ความคิดเห็นที่ 1 ตามไปเที่ยวด้วยคนครับ จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 16:11:12

ความคิดเห็นที่ 2 มานั่งรอครับ จากคุณ : langtang เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 16:24:07

ความคิดเห็นที่ 3 ก่อนอื่นก็ขอกางแผนที่ให้ดูก่อน เป็นการประเดิมให้ทราบตำแหน่งของ สะพานข้ามไปยังสถานีรถไฟพิจิตร และวัดท่าหลวง นะครับ เส้นการเดินทางนั้นแสดงด้วยลูกศรสีม่วงครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 16:26:26

ความคิดเห็นที่ 4 สวัสดีครับ คุณเล็กทาโร่ และคุณlangtang : ขอบคุณมากครับ สำหรับการประเดิมเปิดกระทู้ตอนนี้ครับ เชิญติดตามชมได้เลยครับ จาก(ความ) ตอนที่แล้ว ผมพาเพื่อนๆ มาเกือบถึงสถานีรถไฟพิจิตร ด้านหลัง บริเวณลานจอดรถ ซึ่งยังมองไม่ค่อยเห็นตัวสถานีนัก เพราะมีต้นไม้ขึ้นบดบังมากมาย ผมเลยเดินเบี่ยงไปทางซ้ายอีก ตรงลานจอดรถโล่งๆ เลยได้เห็นอาคารสถานีเต็มๆ ดังในรูปข้างล่างครับ ด้านซ้ายมือเป็นสวนพักผ่อนสถานีรถไฟที่อยู่ในสภาพรกร้าง คงเหลือแต่ป้ายเท่านั้นครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 16:31:52

ความคิดเห็นที่ 5 ภาพซ้าย : มาถึงด้านหลังอาคารสถานีที่มีความงามคลาสสิคราวกับวังเก่าแห่งหนึ่งเลยครับ  แต่แอบนึกถึงขนมเค๊กที่มีหน้าแบบครีมด้วยครับ ภาพขวา : หันกลับไปมองทางที่มาจากสะพานแขวน มีแนวร้านค้าเป็นระเบียบ คงบรรยากาศเดิมๆ ไว้ได้ดีครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 16:35:31

ความคิดเห็นที่ 6 ภาพบนขวา : เป็นป้ายเล็กๆ ที่ติดอยู่กับอาคารสวยหลังนี้ ต้องค่อยๆสังเกตุหน่อยถึงจะเห็นนะครับ น่าจะเป็นป้ายดั้งเดิม ที่คงความเอกลักษณ์ของแผ่นไม้กระดานนะครับ)  ผมถึงใกล้กล้องซูมภาพมาให้เห็นกันชัดๆ ภาพซ้าย : เดินมาเก็บภาพมุมเฉียงดูบ้าง  2 ด้านนี้ไม่ถูกบดบังโดยสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ครับ (ด้านอื่นๆ ผมเลยไม่ได้เก็บภาพมา) ภาพขวาล่าง : ตรงด้านข้างอาคารด้านนี้ มีทางเดินลัดไปชานชาลาสถานี เหมาะกับผู้โดยสารลงจากรถไฟ ไม่ต้องเดินผ่านอาคารสถานี  อ้อ..มีศาลาไหว้พระด้วย เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเข้าเมืองพิจิตรครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 16:40:44

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเดินกลับมาทางด้านหลังอาคารสถานี เพื่อเดินผ่านหน้าเคาท์เตอร์จำหน่ายตั๋ว  มองไปทางซ้ายเห็นอาคารสวยเล็กๆ อยู่ใกล้ เป็นห้องสุขา ที่สร้างได้สวย แต่ผมไม่ได้แวะเข้าไปใช้บริการนะครับ  ข้างหน้าเป็นชานชาลาสถานี ซึ่งมีป้ายเล็กๆ บอกทิศทางเหนือใต้ไว้ กันคนหลงทาง เวลารถไฟเข้า จะได้ไม่ขึ้นผิดขบวน กรณีมาพร้อมๆ กันหลายขบวนครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 16:50:32

ความคิดเห็นที่ 8 ภาพขวา : มองไปทางเคาท์เตอร์จำหน่ายตั๋ว อยู่ในชั้นล่างของอาคารสวยหลังใหญ่ เลยมีขอบหน้าต่างที่สอดคล้องกัน (เห็นแล้วอดคิดถึงหน้าเค๊กครีมไม่ได้..น้ำลายไหลเลย..ผมชอบมาก) ภาพซ้าย : เป็นห้องคลังสินค้า เป็นอาคารที่สร้างแบบง่ายๆ ต่อเติมมาในภายหลัง ใช้เก็บสัมภาระต่างๆที่ฝากส่งขึ้นรถไฟ ที่เคยนิยมเรียกว่า โป้ง ไปนะครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 16:55:12

ความคิดเห็นที่ 9 นี่เป็นป้ายประชาสัมพันธ์การส่งสินค้าไปกับรถไฟครับ ผมเพิ่งเคยเห็น สีสันดูคล้ายกับของไปรษณีย์เลย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 16:58:00

ความคิดเห็นที่ 10 เกือบลืมป้ายเวลาเดินรถโดยสาร หน้าเคาท์เตอร์จำหน่ายตั๋วไปแล้ว มีรถขึ้นล่องเยอะมากในแต่ละวัน เพราะเป็นสถานีชั้นที่ 1 แต่ก็มีรถไฟไม่จอดอยู่ 2 ขบวนคือ ด่วนพิเศษ นครพิงค์ กรุงเทพฯ -  เชียงใหม่ (ขาขึ้นคือ ด่วนพิเศษ 1 ขาล่อง คือด่วนพิเศษ 2) เท่านั้นครับ แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 17:19:16 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 17:12:14

ความคิดเห็นที่ 11 เดินออกมาถึงชานชาลาหน้าสถานีแล้วครับ มองไปทั้งด้าน  เห็นป้ายชื่อสถานี ตัวใหญ่ๆ แบบมีแสงในตัว ที่ผมจำได้ตอนสมัยที่นั่งรถไฟไปเรียน เชียงใหม่ครับ  นับเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสถานีแห่งนี้ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 17:22:27

ความคิดเห็นที่ 12 เดินออกมายืนบนชานชาลาที่ 2 หันไปมองทั้งสองด้าน(เช่นเคย) นับเป็นสถานีที่มีหลังคาชานชาลาไม่ยาวนัก กระทัดรัดแต่ดูอบอุ่นด้วยวัสดุที่สร้างทำจากไม้ (ปัจจุบันมีหลายสถานีที่ใช้เหล็กรางทำชานชาลา) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 17:26:37

ความคิดเห็นที่ 13 ตามมาเที่ยวด้วยคนครับ จากคุณ : ชานมชงเอง เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 17:26:45

ความคิดเห็นที่ 14 สวัสดีครับ คุณชานมชงเอง : มาดูสถานที่เที่ยวเหงาๆ กันในช่วงปีใหม่ จะว่าไปความสงบก็เป็นเพื่อนได้ดีกว่า สถานที่คนพลุกพล่าน รถติด แย่งกันกิน แย่งกันเข้าห้องน้ำนะครับ ผมหันกลับไปดูหน้าสถานีอีกครั้ง ในห้องควบคุมสังเกตุเห็น จนท.ข้างในยิ้มให้ด้วย มิตรภาพเล็กๆ น้อยๆ ของคนรถไฟครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 17:31:10

ความคิดเห็นที่ 15 ภาพบน : มองออกไปยังฝั่งตรงข้ามสถานี เห็นมีถนนพุ่งตรงออกไปถึงสามแยกโน้น ลองเดินไปสำรวจดู อย่างน้อยก็จะได้เก็บภาพด้านหน้าสถานีจากระยะไกลมาดูกัน ภาพล่าง : สุดถนนเส้นนี้เป็นสามแยกครับ ระหว่างทางที่เดินไปสังเกตุเห็นรางเก่าตัดขวางถนนอยู่ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 18:10:55

ความคิดเห็นที่ 16 นับเป็นเรื่องแปลกที่ มีรางหลงมาอยู่ห่างจากสถานีได้อย่างไรกัน เพราะปกติรางจะอยู่ใกล้ๆกัน ลองมองไปทั้งสองด้านดู คาดว่าคงเลิกใช้งานแล้ว เพราะมีต้นไม้ขึ้น และรางมีสภาพเป็นสนิมแล้ว จากลักษณะรางแบบนี้ ดูแล้วไม่น่าใช่สามเหลี่ยมกลับจักร ดูโค้งๆ วกกลับเข้าไปยังรางปกติ ใครพอทราบประวัติความเป็นมา ก็ลองมาเล่าสู่กันฟังได้นะครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 18:18:37

ความคิดเห็นที่ 17 เดินเลยรางไปนิด แล้วหันกลับมาดูอีกทีว่า ปลายรางเก่าทั้งสองด้านนี้ไปบรรจบกับรางที่ใช้งานอยู่อย่างไร  เสียดายที่ไม่มีเวลาไปเดินสำรวจตรงจุดร่วมว่ายังมีประแจอยู่หรือตัดออกไปแล้วอย่างสมบูรณ์ครับ (ต้องขออภัยนิดนึง ที่ภาพในคห.นี้ กับ คห.ก่อนหน้าอาจกลับด้าน เพราะทิศทางการเดินต่างกันครับ) แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 18:24:18 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 18:22:41

ความคิดเห็นที่ 18 ภาพซ้าย : เดินเกือบถึงสามแยก เหลือบเห็นป้ายเก่าคร่ำคร่า บอกทางเข้าเมืองพิจิตร การทางที่นี่ ประหยัด และ สงวนโบราณวัตถุชิ้นนี้ไว้ สมดังเมืองประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง...ฮา ภาพขวา : มาถึงสามแยก ก็สะดุดตาเข้ากับป้ายบอกทาง(อีกแล้ว) คราวนี้เป็น งง ครับ ตาผมไม่ได้พร่า หรือตาลายแต่อย่างใด ที่มองเห็นภาพซ้อน ดังในรูป ซึ่งคนที่เห็นคงถามในใจว่า จะเอาอย่างไรกันแน่  เพราะปกติการพิมพ์ป้ายใหม่จากป้ายเดิมก็ต้องมีการทาสีพื้นทับอยู่แล้ว งานนี้สีพื้น(สีขาว) คงไม่ค่อยดีเลยเลือนไปก่อนสีเดิม  นับเป็นป้ายจราจรที่หาดูได้อยากอันหนึ่ง แต่จะว่าไปแล้ว ทั้งข้อความเก่าและใหม่ก็ถูกต้องไม่ขัดกันนะครับ คือ บ.วังกรด กับ ตะพานหินก็ไปทางเดียวกัน และ พิจิตร กับ อ.ทับคล้อ ก็เช่นกันครับ อย่างนี้น่าจะทำป้ายเพิ่มอีกชุด จะดีกว่า แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 18:30:03 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 18:28:16

ความคิดเห็นที่ 19 ลองมองไปตามถนนสองด้านบ้าง พอดีไม่มีเวลา ตอนกลับออกจากพิจิตรเลยไม่ได้ลองเข้ามาทางนี้โดยรถยนต์ ครับ แต่สรุปได้ว่า ทั้งสองด้านสามารถวนกลับไปเจอกัน ที่ อ.ทับคล้อ ได้ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 18:35:52

ความคิดเห็นที่ 20 เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ยังไม่เคยไปเยือนเลยครับ จากคุณ : Koon Shy_Tour Dee เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 18:37:13

ความคิดเห็นที่ 21 แผนที่ข้างล่างนี้ยืนยันว่า ทั้งสองเส้นทางสามารถไปบรรจบกันที่ ต.เขาทรายได้ เพียงแต่เส้นทางผ่าน อ.ตะพานหินนั้นจะลัดเลาะแม่น้ำน่านกับทางรถไฟบางช่วง ถนนคดเคี้ยว วิ่งได้ช้าแต่จะเห็นวิถีชีวิตชาวบ้านได้ใกล้ชิดกว่าครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 18:50:18

ความคิดเห็นที่ 22 ตามมาชมครับ เมื่อปีที่แล้วมีโอกาสไปทำงานที่ตะพานหิน 3-4 วัน เห็นในกระทู้แรกแ้ล้วก็นึกถึ งตะพานหินขึ้นมาทันที ขอบคุณที่พาไปรำลึกอดีตครับ จากคุณ : ยุง บิน ชุม เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 18:56:53

ความคิดเห็นที่ 23 สวัสดีครับ คุณKoon Shy_Tour Dee : เนื่องจากเป็นจังหวัดที่ ไม่ใช่ทางผ่านไปยัง ภาคอื่นๆ เลยทำให้หลายคนไม่ค่อยได้เห็นกัน และก็มีแหล่งท่องเที่ยวน้อยกว่าจังหวัดใกล้เคียงอื่นๆ เช่น จ.พิษณุโลก จ.เพชรบูรณ์ จ.กำแพงเพชร ครับ  ต้องตั้งใจเข้าไปครับ  อย่างไรก็ดี ถ้ามีโอกาสผ่านไปแถวนั้นก็ลองแวะเข้าไปสักครั้ง อย่างไรก็ดี ลองดูรีวิวผมก่อนก็ได้ครับ บึงสีไฟในตอนหน้านี้ นับเป็นจุดสนใจของจังหวัดนี้เลยครับ มาต่อกันครับ  จากสามแยกผมหันกลับไปดูสถานี จากระยะไกล จะเป็นภาพที่คนเห็นเมื่อเลี้ยวเข้ามาจากปากซอยครับ เมื่อเดินกลับเข้ามา ก็จะเห็นสถานีชัดๆ เต็มชานชาลาครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 18:57:31

ความคิดเห็นที่ 24 สวัสดีครับ คุณยุง บิน ชุม : ขอบคุณครับ สำหรับตะพานหิน เที่ยวนี้ ผมไม่ได้แวะเพราะเวลามีน้อย เอาไว้รำลึกคราวหน้าจะไปไหว้พระองค์ใหญ่ ที่วัดเทวะปราสาทสักที เคยไปตอนเด็กๆมาครั้งหนึ่งแล้ว จำได้ว่านั่งเรือข้ามฟากไป องค์พระนี้จะเห็นได้จากระยะไกล เมื่อมาจาก ต.วังหลุม แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้ ผมขับรถออกมาจาก อ.ตะพานหิน เลยไม่ได้เห็นภาพข้างหลัง (จำได้ตอนเด็กๆ ที่จะมองเห็น องค์พระ และตึกแถว ค่อยๆ ลดตัวต่ำลงเมื่อเข้ามาใกล้ สถานีรถไฟตะพานหิน ประทับใจมาก แต่นานแล้วเกือบ 30 ปี ที่ไม่ได้เห็นภาพนั้นอีก) มาต่อกันครับ  ตอนนี้ผมข้ามรางเก่ามาแล้ว ก็ได้เห็นสถานีเต็มๆ ตา เลยเก็บไว้อีกภาพ (ถ่ายมาก คงไม่มีใครถ่ายเยอะขนาดผมนะครับ)  จะสังเกตุได้ว่า สถานีพิจิตรนี้ รถยนต์สามารถเข้าถึงได้ 2 ด้านของรางรถไฟเลย เพียงแต่ถ้าจะเข้าตัวเมืองตรงๆ ต้องขี่รถมอเตอร์ไซด์ หรือเดินข้ามสะพานแขวนเท่านั้น จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 19:04:07

ความคิดเห็นที่ 25 ภาพขวา :ตอนนี้กำลังข้ามรางกลับมายังชานชาลาสถานีแล้วครับ มองไปทางขวามือ ก็คือมุมมองเสมือนจากบนโบกี้รถไฟ(ถ้าเข้ารางที่ห่างจากสถานี) ภาพซ้าย : ข้างหน้าผมก็คือทางลัดออกไปยังหลังสถานี ซึ่งจะเห็นศาลาไหว้พระด้วยครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 19:07:59

ความคิดเห็นที่ 26 ภาพซ้าย : ต่อไปก็คือไปเก็บภาพป้ายชื่อสถานี ที่ชาวคนรักรถไฟนิยมเรียกว่าป้ายประเพณีครับ เริ่มจากป้ายด้านใต้ก่อน มองจากตรงนี้ ดูแล้วไกลเหมือนกันครับ ภาพกลาง : ระหว่างเดินไป ก็เหลือบเห็นเสาหอคอยสะพานแขวนอยู่ไม่ไกล นอกจากนี้ ผมก็พยายามมองหาป้ายบอกระยะทางระหว่างสถานี มองหาอย่างไรก็ไม่เจอ พอดีเห็นคนกวาดพื้นอยู่ เลยถามได้ความว่า ไม่มีนานแล้ว...อิอิ..  มีสถานีที่ไม่มีป้ายบอกระยะห่างระหว่างสถานีอยู่ด้วยหรือ ผมเพิ่งทราบ ภาพขวา : เดินไม่ถึงป้ายชื่อสถานีสักที เลยใช้กล้องซูมภาพดึงเข้ามา ทีแรกก็กะจะเดินมาแค่นี้ แต่นึกขึ้นได้ว่า น่าจะลองไปดูป้ายอีกด้านเข้ามา เลยต้องเดินต่อไปครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 19:13:48

ความคิดเห็นที่ 27 สำเร็จแล้ว ผมเดินมาถึงป้ายชื่อสถานีสักที เลยได้ภาพมุมนี้ ที่มีสถานีติดไปด้วย เป็นภาพที่คนโดยสารรถไฟเห็นเป็นประจำนะครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 19:15:36

ความคิดเห็นที่ 28 ภาพซ้าย : ระหว่างเดินกลับมา นึกอยากเก็บภาพด้านข้างอาคารสถานี เลยหาช่องเดินเข้าไปถ่ายไว้สักรูป  เห็นหน้าต่างแล้วรู้สึกแปลกๆ ว่าไม่สมดุลย์กันเลย มีเฉพาะด้านหน้าสถานี ภาพขวา : ผมเดินเลยสถานีไปทางด้านเหนือ เพื่อเก็บภาพป้ายชื่อสถานีด้านทิศเหนือบ้าง แต่ดูๆแล้วไม่มีอะไรแปลกแตกต่างเลยถ่ายแค่ตรงนี้ เพื่อยืนยันว่า ด้านนี้ก็ไม่มีป้ายบอกระยะทางระหว่างสถานีเช่นกันครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 19:27:32

ความคิดเห็นที่ 29 เดินกลับมายังหน้าสถานี เพื่อเดินกลับไปยังสะพานแขวน  ตรงหน้าอาคารคลังสินค้าด้านชานชาลา เห็นป้ายอวยพรปีใหม่ จากใจ..ผู้ว่าฯ ผู้บริหาร และพนักงานการรถไฟ ครับ  ดูป้ายนี้ทำให้ทราบหมายเลขโทรศัพท์ Call Center 1690 และเว็บการรถไฟครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 19:31:30

ความคิดเห็นที่ 30 ภาพซ้าย : เดินผ่านมายังหลังสถานี เป็นทางโค้งไปบรรจบกับทางลัดในภาพซ้าย คห.25 ชอบตรงที่มีเสาโคมไฟแบบคลาสสิค เข้ากับอาคารดีครับ  ตรงจุดนี้สังเกตุดีๆ จะเห็นหอสะพานแขวนด้วยครับ ภาพขวา : เดินมาตรงเสาโคมไฟ มองดูลานจอดรถด้านหลังสถานี มีสามล้อโดยสารให้บริการอยู่ตรงโคนต้นมะขามโน้นครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 19:35:25

ความคิดเห็นที่ 31 ผมเดินกลับมายังสะพานแขวน ผ่านแนวร้านค้า และย่านชุมชนก็เห็นสะพานข้ามไปยังเมืองพิจิตร ไม่ไกลมาก แต่ให้บรรยากาศเดิมๆ สมัยก่อนได้ดีครับ (ต้นมะขาม กับ สถานีรถไฟ คล้ายๆกับสถานีรถไฟตะพานหิน) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 19:37:36

ความคิดเห็นที่ 32 กำลังจะลอดหอคอยสะพานฝั่งสถานีแล้ว ลองเก็บภาพมุมเงยใกล้ๆดู (ต้องนำมาต่อกันเลยทำให้ภาพโค้งผิดรูปไปบ้าง) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 19:39:11

ความคิดเห็นที่ 33 ภาพซ้าย : อูย..เกือบลืมภาพนี้ไปแล้ว ก่อนขึ้นสะพานตรงนี้จะมองเห็นบ้านเก่าๆ หลังที่จะตกน้ำริมตลิ่งจากตอนที่แล้วด้วย ตอนนั้นไม่ได้นึกถึง เลยไม่ได้เดินไปดูใกล้ๆ เพื่อสัมผัสความเสียวของตลิ่งถล่ม ครับ ภาพขวา : ขอเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกด้วยตัวเองสักภาพ... เฮ้อ..ถ่ายใกล้ๆ หน้าเลยออกมาเหมือนลูกน้ำเต้าไปเลย..ฮา จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 19:42:06

ความคิดเห็นที่ 34 ลอดหอคอยสะพานมาแล้ว มองเห็นฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็น เมืองพิจิตรครับ รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันที่ไม่มีใครเดินข้ามสะพานนี้เลย ต่างก็ขี่มอเตอร์ไซด์กันทั้งนั้น จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 19:44:52

ความคิดเห็นที่ 35 เดินข้ามสะพานมาได้เล็กน้อย ก็หยุดมองถนนเลียบแม่น้ำไปทางวัดท่าหลวง ตรงนี้จะมองเห็นทางเดินลงเรือ ที่ไม่เป็นทางการด้วย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 19:46:55

ความคิดเห็นที่ 36 สำรวจสะพานแขวนและสถานีรถไฟเสร็จแล้วก็มุ่งหน้าไปวัดท่าหลวง โดยถนนเลียบแม่น้ำน่าน ถึงตรงหัวโค้งก่อนลับตาไม่เห็นสะพานแขวนก็ถ่ายภาพเก็บไว้อีกภาพ นับเป็นภาพมุมมองตรงข้ามกันกับ คห.35 พอดีครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 19:49:12

ความคิดเห็นที่ 37 เส้นทางนี้จะผ่านสวนสุขภาพของธนาคารไทยพาณิชย์ และสวนสาธารณะพระพิจิตร ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 19:50:28

ความคิดเห็นที่ 38 ไปเที่ยวด้วยคนครับ จากคุณ : noiwanwannoi เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 20:02:05

ความคิดเห็นที่ 39 เหลือบเห็นซุ้มโค้งๆ สวยๆ เลยย้อนกลับมาดู พบว่าเป็น "ถนนดอกไม้" ที่ทาง จังหวัดจัดให้มีการขายสินค้าฝีมือนักเรียน ทุกวันเสาร์ เวลา 08:00 - 12:00 น. บริเวณหน้าจวนท่านผู้ว่าฯ   วันนี้วันจันทร์ แถมเป็นช่วงหยุดปีใหม่บรรยากาศเลยเงียบครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 20:04:25

ความคิดเห็นที่ 40 สวัสดีครับ คุณnoiwanwannoi : ขอบคุณมากครับ เชิญติดตามชมได้ แต่วันนี้ดึกแล้วขอพักกระทู้ไว้พรุ่งนี้มาต่อกันที่วัดท่าหลวงนะครับ ผมลอดซุ้มถนนดอกไม้ออกมา เลี้ยวซ้ายเข้าถนนบุษบา ล่องมาทางวัดท่าหลวง กำลังผ่านสี่แยกตัดกับถนนบึงสีไฟ ถ้าหากเลี้ยวขวาก็ตรงไปบึงสีไฟแต่ตอนนี้ผมขอตรงไปไหว้หลวงพ่อเพชรก่อนครับ คอยติดตามชมพรุ่งนี้กันนะครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 20:52:48

ความคิดเห็นที่ 41 ตามมาชมต่อครับ จากคุณ : tiger's nest เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 22:08:45

ความคิดเห็นที่ 42 รอชมต่อพรุ่งนี้..........ขอบคุณครับ จากคุณ : low batt เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 01:38:06 A:171.4.75.192 X: TicketID:329936

ความคิดเห็นที่ 43 มารอชมด้วยคนครับ จากคุณ : Destiny-Boy เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 08:27:10

ความคิดเห็นที่ 44 ตามมาเที่ยวต่อค่ะ^^ จากคุณ : สามแซ่ เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 10:44:06

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณสำหรับรีวิวครับบบ.............. จากคุณ : สายลมแห่งวิงค์ เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 11:24:06

ความคิดเห็นที่ 46 สวัสดีทุกคนครับ คุณtiger's nest, คุณlow batt, คุณDestiny-Boy, คุณสามแซ่ และคุณสายลมแห่งวิงค์ : ขอบคุณเช่นกันครับ เชิญติดตามต่อได้ครับ ตอนนี้ผมมาถึงหน้าวัดท่าหลวงแล้วครับ มีประตูเข้า 2 ด้าน ตรงกลางเป็นพระอุโบสถพอดี จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 12:14:52

ความคิดเห็นที่ 47 ข้างหน้าผมก็คือพระอุโบสถ เป็นด้านหลังนะครับ เพราะด้านหน้าหันออกแม่น้ำน่าน เนื่องจากหน้าวัดในสมัยก่อนจะหันหน้าไปทางแม่น้ำ เพราะยังไม่มีถนนเหมือนในปัจจุบันครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 12:18:45

ความคิดเห็นที่ 48 เดินไปเก็บภาพป้ายชื่อวัด ฝั่งถนนบุษบา ตรงใกล้ประตูทิศใต้ ตามรูปขวา ของ คห.46  ส่วนป้ายชื่อวัด ตรงใกล้ประตูทิศเหนือ นั้นคงกำลังปรับปรุง เลยยังโล่งๆ ไม่ได้ทำตัวอักษรใดๆ อยู่ ตามรูปซ้าย ของ คห.46 ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 12:27:51

ความคิดเห็นที่ 49 เข้ามาในวัด ทางประตูด้านทิศเหนือ จะเห็นรถจอดกันมากมายตรงลานด้านหน้า ภาพซ้าย : มองไปทางซ้าย (ด้านเหนือ) จะเห็นศาลาไทยทอดยาวไปถึงริมแม่น้ำ เป็นศาลาจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ มีของขายและอาหารมากมาย มีห้องน้ำอยู่ห้องริมติดแม่น้ำครับ (เป็นเป้าหมายแรกของที่นี่...ฮา) ภาพขวา : มองกลับมายังป้ายหน้าวัดใกล้ประตูด้านเหนือที่เข้ามา ด้านหลังมีตัวอักษรชื่อวัดแล้ว (ด้านหน้ายังโล่งๆ อยู่) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 12:40:27

ความคิดเห็นที่ 50 ตรงทางเข้ามีป้ายข้อมูลวัดท่าหลวงที่จัดทำโดย dtac เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย (ยังมีสภาพดีอยู่ เคยเห็นมานานแล้ว) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 12:48:43

ความคิดเห็นที่ 51 ออกจากห้องน้ำ ก็ตรงมาริมแม่น้ำน่านก่อน มองไปทางซ้าย จะเห็นทางเดิน(ฟุตบาท) ประมาณ 100 เมตรไปยังถนนเลียบแม่น้ำ ที่ตรงไปยังสะพานแขวน ที่ผมเพิ่งมา มองไปทางขวาก็คือหน้าวัด ที่สร้างทางลงเป็นขั้นบันไดขนาดใหญ่ เพื่อใช้เป็นอัฒจันทร์ในการนั่งชมแข่งเรือประจำปี ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 12:57:42

ความคิดเห็นที่ 52 ตามชมต่อ..........ขอบคุณครับ จากคุณ : low batt เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 12:59:17 A:49.49.85.208 X: TicketID:329936

ความคิดเห็นที่ 53 คุณ low batt : ด้วยความยินดีครับ เชิญติดตามชมต่อได้ครับ ภาพซ้าย : ริมตลิ่งฝั่งตรงข้ามนั้น นอกจากมีป้ายประชาสัมพันธ์ แล้วก็สังเกตุเห็นแท่นอัฒจันทร์เล็กๆ 4 ชุดวางเรียงรายกันอยู่ ใช้สำหรับงานแข่งเรือ คาดว่าเป็นของ กองเชียร์ หรือส่วนของผู้จัดงาน ทีมเรือ กรรมการ ใช้สังเกตุการณ์ ตรงเส้นชัย นะครับ(ผมไม่เคยมาชมงานแข่งเรือที่นี่ เลยไม่ทราบว่า ตรงไหนใช้เป็นจุดเส้นชัย) ภาพขวา : ตลิ่งฝั่งวัด ซึ่งดูแล้วมีการยกระดับสูงกว่าพื้นวัดเพื่อป้องกันน้ำท่วม และเท่าที่สังเกตุคราบน้ำท่วมจากปีที่แล้ว มองหาไม่เห็น คาดว่าน้ำคงไม่ท่วมเช่นกัน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 13:37:35

ความคิดเห็นที่ 54 ลงจากตลิ่งกลับมายังวัด สังเกตุเห็นป้ายข้อมูลต่างๆ เรียงรายให้ดูกัน 3 ป้าย ครับ ป้ายแรกที่อยู่ใต้ซุ้มเล็กๆ ก็คือป้ายข้อมูลของวัดท่าหลวง ซึ่งเมื่ออ่านแล้วทำให้ได้ทราบสิ่งที่ผมไม่เคยทราบคือ 1.เมืองพิจิตรแต่เดิมมาไม่ได้อยู่ตรงนี้ อยู่ห่างจากเมืองพิจิตรในปัจจุบันไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 8 กิโลเมตร (เลยถัดจากบึงสีไฟไปเล็กน้อย) 2.ในปี พ.ศ.2388 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสร้างวัดท่าหลวงขึ้นมาจาก สำนักสงฆ์ในป่า ของหมู่บ้านท่าหลวงเท่านั้น 3.ในปี พ.ศ.2481 ได้เปลี่ยนชื่ออำเภอท่าหลวง เป็นอำเภอเมืองพิจิตรนี้ 4.พื้นที่ของวัดท่าหลวงนี้ มีอยู่สองฟากถนนบุษบา ฝั่งติดแม่น้ำเป็นเขตพุทธาวาศ คือมีพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ โดยอีกฝั่งเป็นเขตสังฆาวาส คือ โรงเรียนประริยัติธรรม ฌาปนกิจ(งานศพ) และเขตปฏิบัติธรรมของฆราวาส โดยมีพระพุทธรูป หลวงพ่อพัตร พระประธานองค์เดิมมาประดิษฐานอยู่ด้านนี้ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 15:44:53

ความคิดเห็นที่ 56 แผนที่ข้างล่างขยายให้เห็นถึงเมืองพิจิตรเก่า ที่กลายเป็นอุทยานเมืองเก่าให้ศึกษาทางโบราณคดี ซึ่งผมเองก็เพิ่งทราบตอนจัดเตรียมภาพเพื่อโพสกระทู้นี้เอง ไม่งั้นคงได้แวะไปชมแล้ว เพราะได้บังเอิญวิ่งรถวนรอบบึงสีไฟ ผ่านไปใกล้อุทยานฯ มากเลย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 16:43:29

ความคิดเห็นที่ 57 ด้านหลังของป้ายในภาพล่าง คห.54 ก็คือ ประวัติของหลวงพ่อเพชร องค์พระประธานในพระอุโบสถวัดท่าหลวงแห่งนี้ครับ  พอสรุปได้ว่า เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนรุ่นแรก ปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ประทับนั่งบนฐานที่รูปบัวคว่ำหงายรองรับ หล่อด้วยโลหะสำริด มีจุดสังเกตุที่ ปลายสังฆาฎิด้านซ้ายสั้นอยู่เหนือพระอุระ(อก)  สร้างประมาณช่วงปี พ.ศ.1660 - 1880 คือประมาณ 882 ปี มีความศักดิ์สิทธ์มาก ใครมีเรื่องเดือดร้อน สามารถมาบนบานขออำนาจหลวงพ่อเพชร ให้ช่วยปกป้องรักษา หรือปัดเป่าให้หมดไปได้ เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ดูยังน้อย ผมเลยลองค้นหาจากเว็บธรรมะไทย http://www.dhammathai.org/watthai/north/watthaluang.php พอสรุปได้ว่า เมื่อคราวเกิดกบฏจอมทอง เมืองเชียงใหม่ สมัยกรุงศรีอยุธยา มีกองทัพจากอยุธยาไปปราบกบฏและได้พักที่เมืองพิจิตร ซึ่งทางเจ้าเมืองได้ต้อนรับแม่ทัพเป็นอย่างดี และได้กล่าวขอพระพุทธรูปงามๆ มาฝากตอนขากลับด้วย ซึ่งหลังปราบกบฏเสร็จ ทางแม่ทัพก็ได้อัญเชิญหลวงพ่อเพชรจาก จอมทอง กลับมาด้วย แต่ได้ล่องแพมาตามแม่น้ำปิง ไม่ได้แวะเมืองพิจิตรเลยฝาก หลวงพ่อเพชรไว้กับเจ้าเมืองกำแพงเพชร  ชาวเมืองพิจิตรทราบข่าวเลยพากันไปอัญเชิญมาไว้ที่วัดนครชุม ต.เมืองเก่า ต่อมาในสมัย รัชกาลที่ 5 พระองค์ได้สร้างพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรขึ้นมาจึงต้องการพระประธานมาประดิษฐาน ทรงได้เลือกพระพุทธชินราชจาก จ.พิษณุโลก และโปรดอัญเชิญหลวงพ่อเพชรไปไว้ที่พิษณุโลกทดแทน ซึ่งได้มีการเคลื่อนย้ายหลวงพ่อเพชรมาไว้ที่ วัดท่าหลวงเตรียมอัญเชิญลงเรือเพื่อเคลื่อนย้ายไปพิษณุโลกแล้ว ชาวเมืองพิจิตรได้เกิดความโศรกเศร้าเสียใจมาก เช่นเดียวกับ ชาวเมืองพิษณุโลก พระองค์ทรงทราบก็เกิดความเห็นใจ ยกเลิกการอัญเชิญพระพุทธชินราช โดยให้หล่อองค์จำลองมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรแทน และองค์หลวงพ่อเพชรก็เลยอยู่ที่วัดท่าหลวงมาจนปัจจุบัน  ซึ่งในอันที่จริงก็มีความพยายามจะย้ายกลับไปไว้ที่วัดนครชุมที่เดิม แต่ชาวเมืองพิจิตรใหม่ ต้องการให้หลวงพ่อเพชรเป็นมิ่งขวัญเมืองใหม่ เลยไม่ยอมเกิดการยื้อแย่ง เตรียมอาวุธต่อสู้กัน จนท่านพระธรรมทัสสีมุนีวงศ์ (เอี่ยม) เจ้าคณะจังหวัดพิจิตรในขณะนั้น ต้องออกมาห้าม โดยหล่อองค์จำลองไปไว้ที่วัดนครชุมที่เดิม เพราะวัดท่าหลวงก็ไม่ไกลจากวัดนครชุมมากนัก จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 17:32:59

ความคิดเห็นที่ 58 ป้ายใกล้ๆกันเป็นประวัติการแข่งเรือยาวของจังหวัดพิจิตร พอสรุปได้ว่า เริ่มจาก ปีพ.ศ. 2450 ท่านพระธรรมทัสสีมุนีวงศ์ (เอี่ยม) เจ้าอาวาสวัดท่าหลวง ได้จัดให้มีการแข่งขันเรือยาวเป็นประเพณีทุกปี เรื่อยมาจนถึง สมัยพระทีฆทัสสีมุนีวงศ์(ไป๋ ญาณผโล - นาควิจิตร) เป็นเจ้าอาวาสวัด จึงได้กำหนดวันแข่งที่แน่นอนตามจันทคติ คือ วันขึ้น 6  ค่ำเดือน 11 ของทุกปี แต่ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็น วันขึ้น 6 ค่ำเดือน 10 แทน เพราะระดับน้ำในแม่น้ำน่านลดลงเร็วขึ้นเรื่อยๆ และให้แข่งเพียงวันเดียว อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ คือ รางวัลสำหรับเรือที่ชนะ เดิมได้ผ้าห่มหลวงพ่อเพชรไปพันที่โขนเรือ(หัวเรือ) ต่อมาดูไม่เหมาะสม จึงเปลี่ยนมาใช้ธงพิมพ์ภาพหลวงพ่อเพชรเป็นรางวัล แทน   ต่อมาได้มีการเพิ่มจำนวนวันแข่งขึ้นเป็น 2 วัน และเพิ่มขนาดเรือ (รุ่น) ขึ้นมาอีก เป็น 3 รุ่น ดังต่อไปนี้ 1.เรือยาวเล็กฝีพายไม่เกิน 30 คน  2.เรือยาวกลางฝีพายไม่เกิน 40 คน 3.เรือยาวใหญ่ ฝีพายไม่เกิน 55 คน  แล้วแบ่งเป็น 2 ประเภท(กลุ่ม) คือ เรือยาวทั่วไปจากทุกจังหวัด กับ เรือยาวเฉพาะในจังหวัดพิจิตร  และได้เปลี่ยนกำหนดวันแข่งมาเป็นแบบสุริยคติ คือ วันเสาร์-อาทิตย์แรกของเดือนกันยายนทุกปี ต่อมาในปี พ.ศ.2524 พระราชวิจิตโมลี(บุญมี ปริปุณโณ) ท่านเจ้าอาวาสได้ขอพระราชทานถ้วยรางวัลแก่เรือชนะเลิศทุกรุ่นด้วย นอกจากนี้ยังได้มีการจำลองขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค ให้ชมด้วย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 17:50:49

ความคิดเห็นที่ 59 ถัดมาอีกด้านก็เป็นแผนที่ป้ายประชาสัมพันธ์สถานที่สำคัญในตัวเมืองพิจิตร ด้านหลังเป็นแผนที่แสดงสถานที่ท่องเที่ยวทั้งจังหวัดพิจิตรเลย  ซึ่งผมได้เพิ่มเติม ตำแหน่งเมืองเก่าให้ดูอ้างอิงไว้ด้วยครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 17:53:43

ความคิดเห็นที่ 60 โอย..หนักหัวจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ กันมาแล้วก็ขอพาไปชมภาพสวยๆ ต่อครับ ผมเดินเลียบแม่น้ำน่านลงไปอีก จนถึงป้ายชื่อวัด ซึ่งถือเป็นด้านหน้าวัด ที่หันหน้าเข้าแม่น้ำ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 17:56:20

ความคิดเห็นที่ 61 ภาพซ้าย : เดินอ้อมมาดูหลังป้ายชื่อวัดด้านริมแม่น้ำ ก็พบว่าเป็นป้ายสนามแข่งขันเรือยาว ชิงถ้วยพระราชทานฯ ภาพขวา : หันไปมองทางวัด ตรงหลังป้ายนี้ มีการจัดสวนหย่อมน้ำพุด้วย น่าสนใจมากครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 17:58:47

ความคิดเห็นที่ 62 ผมเดินอ้อมมาดูด้านหน้าสวนหย่อมน้ำพุนี้ มีพระพุทธรูปอยู่ตรงกลางพอดี ดูสวยงามอลังการณ์ดีครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 18:00:43

ความคิดเห็นที่ 63 เข้าไปดูน้ำพุกันใกล้ๆ เข้าใจคิดออกแบบสร้าง ที่ใช้ท่อพีวีซีดัดจนกลม แล้วเจาะรูใส่หัวฉีดให้น้ำพุ่งไปรวมกันตรงกลาง  อย่าลืมว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นที่โล่งไม่ได้เป็นบ่อน้ำใดๆมาก่อน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 18:04:36

ความคิดเห็นที่ 64 ลองเข้าไปดูองค์พระตรงกลางใกล้ๆ เป็นปางที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ข้างหน้าอ่างน้ำมีป้าย "โยนเหรียญ เสี่ยงทาย"  ถึงว่าซีมีเหรียญตกอยู่รอบๆ บาตรขององค์พระมากมาย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 18:06:29

ความคิดเห็นที่ 65 ใกล้ๆ กันมีป้ายบอกรายละเอียดของพระพุทธรูปที่อยู่ตรงกลางน้ำ ว่าเป็นพระอุปคุตรเถร หรือที่นิยมเรียกกันว่า พระบัวเข็ม มีประวัติความเป็นมาว่า เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ระดับพระเถระในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช โดยชื่อ "อุปคุต" แปลว่า ผู้คุ้มครองรักษา มาเกี่ยวข้องกับไทย ก็ตอนสมัยรัชกาลที่ 5 ที่สมัยพระองค์ทรงผนวชอยู่ มีพระมอญนำมาถวายให้ พระอุปคุต มีฤทธิ์ปราบพญามาร  มีความเชื่อในหมู่ชาวล้านนา(เชียงใหม่) ว่า พระอุปคุตนี้ยังมีชีวิตอยู่  โดยในวันขึ้น 15 ค่ำที่ตรงกับวันพุธ (นิยมเรียกว่า วันเป็งปุ๊ด) พระอุปคุตจะออกบิณฑบาตรในร่างเณรน้อย ในเวลาเที่ยงคืน จึงมีประเพณีตักบาตรกลางคืนขึ้น การตั้งบูชาจะตั้งบนฐานที่วางไว้ในภาชนะใส่น้ำ เช่นพาน โดยลอยดอกมะลิในน้ำนั้นด้วย แล้วจัดวางให้ต่ำกว่าพระพุทธ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 18:16:06

ความคิดเห็นที่ 66 ตอนนี้ถึงเวลาเข้าโบสถ์กันแล้ว (ทำให้นึกถึง เพลงบวชนาค ของคุณไวพจน์) หันไปดูพระอุโบสถกัน บริเวณด้านหน้าจะมีศาลาคู่หนึ่งซ้ายขวา แล้วมีปะรำพิธี เต้นท์ ต้นกล้วยปักไว้เรียงรายกันเพื่อแก้ปีชง จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 18:21:31

ความคิดเห็นที่ 67 ภาพซ้าย : เดินเข้าไปตรงหน้าพระอุโบสถ มีพระพุทธรูปสร้างจากไม้แกะสลักตั้งไว้ให้สักการะ มีป้ายข้อมูล พออ่านได้ความว่า "ทิศบูรพา(ทิศตะวันออก) มีพระอัญญาโกณทัญญะเป็นพระอรหันต์ประจำทิศ เป็นพระสงฆ์รูปแรก และสำเร็จพระอรหันต์รูปแรก ถ้าท่านอยากเป็นผู้ชนะก่อนใครให้บูชาพระจันทร์ก่อน ต้องจัดพระพุทธรูปปางห้ามญาติ(พระหัตถ์ขวายกห้าม) หรือปางห้ามสมุทร(ทั้งสองพระหัตถ์ยกห้าม) แล้วสวดมนต์คาถา..." เข้าไปแล้วมีหลายจุด ผมไม่ค่อยมีเวลาเลยเก็บภาพมาเพียงจุดเดียวครับ ภาพขวา : มองไปทางขวามือ(ทิศเหนือ) ก็คือปะรำพิธีทำบุญแก้ปีชง ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 18:35:55

ความคิดเห็นที่ 68 ทางเข้าพระอุโบสถต้องเดินอ้อมเสาด้านหน้า คนเยอะมากๆ ครับ ตรงประตูเข้าเหลือบเห็นป้ายกระดาษแปะไว้ เตือนให้สุภาพสตรีที่นุ่งกระโปรงสั้น (คงรวมกางเกงด้วย) ให้สวมผ้านุ่งที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้ก่อนเข้าไปด้วย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 18:39:23

ความคิดเห็นที่ 69 ตรงหน้าประตูทางเข้าพระอุโบสถมี พระพุทธรูปจำลองหลวงพ่อเพชรให้ปิดทองด้วยครับ  หลังจากนั้นก็เข้าโบสถ์กัน...คนชุลมุนตรงหน้าประตูนี้มาก ค่อยๆ ลุ้น ได้เห็นองค์หลวงพ่อเพชรแล้วครับ ปกติคนไม่เยอะขนาดนี้เข้ามากันได้ง่ายๆครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 18:42:49

ความคิดเห็นที่ 70 ตอนนี้เข้ามาในพระอุโบสถแล้ว สวยงามวิจิตรมาก แต่คนเยอะจริงๆ มีจุดทำบุญในนี้ด้วย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 18:44:14

ความคิดเห็นที่ 71 โชคดีที่บริเวณด้านหน้า ใกล้หลวงพ่อเพชรเป็นที่ว่างเลยได้เก็บภาพชัดๆ แบบไม่มีอะไรบดบังองค์ท่านมาให้ชมกัน นับว่างามล้ำค่าจริงๆ  ภาพเขียนด้านหลังก็ดูมีมิติลอยได้ อีกทั้งใกล้ๆ กันก็มีพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานไว้บนแท่นบุษบกงดงามไม่แพ้กัน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 18:48:11

ความคิดเห็นที่ 72 ลองใช้กล้องซูมดึงภาพมาดูใกล้ๆ อย่างชัดๆ นะครับ ภาพซ้าย : องค์หลวงพ่อเพชร นอกจากจุดสังเกตุตรงพระสังฆาฎิ ที่ปลายสั้นเหนือพระอุระ(อก) ด้านซ้าย แล้ว ฉัตรทองที่อยู่ข้างบนนั้นแขวนลอยลงมา ทำด้วยทองฉลุลวดลายละเอียดมาก ภาพขวา : พระบรมสารีริกธาตุ ในพระเจดีย์แก้วใส ประดิษฐานไว้บนบุษบก มีคำบูชาวางไว้ข้างล่างด้วยครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 18:54:46

ความคิดเห็นที่ 73 ผมหันกลับไปดู ผนังด้านที่เดินเข้ามา อันเป็นมุมที่มักลืมดูลืมถ่ายภาพกัน  อย่างน้อยก็จะได้เห็นกิริยาท่าทางของ สาธุชนที่เข้ามานมัสการ องค์พระประธานกัน ซึ่งพอสังเกตุได้ว่ามีตู้กระจกตั้งอยู่ ผมจึงเข้าไปดูใกล้ๆ เป็นที่บรรจุพระพุทธรูป ที่สามารถบูชาไปไว้ที่บ้านได้ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 19:00:57

ความคิดเห็นที่ 74 ผมออกมาข้างนอกพระอุโบสถ แล้วลองเดินรอบๆ ดูบ้างครับ ภาพข้างล่างนี้มองจากด้านหน้าพระอุโบสถ มองไปยังด้านหลัง ที่เป็นถนนบุษบา  จะเห็นว่ามีองค์พระและป้ายข้อมูล ตามตำแหน่งใบเสมา คล้ายๆ กับที่เห็นด้านหน้า คงอาจเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปีชงก็ได้ (ผมไม่ทราบ เพราะไม่ได้เข้าร่วมพิธีกับเขาด้วย) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 19:04:11

ความคิดเห็นที่ 75 เดินมาถึงด้านหลังพระอุโบสถ ก็เก็บภาพประตูด้านหลังไว้อ้างอิงด้วย เพราะไม่สะดวกต่อการถ่ายภาพความงามของประติมากรรมภาพนูนสูงที่บานประตูด้านหน้า  แต่น่าเสียดายที่มีถังขยะ ไม้ถูบ้านมาไว้ตรงนี้ น่าจะวางไว้ให้ต่ำกว่าพื้นโบสถ์จะดูเหมาะสมกว่าครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 19:07:53

ความคิดเห็นที่ 76 บริเวณรอบๆ พระอุโบสถ นั้นจัดเป็นสวนหย่อม ต้นไม้สวย ประดับไฟด้วย ถ้าหากมาตอนกลางคืนคงสวยเหมือนอยู่ในสวนสวรรค์เลยนะครับ แถมยังมีรูปปั้นยักษ์ ยืนถือโคมไฟส่องพระอุโบสถ โดยรอบ รวมแล้วประมาณ 6 ตน นับเป็นไอเดียสุดยอดเลย มองทะลุไปถึงรั้ววัดริมถนน สังเกตุเห็นป้ายชื่อวัดด้านหลังใกล้ประตูด้านใต้อันเดียวกันที่ผมถ่ายไว้ในคห.48 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 19:14:35

ความคิดเห็นที่ 77 ภาพซ้าย : ผมเดินห่างออกมาจากพระอุโบสถ ตรงถนนที่เข้ามาจากประตูด้านใต้ แล้วหันกลับไปดูด้านข้าง ภาพขวา : เก็บภาพศาลาด้านหน้าพระอุโบสถ ด้านหลังที่ไม่มีหน้าจั่ว บังเอิญผมไปค้นภาพเก่าๆ ของวัดท่าหลวง ไม่พบศาลาสองหลังคู่นี้ มีแต่ศาลานั่งพักรอบๆ พระอุโบสถเท่านั้นครับ  ข้างในผมคิดว่าน่าจะไว้เก็บของในงานพิธีต่างๆ แถวนี้(จะได้ไม่เดินไกล) หรือไม่ก็ใช้สำหรับทำบุญ สังฆทาน  ดูจากข้างนอกไม่เห็นอะไร จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 19:19:43

ความคิดเห็นที่ 78 หันหลังกลับไปดูฝั่งตรงข้ามกับด้านข้างพระอุโบสถ มีศาลาหลังใหญ่ตั้งอยู่ มีรูปปั้นยักษ์ 2 ตนตั้งอยู่ด้านหน้า ด้านขวามีสวนหย่อม ที่จัดแสดงแผ่นภาพประวัติศาสตร์ ตำนานสำคัญของเมืองพิจิตร เช่น วัดนครชุม นางตะเภาแก้วตะเภาทอง  ดูไกลๆ ก็สวยดี แต่ถ้าเข้าไปใกล้ ก็ทำด้วยแผ่นไม้วาดภาพครับ อีกหน่อยอาจปั้นเป็นหุ่นจำลองก็ได้ ถ้าหากมีคนสนใจกันมากๆ  ทางวัดเข้าใจคิด ทำแบบอุทยานประวติศาสตร์ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 19:26:27

ความคิดเห็นที่ 79 ลองใช้กล้องซูมดึงภาพรูปปั้นคู่หน้าศาลาหลังใหญ่ "ศาลาสภาบริหารคณะสงฆ์ จังหวัดพิจิตร" (นึกได้ว่าเป็นวัดใหญ่ประจำจังหวัด ท่านเจ้าอาวาสก็เป็นเจ้าคณะจังหวัดด้วย จึงต้องมีสภา สถานที่ประชุมของสงฆ์ เหมือนหน่วยงานอื่นๆของทางราชการ) รูปปั้นซ้ายไม่ใช่ยักษ์ครับ เป็นพระอินทร์ รูปปั้นขวาคือทศกัณฐ์ ครับ มีกายสีเขียวเหมือนกัน แถมมีพระกรมากมาย ดูไกลๆ เลยเข้าใจผิดไปครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 19:30:13

ความคิดเห็นที่ 80 ด้านขวาถัดจาก สวนหย่อมประวัติศาสตร์ ก็คือ อาคารสุขาหลังใหม่ ที่เชื่อว่าหลายคนคงไม่ทราบ เพราะอยู่ห่างไกลจากลานจอดรถด้านศาลาจำหน่ายสินค้าฯ มาก  สุขาแห่งนี้อยู่ใกล้ประตูด้านทิศใต้ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 19:33:59

ความคิดเห็นที่ 81 ภาพซ้าย : มาถึงภาพสุดท้ายของตอนนี้แล้วครับ ผมซูมกล้องเก็บภาพศาลาริมน้ำสวยๆในมุมนี้มาให้ดูกัน คาดว่าคงประดิษฐานพระพุทธรูป หันหน้าศาลาออกแม่น้ำ ผมลืมเดินไปดูข้างหน้า เลยไม่ทราบแน่ชัดว่าเปิดให้เข้าไปไหว้หรือไม่ หรือมีองค์พระใดอยู่ในนั้นครับ ภาพขวา : ก่อนขึ้นรถ มองเห็นศาลาด้านหน้าพระอุโบสถ แล้วนึกแปลกดีที่ หน้าจั่วอยู่ 3 ด้าน  ด้านหลังไม่มีโล่งๆ มองด้านนี้เหมือนภาพถูกลบด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์เลย วันนี้ขอจบกระทู้ตอนนี้ไว้ตรงนี้  ตอนต่อไปจะพาวนรถชมบึงสีไฟ และรูปปั้นจระเข้ยักษ์ ที่เสมือนจริง มีมานานกว่า 10 ปีแล้วให้ดูกัน คอยติดตามชมนะครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 19:48:12

ความคิดเห็นที่ 82 พอดีเข้าไปค้นหาภาพในอินเตอร์เน็ต ได้มีภาพด้านในศาลาด้านหน้าพระอุโบสถ ภาพขวา คห.81 ด้วย  ข้างในมีรูปปั้นพระอาจารย์ และอัฐิอดีตเจ้าอาวาสให้คนเข้าไปนมัสการด้วยครับ ที่มาจากเว็บ ทัวร์ออนไทย http://touronthai.com/gallery/placeview.php?place_id=8000007 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 19:53:03

ความคิดเห็นที่ 83 ขอบคุณรีวิวดีๆ มากๆนะครับ ชอบมากๆครับรีวิวได้ละเอียดมากๆ ตรงสถานีรถไฟนะครับชอบบ้านเรือนเก่าๆๆ จากคุณ : paipaiphuart เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 00:19:18

ความคิดเห็นที่ 84 ตามมาคุณมิราชช (mirage_II) เที่ยวครับ ได้ข้อมูลรายละเอียดประกอบภาพที่มีเยอะแยะอยู่แล้ว มากๆ เลย สำหรับสถานีรถไฟพิจิตร ปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็นอาคารอนุรักษ์แล้วครับ แถมคงเป็นหนึ่งในสถานีที่ทันสมัย (smart station) ตามโครงการของการรถไฟด้วยกระมัง ? สำหรับรางที่ต้องสงสัยตามข้างบนกระทู้ เป็นรางที่เข้าย่านวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ของบริษัทรับเหมาปรับปรุงราง (rehabitation railway) จาก 80 ปอนด์ เป็น 100 ปอนด์ พร้อมเปลี่ยนหมอนเป็น คสล.(ช่วงที่ 2) ระหว่างสถานีชุมแสง - พิษณุโลก ครับ โดยบริษัทดังกล่าวมีหัวงานอยู่ที่สถานีบางมูลนาก และสถานีพิจิตร พอเสร็จงาน และนำรางเก่าไปจัดเก็บยังที่อื่นแล้ว จะเป็นลานโล่ง ทิ้งเป็นปริศนาให้ผู้พบเห็นตีความต่อไป สำหรับถนนหลังย่านสถานีรถไฟนั้น เป็นเส้นทางแยกจากทางหลวงหมายเลข 111 (พิจิตร - บ้านสากเหล็ก อ.ทับคล้อ) เข้าสู่สถานีพิจิตร ที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารที่มีข้าวของ มีโอกาสขึ้นรถสองแถวเข้าไปในตัวเมือง  ภายหลัง ได้มีการก่อสร้างสะพานแขวนระหว่างสถานีพิจิตรข้ามไปฝั่งตัวเมืองแทนท่าเรือรับจ้างข้ามฟาก และมีบริการรถมอเตอร์ไซต์พ่วงข้างบริการ ทำให้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น สำหรับป้ายบอกชื่อทาง เป็นการนำป้ายเดิมมา re-use ใหม่ของแขวงการทางครับ แต่สีที่พ่นเป็นสีสเปร์ธรรมดา ไม่ติดทนเหมือนสีสะท้อนแสงเดิมที่ผ่านการอบจากบริษัทผู้ทำป้าย พอเจอแดดเจอฝนหลายปีเข้า สีสันป้ายเดิมก็โผล่ให้เห็น ดูแล้วตลกดีครับว่า ตั้งใจจะบอกให้ผู้อ่านรู้ว่าไปที่ไหนกันแน่ ? สำหรับเส้นทางไปบ้านวังกรด เข้าใจว่าเป็นทางหลวงชนบทครับ (สมัยก่อนยังไม่มี) โดยเส้นทางสายนี้จะข้ามแม่น้ำน่านด้านใต้เมือง ตัดกับถนนเลี่ยงเมืองด้านใต้ ก่อนไปยัง ต.วังกรด และทางหลวงหมายเลข 113 ไป อ.ตะพานหิน อ.ชนแดน และ จ.เพชรบูรณ์ ตามลำดับ เพิ่งทราบว่าหลวงพ่อเพชร เป็นพระพุทธรูปจากภาคเหนือตอนบนหรือถิ่นล้านนา ผมน่าจะเฉลียวใจตั้งแต่เห็นรูปทรงของท่านแล้ว แต่ตอนนั้นรู้สึกว่ารูปทรงคุ้นๆ ตาเท่านั้น   จะรอติดตามเรื่องราวจากคุณมิราชช ในตอนต่อไปครับ จากคุณ : owl2 เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 08:57:28

ความคิดเห็นที่ 85 สวัสดีครับ คุณ owl2: ต้องขอขอบพระคุณมาก ที่ได้มาตอบ และเพิ่มเติมรายละเอียดที่สงสัยให้ครับ แต่จะขอถามเพิ่มอีกนิดว่า พอทราบไหมครับว่า สะพานแขวนแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อใดครับ สวัสดีครับ คุณpaipaiphuart : ขอบคุณเช่นกันครับ คอยติดตามต่อไปนะครับ ตอนหน้าจะพาไปชมบึงสีไฟ มีถนนเลียบบึงโดยรอบด้วย จะได้เห็นบรรยากาศบึงในอีกบรรยากาศ) คาดว่าคงเป็นสัปดาห์หน้า  ในสัปดาห์นี้จะขอจัดเตรียมภาพก่อน เพราะเยอะมากๆ แค่บึงสีไฟที่เดียวก็ปาเข้าไป 136 ภาพแล้ว จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 13:02:09

ความคิดเห็นที่ 86 วันนี้ มาต่อในตอน 4 พาไปชมบึงสีไฟ และ(รูปปั้น)จระเข้ตัวใหญ่ อย่างเต็มอิ่มครับ http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11690425/E11690425.html แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 55 15:32:45 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 55 14:57:00