|
เรียน คุณความคิดเห็นที่ 13 ครับ เมื่อตอนไปถึง ที่ทำการ อช. ผมไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเสร็จก็ไปที่รถ กดโทรมือถือ ถึงพี่ชายนักเดินทางเหมือนกันจะแจ้งว่าเรามาถึงภูหลวง แล้ว ระบบ Dtac ไม่มีสัญญาณเลย กดอยู่สองครั้ง ไม่มี ก็วางมือถือ ไว้ที่รถ กินน้ำจนหมดขวดมีอยู่ค่อน ๆ หยิบหมวกทหารเรือ เป็นของ เรือจักรีนฤเบศน์ หยิบหล้องแล้วออกเดิน ไปเงียบ ๆ คนเดียว เพราะเราคิดว่าจะไม่มีทางหลง เพราะดูเส้นทาง ลานสุริยัน มัน คนโค้ง แต่วนทางขวากลับมาที่เดิม หลังจากที่กลับลงมาได้เอง ก็ต้องไปแก้บน พ่อปู่ภูหลวงวันที่ 14 มกราคม 2555 หน.อช. บนให้รอด ถ้ารอด จะตั้งศาลให้ใหม่ สีแดง มีหัวหมู สองหัว ไก่สี่ตัว ขนม ต่าง ๆ น้ำสี ต่าง และยาดำ (ฝิ่น)
เรื่องสัญญาณ Dtac เป็นเรื่องจริงครับ
............... อ่านต่อจนจบของวันที่ 5 มกราคม 55 เลยครับ ............... เรียน ทุกท่านให้ทราบ เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้นครับ ที่จำได้ เพราะผมครอบครูตัวเองได้ จึงดึงสติกลับมา แล้วสู้ไปข้างหน้า..
เราว่าตั้งใจจะมาเดินแค่ หนึ่งชั่วโมง ทำไมเรามาอยู่ที่นี่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จักเลย คิดถึงเฮียกี่(พี่ชายคนที่ 7 ) ...ว่าเฮียกี่ตายอายุ 52 ปี ที่จังหวัดเลย ....ปีนี้ ปี 2555 อายุเราครบ 50 ปี เราจะหมดอายุขัยแล้วหรือ ? ที่ของเราเป็นที่นี่หรือ ? ก็คิดถึงมากมาก คิดเสียใจที่จะทำให้แม่เสียใจ คิดว่าคงจะไม่รอดคืนนี้แน่ คิดถึง เจ้ลี่ (พี่สาวคนที่สอง ) เจ้กฤษณา (พี่สาวคนที่สาม ) คิดถึงพี่น้องทุกคน เท่าที่จำได้อยากจะกอดลา เพราะคงไม่ได้พบกันอีกแน่นอนแล้ว คิดถึงข้าวของสิ่งของที่มีอยู่ คนที่อยู่จะทำอย่างไร เขาคงจัดการได้ต่อไป คิดไปก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องทำงานเสียที พักยาวไปเลย ดังนั้นเวลาที่เหลือไม่รู้เท่าไร จะต้องทำอะไรได้บ้างสักพักก็คิดถึงคำสอนของพระที่เราเคารพนับถือเป็นอาจารย์องค์แรก นั่นคือหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ คำสอนของท่านค่อย ๆ ไหลผ่านความจำมียังดี ที่ละเรื่องๆ เรื่องแรกคือเรื่องสติสัมปัญชัญญะ หากมีสติสัมปัญชัญะ สติปัญญาจะเกิดตาม คิดเรื่องของกฎอิทัปปจยตา ที่สุดคือเรื่องของ สัพเพ ธัมมา นาลัง อภิเวสาย ตามที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ นั่นเอง ....จิตและใจก็สงบลงได้บ้าง เมื่อระลึกนึกได้เรารู้ว่าข้างหน้าเป็นทิศตะวันตกขวามือต้องเป็นทิศเหนือต้องเป็นภูเรือที่อยู่หลวงปู่ขันตีแน่ ๆ ก็คิดต่อถ้าเราจะพักตรงนี้จะทำอย่างไงดี ตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าพุทธ-ออกโธ สักพัก อากาศเริ่มเย็นมากขึ้น เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ ก็ตั้งจิตอธิฐานระลึกนึกถึงหลวงปู่มั่นตอนธุดงค์ ไปพักที่ถ้ำผาปู่ เราเคยไปขนาดกลางวันเรายังรู้สึกกลัวจับใจ หลวงปู่อยู่ได้อย่างไร เพราะหลวงปู่ คือหลวงปู่มั่น ต้องมั่นคงเป็นเอกไม่หวั่นไหว ระลึกถึงหลวงปู่ขันตี ท่านได้บันทึกการแสดงธรรมลงแผ่นซีดี เราเคยได้ฟังแล้วฟังอีกหลายรอบ จำได้ว่า ท่านบอกว่าเราชื่อขันตี หมายถึงอดทน เมื่อระลึกถึงทั้งสองหลวงปู่ นั่นเคารพและศรัทธา ดังนั้นเราต้องมั่นคงและไม่หวั่นไหวเหมือนหลวงปู่มั่น เราต้องอดทนได้ เหมือนหลวงปู่ขันตี คิดได้ดังนั้นจึงตั้งจิต ท่องนะโม ตัสสะ สามจบ ขอพึ่งพลังแห่งพระรัตนตรัย และขอพร หลวงปู่ทั้งสองให้คุ้มครอง แล้วหันไปกราบไปทางทิศเหนือ กราบขอขมาเจ้าที่เจ้าทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าปู่ภูหลวง พระแม่ธรณี ทางทิศตะวัออก ระลึกว่าหากเราทำสิ่งใดผิดขอจงยกโทษให้ด้วย อย่างให้มีอันตราย หากถึงที่ตายขอให้อย่าทรมาน...ขอทีเดียวหากจะตาย มืดแล้ว... ก็นั่งมองพระจันทร์ที่กำลังมาแทนที่บนท้องฟ้า หิวข้าวท้องร้องไม่หยุด จนดังเหมือนมีอะไรมาอยู่ใกล้ ๆ เริ่มหนาวจนนอนไม่ได้ ก็ใช้หมวกเอาปีกหมวกหมุนไว้ที่ท้ายทอย แล้วเอาหินก้อนน้อย ๆ มาหนุนนอน เผื่อเจอสัตว์ป่ามาคิดว่าคงป้องกันตัวได้ ความหนาวมันมากจนนอนไม่ได้ ฝ่าเท้าเย็นจนซีดในแสงจันทร์ ต้องใช้นั่งเอามือปั่นนิ้วโป้งเท้าและฝ่าเท้าไว้ ซ้าย,ขวา สลับกัน ส่วนของร่างกายก็ขยับซ้ายขวา ตลอดเพื่อให้ไขมันละลาย (ความอ้วนไขมันที่ดีช่วยได้) อยากนอนก็ล้มตัวลงนอนดูพระจันทร์ ก็นึกดีน่ะมีพระจันทร์ กับดาวเป็นเพื่อน แต่นอนไม่ได้เลย พอเคลิ้ม ก็หนาวเท้าจนต้องลุกนั่งสลับกันแบบนี้ทั้งคืน เมื่อว่างก็นอนมองพระจันทร์ ใช้มือวัดระยะเวลาช่องไฟ นี่น่ะตรงหัวก็คือเที่ยงคืน ลงมาอีกคืบ ก็จะตีหนึ่ง อีกคืบก็ตีสอง วัดระยะไว้ว่าตีห้าจะอยู่ช่วงไหน รู้สึกเวลามันนาน แสนนาน ใจก็คิดว่าที่จริงเป็นสิ่งที่เราคิดอยากได้เวลาให้มันนาน ๆ แบบนี้อยู่เหมือนกัน ตอนอยู่ กทม. พอตีหนึ่งกว่า สิ่งที่ทำได้เพื่อบรรเทาความหนาวคือการนั่งขัดฝ่าเท้าซ้ายบ้างขวาก็สลับแบบนี้ เวลาตีสอง กว่า ๆ ก็ง่วงนอนหาวแล้วหาวอีก คิดอยากจะนั่งหลับก็หลับไม่ได้ พอนอนก็หนาวมาก มาย ได้แต่นอนพักสายตา ใจก็คิดไปถึงเรื่องที่เคยอ่านว่า ผีป่า ผีโป่ง มันจะออกหากินตอนเวลาประมาณนี้ ขนหัวลุกไขสันหลังเย็นวาบ วาบ มือก็กำหลวงพ่อสุโขทัย จากวัดช้างล้อม ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ซึ่งเฮียร้านหนังสือเช่าที่รู้จักบอกว่า โดยลักษณะมีคุณทางแคล้วคลาดอันตรายทั้งปวง มือก็กำหลวงพ่อสุโขทัยไว้ตลอดถ้าผีป่ามาสะกิดทำอย่างไร ? เราต้องไม่กลัวเพราะมีพระแล้วต้องขู่มันให้กลัวเราให้ได้ เวลาประมาณ ตีสี่ เห็นจะได้ เป็นช่วงเวลาที่ดวงจันทร์จะลับ เมฆบนท้องฟ้า ลอยมาปิดดวงจันทร์ แสงสว่างของแสงจันทร์ มันสลัว ๆ รอบ ๆ ตัวที่พอมองเห็น ก็จะสลัวมากขึ้น เทื่อเราไม่ได้พัฟหลับตานอนได้ แบบสนิท มันทำให้ตาเรามองลาย ๆ เห็นเหมือนมีเสือซุ่มหมอบอยู่ตรงหัวเราเลยไปไกลเหมือนกัน บางทีข้างล่างทางลาดทิศตะวันตก ก็เหมือนมี หมูป่ายืนอยู่ เห็นเป็นเงา ดำ ๆ รอบตัว ตาพยามมองเพ่งมองก็ไม่เห็นมันขยับ มันลวงตาเรา ช่วงเวลานี้ เวลา เมฆลอยบังดวงจันทร์ มองแล้วคิด ช่วยผ่านไปเร็ว ๆ มันมืด แบบทมึน ๆ แล้วจะมีลมหนาวพัดแรง ๆ เป็น ระยะ ๆ มันหนาว จนปวดนิ้วเท้า ทั้งสองข้างเลย จนเมื่อรุ่งสาง ก็ไม่มีอะไร นอกจากความหนาวเย็นเข้าหัวใจจนสั่นไปทั้งตัว ....ก็ผ่านคืนแรกอย่างแสนเชื่องช้าไปด้วยความกลัวพอประมาณ.....ไม่มากนัก เพราะเราคิดว่าที่สุดของชีวิตคนเรา ความตายเป็นเพื่อนคนสุดท้ายที่มาพบเรา หากจะเร็วไปสักหน่อยจะเป็นไรไป หากรอดไปได้ที่เหลือเป็นกำไร ที่จะหาได้ไม่ได้ง่ายอีกแล้ว คิดได้ดังนี้แล้ว ก็ชักไม่กลัวตายแล้ว หนึ่งคืนผ่านไป........ใช้เวลาประมาณ 19 ชั่วโมงกว่า ๆ
ภาคผนวก ของวันแรก เรา จะถือไม้ไผ่เล็ก ๆ สั้นประมาณ สองฟุตไว้ป้องกันตัวติดตัวตลอดวันแรก เท่าที่รู้มาหากเราถือไม้ใหญ่หากช้างที่เป็นเจ้าป่ามาเจอกัน เขาจะคิดป้องกันตัว อาจเข้ามาทำร้ายได้ ไม้ที่ว่าใหญ่นั้นจะป้องกันไม่ได้เลย แต่ไม้เล็กหากเราหลบเข้าช่องหิน ช้างจะเหยียบเรา เราก็เอาไม้ค้ำให้ทะลุขาช้างได้ หากช้างใช้งวงรัดเรา เราก็ป้องกันตัวใช้ทิ่มปากทิ่มตาให้ช้างเจ็บ หากเจอ:-)็ให้ยืนนิ่ง ๆ ต้องจ้องตามัน ห้ามหันหลังให้เด็ดขาดเพราะเสือคือพ่อแมว เป็นนักล่าที่คำนวนความใหญ่และความสูงของเหยื่อถ้าเราสูงกว่าเสือจะไม่กล้า ถ้าหันหลังแล้ววิ่ง เสือจะเข้าใจว่าเราคือเหยื่อ ก็เข้าทำทันที แต่หากเสือเข้าทำร้ายตรงหน้า เราคงไม่สามารถหนีทัน เสือจะโดดตะครุบเหมือนแมว เราจะไม่หนี แต่เราต้องป้องกันแค่ส่วนของปากที่มีคมเขี้ยว คมเล็บเสือไม่ทำให้ตาย แรงกัดของเขี้ยวสิทำให้ตายได้ หากโดนตะครุบเราจะใช้ไม้ค้ำเข้าไปในปากเสือ คิดว่าจะต้องใช้ไม้เล็ก ๆ นี้ขวางให้ถึงมุมปากด้านในสุด เพราะเคยเลี้ยงแมว เวลาป้อนยาแมว แมวจะไม่ยอมอ้าปาก วิธีคือบีบมุมปากทั้งสองข้างของแมว เป็นจุดที่แมวยังไงก็ต้องอ้าปากแต่โดยดี เสือคงเหมือนกัน ย้อนกลับเมื่อตอนตีห้าเมื่อเช้านี้ วันที่เตี้ยออกจากบ้านกลับไป กทม.พร้อมอาแหมะ,พี่ฝ้ายแล้วเราไปยืนส่งที่รถทำมือ บ๊าย บาย ลา เตี้ย(น้องชาย )บอกว่าใจหายแว๊บ มันจะบ๊าย บาย ทำไม่ว่ะ เหมือนเป็นลางเลย
วันและคืน แรกผ่านไป...........................................
มันยาวนานเหลือเกิน....
จากคุณ |
:
นายโซ่
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ม.ค. 55 08:14:39
|
|
|
|
|