เรื่องเล่าเรื่อยเปื่อยในตลาดโบ๊เบ๊
|
|
ไม่ได้ออกเดินสำรวจกรุงเทพฯมานาน วันนี้มีธุระแถวตลาดโบเบ๊เลยจัดทริปเดินสั้นๆซะหน่อย
-กระโดดขึ้นรถเมล์สาย 67 อย่างงงๆ เพราะจำได้ลางๆว่ามันผ่านไปแถวๆนั้น เลยถามกระเป๋ารถเมล์ว่าไปโบ๊เบ๊ลงตรงไหนที่ใกล้ที่สุด...เธอตอบอย่างหน้าตายว่า "ไม่รู้"
-ที่ไม่รู้เพราะเพิ่งย้ายมาทำงานได้เพียง 4 วันเท่านั้น ไม่รู้ทิศทางอะไรเลย...ก็เลยยืนจ้องหน้ากับกระเป๋าฯกันไปประมาน 10 วินาที คือ เอ่อ ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะแค่จะขอลงตรงไหนก็ได้ใกล้ๆเธอยังไม่รู้เลย ... ตอนนั้่นแอบกลัวโดนกระเป๋าด่าบนรถเมล์เหมือนกันนะ
-ประเด็นหลงทางแบบนี้ ไม่รอดพ้นหูทิพย์ของเพื่อนร่วมขบวนอย่างป้าๆลุงๆใจดีที่นั่งข้าง...พอรู้ว่าเราไม่รู้ทาง ก็จัดเต็มเส้นทางไปโบ๊โบ๊กันมาคนละสองสามเส้นทาง บรรยายกาศสุมหวักันเหมือนตอนเปียร์แชร์ชะมัด
-ฟังมาหลากหลายมาก จะให้ลงนั่น ต่อนี่ เดินนั่น อะไรก็ไม่รู้ - - ฟังไม่รู้เรื่องเพราะนึกถนนไม่ออก แต่พอจับใจความได้ว่าให้ลงหน้าโรงพยาบาลรามาฯแล้วต่อสามล้อไป ไม่เกิน 30 บาทหรอก...อ่อ ขอบคุณนะครับป้า แต่ถ้าไม่ไกลมาก ผมอยากเดินเล่นมากกว่า
-แม้จะไม่ได้รับข้อมูลการเดินทางที่แน่นอน ว่าตกลงแล้วมันควรไปต่อรถยังไง แต่ที่ได้รับรู้ได้เต็มๆ คือ น้ำใจของเพื่อนร่วมรถเมล์รุ่นคุณลุงคุณป้าที่มักจะเต็มใจช่วยเหลือเสมอยังมี่อยู่ ...แม้ความจริงแล้วข้อมูลที่ให้มา อาจจะทำผมหลงทางก็ตาม...รับรู้ได้ถึงน้ำจิตน้ำใจนะครับ
-กระโดดลงตรงหน้ารามาฯ แล้วตัดสินใจว่า เอาละ เดินก็เดิน เพราะดูจากแผนที่แล้วมันน่าจะไม่ไกลหรอกน่า...แค่ 1-2 บล็อกถนนเอง
-แอบดีใจอยู่อย่างหนึ่งที่ตัดสินใจเดินลงดีกว่านั่งรถ...เพราะเอาเข้าจริงแล้ว เราเดินแซงรถเมล์และรถยนต์ที่ติดอยู่บนถนนในช่วงเย็นไปได้หลายสิบคัน
-เดินผ่านแยกอุรุพงษ์ ก็เลยทำให้รู้ว่านี่หรือคือแยกอุรุพงษ์ ที่มักได้ยินในรายงานสภาพการจราจรคลื่น จส.100 ...ซึ่งเป็นอีกแยกหนึ่งที่ติดมากๆ
-ระหว่างเดินไปบนถนน เจอคนจรจัดไร้บ้านหลายคน...และพื้นที่เก็บกองขยะรีไซเคิลใต้ทางด่วนอีกหลายจุด... นึกไปนึกมา อืมม นี่เราเดินเข้ามาในหมู่บ้านของพวกเขานี้หน่า
-เดินต่อมาอีกหน่อย ถึงแยกตัดถนนพระรามหนึ่ง...ถัดไปทางซ้ายมือประมาน 1 กิโลเมตร์ สามารถเลี้ยวไปสู่สยามแสควร์และสยามพารากอน ศูนย์รวมไข่แดงของคนกรุงเทพฯได้ ...เป็นหนึ่งกิโลเมตรที่ได้แบ่งกลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงออกจากกัน
-ได้เห็นตลาดใต้สะพานข้ามคลองกรุงเกษม ซึ่งสามารถค้าขายอาหารการกินกันได้อย่างไม่แคร์ควันเสียรถยนต์จากถนนข้างๆ ....
-ปลาทูทอดที่วางขายกันที่นี่ก็ไม่ใช่แค่ปลาทูทอดธรรมดา เพราะความพิเศษ คือ ต้องผ่านกรรมวิธีแดดเดียว(จากการวางเปิดอ้าท้าแดดจัด)และกรรมวิธีรมควันจากฝุ่นคาร์บอน (จากไอเสียต่างๆ)...ซึ่งท่าทางจะเป็นสูตรที่อร่อยทีเดียว เพราะคนต่อคิวรอซื้อเยอะมากกกก
-ผัก ผลไม้ แกงหม้อ เป็ดพะโล้ หมูปิ้ง อะไรต่อมิอะไรก็ถูกเปิดอ้าให้รมด้วยควันคาร์บอนจากรถที่กำลัติดได้ที่กันทุกเมนู ... แอบอยากลองชิมหน่อยซิ ว่ามันอร่อยกว่าแบบธรรมดาไหม
-เดินอีกหน่อย เลี้ยวขวาก็ถึงโบเบ๊ ...สังเกตได้จากกองทัพเวสบ้าขบวนใหญ่ที่วิ่งเข้าๆออกๆจนนับไม่ทน
-พอเข้าสู่โบ๊เบ๊แล้วก็เหมือนเข้าสู่เมืองแห่งการช๊อปปิ้งเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ...อยากบอกว่าราคามันถูกมากแสนมาก...โดยไม่ต้องพึ่งโครงการโบเบ๊มิดไนท์เซลล์แบบพารากอน ที่พอไปถึงจริงๆแล้วลดอยู่ 2 เค้าเตอร์ ให้เสียเวลาไปเล่นๆ ...อันนี้ลดจริงไรจิงอ๊ะ!
-เนื้อผ้าและลายผ้าอาจจะดูไม่ถูกตาหรือถูกใจไปหน่อย...เพราะอาจะไม่คุ้นกับลายทำนองนี้ แต่เหมือนตาดีได้ตาร้ายเสีย ลายบางตัวแทบไม่ต่างจากที่แขวนในห้าง... เชื่อมั้ยว่าแค่ตัดโลโก้ว่าผลิตจากจีนออกไปหน่อยก็ดูดี(ในความรู้สึก)ขึ้นไปเยอะละนะจ๊ะ
-เกิดเป็นลูกสาวลูกชายของเถ้าแก่คนจีนที่นี่ก็ถือว่าโชคดีดีเหมือนกันนะ...ได้โอกาสเรียนโรงเรียนแพงๆอย่างมาร์แตร เซนโยฯ เพราะพ่อแม่ทำค้าขาย รวยมากกกกก แถมตกเย็นป๊าม๊าให้คนงานไปรับ กลับมานั่งเล่นเกมกดกับกินของอร่อยๆหน้าร้าน รอกลับบ้านอีก
-ในขณะเดียวกันลูกสาวลูกชายแสนห้าวของผู้ใช้แรงงานก็มักต้องเดินกอดคอกลับบ้านกับเพื่อนซี้บ้านใกล้ๆกัน...เพราะพ่อแม่ไม่ว่างไปรับ เนื่องจากเป็นเวลาเก็บร้าน และบ้างก็ต้องไปเริ่มตั้งร้านใหม่ขายที่ตลาดมืดใกล้ๆ
-ยืนฟังคำพูดของเด็กแถวๆนี้...ทำให้รู้สึกว่าเป็นเด็กที่แกร่งกร้าวเกินเด็กในแบบอื่นจริงๆ ...มีคนเดินตัดหน้าหน่อยโดนด่าซะเปิง .... ไม่รู้ว่ารู้จักกันมาก่อนรึเปล่า
-แวะทำธุระกับเถ้าแก่จนเสร็จเรียบร้อย เหลือเวลาว่าง เลยเดินทัวร์ตลาดซะหน่อย
-พบว่าที่นี่เป็นแหล่งจ้างงานของคนใช้แรงงานแหล่งใหญ่อีกแห่งหนึ่ง...ให้ประเมินคร่าวๆ คิดว่ามีร้านในโบ๊เบ๊ไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันร้านค้า ทั้งเขตขายเสื้อผ้าและอาหาร ...รวมคนงานแต่ละร้านน่าจะหลายพันคนอยู่
-อยากหาข้อมูลเรื่องคนใช้แรงงานใกล้ๆในกรุงเทพฯ...ก็มาโบ๊เบ๊ได้เลย นั่งดูตั้งแต่เช้ามืดยันหกโมงเย็นรับรองว่าครบถ้วนไลฟสไตล์คนใช้แรงงาน
-ตั้งแต่เรื่องกิน ...ที่กินกันง่ายๆ ข้างแกงถุงละสิบ อาหารตามสั่งกินง่ายๆ แบบม้วนเดียวจบ ไม่เน้นของสดของคาวที่ต้องเอาไปทำกินเองให้เสียเวลานอน
-ขนมขวานเก๋ๆเท่ห์หรือกินแล้วเปลือเงิน อย่างโตเกียว โรตี ขนมเบื้อง ทับทิมกรอบ น้ำแข็งใส พวกนี้อย่ามาหลอกเอาเงินให้ยาก...ที่นี่ไม่นิยม นะจ๊ะ
-ต้องไข่สมุนไพร ไก่ย่าง ตูดไก่ย่าง ตับย่าง ไส้ปิ้ง ปลาหมึกย่างสีเหลืองส้ม ลูกชิ้นเนื้อวัวน้ำจิ้มแซ่บ...อะไร ทำนองนี่เนี่ยสิ...อิ่มแน่นอน
-จนถึงเรื่องเสื้อผ้า...ที่ราคาไม่มีเกิน 199 ...เน้น 59 79 ให้ซื้อง่ายขายคล่องเข้าไว้...สีและลาย ก็ตามแต่รสนิชมชมชอบกันเลย...
-และบ้านอาศัยให้นอนหนุนหัว...ก็นอนกันง่ายๆในเพิงใต้ทางด่วน แฟลตในชุมชน หรืออะไรประมานนี้แหละ
-สงสัยเหมือนกันว่ากินอยู่กันได้ยังไง คือ ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าความสะอาดขของอาหารการกินและความสุนทรีย์ในการใช้ชีวิตมันไม่ได้มาตรฐานในความคิดเราเท่าไหร่ ...แค่มีกินครบ 3 มือ มีที่ซุกหัวนอนเล็กๆ ก็พอเพียงแล้วใช่ไหม
-ช่วงหัวค่ำ ถนนเส้นนี้ก็รถติดมากไม้แพ้ถนนสายหลักเส้นอื่นๆ จนขนาดกระเป๋ารถเมล์สามารถวิ่งลงไปซื้อลูกชิ้นปิ้งขึ้นมากินกันกับคนขับได้...ไม่แคร์ผู้โดยสารที่กำลังหิวตาลายบนรถ
-เป็นถนนที่เดินแล้วได้เห็นอะไรหลากหลายดี ...
...เหมือนจะมองเห็นความสัมพันธ์ที่ผูกเกี่ยวกันอยู่อย่างหลวมๆ เถ้าเจ้าของร้านที่มีกิจการใหญ่โต ลูกค้าต่างถิ่นที่แวะเวียนกันมาสั่งของที่ต้องการ กับคนใช้แรงงานที่อาสาทำงานแลกเงินเลี้ยงชีพ
ไม่มีประเด็นแบบชัดๆมาเล่านะเรื่องนี้ ... แค่รู้สึกอยากเล่าว่า วันนี้ไปเจอภาพอะไรมาบ้างแค่นี้แหละ : )
จากคุณ |
:
หนึ่งกระบี่ แปรสามแจ้ง
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ธ.ค. 54 16:17:27
|
|
|
|