายพันธุ์จนกลายเป็นแหล่งผลิตทิวลิปรายใหญ่ของโลก จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:12:28

ความคิดเห็นที่ 71 ช่วงที่ไปเป็นฤดูใบไม้ผลิพอดี จึงมีโอกาสได้ชมทิวลิปในอิสตันบูล จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:13:23

ความคิดเห็นที่ 72 ไม่ไกลนักจากฮาเกียโซเฟีย จะพบทางเข้าอ่างเก็บน้ำใต้ดินขนาดใหญ่แบบไบแซนไทน์ เรียกว่า Basilica Cistern หรือ Yerebatan Saray ซื้อตั๋วเสร็จต้องเดินลงบันไดไป ข้างใต้จะเป็นอ่างเก็บน้ำ มีเสาโรมันทั้งหมด 336 ต้นค้ำยันหลังคาไว้ ประดับไฟที่โคนเสา เมื่อสะท้อนน้ำที่นิ่งสนิทเป็นภาพที่งดงามมาก อ่างเก็บน้ำใต้ดินนี้สร้างตั้งแต่สมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน และมาขยายต่อในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน เพื่อช่วยเก็บกักน้ำไว้ใช้ในยามหน้าแล้งสำหรับพระราชวัง โดยลำเลียงน้ำมาจากทะเลดำผ่านท่อส่งน้ำแบบโรมัน ซึ่งเป็นจ้าวทางด้านวิศวกรรมอยู่แล้ว จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:14:09

ความคิดเห็นที่ 73 ในน้ำมีปลาด้วยนะ จริง ๆ แล้วเขาเอาปลามาปล่อยในน้ำเพื่อให้ปลาช่วยกินพวกสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในน้ำ เป็นการทำความสะอาดน้ำไปในตัว นอกจากนั้นยังเป็นตัวชี้วัดความสะอาดของน้ำ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนเป็นระยะ ๆ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:14:57

ความคิดเห็นที่ 74 เสานี้มีสัญลักษณ์ตาปีศาจสลักอยู่ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:15:42

ความคิดเห็นที่ 75 ด้านในสุดจะมีเสาสองเสาซึ่งมีฐานเป็นหัวนางเมดูซา (Medusa) เสาหนึ่งวางหัวตะแคง อีกเสาวางตีลังกากลับหัว จนถึงปัจจุบันยังไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรจึงนำหัวนางเมดูซาเป็นฐานของสองเสานี้ คาดเดากันว่าหัวทั้งสองหัวคงนำมาจากอาคารโรมันเดิมที่สร้างก่อนหน้านี้ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:16:57

ความคิดเห็นที่ 76 นางเมดูซาเป็นตัวละครในตำนานของพวกกรีก-โรมัน มีเส้นผมเป็นงูเก็งกอง หากใครจ้องตานางจะกลายเป็นหินทันที เพอร์ซิอุส (Perseus) ซึ่งเป็นคนครึ่งเทพตัดหัวของนางใส่ย่ามไว้ เวลารบกับข้าศึกก็ชูหัวของนางต่อหน้าฝ่ายตรงข้าม ทำให้กลายเป็นหิน นี่หรือเปล่าที่ต้องวางหัวนางเมดูซากลับหัวแทนที่จะวางตรง ๆ กลัวว่าคนที่จ้องไปที่รูปปั้นหัวของนางตรง ๆ จะกลายเป็นหิน จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:17:50

ความคิดเห็นที่ 77 ร้านขายของที่ระลึก มีโปสการ์ดและ magnet ละลานตาไปหมด (แก้ไขคำผิดครับ) แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 54 00:20:00 จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:18:32

ความคิดเห็นที่ 78 เช้าวันสุดท้าย เราตัดสินใจไปล่องเรือในช่องแคบบอสฟอรัสเพื่อชมมหานครอิสตันบูลบนสองฝั่งทวีป จากที่พักย่านสุลต่านอาเหม็ดสามารถนั่งรถรางมาลงสถานีเอมิโนนู (Eminonu) ซึ่งเป็นสถานีเดียวกับ Spice Market แหล่งการค้าสำคัญในการหาซื้อของที่ระลึก เดี๋ยวเราค่อยไปช้อปปิ้งกันครับ บริเวณนี้มีมัสยิดขนาดใหญ่อีกแห่งตั้งอยู่ริมน้ำชื่อว่ามัสยิดใหม่ (New Mosque) ใหม่มาก มีอายุแค่ 400 ปีเท่านั้นเอง จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:19:18

ความคิดเห็นที่ 79 หอคอยกาลาตา (Galata Tower) เป็นสิ่งก่อสร้างที่หลงเหลือมาจากยุคไบแซนไทน์ สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1348 มีความสูง 62 เมตร ที่เห็นอยู่อีกฝั่งน้ำ จริง ๆ ยังเป็นส่วนของยุโรปอยู่ เพียงแต่เป็นอ่าวลึกเข้ามาในแผ่นดิน เรียกว่า Golden Horn มีสะพานข้ามชื่อว่า Galata Bridge จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:22:05

ความคิดเห็นที่ 80 ภาพสวยมากๆ ค่ะ และก็เป็นเมืองที่อยากไปเที่ยวมากๆ ค่ะ ขอบคุณสำหรับรีวิวด้วยนะคะ จากคุณ : ข้าวปุ้นจอมยุ่ง เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:22:22

ความคิดเห็นที่ 81 เรือจะค่อย ๆ แล่นเลียบไปตามฝั่งยุโรปก่อน ขากลับจงเลียบฝั่งเอเชีย ฝั่งตะวันตกจะมีอาคารสวย ๆ น่าตื่นตาตื่นใจกว่า ฝั่งเอเชียส่วนใหญ่เป็นบ้านสวย ๆ หรือคฤหาสน์ของผู้มีฐานะ มัสยิดโดลมาบาเช (Dolmabahçe Mosque) เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังโดลมาบาเช เป็นศิลปะแบบนีโอบาโรคผสมอิสลาม จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:24:24

ความคิดเห็นที่ 82 วิวของพระราชวังโดลมาบาเช (Dolmabahçe Palace) สุลต่านออตโตมันประทับอยู่ในพระราชวังท็อปกาปึมาหลายร้อยปี จนถึงรัชสมัยของสุลต่านอับดุลเมจิตโปรดให้สร้างพระราชวังแห่งใหม่ขึ้นที่ริมฝั่งช่องแคบบอสฟอรัสในปี ค.ศ.1856 ชาวเติร์กเลิกเร่ร่อนอยู่กับที่นานหลายร้อยปีจนพระราชวังแห่งใหม่เปลี่ยนแนวคิดจากการสร้างที่อยู่อาศัยแบบง่าย ๆ เหมาะกับการย้ายถิ่นฐาน กลายเป็นการสร้างอาคารใหญ่โตงดงามราวกับพระราชวังแวร์ซายส์ของฝรั่งเศส น่าเสียดายที่การสร้างพระราชวังที่หรูหราฟุ่มเฟือยแห่งใหม่เกิดขึ้นในยุคที่จักรวรรดิออตโตมันตกต่ำทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการปกครอง จนถึงการล่มสลายของจักรวรรดิในที่สุด จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:26:49

ความคิดเห็นที่ 83 ตามไปเที่ยวด้วยคนครับบ จากคุณ : สายลมแห่งวิงค์ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:27:26

ความคิดเห็นที่ 84 มองเห็นสะพานบอสฟอรัสทอดตัวเชื่อมสองทวีป ฝั่งซ้ายคือยุโรป ฝั่งขวาคือเอเชีย เพิ่งเปิดใช้เมื่อปี ค.ศ.1973 หรือเกือบ 40 ปีที่แล้ว ช่องแคบบอสฟอรัสเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมระหว่างทะเลดำตอนบนกับทะเลมาร์มาราตอนล่างซึ่งทะลุไปออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ ทำให้บริเวณนี้เป็นจุดตัดสำคัญทางการค้าและการทหารทั้งทางบกและทางน้ำระหว่างสองทวีป การสร้างสะพานข้ามช่องแคบนี้เป็นความใฝ่ฝันของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคกรีก-โรมันเมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว ความสำเร็จนี้จึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างมากของชาวตุรกีเจ้าของประเทศในปัจจุบัน จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:27:40

ความคิดเห็นที่ 85 ภาพมัสยิดตั้งอยู่ริมน้ำเคียงคู่กับสะพานบอสฟอรัสถือเป็นมุมโปสการ์ดที่เป็นเอกลักษณ์ของอิสตันบูลอีกมุมหนึ่ง จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 00:29:01