ความคิดเห็นที่ 1 เราขึ้นยอดดอยก่อน ถึงจุดชมวิว ที่กม.41 ตั้งแต่ จุดนี้เป็นต้นไปจนไปถึง กม.42คือกิ่วแม่ปาน "ชันที่สุด" ต้องระวังในการขับขี่ด้วยครับ เราแวะที่ กม.41 ตอนลงจากมอ'ไซด์ กี่ครั้งกี่ครั้ง ก็เกือบเสียหลักครับ ถ้าล้มก็กลิ้งล่ะครับ ใครเคยเดินแถวนั้นจะทราบครับ เดินมองซ้ายมองขวาดูรถที่ผ่านไปมาด้วย นี่ครับ ยิ่งสูงยิ่งหนาว แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 55 11:17:06 จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:15:40

ความคิดเห็นที่ 2 นี่ครับปีนขึ้นไปชมวิวจากข้างบน ค่อยๆเดินครับ เดี๋ยวเสียหลัก เช้าๆก็มาชมพระอาทิตย์(ดวงเดียวกับที่บ้าน)ขึ้นครับ แต่ผมขอบายครับขี้เกียจ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:16:05

ความคิดเห็นที่ 3 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:16:36

ความคิดเห็นที่ 4 อันนี้อายครับ ฝีมือถ่ายพานอรามาสมัยหัดใหม่ๆ ลืมล็อคค่าแสง แต่อยากเอามาให้ดู คราวหน้าจะปีนไปถ่าย360องศาเล๊ย! จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:17:00

ความคิดเห็นที่ 5 ตรงหน้าหินผา ห้ามนะครับยืนเท่ห์แถวนั้น ให้นั่งแล้วกระเถิบไปเรื่อยๆ ใช้เท้านำทางไปก่อน เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ เผื่อสะดุดหินหรือใครเสียหลักใส่เรา นึกถึงกรณีที่มีคนตกภูชี้ฟ้าไว้ครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:17:36

ความคิดเห็นที่ 6 ภาพนี้ผมหมอบถ่ายครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:18:27

ความคิดเห็นที่ 7 เราใกล้ถึงจุดท่องเที่ยวที่สำคัญลำดับถัดไปแล้วครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:18:41

ความคิดเห็นที่ 8 เล่าให้ฟังนิดนึง มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเคยเดินเท้าจากจุดชมวิว ขึ้นไปถึงพระมหาธาตุ ที่ กม41 กับเป้ และกระเป๋ากล้อง ครั้งนั้นพักจากแม่แจ่มเพิ่งขึ้นมายังไม่ได้แวะเข้าที่พัก (ครั้งก่อนเอาเป้กล้องมา) ตัวกระเป๋ากล้องหนักสัก 2-3โล ขากล้อง เป้เสื้อผ้า ขนาดแรงดีๆโอ้โฮ ถ่วงหน้าถ่วงหลัง เดินทีแทบเสียศูนย์ ประกอบกับอากาศบางเบา แถวนั้นสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่2,000 กว่าเมตรแล้วครับ ลมแรง อากาศเย็นมากๆ จมูกเย็นเฉียบปวดจมูกมากๆ ต้องกุมจมูกไว้เลย ชันสุดๆค่อยๆเดินขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเนื่องจากเพื่อนอีกคนเขาขับมอไซด์ขึ้นไม่ไหว ผมเลยต้องลงเดิน ก็เป็นความทรงจำดีๆที่ตอนนั้นรู้สึกยากลำบาก ที่“ถ้าเราไม่ไปแสวงหา คำว่าประสบการณ์ก็จะไม่เกิดขึ้น”ครับ รู้สึกชีวิตมันได้กำไรมากขึ้น การเที่ยวแบบใช้เงินซื้อความสะดวก ไม่ต้องการออกแรงมาก ไม่ต้องการขยับเดี๋ยวเหนื่อย เที่ยวแบบนั้นผมเสียดายเงินครับ เพราะชีวิตไม่ได้มีอะไรใหม่เพิ่มเติมเข้ามาเลย ไม่ค่อยเกิดการกระตุ้นของสมอง เลยเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีความทรงจำเรื่องชีวิตตัวเอง เพราะว่าจำไม่ได้ เล่าเรื่องอะไรสักเรื่องก็ไม่เต็มปาก ก็..... ต้องบอกว่า นานาจิตตํ(นานาจิตตัง)ครับไปว่าเขาไม่ได้ เพียงแต่ผมไม่ชอบคนที่เขาวิพากษ์วิจารณ์การเดินทางสไตล์ผม เพียงเพราะเหตุสั้นๆคือ ไปแล้วเหนื่อย แถมลำบากจะไปทำไม ครับ!ถูกแล้วครับที่คุณคิดอย่างนั้น นอนอยู่กับบ้านน่ะถูกแล้ว สำหรับผมชีวิตยังมีอะไรที่ต้องไปแสวงหาอีกเพียบ แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 55 04:19:42 จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:19:01

ความคิดเห็นที่ 9 บ่นมากไปแล้ว เรามาต่อกันที่ กม.41.5ดีกว่า กม.นี้เป็นอีกจุดหนึ่ง ที่นักท่องเที่ยวต้องแวะครับ สร้างโดยกองทัพอากาศร่วมกับพสกนิกรชาวไทย เนื่องด้วยครบรอบพระชนมพรรษา 5 รอบ เมื่อปี2530 (ตอนนั้นผมป.5)โดยสร้างพระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดลก่อน เมื่อพระราชินีมีพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อปี2535 จึงสร้างพระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ เพื่อให้อยู่คู่กัน จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:20:08

ความคิดเห็นที่ 10 พระมหาธาตุทั้ง2องค์นี้มีรูปทรงคล้ายคลึงกัน คือมีฐานเป็นรูปเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ8และ12 เหลี่ยม ยอดปลีสีทองกั้นด้วยฉัตรสีเงิน9ชั้นเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ มีระเบียงแก้วโดยรอบเป็น2ระดับ สูง60เมตร และ55เมตรตามลำดับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:20:24

ความคิดเห็นที่ 11 พระพุทธรูปบูชาที่ประดิษฐานภายในห้องโถงพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ แกะด้วยหินหยก สีขาวบริสุทธิ์(องค์ยืน) สั่งแกะจากประเทศจีน มีขนาดความสูง3เมตร20ซม. ได้รับพระราชทานนามว่า "พระพุทธสิริกิติทีฆายุมงคล" มีความหมายว่า “พระพุทธเจ้าทรงเป็นสิริมงคลและทรงเจริญพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” ส่วนองค์นั่งเป็นพระพุทธรูปหินแกรนิตที่ประดิษฐานภายในห้องโถงพระมหาธาตุนภเมทนีดล มีขนาดหน้าตัก 60นิ้วสูง 7.3 ฟุต กองทัพอากาศสั่งแกะจากประเทศอินโดนีเซีย แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อว่า "พระพุทธบรมศาสดา นวมินทรมหาจักรีราชานุสรณ์ สัฐิพรรษาสถาพรพิพัฒน์" แปลว่า "พระพุทธเจ้าพระบรมศาสดา สร้างเป็นอนุสรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระชนมพรรษา60" จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:20:51

ความคิดเห็นที่ 12 พระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดลถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช มีความหมายว่า “พระสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุที่ยิ่งใหญ่เพียงฟ้าจดดิน” จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:21:11

ความคิดเห็นที่ 13 พระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริถวายสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระนางเจ้าสิริกิตติ มีความหมายว่า “เป็นกำลังฟ้าเป็นสิริแห่งดิน” จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:21:31

ความคิดเห็นที่ 14 มุมใกล้มุมไกล ส่วนความสูง องค์เจดีย์นภพลภูมิสิริของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ จะต่ำกว่าองค์เจดีย์นภเมทนีดลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่5เมตร เพื่อแสดงความหมายถึงสมเด็จพระนางเจ้าฯทรงอ่อนพระชันษากว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว5พรรษา และทั้งสองพระมหาธาตุเจดีย์นี้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ขึ้นประดิษฐาน ไว้ภายในยอดปลี จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:21:50

ความคิดเห็นที่ 15 จัดสวนไม้เมืองหนาวฝีมือชาวเขาครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:22:19

ความคิดเห็นที่ 16 ค่าเข้าตามนี้ครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:22:50

ความคิดเห็นที่ 17 อันนี้เดินเข้ามาจากด้านหน้า ตรงป้อมด้านหลังคือที่ชำระค่าเข้า โดดทีแทบเลียหลัก เพราะชันมาก จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:23:13

ความคิดเห็นที่ 18 ทางเข้าชันๆช่วงสั้นๆ ช่วงหน้าหนาวนักท่องเที่ยวเยอะ จะมีบริการรับส่งจากจุดจอดรถด้านหน้า เยื้องๆกิ่วแม่ปาน แล้วพาขึ้นไปที่ลานจอดรถ ถ้าเดินเองไม่ไกลครับ หรือจะเดินชิดทางขวาสุดๆจะมีสวนดอกไม้ ตกแต่งแบบเดินขึ้นบันไดแต่จะเป็นชั้นเป็นขั้นกว้างๆ ไม่เมื่อย ผู้ใหญ่น่าจะชอบ แต่ค่อยๆเดินนะครับ เพราะอากาศบางเบา จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:23:35

ความคิดเห็นที่ 19 มุมนี้ถ่ายจากกิ่วแม่ปาน กม.42 จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:23:57

ความคิดเห็นที่ 20 ในนี้มีดีเยอะครับ เปิด-ปิดเป็นเวลา แต่สามารถอยู่ได้จนเย็น วันฟ้าใสสามารถเห็นแม่แจ่มอยู่เบื้องล่าง ส่วนใครสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ 2 องค์พระมหาธาตุเจดีย์นี้ สามารถเข้าดูได้ที่ http://www.rtaf.mi.th/rtaf-travel/jd.htm จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:24:16

ความคิดเห็นที่ 21 เดินมาอีกหน่อย ก็กม.42 กิ่วแม่ปาน ถ้าใครชอบสำรวจธรรมชาติ ก็มาลุยกันครับ ต้องใช้เจ้าหน้าที่นำทาง เท่าที่เห็นจะเป็นม้ง สนนอยู่ที่ 200 บาทต่อเที่ยว จำนวนกลุ่มนักท่องเที่ยวต่อครั้ง 15 คน  ระยะทาง3กิโลเมตร แต่ไม่หมูอย่างที่คิด ใช้เวลาพอดีๆ ประมาณ 3 ชม. ถ้าเดินกันช้า มากันเยอะ ถ่ายรูปกันไปเรื่อยก็ 4-5 ชม. เท่าที่สอบถามบางเซ็ต เข้าไป 6-7ชม. ก่อนเข้าไปต้องลงชื่อ-สกุลก่อน สำหรับเช็คคนที่เข้าไป เพื่อป้องกันการพลัดหลง เพราะขาออกต้องเซ็นต์เวลาด้วย จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:24:35

ความคิดเห็นที่ 22 แนะนำเอาน้ำดื่ม ลูกอม หวานๆจัดๆ ช็อคโกแลต เข้าไปด้วยครับ เตือน! ยาดมด้วย สำหรับเวลาที่เหนื่อยครับ จะเป็นพลังงานอย่างดี จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:25:00

ความคิดเห็นที่ 23 ช่วงแรกๆจะเป็นชั้นดินแบบขั้นบันได ค่อนข้างชัน คนนำทางเขาเดินเร็วมาก แข็งแรงสุดๆ ผมหอบเ เ ด ก ครับ อากาศบางเบา ชุดหมีหนักๆ รองเท้าคอมแบท กระเป๋ากล้อง เพิ่งบริจาคเลือดอีกต่างหาก เลือดจะน้อย จะรู้สึกหนาวกว่าปกติ และเหนื่อยง่ายกว่าคนทั่วไป อย่างที่บอกครับอากาศบางเบากว่าปกติ อยู่ที่นี่ผมดูเหมือนคนขี้โรคไปเลย 555 อยู่กรุงเทพฯแข็ง แรงไม่มี โรคภัยเบียดเบียน อ้าว!ใส่วรรคผิด แย่จัง! จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:25:19

ความคิดเห็นที่ 24 น้ำตกเล็กๆในนี้ น้ำใสมาก มีแอบตักกินครับ เพราะกระหายน้ำ คนนำทางก็กินน้ำจากน้ำในกิ่วแม่ปานครับ ตอนขาออกเขายังเอาน้ำมาให้ดื่ม เย็นเหมือนเอาออกมาจากตู้เย็น ชื่นใจมาก สงสัยเลยถามเขา เพราะใสเหมือนน้ำปะปาเลย จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:26:01

ความคิดเห็นที่ 25 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:27:51

ความคิดเห็นที่ 26 เดินเข้าไป จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:28:17

ความคิดเห็นที่ 27 ผ่านทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์ (alpine savanna) มักขึ้นปกคลุมสันเขาและยอดเขา บริเวณที่สูงกว่า 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล บนพื้นที่โล่ง ดินค่อนข้างตื้น และมีหินโผล่ ปกคลุมสลับกับไม้พุ่มและพืชล้มลุกที่พบในเขตอบอุ่น) แถมได้ปะกับรอยเท้ากวาง ถ้าโชคดีก็เจอทั้งตัว แต่คนนำทางบอกว่าต้องเดินเบาๆ แต่ผม.... เหอะ เหอะ เหอะ แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 55 05:14:38 จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:28:33

ความคิดเห็นที่ 28 ถึงจุดชมวิวแม่แจ่ม แต่วันนี้อากาศไม่แจ่ม คนนำทางบอกว่าปกติฟ้าจะใสครับ เพิ่งเคยเห็นวันนี้มีแต่ปุยหมอกฟุ้งไปหมด ลมแรงมากๆ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:28:52

ความคิดเห็นที่ 29 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:29:08

ความคิดเห็นที่ 30 จุดชมวิวหน้าผา ค่อนข้างหวาดเสียวสำหรับคนกลัวความสูง และค่อนข้างชัน โต้ลมสุดๆ คนผอมจัดๆอาจมีแกว่ง จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:29:38

ความคิดเห็นที่ 31 จากจุดชมวิว เราจะเห็นผาแง่มน้อย (หินแกรนิตคู่ที่ตั้งตระหง่านผ่านร้อนหนาวมาประมาณ 200ล้านปี) ชัดที่สุดของผมได้แค่นี้ครับ ผาแง่มน้อยเกิดจากหินหลอมเหลว (magma) ที่ดันตัวตัดผ่านหินไนส์ (gneiss) ที่มีอายุเก่าแก่มากกว่า 530 ล้านปี ยุคพรีแคมเบรียน (Precambrian) เมื่อหินหลอมเหลวที่ยังอยู่ใต้ผิวโลกเย็นตัวลง มวลของหินแกรนิตมีการหดตัวและปรากฏรอยแตก (fracture) บริเวณขอบของมวลหิน เมื่อเวลาผ่านไปเปลือกโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้นคือ กระบวนการก่อเทือกเขา (orogeny) ทำให้ผิวโลกมีการยกตัวขึ้นเป็นภูเขา ปรากฏการณ์ที่สำคัญต่อมาหลังจากที่หินปรากฏบนผิวโลกคือการผุพังอยู่กับที่ (weathering) และการกัดกร่อน (erosion) หินแกรนิตเกิดจากแร่ประกอบหินหลายชนิด เช่น ควอรตซ์ (quartz) เฟลด์สปาร์ (feldspar) ไบโอไทต์ (biotite) และมัสโคไวท์ (muscovite) แร่ประกอบหินแต่ละชนิดมีอัตราการผุพังที่ต่างกัน เช่น แร่เฟลด์สปาร์ จะผุพังง่าย และเร็วกว่าแร่ควอรตซ์ เพิ่มเติมเนื้อหาได้ที่ http://park.dnp.go.th/visitor/scenicshow.php?id=12 จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:30:28

ความคิดเห็นที่ 32 ภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายก่อนที่....................... ที่....................... ที่....................... ฝนกระหน่ำครับ เสียงดังมาแต่ไกลจากแม่แจ่ม ถึงว่าน้องที่นำทางบอกว่า ปกติหมอกจะไม่เยอะ ถึงบางอ้อกันเลยทีเดียว จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:31:01

ความคิดเห็นที่ 33 เก็บกล้องไม่ทันครับเปียกซะ แต่โชคดีที่เอาเป้กันน้ำไปด้วยรอดไป เกือบเดทสะมอเร่อยู่แถวนั้นครับ ภาพสุดท้ายในครั้งนั้นเลยคือภาพนี้ ตัวหนักมากเพราะชุดที่ใส่อมน้ำ ข้างในมียีนส์ กับชุดหนาๆกันหนาว คอมแบตมีแต่น้ำ ในป่ามืดตื๋อเลยครับเพราะต้นไม้ที่นี่สูงใหญ่หนาทึบ น่ากลัว น้ำป่าเชี่ยวและแรงมาก ดีที่ไม่มีไดโนเสาร์พันธุ์แรพเตอร์อยู่ในนี้ ที่เดินทางมันได้แค่ครึ่งทาง ครั้งนี้ผมรู้สึกหฤโหดที่สุดที่เคยผจญภัยมา หนาวมาก ตัวก็เปียก น้ำก็หิว มีแค่ 3 คนกลมเกลียวสามัคคี ไม่ทิ้งกัน แต่เขาเห็นสภาพผู้ป่วยเลือดน้อยอย่างผม เขาเลยบอกว่า จะรีบเอากระเป๋ากล้องไปที่กิ่วก่อน แล้วจะรีบมาให้อยู่ตรงนี้อย่าไปไหน เขากลัวผมหลงครับ แต่ประสบการณ์ในการเดินป่าก็มีอยู่บ้าง เลยเดินไปตามกำลังครับ หนักจริงๆยกขาแทบไม่ขึ้น นึกว่าจะตายกลางป่าซะแล้ว ทริปที่ไปเดินกิ่วแม่ปานในครั้งนั้นได้มีโอกาสไปนอนบ้านม้ง ที่เป็นบ้านจริงๆ ได้ไปนั่งผิงไฟ จับพลัดจับผลูมาก ผมขอกินข้าวเขาตรงๆเลย เพราะหนาวและหิว(เป็นคนหน้าด้านอยู่แล้วครับ อิอิ) ร้านค้าปิดหมดเลย แม่น้องเขาทำกับข้าวให้กิน อร่อยดี ส่วนพี่สาวเขาไปขนที่นอนจากบ้านเขามาปูรอไว้เลยตั้งแต่กินข้าวยังไม่เสร็จ แล้วบอกสามีให้ขับรถไปเก็บเต็นท์ที่ กม.26 เขาบอกยิ้มๆว่า อยากให้คนเมืองรู้ว่า คนม้งมีน้ำใจ ต้องขอขอบพระคุณครอบครัวของน้องวันชัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เป็นความทรงจำที่ผมมิรู้ลืมเลยครับ แต่ไม่ได้ถ่ายภาพนะครับ ผมมองว่าเป็นเรื่องของมารยาท คงเหลือแต่เพียงความทรงจำ วันนั้นจนถึงวันนี้ผมกับน้องเขาก็ยังเป็นเพื่อนกันครับ เหตุการณ์ในครั้งนั้น ผมรู้สึกว่าผมโชคดี น้อยคนที่มีโอกาสแบบผม นี่แหละครับ ผมไปแล้วได้กำไรชีวิตกลับมา ได้เพื่อนใหม่เพิ่มอีกหลายคน ถ้ามีรถผมก็จะแวะไปหาเขาทุกครั้ง ชวนออกมากินข้าวกัน โม้ยาวเลย ความประทับใจ ความทรงจำที่กิ่วแม่ปาน อันนี้ไปถ่ายซ่อมครั้งถัดมาครับ อำเภอแม่แจ่ม หมู่บ้านเล็กๆในแอ่งกระทะของดอยอินทนนท์ มองจากกิ่วแม่ปาน วันฟ้าใส จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:31:34

ความคิดเห็นที่ 34 อ่ะอีกภาพ พานอราม่าสมัยแรกๆ ห่วยแตกเป็นบ้า จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:31:56

ความคิดเห็นที่ 35 ลมยัง แร๊ง......ซ์ เหมือนเดิม ปล่าวอ้วนนะครับ ฝีมือ“ลม”ครับ (ร้อนตัวจริงๆ) อ้อ!เห็นตัวเองใส่ยีนส์ เพื่อนๆเชื่อไหมครับ อยู่บนดอยนี้ คุณสมบัติของผ้ายีนส์เทียบเท่าแค่ผ้าขาวบางครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:32:17

ความคิดเห็นที่ 36 แถวนี้มีกุหลาบพันปลีสีแดงเยอะครับ เดี๋ยวนี้เรียกเพี้ยนกลายเป็นกุหลาบพันปี (กลายเป็นจุดขายกันไป เพราะนึกว่าอายุเป็นพันปี) ประเดี๋ยวประด๋าวก็แห้งเหี่ยวครับ มีเยอะครับช่วงหน้าหนาว เหมือนกุหลาบทั่วไป จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:32:34

ความคิดเห็นที่ 37 ไปกันต่อ แต่ก่อนถึงกม.สุดท้ายทางจะชันอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เท่าแถวๆ กม.40-42 ก่อนถึงยอดดอยมีทางยุบถล่มด้วยไม่แน่ใจว่าซ่อมแล้วเสร็จรึยัง จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:32:54

ความคิดเห็นที่ 38 กม.สุดท้ายแล้วครับ ยอดดอย กม.48 คุณคือผู้พิชิตดอยอินทนนท์ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:33:09

ความคิดเห็นที่ 39 ภาพนี้ถ่ายเมื่อ มกราคม53 ตอนใกล้บ่าย2โมงครับ ไม่หนาวเล๊ย 10 องศาเอ๊ง! ปีถัดมาก็จิ๊บๆ 7 องศากว่า ขอบอกว่าส่วนที่โผล่จากผ้า ช...า...ครับพี่น้อง สังเกตว่าปลายนิ้วก้อยจะเหี่ยวๆ น้ำอัดลมเย็นซ่าแบบไม่ต้องแช่ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:33:28

ความคิดเห็นที่ 40 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:33:49

ความคิดเห็นที่ 41 ที่นี่เป็นที่ตั้งสถานีเรดาห์ของกองทัพอากาศ และมีที่เที่ยวน่าสนใจทั้งทางซ้ายและขวาครับ อ้าว!แล้วใครทะลึ่งเอาลูกบอลไปไว้บนนั้นน่ะ!?!?! จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:34:09

ความคิดเห็นที่ 42 กล้องดูดาวแบบสะท้อนแสงขนาด14นิ้ว ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:34:24

ความคิดเห็นที่ 43 เราไปดูขวามือก่อน เป็นที่ประดิษฐานสถูปเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าเมืองนครพิงค์องค์สุดท้ายซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของป่าไม้และหวงแหนดอยอินทนนท์เป็นอย่างมาก ต้องการที่จะอนุรักษ์ไว้จนชั่วลูกชั่วหลาน ท่านผูกพันกับที่นี่มากจึงสั่งว่า หากสิ้นพระชนม์ไปแล้วให้แบ่งเอาอัฐิส่วนหนึ่งมาไว้ที่นี่ ผมเคยฟังเรื่องเล่าของคนท้องที่ว่า สมัยโบราณถ้ามีคนต่างถิ่นขึ้นมาที่ดอยอินทนนท์ จะทราบได้เลย เพราะฟ้าจะครึ้มผิดปกติไปหมด อันนี้ผมเคยได้ยินมานานแล้ว ถ้าเอามาปะติดปะต่อกันอาจเป็นเรื่องของอาถรรพ์บางอย่างที่เรามองไม่เห็นก็เป็นได้ เพราะสมัยนั้นมีเรื่องของธุรกิจทำป่าไม้ (สมัยนั้นล้านนาเป็นบ่อทองของนานาประเทศในผลประโยชน์ป่าไม้) ต้องกลับไปดูประวัติของท่าน ผู้อ่านจะเข้าใจมากยิ่งขึ้น ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เป็นการปะติดปะต่อของผมเฉยๆนะครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:34:53

ความคิดเห็นที่ 44 จริงๆแล้วดอยอินทนนท์นั้น เดิมชื่อ อ่างกาหลวง (เนื่องจากมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีน้ำขังตลอดปี และมีหินก้อนใหญ่รูปร่างเหมือนกาตั้งอยู่) แต่หลังจากที่ท่านถึงแก่พิราลัยและอัญเชิญอัฐิไปประดิษฐานแล้ว จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นดอยอินทนนท์จนถึงปัจจุบัน มีหมุดพิกัดตั้งอยู่ อันนี้อันเก่า จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:35:18

ความคิดเห็นที่ 45 ส่วนอันใหม่สนับสนุนโดย.......... โลโก้ตามนี้เลยครับ กะว่ายังไงปลวกก็บริโภคไม่เข้า กัดไปแล้วเดี๋ยวฟันโยกคลอน จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:35:34

ความคิดเห็นที่ 46 มีจุดบริการนักท่องเที่ยว เครื่องดื่มร้อน-เย็น มาม่าแก้หนาว ของที่ระลึกครับ และที่สำคัญ ห้องน้ำ ไม่ได้ถ่ายมานะครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:35:54

ความคิดเห็นที่ 47 ส่วนทางขวาเป็นเส้นทางสำรวจธรรมชาติอ่างกา ระยะทางสั้นๆ1,800เมตร  สำหรับคนมีเวลาไม่มาก เดินเรื่อยๆไม่คิดมากใช้เวลาประมาณไม่เกิน 20 นาที แต่ถ้าชอบดื่มด่ำธรรมชาติและชอบถ่ายภาพ ตรงนี้ใช้เวลาเกิน30นาทีครับ ผมเข้าไปครั้งแรกๆหายไป 2 ชั่วโมงกว่า ค่อยๆสำรวจว่ามีอะไรดีๆซ่อนอยู่เยอะ ชอบดูนกก็เยี่ยมเลย แต่คนไทยเวลามาเป็นหมู่คณะทั้งเด็กแก่ไม่รู้ทำไมชอบแหวกปากส่งเสียงอึกทึก ไม่รู้จักกาลเทศะเลย ต้องตะเบ็งเซ็งแซ่ไปไหนกันครับ บางคนก็เดินส้น...เท้าหนักมาก ผมนั่งตั้งกล้องนิ่งๆสะเทือนไปหมด จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:36:18

ความคิดเห็นที่ 48 ทางเข้าสู่ประตูหิมาลัย ครั้งแรกที่เข้ามาที่นี่ ตอนนั้นไม่มีคนอื่นเลยครับ รู้สึกวังเวงอยู่เหมือนกัน เงียบ สายลมเย็นๆหนาวๆ แสงทึมๆ เพราะรู้สึกว่ามันคือป่า ไม่รู้มีตัวอะไรมีพิษอยู่ในนั้นหรือปล่าว จินตนาการอีกแล้วผม แต่เข้าไปบ่อยๆพอชินก็ไม่มีอะไรน่ากลัวครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:36:39

ความคิดเห็นที่ 49 จุดแรกที่สะดุดตาครับ อยู่ข้างล่างนี้ ข้าวตอกฤาษี มอสที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นพืชที่ต้องการความอุดมสมบูรณ์สูง จะขึ้นในที่อากาศหนาว และสูงกว่า 2,000 เมตรเท่านั้น สเปคเยอะจริงๆ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:37:08

ความคิดเห็นที่ 50 ใกล้ๆกันนั้นมีมอสดูนุ่มๆครับ พันธุ์อะไรผู้รู้บอกด้วยครับ ขึ้นรวมๆกันดูรูปร่างเหมือนหนูยักษ์เลยครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:37:33

ความคิดเห็นที่ 51 หน้าตาทางเดินก็ประมาณนี้ครับ ถ่ายมาช่วงหน้าหนาว ถ้าเข้าหน้าร้อนจะเริ่มเหลืองๆ และแห้งไปในที่สุด จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:37:51

ความคิดเห็นที่ 52 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:39:13

ความคิดเห็นที่ 53 ในนี้มีป่าพรุด้วยครับ เป็นพรุน้ำจืดที่อยู่สูงที่สุดในประเทศไทย ลักษณะของป่าพรุคือ บริเวณที่มีน้ำขัง  แหล่งน้ำ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น ทั้งที่มีน้ำขังหรือท่วมอยู่ถาวรและชั่วคราว เป็นแหล่งน้ำนิ่งและน้ำทั้งที่เป็นน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม รวมไปถึงพื้นที่ชายฝั่งทะเล และพื้นที่ของทะเล ในบริเวณซึ่งเมื่อน้ำลดลงต่ำสุดมีความลึกของระดับน้ำไม่เกิน 6 เมตร (ไม่ได้เก่งขนาดนั้นครับ ย่อหน้านี้ ผมลอกมาจากวิกิพีเดีย) จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:39:28

ความคิดเห็นที่ 54 บริเวณจุดนี้มี กุหลาบพันปลีเยอะครับ ทั้งสีแดงสีขาว เยอะกว่าตรงกิ่วแม่ปานซะอีก จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:39:48

ความคิดเห็นที่ 55 อันนี้เป็นจุด Landmark ของที่นี่ครับ ถ้าช่วงสมบูรณ์ที่สุดคือ หน้าฝน เฟิร์นบนต้นจะเขียวชอุ่ม จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:40:08

ความคิดเห็นที่ 56 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:40:23

ความคิดเห็นที่ 57 ตรงนี้อยู่ใกล้ทางออกของเส้นทางสำรวจธรรมชาติอ่างกาหลวง ต้นใหญ่มาก สังเกตเฟิร์นดูครับ ภาพนี้แอบโดดเข้าไปนั่ง (ตัวอย่างไม่ดีอย่าเลียนแบบครับ) เพื่อให้เพื่อนๆเห็นขนาดสเกลของธรรมชาติในนั้น ดึกดำบรรพ์จริงๆ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:40:45

ความคิดเห็นที่ 58 เข้าไปแล้วมีทางให้เลี้ยวขวาจะพบซากเฮลิคอปเตอร์ของ พลอากาศเอก เกียรติ มังคละพฤกษ์ หัวหน้าคณะสำรวจพื้นที่ตั้งศูนย์ควบคุมและรายงานดอยอินทนนท์ และนายนิพนธ์ บุญทารมณ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เมื่อวันที่ 29 พค.2514 แต่ตรงที่ตั้งศาลเป็นการตั้งในบริเวณที่ซากแหลกเละ (คงทั้งคนทั้งเครื่อง) และกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง (น่าสะเทือนขวัญจริงๆ) แต่ผมสงสัยอย่างหนึ่งตั้งแต่ตอนที่ยืนมองของจริง จนถึงทุกๆครั้งที่ได้ดู ทำไมเหตุการณ์ล่วงเลยมากว่า 40 กว่าปี แต่ทำไมตัวซากเฮลิคอปเตอร์ถึงมีตะไคร่เกาะน้อยมาก หรือว่าเป็นเพราะคุณสมบัติของเนื้อวัสดุที่ทำตัวถังเฮลิคอปเตอร์ ทั้งที่ในนั้นอากาศเย็นชื้นๆ แค่สงสัยครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:41:09

ความคิดเห็นที่ 59 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:41:29

ความคิดเห็นที่ 61 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:42:08

ความคิดเห็นที่ 62 หมดแล้วครับที่เที่ยวบนดอยอินทนนท์บนเส้นทางหลวง1009 ทีนี้เราจะกลับลงมาที่ กม.47.5 เพื่อเลี้ยวขวา(ขาลง) ไปเที่ยวบ้านแม่แจ่มต่อ พอเพื่อนๆเห็นด่านตรวจ จะมีแยกเล็กขวามือ เลี้ยวไปเลยครับ ตามนี้ 21กิโลเมตร แต่ทางคดและหักศอกเยอะ เสื้อหนาวค่อยๆถอดครับ เส้น1192นี้ ค่อนข้างแคบเหมือนห้วยน้ำดัง เวลาเลี้ยวพยามกดแตรเป็นระยะครับ เพราะจะมีคนขับรถเร็วอยู่2แบบคือ 1.คนชำนาญทาง กับ2.คนต่างถิ่นแต่มั่นใจว่าเครื่องแรงและคิดประมาท เส้น1192เป็นเส้นที่ไปถึงแม่แจ่มสั้นสุดหากมาจากตัวเมืองเชียงใหม่ รวมถึงจากอินทนนท์ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:43:06

ความคิดเห็นที่ 63 วิวข้างทางจะมองเห็นน้ำตกแม่ปานไกลๆ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:43:25

ความคิดเห็นที่ 64 ก่อนถึงแม่แจ่มเราไปแวะน้ำตกแม่ปานและน้ำตกห้วยทรายเหลืองกันก่อน จากกม.37.5ลงไปประมาณ6กม. อยู่ขวามือ เลี้ยวเข้าไปแล้วสามารถขับรถต่อเข้าไปอีก เส้นนี้ค่อนข้างลาดและเป็นลูกรังอัดระวังลื่น ขากลับก็ชันด้วยเหมือนกัน ลานจอดรถค่อนข้างกว้าง ใกล้ๆจะมีหน่วยพิทักษ์ เราเข้าไปสอบถามข้อมูลในนี้ได้ครับ คนที่นี่ยินดีต้องรับนักท่องเที่ยวอย่างจริงใจ ในนี้มีที่พักด้วยครับ แนวอุทยานแห่งชาติ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:43:45

ความคิดเห็นที่ 65 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:44:03

ความคิดเห็นที่ 66 เราเข้าไปสำรวจน้ำตกห้วยทรายเหลืองใกล้กันก่อนครับ รายละเอียดตามนี้ครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:44:20

ความคิดเห็นที่ 67 ลองวัดอุณหภูมิดู ช่วงเกือบเที่ยงของมกราคม2554 ตรงนี้มีโขดหินเยอะ น้ำค่อนข้างแรง ลื่น มีป้ายห้ามลงเล่นน้ำบริเวณนี้ครับ อากาศบริเวณนี้ค่อนข้างชื้น แต่เย็นชื่นใจครับ ง่วงอีกแล้ว จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:44:42

ความคิดเห็นที่ 68 แถวนั้นมีผีเสื้อบินเป็นฝูงครับ เวลามันกางปีกบินจะเป็นสีม่วงสวยมาก แต่มันจะบินหนีเฉพาะเวลาเราจะเข้าใกล้ ลองถ่ายแล้วมันไกลมากมองดูเป็นจุดเล็กๆ เลยแอบซูมตอนมันอยู่นิ่งๆได้ประมาณนี้ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:45:08

ความคิดเห็นที่ 69 ใกล้ๆกันจะมีน้ำตกแม่ปาน ซึ่งเป็นน้ำตกที่ยาวที่สุดในเชียงใหม่ (ใหญ่สุดต้องแม่ยะมั๊ง) เป็นน้ำตกที่ไหลลดหลั่นจากหน้าผาเป็นทางยาวถึง 100เมตร ก็ขนาดมองเห็นจากข้างทางตอนออกจากกม.37.5 ยังเห็นได้ชัดเจน แต่เราต้องเดินเข้าลานจอดรถด้านในก่อน500เมตร แล้วบุกป่าฝ่าดงไปอีก2กิโลเศษๆ ใครที่เคยเดินสำรวจป่าบ่อยๆจะเดินได้ง่ายกว่าคนที่ไม่เคยเข้าไปครับต้องระวังหลง มีให้ปีนป่ายเป็นระยะ ของชอบเลย จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:45:32

ความคิดเห็นที่ 70 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:45:53

ความคิดเห็นที่ 72 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:46:38

ความคิดเห็นที่ 74 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:47:18

ความคิดเห็นที่ 76 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:47:56

ความคิดเห็นที่ 77 น้ำใสเย็นครับ เห็นแล้วอยากกิน ไม่มีขวดน้ำมาด้วย เสียดาย... พวกนี้ต้นน้ำครับซึมออกจากใต้ดิน ความสะอาดโอเคอยู่แล้ว เจ้าพระยานี่ปลายน้ำครับ ขืนกินก็ครี่แตกครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:48:17

ความคิดเห็นที่ 78 หมดแล้วครับกลางทางก่อนเข้าแม่แจ่ม ไปต่อ... ก่อนออกจากอินทนนท์จะต้องเจอ ณวสรวงรีสอร์ทก่อนครับ (สวยแล้วก็ราคาสูง) จนมาเจอ3แยกป้ายนี้ เลี้ยวขวาครับ(ถ้าเลี้ยวซ้ายจะไปน้ำพุร้อนเทพพนม อย่าเพิ่งครับ) เจอวงเวียนตรงไปผ่านวัดบุพผาราม ถนนเจริญนิรันดร์ เจอ4แยกเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวาทันที ขวาเป็นตลาดวิ่งข้ามแม่น้ำแม่แจ่ม เลี้ยวขวาอีกทีแล้ววิ่งยาว8กิโลเมตร แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 55 04:49:02 จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:48:35

ความคิดเห็นที่ 79 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:49:22

ความคิดเห็นที่ 80 เรากำลังจะไปเที่ยววัดที่มีโบสถ์กลางน้ำกัน จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:49:52

ความคิดเห็นที่ 81 วัดพุทธเอ้น เป็นวัดเก่าแก่สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เป็นไม้ทั้งหลัง มุงด้วยแป้นเกล็ดไม้ หน้าบันแกะสลักเป็นลายพรรณพฤกษา เชิงชายเป็นมกร(มะ-กะ-ระ หรือ มะ-กร เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์เชิงเขาพระสุเมรุ ผสมกันระหว่างจระเข้กับพญานาค)คายน้ำทั้งสี่ด้าน อุโบสถกลางน้ำคนล้านนาจะเรียกว่าสิมน้ำ ซึ่งเหลือเพียงที่นี่แห่งเดียวเท่านั้นในเชียงใหม่ สิมน้ำมีไว้สำหรับบวชพระ มีน้ำเป็นเขตขัณฑสีมา (อุทกสีมา) ถือเป็นเขตบริสุทธิ์ และห้ามสตรีเข้าครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:50:10

ความคิดเห็นที่ 82 อันนี้เดินเข้าไปข้างในครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:50:37

ความคิดเห็นที่ 83 ส่วนด้านหน้าวัดจะมีซุ้มที่มีน้ำไหลตลอดเวลา ผมเดินถ่ายรูปแถวนั้นได้พักหนึ่ง สังเกตเห็นชาวบ้านทยอยมาตักตุนน้ำเพื่อนำกลับไป เห็นว่าบางทีขนถังมาสำรองน้ำเป็นคันรถกระบะ ลองไต่ถามดูได้ความว่า เชื่อว่าเป็นน้ำบริสุทธิ์ เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ สามารถนำไปอาบกินดื่มได้ และเป็นที่น่าแปลกคือน้ำไหลตลอดเวลาไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน เขาบอกต่ออีกว่า เคยมีคนนำน้ำไปวิจัย ปรากฏว่าไม่มีสารเจือปน ไม่มีกลิ่น ชาวบ้านก็เลยเชื่อว่าบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่ผมจะรู้ผมลงไปล้างมือยังรู้สึกเย็นและใสมาก ยังมองว่าทำไมสะอาดจัง แต่ถ้ามองในทางวิทยาศาสตร์ใต้ดินบริเวณนี้อาจมีแร่ธาตุบางอย่างที่มีคุณสมบัติทำให้น้ำเป็นอย่างที่เห็น เหมือนแม่น้ำคงคาที่อินเดียที่รวมทุกสรรพสิ่งที่โสโครกแต่แม่น้ำก็ยังดูโสภา ส่วนน้ำอาจซึมมาจากแม่น้ำแม่แจ่มที่เป็นเส้นขนานกับถนนก็น่าจะเป็นได้ ผู้รู้ถ้าอ่านเจอช่วยชี้ทางด้วยครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:51:00

ความคิดเห็นที่ 84 เราไปต่ออีกวัดที่เก่าแก่ของอำเภอแม่แจ่มกันต่อ เลยจากวัดพุทธเอ้นไปอีก2กิโลเมตร นี่ครับวัดกองกาน ความสำคัญของที่นี่คือภายในวิหารมีพระเจ้าตนหลวงเป็นพระประธาน และเป็นพระพุทธรูปศิลปะล้านนาคู่บ้านคู่เมืองแม่แจ่ม จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:51:22

ความคิดเห็นที่ 85 ตัววิหารก็น่าสนใจ เป็นไม้เก่าแก่ หน้าบันและปั้นลมไม้แกะสลัก ปั้นลมและหางหงษ์เป็นรูปมกรคายนาค หลังคามุงแป้นไม้เกล็ดแบบโบราณ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:51:43

ความคิดเห็นที่ 86 ส่วนภาพจิตรกรรมฝาผนังพวกนี้ อยากให้เพื่อนๆค่อยๆดูทีละภาพเหมือนผมครับ จะรู้ถึงประวัติวัดนี้ครับ ทีแรกผมแค่นั่งดูศิลปะการวาดภาพเฉยๆ พอเริ่มใช้ใจพิจารณาถึงได้รู้เรื่องราวแบบไม่ต้องมีตัวหนังสือ เลยถ่ายเก็บไว้ มีน้อยคนครับที่จะมานั่งดูและตีความภาพพวกนี้ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:52:03

ความคิดเห็นที่ 87 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:52:33

ความคิดเห็นที่ 89 . จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:53:01

ความคิดเห็นที่ 90 เดินออกมาด้านนอก คุณลุงเห็นผมให้ความสนใจศิลปะและสถาปัตยกรรม แกเลยแนะนำโน่นนี่ผมให้ฟัง คนเมืองนี้อัธยาศัยดีครับ เขาคงมองออกว่าเราสนใจ คือ...ผมชอบงานศิลปะครับ โดยเฉพาะอะไรที่เป็นไทยๆวิจิตรบรรจง ถ้าหลงเข้าไปแล้ว เสร็จครับ คนมาด้วยรอไปก่อนได้เลยครับ เพราะผมกำลังกินอาหารสมองอยู่ เลยขอคุณลุงถ่ายภาพที่แกกำลังแกะสลักอยู่ครับ ผลงานแกะสลักทั้งหลายในวัดก็ฝีมือคุณลุงเยอะครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:57:47

ความคิดเห็นที่ 91 ข้างๆวัดกองกานมีสะพานไม้ หน้าตาแบบนี้ครับ เดินแล้วแกว่งๆดี ใครชอบเสียวก็มาเลยครับ จากคุณ : nightskyman เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:58:12