Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บันทึกการเดินทาง สามเมือง แห่ง สปป.ลาว “เวียงจันทน์ วังเวียง หลวงพระบาง” vote ติดต่อทีมงาน

การเดินทางมาประเทศลาวในครั้งนี้เราตั้งใจกันมานานมากว่าจะไปเยือนดินแดนแห่งมรดกโลกนี้ให้ได้ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่การวางแผนการเดินทางต้องถูกเลือนไปด้วยเหตุผลอย่างๆประการ จนกระทั่งเราตัดสินใจแน่วแน่ว่าปลายปีนี้เราไปแน่ เริ่มจากการขอหยุดยาว (รวมวันหยุด วันนักขัตฤกษ์และวันพักร้อน) ได้มา 7 วัน

เริ่มการรีวิวดูบันทึกการเดินทางไปลาวจาก Blue Planet และกลับไปตรวจสอบว่า Passport หมดอายุหรือยัง สรุปว่าต้องไปขอ Passport เล่มใหม่ (ปล.กรณีการเดินทางไปที่เวียงจันทน์ที่เดียวที่ไม่ต้องใช้ Passportค่ะ แต่ถ้าเลยจากนั้นต้องใช้ Passport ในการเดินทางด้วย)

กำหนดการเดินทางของเราคือ 1 ธันวาคม 2554 ขึ้นเครื่องด้วยสายการบิน Air Asia จากสนามบินสุวรรณภูมิ เที่ยวบินที่ FD3360 จากกรุงเทพ 7.25 น. ถึงอุดรธานี 8.25 น. หลังรับกระเป๋าที่โหลดมาแล้วเราก็เหมารถ Taxi ให้มาส่งที่ บขส.อุดรเพื่อนั่งรถ Interbus เข้าเวียงจันทน์ การซื้อตั๋วรถ Interbus ต้องยื่น Passport เพื่อขอซื้อตั๋วรถด้วยค่ะ การเดินทางโดยสารรถ Interbus เราไม่แนะนำอย่างยิ่ง เนื่องจากเกิดเรื่องที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองขาเข้าฝั่งลาว คือคนขับรถและกระเป๋ารถไม่รอเรา 2 คน พี่ไทยก็ต่อคิวรับเอกสาร พี่น้องลาวก็กรูกันเข้าไปเหลือเรารั้งท้ายและกว่าจะถึงคิวเราทำเรื่องผ่านเสร็จรถ Interbus ก็ออกไปแล้ว เราตามหารถกันอยู่สักพัก ถามจากคนขับรถคันอื่นบอกว่าออกไปแล้ว ทรัพย์สินข้าวของเสื้อผ้าของเราอยู่บนรถทั้งหมดค่ะ ทำไมล่ะทีนี้...

สุดท้ายเราต้องเหมารถ Taxi จากด่านพยายามจะตามรถ Interbus ให้ทัน สุดท้ายก็ไปทันกันที่ บขส.ตลาดเช้า เมืองเวียงจันทน์ โชคดีที่ของไม่หาย แต่ถ้าเราช้ากว่านั้นสัก 5 นาทีก็ไม่รู้แล้วว่าเราจะตามเอาของเราคืนได้อย่างไร เราเข้าไปบอกกับคนขับรถและกระเป๋ารถว่าคุณไม่ได้รอให้เราขึ้นรถจากด่าน ไม่มีแม้แต่คำขอโทษหรือสำนึกผิดค่ะ แต่กลับบอกเราว่า ให้รีบๆไปเอาของเลย การบริการแย่มากค่ะ

ขอแนะนำให้คุณเหมารถ Taxi จากสนามบินอุดรมาลงที่สะพานมิตรภาพเลย แล้วเข้าไปด่านตรวจคนเข้าเมืองเอง และมาหารถเช่าจากด่านเข้าเมืองเวียงจันทน์เอง ราคาก็อยู่ที่ประมาณ 300-500 บาท ดีกว่าเสี่ยงที่ของทั้งหมดจะสูญหายจากกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับเราครั้งนี้ค่ะ ทริปนี้เริ่มเรื่องซะตั้งแต่ย่างเท้าเข้าลาวทีเดียวค่ะ

ถึงเวียงจันทน์เราเดินหาโรงแรมที่โทรจองมาแล้วประมาณ 1 เดือนชื่อ โรงแรมแสงพระจันทน์ อยู่ใกล้ บขล.ตลาดเช้า ที่หลายๆรีวิวแนะนำว่าดีมากสมราคา (500 บาท) ทำเลที่ตั้งดี บริการดี เราเดินไปถามไปก็ได้ความว่า โรงแรมปิดไปแล้วตอนนี้เป็นธนาคาร เราเดินไปจนเจอที่ตั้งโรงแรมจริงๆ ก็คือ ธนาคาร ค่ะ ถามคนขับรถสามล้อเครื่องบอกว่าย้ายไปสาขา 2 แต่ไกลมาก เล็กนิดเดียว เราก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนที่พัก โดยเช่ารถไปหาโรงแรม คนขับพาไปพักที่ โรงแรมบุดสะดาคัม (Budchadakham Hotel) ราคาค่าห้อง 779 บาท รวมอาหารเช้า ห้องพักสภาพโรงแรมด้านหน้าบริเวณ Reception ดูดีค่ะ แต่เข้าไปข้างในห้องพักค่อนข้างเล็กเหมือนหอพักมากกว่าจะเป็นโรงแรม แต่เราก็ไม่ได้เปลี่ยนเพราะคิดว่านอนแค่คืนเดียว จากนั้นเราก็ว่าจ้างรถคันเดิมให้พาเที่ยวรอบเมืองค่ะ ราคาเหมา 700 บาท

สถานที่แรกที่เราไปชมคือ “องค์ธาตุหลวง” ตอนนั่งรถเราจะเห็นองค์ธาตุสีทองมาแต่ไกลเลยค่ะ องค์ธาตุสีทองโดดเด่น มีพระระเบียง ทางเข้าด้านหน้ามีอนุสาวรีย์พระไชยเชษฐาธิราช ธาตุหลวงในตำนานกล่าวว่ารูปลักษณ์องค์ธาตุที่เราเห็นสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชปกครอง แต่ตามประวัติกึ่งตำนานกล่าวว่าสร้างโดยพระยาจันทรบุรี พร้อมกับพระสงฆ์อรหันต์ 5 องค์ แรกเริ่มสร้างธาตุเป็น “อูปมุง” ด้วยการก่อหินความกว้างทั้ง 4 ฐาน โดนฐานละ 5 วา หนา 2 วา สูง 4 วา 3 ศอก (จากหนังสือคู่มือเที่ยวลาว 3 มิติ โดยศรัทธา ลาภวัฒนเจริญ) ภาพถ่ายที่ได้งดงามถูกใจค่ะ แสงแดดแรงที่ส่องสะท้อนพระธาตุทำให้องค์ธาตุสีสุกเหลืองอร่ามอย่างที่เห็น เกือบลืมบอกไปว่าก่อนเข้าชมภายในต้องเสียค่าปี้ (ตั๋ว) ด้วยค่ะราคา 5,000 Kip สามารถจ่ายเป็นเงินบาทได้ค่ะ ตอนที่เราไปเงินไทย 1 บาท แลกเงินกีบได้ 261 กีบ (วิธีคำนานเงินกีบเป็นบาท ให้ตัด 0 ออก 3 ตัว แล้วคูณด้วย 4 ค่ะ)

จากที่กล่าวไปแล้วว่าด้านหน้าขององค์ธาตุหลวงจะมีอนุสาวรีย์พระไชยเชษฐาธิราชอยู่นั้น ตามประวัติกล่าวว่าพระไชยเชษฐาธิราชถือเป็นสุดยอดเจ้ามหาชีวิตพระองค์หนึ่ง เพราะเป็นกษัตริย์ถึงสองอาณาจักร คืออาณาจักรล้านนาและอาณาจักรล้านช้าง และเป็นผู้ย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมายังนครเวียงจันทน์ (จากหนังสือคู่มือเที่ยวลาว 3 มิติ โดยศรัทธา ลาภวัฒนเจริญ)

หลังจากชมองค์ธาตุหลวงเสร็จ เราก็นั่งรถมาต่อที่ “ประตูชัย (Pratuxai)” จุดชมวิวเวียงจันทน์ 360 อาศา ตั้งอยู่ ถ.ล้านช้าง โดดเด่น มองเห็นได้แต่ไกล ประตูชัยสร้างเป็นอนุสารณ์แก่ผู้ที่สละชีวิตในการต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส รูปลักษณะภายนอกจะคล้าย Arc de Triomphe ที่กรุงปารีสแต่ประตูชัยที่ลาวจะตกแต่งด้วยลักษณะแบบผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก ค่าปี้ขึ้นไปชมวิวด้านบนราคา3,000 Kip  

จากประตูชัย เราไปต่อกันที่ “หอพระแก้ว” ซึ่งห่างจากประตูชัย โดยนั่งรถไปประมาณ 10-15 นาที ค่าปี้เข้าชม 2,000 Kip (ปล.การเที่ยวยังสถานที่ต่างๆของเวียงจันทน์ ควรวางแผนเวลาให้เหมาะสมค่ะ เนื่องจากสถานที่เข้าชมที่ต้องจ่ายค่าปี้จะปิดเวลา 16.00 น. ซึ่งเราใช้เวลาไปนานที่องค์ธาตุหลวงทำให้ไม่ได้เข้าชมวัดสีสะเกด ที่เป็นวัดศิลปะแบบไทยและปัจจุบันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชของลาว)

พูดถึง “หอพระแก้ว” มีคำกล่าวว่า แม้ปราศจากพระแก้ว แต่ทว่าความศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่ ตามประวัติกล่าวว่า เดิมทีเดียว พระไชยเชษฐาธิราช โปรดให้สร้างหอพระแก้วขึ้นเพื่อประดิษฐานพระแก้วมรกต ที่พระองค์ได้อัญเชิญมาจากเชียงใหม่ (ตอนนี้พระแก้วมาประดิษฐานอยู่ที่เมืองไทย และไม่ได้กลับไปที่หอพระแก้วอีกเลยตราบจนทุกวันนี้)ปัจจุบันหอพระแก้วปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ เก็บพระพุทธรูป และโบราณวัตถุอื่นๆ บันไดของหอพระแก้ว เป็นบันไดนาคเหมือนวัดทั่วๆไปค่ะ แต่พญานาคที่นี่จะดูขรึมและขลัง น่าเกรงขามดีค่ะ

เราไปต่อกันที่ “วัดสีสะเกด” ที่อยู่เยื่องๆหอพระแก้ว เพียงแค่เดินข้างถนนไปก็ถึง แต่เราไม่ได้เข้าไปด้านในค่ะ เนื่องจากเค้าปิดแล้วจึงได้แต่ภาพถ่ายด้านหน้าวัดมาค่ะ

การเที่ยวชมทั่วนครเวียงจันทน์ใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวก็เที่ยวได้ครบค่ะ เรากลับมาโรงแรมทานอาหารเย็นที่โรงแรม และเป็นครั้งแรกที่ได้ดื่ม “เบียร์ลาว” ไม่ลองเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงลาวนะคะ...

การเดินทางในวันรุ่งขึ้นของเราจะไปกันที่วังเวียงซึ่งเราสอบถามจากพนักงานที่โรงแรมถึงเรื่องการขึ้นรถ พนักงานแจ้งบอกว่ามีรถตู้มารับถึงโรงแรม 9.00 น. ค่ารถคนละ 300 บาท เหมาไปนั่งเฉพาะแค่เรา 2 คนค่ะ ยังคิดว่าคุ้มมากๆ เพราะที่อ่านรีวิวมาก็บอกว่าต้องไปขึ้นรถที่ บขส.ตลาดเช้าค่ารถก็คนละ 300 บาทแล้วและนั่งรวมกับคนอื่น แต่นี่เหมาเฉพาะเราคนละ 300 บาท น่าแปลกใจแต่ก็ได้รับการยืนยันเช่นนั้น เราตื่นนอนแต่เช้าเดินออกมาชมบรรยากาศรอบๆและกลับมาทานอาหารเช้า และรอรถมารับ

8.45 น. มีรถตู้มารับเราตามนัดค่ะ บอกว่าไปวังเวียง เรายื่นตั๋วที่ซื้อจากโรงแรมให้และก็ขึ้นรถตู้ ขับไปได้สักพักประมาณ 15 นาที คนขับรถบอกให้เราลงจากรถเปลี่ยนรถตู้คันอื่น เราก็แปลกใจแต่ก็ต้องลงตามนั้น สรุปแล้วคือเราก็ต้องมานั่งรวมกับคนอื่นๆเหมือนกันค่ะ รถตู้รับเรามาส่งแค่ที่ท่ารถตู้ไปวังเวียง ตรงข้ามวิทยาลัยแพทย์ของเวียงจันทน์ ไม่เท่านั้นคนจัดคิวรถตู้ก็ให้คนลาวที่มาแซงคิวเราและออกรถไปก่อน จนเราต้องเข้าไปถามแต่กลับบอกเราว่า รอก่อนก็เค้ามาหลายคน เค้าอยากไปด้วยกัน เราต้องรอรถถึงคันที่ 3 เวลาประมาณ 10.00 น. จึงได้ขึ้นรถ การรู้ความจริงว่าต้องมานั่งรถตู้รวมยังไม่โกรธเท่ากับการถูกคนลาวแย่งคิวรถค่ะ และยิ่งโชคร้ายที่รถตู้คันที่เรานั่งมีกลุ่มวัยรุ่นจีนประมาณ 7 คนขึ้นมานั่งแซงที่เราด้านหน้าคนขับ เราเสียเวลารอเพื่อนของเด็กกลุ่มนี้อีก 2 คน ประมาณร่วม 10 นาที ช่างเป็นกลุ่มที่ไร้มารยาทมากๆ เสียงดังมาก ทานอาหารกันดูเลอะเทอะ มีการต่อราคาค่ารถ และให้รถขับไปรับเพื่อนสมาชิกกลุ่มที่บ้าน (คิดในใจว่าถ้ามากขนาดนี้ เหมาไปเองดีกว่าไหมคะ จะได้ไม่ต้องทำให้ผู้ร่วมโดยสารรำคาญใจ) เป็นการพบเจอสิ่งแย่ๆในอีกวันที่ประเทศลาวค่ะ

การเดินทางจากเวียงจันทน์มาวังเวียงใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง สภาพระหว่างทางเหมือนชนบทบ้านเราไม่มีผิด ทางดินที่เต็มไปด้วยฝุ่นและลูกรัง แนะนำให้ทานน้ำมาน้อยๆค่ะเนื่องจากรถจะขับมารวดเดียวถึงวังเวียงเลย ไม่ได้จอดแวะให้เราเข้าห้องน้ำ

เรามาถึงวังเวียงประมาณ 13.00 น. บขส.วังเวีงจะสังเกตง่ายคือเป็นลานโล่งกว้าง ลงรถเราเดินมาตามทางถามหาโรงแรมที่จองไว้ชื่อ D-Rose Guest House ตามรายละเอียดของโรงแรมเขียนไว้ว่าโรงแรมอยู่หลังวัดธาตุ เดินประมาณ 5 นาทีและอยู่ติดน้ำซอง น่าแปลกที่คนขับรถหรือร้านขายของต่างๆที่เราถามทางบอกว่าไม่รู้จักวัดธาตุ บางคนบอกว่าวัดธาตุอยู่ไกลมาก แต่จริงๆแล้วเดินถึงค่ะ ไม่ถึง 10 นาทีจาก บขส.วังเวียง ทุกอย่างที่นี่ดูจะเป็นธุรกิจไปหมดแล้วค่ะ ต้องให้เช่ารถ ไม่ยอมบอกทางว่าอยู่ตรงไหน ต้องให้ซื้อของ ไม่ซื้อก็บอกไม่รู้ อะไรทำนองนั้น คนที่นี่ไม่ได้มีน้ำใจเหมือนคนไทยบ้านเรานะคะ แนะนำว่าถ้าจะเดินทางมาวังเวียง ให้มา walk in หาที่พักเองค่ะ จะได้ที่ถูกใจ สมราคา ที่ตั้งของโรงแรมตามที่เราอยากพัก ที่พักที่นี่มีเยอะมากๆค่ะ ไม่ต้องกลัวไม่มีที่นอนเลยทีเดียว ที่ D-Rose Guest house มีสถาพเป็นบ้านพักเป็นหลังๆค่ะ มีให้เลือกทั้งบ้านพักเดี่ยวห้องน้ำในตัว และห้องน้ำรวมค่ะ บ้านพักของเราเป็นห้องน้ำในตัวอยู่ติดกับทุ่งนา จากโรงแรมสามารถเดินข้างลำธารเล็กไปแม่น้ำซองได้ ในเย็นวันนี้ เราก็ใช้เวลาพักผ่อนเดินเล่นที่ลำน้ำซองค่ะ กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมทำคือการเช่าห่วงยางเล่นน้ำ พายเรือคายัค หรือเช่าเรือเครื่องนั่งล่องตามน้ำซอง ตกเย็นเรามาทานอาหารที่ร้าน The Terrace ร้านนี้แนะนำค่ะ บรรยากาศดีมาก มองไปเห็นภูเขาและแม่น้ำซอง ที่สำคัญอาหารอร่อยเหมือนอยู่เมืองไทยเลย (วันที่สองถึงได้รู้ว่าจริงๆแม่ครัวคนไทย) ราคาก็มาตรฐานห้องอาหารบ้านเราค่ะ มีเพลงสากลคลาสสิดเปิด เพลินตา เพลินใจดี ขอมอบสโลแกนนี้ให้ร้าน The Terrace ที่วีงเวียงแห่งนี้ค่ะ...Classic songs @ Song River...

เช้าวันที่ 2 ที่วังเวียง...มีคำกล่าวที่ว่า วังเวียงเป็นเมืองตากอากาศชั้นดี จุดเด่นของที่นี่อยู่ที่การพักผ่อน แค่มานั่งมองแม่น้ำซองก็สุขใจแล้ว....เราตื่นนอนกันแต่เช้าเพื่อออกมารับบรรยากาศแห่งขุนเขาและไอหมอก อากาศหนาวกำลังดีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 15-20 องศา เช้านี้เราทานอาหารเช้าเป็นขนมปังแซนวิช หรือที่เรียกว่า “บาเก็ต” (ขนมปังยาวๆ) อาหารยอดนิยมและหาทานได้ง่ายมาก ราคาตกอยู่ชิ้นละ 15,000-20,000 Kip ค่ะ จากนั้นเราก็หาเช่าจักรยานเพื่อจะปั่นไปชมถ้ำ ราคาค่าเช่าทั้งวัน (คืนตอนไหนก็ได้ค่ะ) ตกคันละ 5,000 Kip ที่วังเวียงมีถ้ำมากมายเนื่องมาจากสภาพภูมิประเทศที่มีภูเขาหินปูนโอบล้อมรอบเมือง คงมีประมาณ 50 กว่าถ้ำได้ แต่เราเลือกไปชม “ถ้ำจัง” ซึ่งถือเป็น Hi-light ในการมาเที่ยวที่วังเวียงแห่งนี้ค่ะ มีคนบอกต่อๆกันมาว่า “จัง” หมายถึง น้ำที่รินไหลออกจากภูเขา  ซึ่งเราจะเห็นบ่อน้ำใสๆที่อยู่เชิงเขาไม่ไกลจากบันไดทางขึ้นถ้ำจังแต่ระดับน้ำจะลึกมากค่ะ ภายในถ้ำจังมีการจัดไฟฟ้า ทำให้การไปเที่ยวชมเราไม่จำเป็นต้องพกไฟฉายไปด้วยค่ะ (แต่เราก็พกไปเพื่อเป็นอุปกรณ์เสริมในการถ่ายรูป) ภายในภ้ำจังจะมีทางเดิน 2 ทาง ถ้าเราเดินไปทางแยกใหญ่เราจะพบเสาหินขนาดใหญ่ และพบหินงอกหินย้อยมากมาย เดินไปเรื่อยจนกระทั่งสิ้นสุดแสงไฟค่ะ แล้วเราก็เดินกลับมาทางแยกอีกด้าน จะมีป้ายบอกทางนะคะ ไม่ต้องกลังหลงสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา แยกนี้จะนำเราไปพบปากถ้ำ ตรงปากถ้ำจะเป็นจุดชมวิววังเวียง มองเห็นทุ่งนาตัดกับขอบภูเขาและเห็นสายน้ำซองด้วยค่ะ ปล.การเข้าชมถ้ำเราจะต้องเสียค่าปี้ทั้งหมด 2 ด่านค่ะ ตอนปากทางเข้าก่อนข้ามสะพานสีส้ม 3,000 Kip และสุดท้ายก่อนขึ้นไปชมถ้ำ 2,000 Kip

ออกจากถ้ำจังเราปั่นจักรยานไปต่อที่บาร์น้ำและออร์แกนิคฟาร์ม ต้องปั่นจักรยานมาไกลจากตัวเมืองวังเวียงพอสมควรค่ะ แล้วประสบการณ์ก็สอนว่าการถามทางของคนที่นี่ก็ต้องทำใจค่ะเพราะถาม 5 คนจะบอกทางถูกสัก 1 คน เราปั่นตามทางที่คนวังเวียงบอกทางไปผิดไกลพอสมควร เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวแต่คนที่นี่ไม่ได้ยินดีให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ค่ะ ส่วนมากจะหวังว่าต้องจ่ายเงินเหมารถเท่านั้น ที่บาร์น้ำคนยังเงียบเหงา เราไปถึงที่นั่นประมาณ 11.00 น. คาดว่าบ่ายๆคงมีนักท่องเที่ยวมาเล่นน้ำที่นี่กันเยอะเพราะถือเป็น Hi-light เช่นกันของการมาพักผ่อนที่วังเวียง นักท่องเที่ยวที่สนใจกิจกรรมทางน้ำ เช่นการพายคายัค ลอยห่วงยาง สามารถติดต่อเช่าอุปกรณ์ได้ตามร้าน Adventure ในเมืองแล้วเหมารถนั่งมาจุดท่องเที่ยวแห่งนี้ค่ะ

เรามาแวะพักเหนื่อยกันที่ออร์แกนนิคฟาร์ม ซึ่งเดิมคิดว่าจะมาทานอาหารกลางวันกันที่นี่ แต่ก็ต้องยกเลิกค่ะ สภาพออร์แกนนิคฟาร์มในวันนี้ดูย่ำแย่พอสมควร ความร่มรื่นที่นี่ก็ไม่เหมือนคนที่เคยมาวังเวียงครั้งก่อนๆ ได้บอกเล่าเอาไว้ ศาลาที่นั่งพักเก่าๆ ผุพัง เต็มไปด้วยฝุ่น พนักงานบริการแบบไม่ใส่ใจความต้องการของลูกค้าเลยทำให้เรารู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่เสียเวลามาที่นี่ เราสั่งเครื่องดื่มไปตั้งแต่เริ่มเข้ามาในฟาร์ม 30 นาทีผ่านไปเราไปถามพนักงานทุกคนหยุดพักทานอาหารเที่ยงแล้วบอกว่าไม่รู้ว่าเราสั่ง ก็เป็นอันจบค่ะเราตัดสินใจกลับไปตัวเมืองเพื่อไปทานอาหารกลางวันกันในใกล้ๆที่พัก เราใช้เวลาช่วงบ่ายพักผ่อนค่ะ ชีวิตที่ไม่เร่งรีบนี่ช่างแสนจะวิเศษแตกต่างชีวิตจริงๆของพวกเราอย่างสิ้นเชิง บางครั้งแค่อยากผ่อนคลายก็แค่คุณอยู่นิ่งๆเท่านั้นจริงๆ

ตกเย็นเราปั่นจักรยานจะไปชมสะพานน้ำซอง (อยู่ใกล้กับโรงแรมทวีสุข) จริงๆสะพานแห่งนี้เป็นที่ Recommended ให้มาชมและเก็บภาพบรรยากาศค่ะ แต่เราก็ต้องผิดหวังไม่ได้ถ่ายภาพเนื่องจากเราเดินไปจะถ่ายภาพ พนักงานพูดจาไม่ดีเลยบอกว่าต้องเสียค่าปี้ ถ่ายภาพก็ไม่ได้ต้องจ่ายเงิน (จริงๆการข้ามสะพานต้องเสียค่าปี้ค่ะ) เราไม่ได้จะข้ามสะพานเพียงแต่จะไปดูรอบแม่น้ำเท่านั้น จริงๆแล้วค่าปี้ที่สะพานนี้ไม่ได้มากเท่าไหร่เลย มันก็คุ้มถ้าได้ภาพดีดีตรงจุดชมวิวค่ะ แต่ด้วยความโมโหอย่างมากกับพฤติกรรมแย่ๆของพนักงานทำให้เราตัดสินใจกลับค่ะ เราไปคืนรถจักรยานและเดินกลับไปทานอาหารค่ำที่ร้านเดิม The Terrace  เมนูแนะนำนะคะ ปลานิ่งบ๊วย (ปลานิลค่ะ) อร่อยมาก ลองสั่งมาทานดูนะคะแล้วคุณจะชอบเหมือนเรา...

ก่อนสิ้นสุดวันที่เราต้องทำอีกอย่างคือการไปซื้อตั๋วรถจะไปหลวงพระบางในวันรุ่งขึ้น หาซื้อได้ตามร้านอาหารหรือโรงแรมทั่วไปค่ะ ราคาไม่ต้องต่อเท่ากันหมดควรเลือกที่เราสะดวกเดินมา ไม่ไกลจากที่พักจะมีรถมารับเราไปส่งที่ บขส.วังเวียงตอนเช้า เราเลือกนั่งรถตู้ค่ะ รถออกเลา 9.00 น.เป็นรถรอบแรกที่เดินทางไปหลวงพระบางและเราต้องมารอรถที่ร้านเวลา 8.30 น.

วันสุดท้ายที่วังเวียง...เรามุ่งหน้าสู่หลวงพระบางด้วยรถตู้ที่มีผู้ร่วมทางทั้งหมด 10 คน คนไทย 4 คนนอกนั้นต่างชาติและพระชาวลาวค่ะ ประทับใจน้าคนขับ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ขับรถได้ดีและที่เราเห็นคือการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงวัยที่โดยสารมาด้วยกัน รถจะจอดให้เราทำภารกิจส่วนตัว 2 ครั้งค่ะ ครั้งที่ 2 นี้จะแวะทานอาหารกลางวันด้วย 6 ชั่วโมงเต็มๆ จากวังเวียงสู่เมืองมรดกโลกหลวงพระบาง ทิวทัศนระหว่างทางคดเคี้ยวสูงชัน สวยงามกว่าเส้นทางจากเวียงจันทน์มาวังเวียงค่ะ ใครเคยได้ไปปายมาแล้วก็เตรียมใจว่าที่นี่คดและเลี้ยวมากกว่านะคะ

ชีวิตที่ยาวนาน 6 ชั่วโมงบนรถตู้ในที่สุดก็ถึงหลวงพระบาง บขส.หลวงพระบางเงียบเหงาค่ะ มีรถสองแถวพื้นที่จอดอยู่รอรับคนโดยสาร 2 คัน เราเหมารถเข้าตัวเมือง ค่ารถคนละ 20,000 Kip เราบอกชื่อโรงแรมที่จองไว้กับคนขับรถ วนหากันทั่วแต่ไม่เจอ มาทราบภายหลังว่าโรงแรมเปลี่ยนชื่อจาก Villa Namnuea เป็น Luangprabang Oasis ซึ่งไม่มีใครรู้จัก เราเสียเวลามาใช้ Internet และโทรศัพท์ติดต่อโรงแรมจนต้องเหมารถสองแถวไปส่งอีกครั้งก็เสียเงินอีกคนละ 10,000 Kip ค่ารถ (ค่า Internet 10,000 Kip) ต้องขอบคุณน้องพนักงานร้าน Internet ที่ใส่ใจช่วยเหลือพวกเราเป็นอย่างดี เป็นครั้งแรกของการมาเที่ยวลาวแล้วได้เจอคนลาวมีน้ำใจค่ะ

โรงแรมที่เราพักชื่อ Luangprabang Oasis เราจองโรงแรมผ่านทางผู้ใหญ่ใจดีที่รู้จักันมา สภาพโดยรอบสวยงามค่ะ มีเอกลักษณ์เป็นสระบัวอยู่ใจกลางเหมือนเป็นบ้านสวน การบริการของโรงแรมแบ่งเป็น 4 ส่วนคือ Accommodation มีทั้งหมด 12 ห้องแบ่งเป็น Superior Local House, Hostel และ Dorm ราคาเต็มก็จะเป็น 70 USD, 70 USD และ 18 USD ตามลำดับค่ะ เราพักที่นี่ 3 คืน เสียค่าห้องไปทั้งหมด 183 USD ก็ตกคืนละ 60 USD บวก Service Charge ส่วนที่สอง Tropical Garden Restaurant อาหารไทย แม่ครัวคนไทย รสชาติไทย ๆ ถูกใจ อร่อยดีค่ะ ส่วนที่สาม Tropical Idol Bar เปิดบริการถึง 5 ทุ่มของทุกวัน รสชาติของเครื่องดื่มพอใช้ได้ค่ะ ราคาก็มาตรฐานโรงแรมทั่วไปแต่จะพิเศษที่เบียร์ลาวที่นี่ขายแค่ 8,000 Kip แต่ร้านอื่นๆ 10,000 Kip ส่วนสุดท้าย Dhammada Massage เราไม่ได้ใช้บริการในส่วนนี้ค่ะ เนื่องจากราคาของการนวดที่นี่ค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับที่เมืองไทย ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นต่างชาติทางยุโรปค่ะ

แนะนำสำหรับผู้ที่จะมาเที่ยวว่าการมาหลวงพระบางไม่ต้องกังวลเรื่องการจองที่พัก ควร Walk in มาแล้วเลือกที่เราถูกใจ อาจอยู่ติดแม่น้ำคาน ใกล้แหล่งท่องเที่ยว (ตลาดมืด) หรืออยากมาพักสงบๆก็ออกมานอกตัวเมืองเล็กน้อย ที่พักที่นี่มีหลายแบบ หลายราคาค่ะ หาได้ตั้งแต่คืนละ 500 บาทขึ้นไป (จากการไปสำรวมมา) การจองโรงแรมมาจะพบข้อเสียที่เราต้องเสียเวลาตามหา และเสียค่ารถ ควรนั่งรถมาลงแค่ตัวเมืองแล้วเดินหาเอา ไม่ได้ไกลเลยค่ะ ประหยัดเงินค่าที่พักแล้วเอามาดื่มเบียร์ลาวได้หลายขวดนะคะ...

5 ธันวาคม 2554 วันพ่อของเรา ก็โทรหาพ่อซะก่อน จากลาวมาไทยค่าโทรศัพท์แพงค่ะ เราเปิด Roaming นาทีละประมาณ 30 บาท การโทรออกกด +66 แล้วตามด้วยเบอร์โทรศัพท์ที่ตัด 0 ข้างหน้าออกค่ะ กิจกรรมของวันนี้เราออกมาถ่ายรูปการตักบาตรยามเช้า Hi-light ของการมาลาวค่ะ สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจจะตักบาตรสามารถหาซื้อชุดตักบาตรได้ตามทาง จะมีแม่ค้าแบกข้าวเหนียวกับกล้วยใส่กระจาดมาขายค่ะ ราคาชุดละ 20,000 Kip หลังจากพระบิณฑบาตรเสร็จเราก็เดินมาเรื่อยๆจนถึงแม่น้ำคาน บรรยากาศยามเช้าที่นี่หนาว เย็นๆ กำลังสบายค่ะ อุณหภูมิประมาณ 13-15 องศา สุดทางแม่น้ำคานเราจะพบร้านยอดฮิต (ของคนไทย) คือร้านกาแฟประซานิยม เปิดทุกวัน 5.00 น ถึงเที่ยง ในร้านที่เห็นจะเต็มไปด้วยคนไทยค่ะ เราไม่ได้มานั่งทานอะไร ประหยัดเงินไปทานอาหารเช้าฟรีที่โรงแรมดีกว่า โปรแกรมของวันนี้เราจะไปเที่ยวหลวงพระบางรอบนอกค่ะ Plan เดิมเราจะไปถ้ำติ่งและน้ำตกตาดกวางสี แต่ได้ไปเฉพาะที่น้ำตกตาดกวางสีค่ะ ได้รู้จักกับพี่คนไทยที่พักโรงแรมเดียวกัน เราตัดสินใจกันว่าไปด้วยกันเพราะได้หารค่ารถด้วย

ก่อนการเดินทางไปน้ำตกเราเดินออกมาชมรอบๆเมืองจนถึง “วัดวิชุล” หรือวัดพระธาตุหมากโม บรรยากาศข้างในคล้ายๆกับวัดทางล้านนา โดดเด่นเป็นสง่าคือองค์เจดีย์ที่ชาวหลวงพระบางเรียกว่า พระธาตุหมากโม แปลว่า แตงโม ลักษณะพระธาตุเหมือนแตงโมผ่าครึ่งค่ะ เดินออกจากวัดวิชุลไปเล็กน้อยก็จะพบ “วัดอาฮาม” เป็นวัดเล็กๆซึ่งเป็นสถานที่เก็บชุด “ปู่เยอย่าเยอ” (เทวดาหลวงอารักษ์เมืองหลวงพระบาง) ตามตำนานเล่ากันต่อๆมาว่า เป็นผู้เฒ่าสองผัวเมียที่ช่วยกันตัดเครือเถากาดที่เลื้อยปกคลุมท้องฟ้าเมืองหลวงพระบาง บดบังแสงอาทิตย์จนไม่มีแสงอาทิตย์ให้ความอบอุ่นแก่เมือง หลังจากที่ผู้เฒ่าสองผัวเมียได้ตัดเครือเถากาดเสร็จท่านก็เสียชีวิต เมืองอันหนาวเหน็บจึงกลับคืนสู่อากาศอบอุ่นอีกครั้ง

ออกจากวัออาฮามเรามานั่งรถเช่าเพื่อเดินทางไปน้ำตกตาดกวางสี การเดินทางมาน้ำตกไกลพอสมควร นั่งรถประมาณเกือบ 45 นาที ไม่แนะนำให้ขี่จักรยานมา เพราะระยะทางไกลและต้องขึ้นภูเขาค่ะ บางช่วงทางเปลี่ยว แต่ก็มีนักท่องเที่ยวต่างชาติบางคนที่ปั่นจักรยานมาค่ะ (ไม่เก่งจริงทำไม่ได้นะเนี่ย) ต้องปรบมือให้เลยแหละ น้ำตกกวางสีเป็นน้ำตกหินปูน สูงราวๆ 70 เมตร มี 2 ชั้น เนื่องจากเป็นน้ำตกหินปูนจึงทำให้น้ำของน้ำตกใสเป็นมรเขียวมรกต ระหว่างทางจะผ่านหมู่บ้านลาวสูง (ม้ง) ซึ่งเราก็ได้แวะหมู่บ้านชาวเขาขากลับค่ะ ค่าเข้าชมน้ำตกราคา 20,000 Kip จากปากทางเข้าต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตรค่ะ มีสะพานไม้และทาวเดินชมรอบๆน้ำตกท่ามกลางบรรยากาศป่าร่มรื่นค่ะ (ตอนที่เราไปกำลังมีการสร้างสะพานเหล็ก คาดว่าอีกไม่นานคงเสร็จ นักท่องเที่ยวหลังๆก็ไม่ต้องข้ามสะพานไม้แล้วล่ะค่ะ)

ออกจากน้ำตกเรามาแวะหมู่บ้านชาวเขาประมาณ 15 นาที เดินเข้าไปตามทางจะเต็มไปด้วยร้านขายของทำมือจากชาวเขา มีเด็กๆชาวเขาตัวมอมแมม แต่น่ารักมายื่นของขายให้เรา ฟังออกบ้าง ไม่ออกบ้าง ได้ถ่ายรูปเด็กๆมา น่ารักดีค่ะ

ช่วงบ่ายเราออกมาทานกาแฟที่ร้านอาหารในตัวเมือง เพื่อเตรียมตัวรอขึ้นพระธาตุภูษีค่ะ เราใช้ทางขึ้นยอดนิยมคือตรงข้ามหอพิพิธภัณฑ์ ตรงบันไดทางขึ้นด้านขวามือมีโบสถ์เก่าอยู่หลังหนึ่งชื่อวัดป่าฮวก (วัดป่ารวก) ซึ่งรัชกาลที่ 5 ของเราได้มาสร้างวัดนี้ไว้ ไม่เสียค่าเข้าชมแต่เราก็บริจาคเงินใส่ตู้ไปเพื่อบูรณะวัดค่ะ

เราเดินขึ้นภูษี สองข้างทางจะเต็มไปด้วยต้นจำปาลาวหรือต้นลั่นทมบ้านเราค่ะ ช่วงเราไปดอกยังไม่ผลิเลยเห็นแต่ก้านแตกแขนงก็ดูสวยไปอีกแบบ ต้องเสียค่าปี้ด้วยนะคะ ราคา 20,000 Kip บริเวณจุดขายตั๋วจะมีต้นโพธิ์ใหญ่แผ่กิ่งกก้านร่มเย็นให้ได้พักเอาแรงขึ้นบันไดไปอีก...รวมทั้งหมด 328 ขั้น ค่อยๆเดินมาช้าแต่ก็ถึง บันได 328 ขั้นพาเราไปพบกับองค์ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ และได้พบจุดชมวิวที่ทำให้เรามองเห็นเมืองหลวงพระบางได้เกือบทั้งเมืองเลยค่ะ องค์ธาตุสีทองอร่ามต้องแสงแดด เราสามารถมองเห็นองค์ธาตุหากเราอยู่ด้านล่างได้เกือบทุกทางค่ะ องค์ธาตุเป็นทรงดอกบัวสี่เหลี่ยม ฉัตร 7 ชั้นบนยอด และฉัตรที่ประดับรอบๆทั้ง 4 ด้าน ฐานปูน 3 ชั้น ยอดภูษีนี้เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สูงของหลวงพระบางแต่ตอนนี้ส่วนมากถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ทำให้ทัศนียภาพถูกบดบังไปมากทีเดียวค่ะ  ครั้งนี้เราไม่ได้อยู่รอพระอาทิตย์ตกซึ่งเดิมตั้งใจจะรอถ่ายรูป แต่ผู้คนเริ่มทยอยกันขึ้นก็เลยรู้สึกว่าโชคดีจังที่เราลงมาก่อน นักท่องเที่ยวเยอะมากค่ะ น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่มุมมหาชนบนยอดองค์ธาตุภูษี ที่มองลงมาเห็นพิพิธภัณฑ์ ตอนนี้มองไม่เห็นแล้ว หวังว่าคงมีการดูแลตัดกิ่งไม้รกๆออกไปบ้างเพื่อให้มุมมองของทัศนียภาพงดงามสมคำล่ำลือค่ะ

ตกค่ำเราเดินชมตลาดมืด (เดินจากเย็นจนมืด) ตลาดมืดที่หลวงพระบางก็คล้ายๆถนนคนเดินบ้านเราค่ะ เปิดทุกวันตั้งแต่เย็น (เริ่มตั้งของตั้งแต่บ่ายแก่ๆ) ถึงประมาณ 4-5 ทุ่ม

6 ธันวาคม 2554 วันแห่งการทัวร์รอบเมือง เราตัดสินใจเดินค่ะ เพราะจะได้เก็บภาพบรรยากาศของเมืองได้เต็มที่ สถานที่แรกที่เราไปชมคือ “วัดใหม่สุวันนะพูมาราม” เปิดให้เข้าชมทุกวัน 8.00-16.00 น. เสียค่าปี้คนละ 10,000 Kip ที่วัดใหม่จะพบหลังคาสิมขนาดใหญ่ 5 ชั้นลดหลั่นไล่ระดับ มองเห็นได้แต่ไกล ที่นี่ได้รับการแกะสลักลวดลายจากเพียตัน (พระยาตัน) ซึ่งเป็นศิลปินแห่งชาติของลาว บานประตูเป็นฝีมือการแกะสลักไม้แบบเชียงขวาง วัดใหม่ตั้งอยู่บนถนนนาวัง ใกล้หอพิพิธภัณฑ์ค่ะ

ออกจากวัดใหม่เดินไปตามถนนเส้นเดิมจะผ่าน “หอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง” ซึ่งเคยเป็นพระราชวังเดิมมาก่อนค่ะ เราเที่ยวจนลืมดูวันเดือนปี ลืมไปว่าวันนี้วันอังคารและที่หอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบางนี้จะปิดทุกวันอังคารค่ะ เลยได้ภาพถ่ายจากภาพนอกมา คนท้องถิ่นที่นี่จะเรียกว่า “หอคำ” อยู่ตรงข้ามกับบันไดทางขึ้นภูษีค่ะ

เราเดินชมสภาพบ้านเรือนไปสักพักจะผ่าน Office สายการบินกรุงเทพไปนิดเดินเลี้ยวซ้ายเข้าซอยเพื่อไปยังเป้าหมายต่อไปคือ “วัดป่าไผ่มีไซยาราม” ที่นี่มีลายพอกคำในสิมของวัดที่นับว่าสมบูรณ์ที่สุดในหลวงพระบาง

เดินต่อมาเรื่อยๆจะพบ “วัดหนองสีคูณเมือง” ที่นี่เป็นที่ประดิษฐานของพระเจ้าองค์แสน พระพุทธรูปสำคัญของเมือง จากนั้นต่อมาที่ “วัดแสนสุขาราม” ที่มีพระเจ้า 18 ศอก พระพุทธรูปยืนปางเปิดโลก ตั้งอยู่บนถนนสีสะหว่างวง

วัดสุดท้ายที่เราเข้าชมคือ “วัดเชียงทอง” ตั้งตาตั้งตาตามหา “ต้นไม้กระจกสีในตำนาน” ก่อนเข้าชมวัดเชียงทองใกล้กันเราจะพบ “โรงเมี้ยโกศ” ภายในเป็นที่เก็บราชรถไม้แกะสลัก ปิดทอง บนราชรถมีพระโกศ 3 องค์ รอบๆผนังเต็มไปด้วยพระพุทธรูปไม่และของโบราณเก็บสะสมอยู่ โรงเมี้ยนโกศเป็นสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาอย่างดี สามารถถอดผนังด้านหน้าออกได้ทั้งหมดบานประตูถูกแกะสลักเป็นรูปสีดาลุยไฟผลงานอันแสนสุดยอดฝีมือของ “เพี้ยตัน” อดีตช่างใหญ่ประจำพระราชสำนัก

เสร็จจากชมโรงเมี้ยนโกศเราก็ไปตามหา “ต้นทอง” กันต่อ ค่าปี้ราคา 20,000 Kip ที่วัดเชียงทองนี้ตั้งอยู่ตรงบริเวณที่แม่น้ำคานสบเข้ากับแม่น้ำโขง พื้นที่ภายในวัดเชียงทองกว้างใหญ่ สิมงดงามลักษณะอ่อนช้อย หลังคาแอ่นโค้ง 3 ชั้น สันหลังคาสิมมีช่อฟ้ารูปเขาพระสุเมรุ และเขาสัตบริภัณฑ์ที่ล้อมรอบ 7 ชั้น รองรับด้วยปลาอานนท์ (จากหนังสือคู่มือเที่ยวลาว 3 มิติ โดยศรัทธา ลาภวัฒนเจริญ) และเราก็มาพบต้นไม้กระจกสีในตำนานที่ตามหา “ต้นทอง” ลายต้นทองหลังสิมผูกโยงมาจากความเชื่อของพื้นถิ่นเกี่ยวกับการสร้างเมือง กระจกสีที่ประดับเปรียบเสมือนสิ่งเตือนใจและระลึกถึงชื่อบ้านเมืองแต่เดิม คือเชียงดง-เชียงทอง




แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 54 11:46:18

แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 54 10:53:49

แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 54 10:50:09

จากคุณ : Likar_nil
เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 10:49:09




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com