ความคิดเห็นที่ 1 ถ้ามาเที่ยวอียิปต์แล้วคุณจำเป็นต้องเลือกชมสิ่งมหัศจรรย์ได้เพียงสิ่งเดียว ผมบอกคุณได้เลยอย่างไม่รังเรว่า คุณควรมาอะบูซิมเบลครับ เพราะการมาอะบูซิมเบล ไม่ใช่การมาเที่ยวสุสาน ไม่ใช่มาชมวิหารเพื่อบูชาเทพเจ้า แต่ที่นี่เป็นเหมือนอนุสรณ์แห่งความเกรียงไกรของฟาโรห์องค์หนึ่งและความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์มีให้แด่สตรีอันเป็นที่รัก ระยะเวลาหนึ่งคืนที่อะบูซิมเบล จึงเหมือนต้องมนต์สะกดย้อนอดีตเข้าไปในช่วงเวลาเมื่อหลายพันปีก่อน จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:46:00

ความคิดเห็นที่ 2 เนื่องจากได้ยินชื่อเสียงอะบูซิมเบลมานานแล้วว่า ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ต้องไปสัมผัสให้ได้สักครั้งในชีวิต ทริปอียิปต์ครั้งที่สองเกิดขึ้นโดยใช้ประสบการณ์จากทริปครั้งแรก ด้วยการตัดการนั่งรถนานๆเปลี่ยนมาเป็นนั่งเครื่องบินในประเทศแทน พวกเราจึงยอมเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยใช้บริการบินภายในประเทศจาก ไคโรมายังอะบูซิมเบล เครื่องลงแวะรับผู้โดยสารระหว่างทางที่อัสวาน ก่อนบินต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมงสู่อะบูซิมเบล ทำให้ประหยัดเวลาและมีเวลาเที่ยวได้มากขึ้น ส่วนขากลับเราเลือกวิธีล่องเรือซึ่งสะดวกสบายเหมือนพักโรงแรม 4 ดาวทั่วๆไป อากาศช่วงปีใหม่ก็เย็นสบายไม่ร้อนมากเหมือนในฤดูร้อน จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:46:21

ความคิดเห็นที่ 3 แผนการเดินทาง เริ่มจากเมืองไคโร นั่งเครื่องบินภายในไปอะบูซิมเบล พักค้างคืนที่อะบูซิมเบลหนึ่งคืน เพื่อเก็บภาพวิหารทั้งกลางวันและกลางคืน รุ่งขึ้นบินไปเมืองอัสวาน ล่องเรือสำราญจากเมืองอัสวานไปยังเมืองลุกซอร์ นอนบนเรือสามคืน เรือสำราญแวะจอดระหว่างทางตามโบราณสถานริมฝั่งแม่น้ำไนล์ อาทิ วิหารคอมอัมโบ อีสน่า ฟิเล ลักซอร์ และวิหารคาร์นัค แต่ละเมืองมีสถานที่ท่องเที่ยวโบราณอายุเก่าแก่นับพันปี ก่อนบินกลับจากลุกซอร์มากรุงไคโร เที่ยวพิระมิดและสฟิงซ์แบบเต็มวัน ทำให้มีเวลาถ่ายภาพและเที่ยวชมอย่างเต็มที่ หามุมถ่ายภาพจากพิระมิดทั้งสาม รวมทั้งมุมที่เห็นสามพิระมิดซ้อนกัน ปิดทริปด้วยการเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอียิปต์ และช้อปปิ้งที่ตลาดข่านเอลคาลีลีอันโด่งดัง จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:47:18

ความคิดเห็นที่ 4 อะบูซิมเบล (Abu Simbel‎) เป็นมหาวิหารของอียิปต์โบราณ ประกอบด้วย 2 วิหารที่อยู่บนเขาสองลูก คือวิหารฟาโรห์รามเสสที่ 2 (The Great Temple ) และวิหารเนเฟอร์ทารี (The Small Temple) มเหสีที่ทรงโปรดที่สุด ว่ากันว่าวิหารเนเฟอร์ทารีเป็นวิหารแห่งเดียวในอียิปต์ที่ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อถวายเทพเจ้า แต่เป็นการสร้างให้แก่คนรัก แสดงให้เห็นถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของความรักไม่ว่าในยุคใดสมัยใด จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:47:38

ความคิดเห็นที่ 5 ภาพวิหารฟาโรห์รามเสสที่ 2 หรือ The Great Temple จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:47:58

ความคิดเห็นที่ 6 วิหารเนเฟอร์ทารี หรือเรียกว่า The Small Temple มีขนาดเล็กกว่าวิหารรามเสสที่ 2 ทั้งสองวิหารตั้งอยู่ติดกัน บริเวณเหนือทางเข้ามีคำจารึกว่า "รามเสสที่ 2 ทรงสร้างวิหารอุทิศแด่ราชินีเนเฟอร์ทารีผู้เป็นที่รักให้คงอยู่เป็นอมตะตราบเท่าที่พระอาทิตย์ยังคงส่องแสง" นับว่าเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่เป็นอมตะหาที่เปรียบได้ยาก จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:48:17

ความคิดเห็นที่ 7 อะบูซิมเบล (Abu Simbel‎) ถือเป็นมหาวิหารงามสุดยอดของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ที่ถูกสร้างในบริเวณที่อยู่ลึกเข้าไปในส่วนของอียิปต์บนในเขตที่เรียกว่า นูเบีย (ติดชายแดนประเทศซูดาน) ที่ห่างไกลจากศูนย์กลางความเจริญ เนื่องจากในสมัยของรามเสส อียิปต์มีอำนาจเหนือนูเบีย พระองค์ต้องการกำราบชาวพื้นเมืองไม่ให้กล้าหือ จึงสร้างมหาวิหารมหัศจรรย์ขึ้นมาโชว์ฤทธิ์เดช นั่นคือที่มาของ มหาวิหารอะบูซิมเบล (Abu Simbel‎) จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:49:14

ความคิดเห็นที่ 8 การก่อสร้างมหาวิหารทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นประมาณปี 1224 ก่อนคริศตกาล และเสร็จสมบูรณ์ในอีก 20 ปีต่อมา รู้จักกันในนาม "วิหารแห่งรามเสสอันเป็นที่รักของเทพเจ้าอามุน" ซึ่งเคยเป็นหนึ่งใน 6 วิหารหินแกะสลักที่ก่อสร้างขึ้นในนูเบียในช่วงระยะเวลาการครองราชย์อันยาวนานของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ซึ่งอียิปต์โบราณเจตนาให้เป็นที่ประทับใจต่ออาณาจักรเพื่อนบ้านทางใต้ อีกทั้งยังเจตนาเพื่อเป็นการเผยแพร่ศาสนาของชาวอียิปต์เข้าไปในแคว้นทางใต้ นักประวัติศาสตร์กล่าวว่าสถาปัตยกรรมของอะบูซิมเบลยังบ่งบอกถึงความภูมิใจและตัวตนของฟาโรห์รามเสสที่ 2 อีกด้วย จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:49:48

ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อดูจากแผนที่ อะบูซิมเบล อยู่ห่างจากเมืองอื่นโดยสิ้นเชิง มหาวิหารตั้งอยู่เกือบถึงชายแดนประเทศซูดาน ริมฝั่งตะวันตกของทะเลสาบนัสเซอร์ ระยะทางประมาณ 290 กิโลเมตรห่างจากอัสวาน การเดินทางมาอะบูซิมเบล จึงค่อนข้างใช้เวลาและงบประมาณ เนื่องจากรถไฟจากไคโรวิ่งมาสุดทางที่อัสวานเท่านั้น ถ้าคุณพักที่อัสวาน คุณต้องเหมารถตู้แชร์ร่วมกับผู้โดยสารคนอื่นออกเดินทางแต่เช้ามืดประมาณตี 4 และต้องไปร่วมขบวนกับรถคันอื่นๆที่จะไปที่เดียวกัน โดยมีตำรวจขับนำขบวน เพราะเส้นทางที่เดินทางไปออกจะอันตรายและต้องขับผ่านทะเลทรายเป็นระยะทางไกล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ถึงที่หมายที่อะบูซิมเบลประมาณ 7 โมงเช้า รถตู้ให้เวลานักท่องเที่ยวอยู่ชมวิหารประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น หลังจากนั้นทุกคนต้องกลับออกมาขึ้นรถกลับตามเวลาที่กำหนด จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:50:08

ความคิดเห็นที่ 10 เป็นเพราะค่อนข้างเสียเวลาในการเดินทางมาอะบูซิมเบล ทริปนี้ผมจึงเลือกใช้บริการบินภายในประเทศ ยอมเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแต่ประหยัดเวลาและสะดวกสะบายมากกว่ากันเยอะเชียวครับ เครื่องออกจากไคโรแต่เช้า ก่อนถึงอะบูซิมเบล เครื่องแวะลงจอดรับผู้โดยสารระหว่างทางที่ที่อัสวาน ใช้เวลาเดินทางจากไคโร-อะบูซิมเบล ประมาณชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเองครับ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:50:25

ความคิดเห็นที่ 11 ช่วงบินจากอัสวาน-อาบูซิมเบล เครื่องบินบินผ่านเขื่อนอัสวานเข้าสู่ทะเลสาบนัสเซอร์ ซึ่งวิวเบื้องล่างสวยงามมากๆครับ สมัยก่อนบริเวณแถวนี้เคยเป็นแม่น้ำไนล์ แต่รัฐบาลอียิปต์อยากสร้างเขื่อนยักษ์ ทำให้แม่น้ำไนล์ที่อยู่เหนือเขื่อนกลายเป็นทะเลสาบ ส่งผลทำให้โบราณสถานที่อยู่แถวนั้นจมหายอยู่ใต้น้ำ รวมถึงมหาวิหารอะบูซิมเบลด้วย ภาพถ่ายจากบนเครื่องบินขณะร่อนลงจอด จะเห็นฐานภูเขาจำลองรองรับปฏิมากรรมและมหาวิหารลึกขนาด 21 เมตรอย่างชัดเจน.................. ควรเลือกที่นั่งทางฝั่งซ้าย(หมายถึงซ้ายมือเมื่อหันหน้าไปยังห้องกัปตัน) เพื่อจะได้เห็นภาพแบบนี้ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:50:41

ความคิดเห็นที่ 12 อะบูซิมเบล นอกจากจะยิ่งใหญ่แล้วยังเป็นวิหารที่สมบูรณ์ที่สุดก็ว่าได้ เพราะอะไรเหรอครับ เนื่องจากอะบูซิมเบลอยู่ห่างไกลจากชุมชนเรียกว่าแทบไม่มีมนุษย์สักคนอยู่แถวนั้น จะมีก็แค่ชาวพื้นเมืองนูเบียร่อนเร่ไปมา ผิดกับโบราณสถานแห่งอื่นๆที่อยู่ใกล้เมือง พออณาจักรอียิปต์ล่มสลาย พวกชาวบ้านขโมยหินจากโบราณสถานมาใช้สร้างบ้านเมือง แต่ไม่มีใครกล้ามาขโมยที่อะบูซิมเบล เนื่องจากวิหารอะบูซิมเบล สร้างขึ้นโดยการแกะสลักลงไปบนหน้าผา ไม่ได้นำหินมาวางเรียงกันเหมือนวิหารอื่นๆในอียิปต์ ถ้าคิดจะขโมยหินจากวิหารไปใช้สร้างโน่นสร้างนี่ ก็ต้องออกแรงสกัดออกมาจากหน้าผา ทำให้ไม่มีขโมยที่ไหนกล้าทำ สู้ไปขโมยที่อื่นดีกว่า จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:51:00

ความคิดเห็นที่ 13 The Great Temple เทวรูปสลักขนาดยักษ์ด้านหน้าวิหารคือองค์ฟาโรห์รามเสสที่ 2 สี่องค์ แต่ละองค์สูง 20 เมตร ประทับนั่งเรียงกันอยู่หน้าวิหารกว้าง 35 เมตร .............. เห็นแค่นี้ก็ขนลุกแล้วครับ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:51:34

ความคิดเห็นที่ 14 การแกะสลักในหน้าผาช่วยให้โครงสร้างแข็งแรง ถึงแม้เกิดแผ่นดินไหวเมื่อหลายพันปีก่อน ก็ไม่ส่งผลกระทบกับวิหารมากนัก แค่รูปสลักองค์รามเสสที่ 2 พังไปหนึ่งอันเท่านั้นเอง จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:51:57

ความคิดเห็นที่ 15 ความยิ่งใหญ่ของอะบูซิมเบล ไม่ได้อยู่ที่ความใหญ่โตของวิหาร หรือเป็นโบราณสถานที่องค์ฟาโรห์สร้างให้กับมเหสีเพื่อเทิดทูนความรัก แต่อะบูซิมเบลมีเรื่องที่ Amazing มากยิ่งกว่านั้น ...... ตามผมมาครับ............ มาดูความ Amazing ของอะบูซิมเบลกัน จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:52:16

ความคิดเห็นที่ 16 อะบูซิมเบล จมอยู่ใต้กองทรายจึงไม่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม เราอาจนึกแปลกใจว่าวิหารใหญ่โตขนาดนี้จะจมอยู่ใต้กองทรายได้อย่าง แต่ถ้านึกถึงเรื่องระยะเวลาหลายพันปีในทะเลทราย ข้อมูลจากจารึกโบราณบอกไว้ว่า เมื่อราว 2600 ปีก่อน ทรายกลบอะบูซิมเบลไปถึงหัวเข่าของเทวรูปยักษ์ สมัยนั้นอียิปต์โบราณล่มสลายไปแล้ว ไม่มีใครมาเดินเล่นอยู่กลางทะเลทรายเพื่อคอยดูแลวิหาร ขนาดสฟิงซ์แห่งเมืองกิซ่ายังจมทรายหายไปตั้งหลายครั้ง เรื่องนี้จึงน่าประหลาดใจยิ่งนัก จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:52:53

ความคิดเห็นที่ 17 มหาวิหารถูกทิ้งร้างและตกอยู่ในสภาพที่ทรุดโทม เวลาผ่านไปสามพันปีคนทั้งโลกไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีสิ่งมหัศจรรย์อยู่ใต้ผืนทราย เพราะในยุคสมัยอียิปต์โบราณมีโบราณสถานมากมายเยอะแยะไปหมด ใครจะลุยทะเลทรายไปตามหาวิหารที่ไม่มีอยู่แม้ในตำนานเรื่องเล่าอย่างอะบูซิมเบล แม้จะมีจารึกอยู่บ้าง สมัยนั้นก็ไม่มีใครอ่านออก เนื่องจากเราเพิ่งแปลภาษาเฮียโรกลิฟได้เมื่อไม่ถึง 200 ปีก่อน อะบูซิมเบลจึงกลายเป็นวิหารที่ถูกลืมโดยแท้ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:53:12

ความคิดเห็นที่ 18 กระทั่งปี ค.ศ. 1813 เมื่อนักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมตะวันออกชาวสวิสเซอร์แลนด์ โจฮัน ลุดวิก เบิร์คฮารดต์ (Burckhardt) หรือรู้จักกันในนาม เจแอล เบิร์คฮารดต์ ค้นพบส่วนยอดวิหารโผล่มานิดเดียว (ลวดลายสลักใต้ชายคาของสิ่งก่อสร้าง) เบิร์คฮารดต์ ได้เล่าถึงการค้นพบของเขาให้แก่นักสำรวจชาวอิตาลีที่ชื่อ จิโอวานนี่ บาติสต้า เบลโซนี่ ผู้ที่เดินทางไปยังจุดค้นพบแต่ก็ไม่สามารถขุดไปยังทางเข้าของมหาวิหารได้ เบลโซนี่ได้กลับมาอีกครั้งในปี ค.ศ. 1817 ครั้งนี้เขาประสบความสำเร็จจากความพยายามที่จะเข้าไปยังมหาวิหารของเขา เขากลับออกมาพร้อมกับข้าวของอันล้ำค่าหรือข้าวของที่สามารถแบกออกมาได้ติดตัวออกมาด้วย จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:53:41

ความคิดเห็นที่ 19 เราเกือบจะไม่ได้เห็นวิหารอะบูซิมเบล เพราะต้องจมอยู่ใต้น้ำก้นทะเลสาบนัสซอร์จากผลกระทบของการสร้างเขื่อนอัสวานเสียแล้ว เนื่องจากรัฐบาลอียิปต์มีโครงการก่อสร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามจำเป็น หลังจากสร้างเขื่อนทำให้เกิดทะเลสาบนัสซอร์ น้ำในทะเลสาบเพิ่มปริมาณสูงขึ้นทำให้ท่วมโบราณสถานบริเวณนั้น ซึ่งรวมถึงวิหารอะบูซิมเบลด้วย ภาพผืนน้ำในทะเลสาบนัสซอร์หน้าวิหารอะบูซิมเบล แต่ก่อนบริเวณนี้คือแม่น้ำไนล์ พอรัฐบาลอียิปต์สร้างเขื่อนเพื่อกั้นกักเก็บน้ำไว้ไม่ให้ไหลไปท่วมพื้นที่เกษตรกรรมบริเวณท้ายเขื่อน ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นเกิดเป็นทะเลสาบ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:54:02

ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อหวนนึกถึงยามเมื่อสิ่งมหัศจรรย์อย่างวิหารอะบูซิมเบล ถูกฝังอยู่ในเนินทรายเป็นเวลานานแสนนาน กว่าจะคืนสู่ชีวิตอีกครั้งด้วยการค้นพบของเบิร์คฮารดต์ และในเวลาเดียวกันก็ต้องตระหนักว่า ความมหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลังการค้นพบมหาวิหาร นั่นคือเรื่องการกู้วิหารขึ้นจากทะเลสาบนัสเซอร์ โดยการประสานงานระหว่างประเทศของยูเนสโก้ แผนการต่างๆในการกู้วิหารถูกเสนอขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างกำแพงขนาดมหึมากั้นน้ำล้อมรอบวิหารไว้เป็นวงกลม ใครจะไปเที่ยวก็นั่งเรือไปที่ขอบเขื่อน จากนั้นปีนบันไดลงไปดู แต่เผอิญน้ำที่ท่วมขึ้นมาหลังการสร้างเขื่อนไม่ใช่แค่ห้าเมตรหรือสิบเมตร แต่ท่วมสูงถึง 65 เมตร เมื่อเป็นเช่นนี้ทางออกที่ดีที่สุดกลับกลายเป็นการตัดและแยกส่วนมหาวิหารทั้งสองออกเป็นชิ้นๆ และนำไปประกอบสร้างขึ้นใหม่ดังที่เราได้เห็นในปัจจุบัน เบื้องหน้าที่ผมยืนอยู่คือทะเลสาบนัสเซอร์บริเวณที่มหาวิหารอะบูซิมเบลต้องจมมิดอยู่ใต้น้ำถ้าไม่มีย้ายโบราณสถานยักษ์ขึ้นมาข้างบน จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:54:21

ความคิดเห็นที่ 21 โชคยังดีของคนรุ่นหลังที่ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกได้ร่วมกันหาวิธีกอบกู้โบราณสถานแห่งนี้ไว้ได้อย่างน่าทึ่ง โดยคณะวิศวกรจากสวิสเซอร์แลนด์ ใช้วิธีการตัดสกัดตัววิหารออกเป็นนับพันๆชิ้น และเคลื่อนย้ายยกทั้งหมดขึ้นไปอยู่บนพื้นที่ที่สูงกว่าเดิมอีกประมาณ 65 เมตร ใช้เวลาในการเคลื่อนย้ายทั้งหมด 4 ปี โดยใช้เงินไปถึง 40 ล้านดอลล่าร์ยูเอส(เมื่อ 50 ปีก่อน) วิธีเคลื่อนย้ายโดยละเอียดพร้อมภาพประกอบมีจัดแสดงไว้ในห้องนิทรรศการหลังจากเสียค่าบัตรผ่านประตูเข้ามา ภายในห้องนิทรรศการจะแสดงให้เห็นถึงความอัจฉริยะของมนุษย์เรา ทั้งผู้สร้างมหาวิหารในสมัยก่อนและผู้ย้ายวิหารยักษ์ให้รอดพ้นจากน้ำท่วม เห็นแล้วได้แต่ร้อง อู้ฮู น่าทึ่งจริงๆครับๆ .............. นี่คือความ Amazing อย่างแรกครับ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:54:41

ความคิดเห็นที่ 22 โครงการย้ายอะบูซิมเบล เริ่มต้นในปี 1964 วิหารและเทวรูปถูกตัดและแยกส่วนออกเป็นชิ้นๆ หินแต่ละก้อนหนัก 20-30 ตันถูกลำเลียงจากเชิงเขาเดิมมายังยอดเขาเทียมแห่งใหม่ห่างออกไป 200 เมตร สูงกว่าระดับเดิม 65 เมตร ทีมงานสร้างโดมหินเลียนแบบภูเขาลูกเดิม ก่อนนำชิ้นส่วนของวิหารมาติดตั้ง แม้แต่เทวรูปที่พังทลายเพราะแผ่นดินไหวก็ถูกยกมาวางไว้เหมือนเดิมแป๊ะทุกประการ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:55:02

ความคิดเห็นที่ 23 จนมาถึง คศ 1968 สี่ปีให้หลัง การย้ายอะบูซิมเบลเสร็จสิ้น ภูเขาทั้งลูกที่อะบูซิมเบล ตั้งอยู่ในปัจจุบันเป็นภูเขาที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งนั้น ข้างในกลวง แต่เราดูไม่ออกเพราะเขานำหินมาปะไว้ด้านนอก ฟังดูแล้วน่าตื่นตะลึงว่ามนุษย์เรามีความสามารถมากเหลือ แต่ถ้าคุณได้มาเห็นอะบูซิมเบลแล้วคุณจะเข้าใจว่า ทุกคนที่ร่วมงานทำการย้ายวิหารครั้งนั้นคงทุ่มเทสุดกายใจ เพราะที่นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกโดยไร้ข้อกังขา ทั้งงดงามทั้งแตกต่างจากโบราณสถานแห่งอื่นใดในโลก แม้วิหารเพตราในจอร์แดนจะเป็นการแกะสลักภูเขาเหมือนกัน แต่อายุผิดกันร่วม 2000 ปี อีกทั้งเพตราเป็นวิหารเฉยๆ ไม่มีเทวรูปยักษ์เหมือนที่อะบูซิมเบล.............. นี่คือความ Amazing อย่างที่สองครับ ภาพแสดงโครงสร้างโลหะโค้งรองรับภูเขาจำลอง หลังจากย้ายเทวรูปยักษ์ติดตั้งอยู่ด้านหน้า จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:55:22

ความคิดเห็นที่ 24 ความแตกต่างอย่างสุดท้าย ทำไมถึงชื่อ "อะบูซิมเบล" ขณะที่วิหารอื่นล้วนแต่มีชื่อสอดคล้องกับเทพเจ้าบ้าง ฟาโรห์บ้าง แต่อะบูซิมเบล มาจากชื่อของไกด์เด็กท้องถิ่นที่เคยพานักสำรวจรุ่นแรกๆไปวิหารซึ่งเขาเป็นผู้ค้นพบส่วนที่ถูกฝังของมหาวิหารที่เหลือ จากการที่ทรายได้เคลื่อนตัวเผยให้เห็นส่วนที่เหลือ อีกทั้งเด็กหนุ่มผู้นี้ยังทำงานเป็นมัคคุเทศน์พาแขกเที่ยวชมเรื่อยมา กระทั่งท้ายที่สุดได้มีการเรียกชื่อตามชื่อของเด็กผู้นี้ (เรื่องแบบนี้ไม่มีอะไรยืนยันว่าจริงหรือไม่ ควรพิจาราณา) จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:55:38

ความคิดเห็นที่ 25 มหาวิหารอะบูซิมเบล เป็นเนินเขาเตี้ยๆสองเนินอยู่ใกล้กัน เนินใหญ่เรียกว่า The Great Temple (วิหารฟาโรห์รามเสสที่ 2) สร้างอุทิศให้ 3 เทพเจ้าแห่งอียิปต์ ได้แก่เทพ Amun แห่ง Thebes เทพ Ptah แห่ง Memphis และเทพ Ra-Harakhty แห่ง Heliopolis เนินเล็กชื่อ The Small Temple หรือ Temple of Hathor (วิหารเนเฟอร์ทารี) สร้างอุทิศให้เทพี Hathor แต่ความจริงแล้วไซร้ วิหารใหญ่สร้างเพื่อเชิดชูฟาโรห์รามเสสที่ 2 วิหารน้อยสร้างให้คนรักคือมเหสีเนเฟอร์ทารีนั่นเอง ภาพด้านหน้าคือวิหารเนเฟอร์ทารี (The Small Temple ) ส่วนที่อยู่ติดกันคือวิหารฟาโรห์รามเสสที่ 2  (The Great Temple) จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:55:57

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้าไม่มีมหารวิหารอะบูซิมเบล ก็คงไม่มีใครมาเที่ยวที่นี่ เพราะเมืองนี้ไม่มีอะไรเลย อะบูซิมเบลเป็นเมืองที่อยู่ติดกันกับประเทศซูดาน แห้งแล้ง แต่สงบเงียบ ผู้คนที่นี่เป็นคนอียิปต์ชนเผ่านูเบีย ผิวดำ ต่างจากคนที่ไคโร อย่างเห็นได้ชัดเจน พวกเราพักค้างหนึ่งคืนที่โรงแรม Seti Abu Simbel Hotel โรงแรมนี้อยู่ติดทะเลสาบนัสเซอร์ และอยู่ห่างจากตัววิหารโดยใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาเที่ยวไป-กลับในวันเดียว คนที่มาค้างแบบพวกเราเพราะต้องการเที่ยวแบบหลีกหนีผู้คน และต้องการชมการแสดงแสงสีเสียงนั่นเอง จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:56:14

ความคิดเห็นที่ 27 ภาพวิวจากระเบียงห้องพัก เห็นทะเลสาบนัสเซอร์สีฟ้าสดสวยเชียวครับ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:56:34

ความคิดเห็นที่ 28 d2 จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:56:45

ความคิดเห็นที่ 29 หลังจากจ่ายค่าบัตรเข้าชม 80 ปอนด์อียิปต์ และผ่านด่านตรวจกระเป๋า ผมเข้ามาในอาคารหลังน้อยที่นี่คือศูนย์นิทรรศการแสดงข้อมูลและภาพการย้ายวิหารอะบูซิมเบล หนีน้ำท่วมในทะเลสาบนัสเซอร์ ที่จริงผมอยากชมวีดีทัศน์มากๆเพราะเห็นมีเครื่องเล่นพร้อมจอทีวี แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรเนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่มาบริการสักคน มาเที่ยวที่นี่ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า ถึงแม้ว่ายูเนสโก้เป็นผู้รับผิดชอบดูแล แต่ว่าคนท้องถิ่นซึ่งเป็นชาวนูเบียเป็นคนบริหารงาน แต่ละคนผิวดำปรี๋เชียวครับ การให้บริการบอกได้เลยว่าไม่ถึงระดับ International .......... ห้องแสดงนิทรรศการอยู่ด้านหลังภูเขาเที่ยมที่มีวิหารหันหน้าเข้าหาทะเลสาบ เพราะฉนั้นพวกเราต้องเดินอ้อมไปข้างหน้าครับ สักครู่เดียวจะพบ The Great Temple ...... ทีนี้เชิญทุกท่านเตรียมร้อง อู้ฮู ๆๆๆๆ ได้เลย จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:57:02

ความคิดเห็นที่ 30 เบื้องหน้าผมคือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย เนินหินด้านหน้าถูกสลักลึกเข้าไปในภูเขา มีรูปสลักฟาโรห์รรามเสสที่ 2 สี่องค์สูง 20 เมตร อยู่ในท่าประทับนั่งวางมือไว้บนเข่าสูงตระหง่าน แม้รูปปั้นองค์ที่สองถล่มลงเนื่องจากแผ่นดินไหว แต่เทวรูปที่ยังเหลืออยู่ดูยังไรก็ต้องร้องอุทานออกมาว่า อู้ฮู ๆๆๆๆ ตาลุกวาว หัวใจเต้นตึ๊กตั๊กๆเลยครับ เนื่องจากว่ามันยิ่งใหญ่จริงๆ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:57:20

ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อปีที่แล้วผมได้เห็นพิระมิด หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์แห่งอียิปต์และของโลกมาแล้ว แต่นั่นก็คือพิระมิด โบราณสถานที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลก ความมหัศจรรย์อยู่ตรงที่ว่าคนสมัยก่อนนำหินก้อนใหญ่ยักษ์มหึมาไปวางเรียงซ้อนๆกั้นขึ้นไปได้อย่างไร แต่เมื่อนำมาเปรียบเที่ยบกับอะบูซิมเบล ที่ขนาดเล็กกว่าพิระมิด บอกได้เลยว่าอะบูซิมเบลกินขาดในเรื่องความงดงาม พิระมิดจึงเป็นของประเภทต้องไปเห็นให้ได้ ผิดกับอะบูซิมเบลที่เมื่อได้ไปเห็นแล้วชวนให้ตะลึงยืนตาค้างอะไรทำนองนั้นเลยล่ะครับ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:57:41

ความคิดเห็นที่ 32 ตามไปด้วยครับ อะบูซิมเบล สวยมาก จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:57:42

ความคิดเห็นที่ 33 อะบูซิมเบล (Abu Simbel‎) เป็นวิหารเทพ ไม่ใช่วิหารกึ่งสุสาน จึงไม่มีมัมมี่ของใครฝังอยู่แถวนี้ เมื่อเข้าไปข้างในวิหารจะผ่านห้องโถง (Hypostyle Hall) และด้านในสุดที่เจาะลึกเข้าไปในภูเขามีห้องบูชาเทพเจ้าพร้อมภาพเขียนบนฝาผนังบอกเล่าเรื่องราวในอดีต จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:58:04

ความคิดเห็นที่ 34 ทันถ่ายทอดสดพอดีรูปสวยมากๆค่ะ กำลังอยากไปเที่ยวพอดีแต่ยังเกรงเรื่องการเมืองของเค้าอยู่เลยค่ะ ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันนะคะ จากคุณ : ann_aa เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:58:19

ความคิดเห็นที่ 35 แม้ฟาโรห์รามเสสที่ 2 จะสร้างวิหารอุทิศให้ 3 เทพแห่ง 3 นครของอียิปต์ แต่ความนัยที่แฝงอยู่คือพระองค์สร้างให้กับตัวเอง เรื่องแบบนี้ไม่ต้องตีความให้เสียเวลาเพราะเทวรูปสลักขนาดยักษ์ด้านหน้าวิหารคือตัวพระองค์เอง แต่ละองค์สูง 20 เมตร นั่งเรียงกันอยู่หน้าวิหารกว้าง 35 เมตร เห็นแค่นี้ก็ อึ้งกิมกี่ แล้วใช่ไหมครับ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:58:23

ความคิดเห็นที่ 36 รูปสลักที่ยืนอยู่เคียงข้างเข่าขององค์ฟาโรห์ นั่นคือสตรีที่อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ครับ เริ่มตั้งแต่ Nefertari ราชินีคู่กาย Mut-Tuy แม่ยาย และธิดาทั้งหก Meritamen Nebettawy และ Isetnofret ในจำนวนนี้มีหนุ่มหลงเข้ามา 2 คน ได้แก่ Amun-her-khepshef และ Ramesses ผู้เป็นราชโอรส จะเห็นว่าฟาโรห์รามเสสที่ 2 ให้เกียรติครอบครัวของพระองค์มาก จนถึงขั้นยอมให้มีรูปสลักอยู่คู่กับพระองค์ได้ แต่ให้อยู่แค่เข่าเท่านั้นน่ะครับ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:58:40

ความคิดเห็นที่ 37 d8-1 จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:58:56

ความคิดเห็นที่ 38 ของอีกอย่างที่ควรดูคือ มงกุฏของเทวรูปฟาโรห์ เป็นสัญญาลักษณ์ของมงกุฏที่รวมอียิปต์เหนือ-ใต้ไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ขอให้สังเกตุรอยสลักคาร์ทูชที่ต้นแขนขวาของเทวรูป เป็นสัญญาลักษณ์ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 สัญญาลักษณ์นี้เจอบ่อยตามแหล่งโบราณสถานในอียิปต์ เพราะฟาโรห์รามเสสที่ 2 เป็นฟาโรห์นักสร้าง ไปที่ไหนๆก็มักจะเจอรูปปั้นของพระองค์ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:59:15

ความคิดเห็นที่ 39 เป็นอีกจุดหมายในฝันเลยครับ สวยงามน่าค้นหาจริงๆ จากคุณ : อาตี๋อินเทอร์เน็ต เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:59:16

ความคิดเห็นที่ 40 รอยสลักคาร์ทูชที่ต้นแขนขวาของเทวรูปรามเสส จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:59:32

ความคิดเห็นที่ 41 ด้านบนสุดของของเทวรูปฟาโรห์ จะพบลิงบาบูน 22 ตัวนั่งเรียงรายอยู่ เนื่องจากสมัยนั้นอียิปต์ติดต่อค้าขายกับหลายอาณาจักรในแอฟริกา สินค้าอย่างหนึ่งคือลิงบาบูน นัยว่าราชสำนักนิยมเลี้ยงลิงเอาไว้เชิดชูบารมี ยังมีจารึกเกี่ยวกับลิงบาบูนที่พระนางฮัตเซปซุตสั่งมาจากอาณาจักร Punt ตามด้วยภาพวาดลิงในสุสานตุตันคามุน มาถึงที่นี่เราก็เจอลิงบาบูนอีกแล้วครับ แต่คราวนี้ที่นี่เป็นลิงสลักจากหินที่ภาพสลักยังสมบูรณ์อยู่ครับ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:59:55

ความคิดเห็นที่ 42 ซูมเข้ามาให้เห็นลิงบาบูนครับ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:00:12

ความคิดเห็นที่ 43 ที่เหนือประตูทางเข้าวิหารจะพบเทพรา (Ra-Harakhty) คือ เทพแห่งดวงอาทิตย์ในตำนานเทพเจ้าแห่งไอยคุปต์ของอียิตป์โบราณ เทพราเป็นดั่งบิดาแห่งมวลมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลาย ทรงสร้างเทพชู (เทพแห่งลม) เทพีเตฟนุต (เทวีแห่งสายฝน) เทพเกบ (เทพแห่งปฐพี) เทพีนัต (เทวีแห่งท้องฟ้า) และ เทพฮาปี (เทพแห่งแม่น้ำนิลนาม) เทพรามีหลายพระนามด้วยกันคือ ในตอนเช้ามักถูกเรียกว่า เฆปรี (Khepri) หรือ เฆเปรา (Khepera) เรียกว่าราในตอนกลางวัน และตุม (Tum) หรืออาตุม (Atum) ในตอนเย็น จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:00:31

ความคิดเห็นที่ 44 เทพรา จะเสด็จออกจากเมืองเฮลีโอโปลิส (Heliopolis) พร้อมกับเหล่าเทพเจ้า โดยใช้เรือสุริยันเป็นยานพาหนะ เพื่อตรวจเยื่ยมราษฎรในแคว้นทั้ง 12 แคว้น ทำให้เกิดแสงอาทิตย์ตลอด 12 ชั่วโมงใน 1 วัน และในเวลากลางคืนพระองค์จะท่องไปในแดนมตภพดูอัตจากฝั่งตะวันตกไปฝั่งตะวันออก จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:00:47

ความคิดเห็นที่ 45 ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงความใหญ่โตของเทวรูป เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของตัวคนที่เหลือตัวนิดเดียว จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:01:02

ความคิดเห็นที่ 46 รายละเอียดภาพสลักนูนบนพระแท่นประทับ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:01:19

ความคิดเห็นที่ 47 สวยมาก   วันนี้ทันการถ่ายทอดสดด้วย ตามติดรีวิวด้วยคนครับ จากคุณ : ชานมชงเอง เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:01:35

ความคิดเห็นที่ 48 ตามไปผจญภัยด้วยคนค่ะ.....ภาพสวยมากค่ะ จากคุณ : บัวดินกับกลิ่นขจร เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:01:35

ความคิดเห็นที่ 49 ซูมเข้ามาใกล้ๆ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:01:35

ความคิดเห็นที่ 50 ที่บริเวณฐานเทวรูป นอกจากจะพบรูปสลักของเหล่าเทพแล้ว ที่ฐานพระแท่นประทับยังพบลายสลักภาษาเฮียโรกลิฟได้ ที่ตัวอักษรสวยสมบูรณือีกด้วย จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:02:30

ความคิดเห็นที่ 51 f1 จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:02:44

ความคิดเห็นที่ 52 เมื่อเดินเข้ามาภายในวิหารส่วนแรกคือห้องโถง (Hypostyle Hall) จะพบเทวรูปยืนเรียงรายตามจุดต่างๆ แต่ละองค์สูง 2-3 เท่าตัวคน ลายสลักบนฝาผนังบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการทำสงคราม นั่นจึงเป็นที่มาของจุดประสงค์การสร้างวิหารอีกอย่างหนึ่งเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองกับชัยชนะของอียิปต์ที่มีต่อนูเบียที่สมรภูมิแห่งคาเดส อีกทั้งเพื่อเป็นการข่มขู่นูเบียไม่ให้มารุกรานอียิปต์ซึ่งเป็นอาณาจักรใกล้เคียง จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:03:04

ความคิดเห็นที่ 53 ทางเดินพาเราเข้าไปสู่ห้องบูชาเทพ (Sunctuary) อันเป็นหัวใจหลักของวิหาร ตามเสามีภาพฟาโรห์รามเสสที่ 2 กำลังถวายเครื่องบรรณาการเทพทั้งสาม เดินไปอีกนิดเป็นห้องในสุดมีเทวรูปอยู่ 4 องค์ ซึ่งนอกจากสามเทพแล้วยังมีเทวรูปรามเสสที่ 2 อยู่ด้วย นี่คือห้องที่ไม่ธรรมดา หลายพันปีก่อนชาวอียิปต์มีความรู้เรื่องดาราศาสตร์เป็นอย่างดี จึงออกแบบห้องนี้ให้สัมพันธ์กับปรากฏการณ์สำคัญ 2 ครั้งต่อปีคือ ลำแสงแรกของดวงอาทิตย์ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ และ 22 ตุลาคม จะสาดส่องประตูและทะลุไปถึงเทวรูปทั้งสามในห้องห้องศักดิ์สิทธิ์ ทิ้งไว้เพียงเทวรูปของเทพ Ptah เทพแห่งเมมฟิสผู้ดูแลโลกแห่งความตายและความมืดมิด เทพองค์นี้จะไม่มีวันได้รับแสง แค่นั้นยังมหัศจรรย์ไม่พอ ว่ากันว่าวันที่ 22 กุมภาพันธ์ คือวันประสูติของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ส่วนวันที่ 22 ตุลาคม ตรงกับวันขึ้นครองราชย์ของพระองค์ แสงแดดที่เปรียบเสมือนแสงแห่งเทพรา มหาเทพสูงสุด จะส่องมาเป็นการยอมรับรามเสสให้เป็นโอรสแห่งรา และร่วมแสดงความยินดีในวันที่พระองค์ขึ้นครองบัลลังก์ ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของคนอียิปต์สมัยโบราณจริงๆ เขาบอกว่าให้สังเกตุที่ลำแสง รูปสลักจะเรืองรองขึ้นมาทีละชิ้น เริ่มจากเทพองค์แรก และองค์สอง ก่อนมาสิ้นสุดที่รามเสส เป็นสัญญาลักษณ์ว่าพระองค์เป็นผู้อยู่รองเพียงองค์เทพเท่านั้น โอย .... ผมได้มายืนอยู่ในห้องศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วย......แค่คิดก็ขนหัวลุกแล้วครับ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:03:24

ความคิดเห็นที่ 54 หลังจากชื่นชมความมหัศจรรย์ของเทวรูปฟาโรห์รามเสสที่ 2 ที่ The Great Temple แล้วผมเดินมาชม The Small Temple ที่อยู่ติดๆห่างกันเพียงไม่กี่ก้าวครับ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:03:43

ความคิดเห็นที่ 55 ฟาโรห์รามเสสที่ 2 สร้างวิหารใหญ่ให้เทพและตัวเอง ในขณะเดียวกันก็สร้างวิหารเล็กให้เทพี Hathor และราชินี Nefertari จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:04:04

ความคิดเห็นที่ 56 ที่วิหารเล็กจะพบเทวรูปยืนเรียงกันด้านละ 3 องค์เป็นแนวปีกซ้าย-ขวาประตูทางเข้าวิหาร ในจำนวนเทวรูปทั้ง 6 องค์นี้เป็นองค์ฟาโรห์รามเสส 4 องค์แต่ใส่มงกุฏต่างกัน รูปสลัก 2 องค์สวมมงกุฏของสองอียิปต์บน-ล่างเหมือนที่วิหารใหญ่ ส่วนอีกสององค์สวมมงกุฏอียิปต์บนและมงกุฏแห่งอียิปต์ล่าง เทวรูปที่เหลืออีก 2 องค์คือราชินี Nefertari จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:04:35

ความคิดเห็นที่ 57 ตามประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณ มีฟาโรห์อีกเพียงองค์เดียวที่สร้างวิหารให้ราชินี นั่นคือฟาโรห์ Akhennaten สร้างวิหารให้ราชินี Nefertiti (Nefertiti ไม่ใช่ Nefertari อย่าสับสนเพราะชื่อคล้ายกันมากๆครับ) แต่ถ้าเที่ยบความรักระหว่างฟาโรห์ทั้งสอง ( Ramesses 2 กับ Akhennaten ) ต้องเทใจให้ฟาโรห์รามเสสที่ 2 เพราะวิหารของราชินี Nefertiti พังไปหมดแล้ว ไม่รู้จะนำมาเปรียบเที่ยบกันอย่างไร จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:04:52

ความคิดเห็นที่ 58 ไม่ว่าจะเป็นลายสลักหรือเทวรูป ราชินีจะสูงได้เพียงเสมอเข่าขององค์ฟาโรห์เท่านั้น แต่ไม่ใช่ที่อะบูซิมเบล เพราะวิหารเล็กของราชินีเนเฟอร์ทารี เทวรูปราชินีสูงเท่าองค์ฟาโรห์ แสดงให้เห็นถึงอนุภาพความรักที่ยิ่งใหญ่ของฟาโรห์ที่มีให้กับราชินี จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:05:09

ความคิดเห็นที่ 59 และที่อะบูซิมเบลยังเป็นวิหารของครอบครัวอีกด้วย เพราะข้างเทวรูปยักษ์มีรูปสลักขนาดเล็กขนาบข้างซ้าย-ขวา ขนาดสูงแค่เข่า เป็นโอรสและธิดาของรามเสสและเนเฟอร์ทารี เช่นเดียวกันกับที่วิหารใหญ่ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:05:25

ความคิดเห็นที่ 60 g6-1 จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:05:37

ความคิดเห็นที่ 61 ที่ด้านในวิหารเล็ก จะเต็มไปด้วยลายสลักเกี่ยวกับราชินีเนเฟอร์ทารี แม้จะมีองค์ฟาโรห์ด้วยแต่มีไม่มาก รวมทั้งลายสลักที่เกี่ยวกับการบวงสรวงเทพเจ้า ไม่มีลายสลักเกี่ยวกับสงครามการสู้รบเหมือนที่วิหารใหญ่ เพราะที่นี่คือวิหารแห่งความรักนั่นเอง จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:05:53

ความคิดเห็นที่ 62 ปัจจุบันมหาวิหารอะบูซิมเบลเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากและโด่งดังแห่งหนึ่งของอียิปต์ ซึ่งครั้งหนึ่งนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันและญี่ปุ่นเคยถูกลอบสังหารขณะเดินทางไปยังสถานที่แห่งนี้ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:06:09

ความคิดเห็นที่ 63 ภาพพระพักตร์หน้าตรงขององค์ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ดูจากรูปสลักแล้วได้แต่นึกว่า พระองค์เป็นฟาโรห์รูปงามองค์หนึ่งเลยทีเดียว จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:06:25

ความคิดเห็นที่ 64 การแสดง แสง สี เสียง หน้ามหาวิหารอะบูซิมเบล ค่าเข้าชมการแสดงอยู่ที่ประมาณ 90 ปอนด์อียิปต์ นักท่องเที่ยวต้องเสียค่าบัตรเข้าชมต่างหาก จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:06:43

ความคิดเห็นที่ 65 คนที่มาพักค้างคืนที่อะบูซิมเบลเท่านั้นถึงมีโอกาสชมการแสดง เพราะไม่มีรถวิ่งกลับไปยังเมืองอัสวานในตอนกลางคืน จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:06:59

ความคิดเห็นที่ 66 มุมมองที่หายากในอาบู ซิมเบล จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:07:15

ความคิดเห็นที่ 67 เป็นอย่างไรบ้างครับ .......... เพื่อนๆมีอาการมึนตึ๊บกันบ้างหรือเปล่าครับ ............ ฟังผมโม้เกี่ยวกับความเป็นมาของมหาวิหารอะบูซิมเบล เบื่อกันหรือยังครับ มาเที่ยวประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันๆปีอย่างอียิปต์ ถ้าไม่ทำการบ้านมาก่อน ผมว่าจะทำให้เที่ยวไม่สนุกน่ะครับ ฉนั้นก่อนมาเที่ยวแนะนำว่าให้หาหนังสือมาอ่าน ทำการบ้านมากๆ เวลามาเห็นของจริงจะทำให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้นน่ะครับ เรื่องราวความเล้นลับของดินแดนไอยคุปต์ยังไม่จบเพียงเท่านี้น่ะครับ ผมจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวกันต่อที่เมืองอัสวานครับ......... พร้อมแล้วตามมาเลยครับ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:07:33

ความคิดเห็นที่ 68 ผมใช้เวลาที่สนามบินอะบูซิมเบลอยู่นานพอสมควรเนื่องจากเครื่องบิน ดีเลย์ กว่าจะบินมาถึงอัสวานก็ปาเข้าไปบ่ายแก่ๆแล้ว โปรแกรมวันนี้เราจะไปเที่ยววิหารฟิเล และวิหารคอม ออมโบกันครับ แต่ก่อนไปเที่ยวชมวิหาร เราไปลงร่องเรือเฟลูกา (Felucca) กันก่อนครับ ถือว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงอัสวาน เรือใบเฟลูกา (Felucca) เป็นพาหนะสำคัญของชาวอียิปต์ในสมัยโบราณ ใช้กันแพร่หลายในแม่น้ำไนล์ ลักษณะเป็นเรือใบขนาดใหญ่ จุผู้โดยสารได้มากกว่าสิบคน ใช้ประโยชน์ได้ทั้งเป็นเรือขนส่งหรือเป็นเรือประมง ใช้คนบังคับหางสือเพียงหนึ่งคน หรือมีผู้ช่วยในเรืออีกหนึ่งคน ปัจจุบันเรือใบเฟลูกาก็ยังเป็นที่นิยมกันในแม่น้ำไนล์ เนื่องจากแม่น้ำไนล์มีลมพัดเกือบตลอดเวลา อัสวานถือเป็นเมืองแห่งเฟลูกา เนื่องจากชาวนูเบียทำอาชีพประมง เฟลูกาจึงเป็นพาหนะที่ขาดไม่ได้ คนอียิปต์ที่มีฐานะจะมีเรือเฟลูกาไว้ขับเล่น โดยจะเห็นเรือเฟลูการ่อนไปมาทั่วลำน้ำ ปัจจุบันเรือเฟลูกาถือเป็นสินค้าชั้นดีของเมืองอัสวานไปแล้ว เพราะพวกชาวบ้านหารายได้โดยบริการให้นักท่องเที่ยวลงล่องเรือในแม่น้ำ เมื่อมาถึงอัสวานแล้วยังไงๆก็ต้องขอลองล่องเรือเฟลูกาสักหน่อย กลับไปจะได้คุยได้ว่ามาถึงอัสวานแล้ว ปัจจุบันอัสวานมีประชากรประมาณ 275000 คน ผู้คนประกอบอาชีพต่างๆเช่น ชาวนูเบียทำประมง ชาวอียิปต์ทำการท่องเที่ยวบ้าง ทำการติดต่อค้าขายบ้าง อัสวานถือเป็นจุดเริ่มต้นของทัวร์แม่น้ำไนล์ มีเรือสำราญวิ่งเข้าออกวันละหลายสิบลำ ที่นี่มีสนามบินนานาชาติอัสวาน ทำให้บินไปอะบูซิมเบลหรือลุกซอร์ได้อย่างง่ายดาย สำหรับทริปนี้พวกเราลงล่องเรือสำราญจากอัสวานไปลุกซอร์ครับ ระหว่างทางแวะเที่ยวชมโบราญสถานที่อยู่ตามริมแม่น้ำไนล์ไปตลอดทาง จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:08:18

ความคิดเห็นที่ 69 แม้อัสวานเป็น 1 ใน 3 เมืองหลักของลุ่มน้ำไนล์ แต่เล็กกว่าลุกซอร์เกือบครึ่ง และเล็กกว่าไคโรที่มีประชากร 22 ล้านคนถึงหนึ่งร้อยเท่า หากเทียบจำนวนโบราณสถานที่อัสวานก็มีน้อยกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าอัสวานไม่มีอะไร อันดับแรกที่คุณต้องไปคือวิหารฟิเล มาเที่ยวอียิปต์ ดินแดนที่นับถือเทพและเชื่อเรื่องราวหลังความตาย ในสมัยที่อียิปต์รุ่งเรืองสุดขีด องค์ฟาโรห์ชอบสร้างวิหารเพื่อเป็นการสักการะบรรดาเทพ และเพื่อแสดงบารมีของตัวเอง จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:08:39

ความคิดเห็นที่ 70 ฟิเลเป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่สมัยไอยคุปต์ เริ่มมีการสร้างวิหารจริงจังในสมัยฟาโรห์ปโตเลมีหรือในยุคที่อียิปต์ใกล้จบสิ้น และเมื่อมีการสร้างเขื่อนทำให้วิหารฟิเลถูกน้ำท่วมหมดไปเกือบครึ่งวิหาร สีที่เขียนไว้ก็เริ่มหายไป ลายสลักถูกตะกอนแม่น้ำไนล์มาเกาะติด จนภายหลังยูเนสโก้ ช่วยย้ายวิหารจากเกาะฟิเลไปไว้ที่เกาะ Agilkia ฉนั้นเกาะที่เรานั่งเรือไปชมวิหารจึงไม่ใช่เกาะฟิเลดั้งเดิม แต่เขายังนิยมเรียกชื่อวิหารตามชื่อเกาะเดิมนั่นเอง จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:08:56

ความคิดเห็นที่ 71 เนื่องจากวิหารอยู่บนเกาะ การเดินทางไปชมวิหารต้องนั่งเรือจากเหนือเขื่อน เรือที่ใช้ก็เป็นเรือธรรมดาของชาวบ้านท้องถิ่น ใช้เวลาจากท่าเรือไปเกาะประมาณ 5 นาทีแค่นั้น เรือจะแล่นผ่านเวิ้งน้ำแคบๆก่อนตีวงไปจอดเที่ยบท่าเล็กริมเกาะ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:09:11

ความคิดเห็นที่ 72 ด้านหน้าวิหารฟิเล จะพบเทพสิงห์โต เฝ้าประตูทางเข้าต้อนรับพวกเรา แต่น่าเสียดายที่ใบหน้าแหว่งจนดูแทบไม่ออก จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:09:31

ความคิดเห็นที่ 73 ลานกว้างหน้าวิหาร จะพบเสาทรงปาปิรุสนับสิบที่เต็มไปด้วยลายสลักเกี่ยวกับการบูชาเทพ แม้เวลาจะผ่านมาแล้วมากกว่า 2000 ปี ลายสลักยังคมชัดอยู่ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:09:48

ความคิดเห็นที่ 74 เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาจะพบลานกว้าง (Great Court) ตามแบบฉบับวิหารอียิปต์ ลายสลักบนกำแพงชัดลึก น่าเสียดายที่สีตามลายสลักหายไปตั้งแต่น้ำท่วมครั้งนั้น ถ้ายังคงอยู่และงามเหมือนในภาพตามที่นักโบราณคดีวาดไว้ ฟิเลคงสวยล้ำเกินใครเป็นแน่ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:10:04

ความคิดเห็นที่ 75 เข้ามาในส่วนที่ 3 จะพบห้องโถงใหญ่ (Hypostyle Hall) จะที่เต็มไปด้วยห้องเล็กห้องน้อย ลายสลักมีเยอะอย่าบอกใคร เรียกว่าไม่เป็นรองวิหารชื่อดังที่อื่นๆ ผมใช้เวลาเดินชมลายสลักแต่ละห้องอยู่นานพอสมควร จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:10:21

ความคิดเห็นที่ 76 การชมวิหารต้องใช้เวลาและใจเย็นเพราะส่วนในสุดของวิหารมีห้องเล็กห้องน้อยที่มีลายสลักบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการสักการะเทพอยู่ในห้องที่เปิดไฟสลัว จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:10:39

ความคิดเห็นที่ 77 ที่สำคัญลายสลักยังคงสมบูรณ์และคมชัดเจนไม่แพ้วิหารใดๆในอียิปต์ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:10:55

ความคิดเห็นที่ 78 ฟิเลเป็นวิหารเทพที่สร้างถวายแด่เทพีไอซิส เพราะทั้งวิหารมีภาพเทพีองค์นี้อยู่แทบทุกมุม องค์ฟาโรห์ก็ถวายเครื่องสักการะแด่เทพี จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:11:12

ความคิดเห็นที่ 79 สุดท้ายที่ ฟิเล คือวิหารทรงแปลกตา ตั้งแยกออกมาจากวิหารใหญ่เรียกว่า Trajan's Kiosk วิหารเล็กฝีมือจักรพรรดิทราจัน มีอยู่ในกรุงโรม วิหารนี้จึงมีเอกลักษณ์เพราะเป็นสิ่งก่อสร้างยุคโรมันที่พบในวิหารไอยคุปต์ ซึ่งหาดูได้ไม่ง่ายนัก จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:11:30

ความคิดเห็นที่ 80 Trajan's Kiosk วิหารฝีมือชาวโรมัน จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:11:52

ความคิดเห็นที่ 81 ออกจากวิหารฟิเล เราไปเที่ยววิหารคอม ออมโบ(Kom Ombo) วิหารสุดท้ายของวันนี้ก่อนที่จะเข้าห้องพักบนเรือที่จอดรอพวกเราอยู่ คอม ออมโบ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของอียิปต์บนทางตอนเหนือของอัสวาน (Aswan ) ห่างออกไปประมาณ 50 กิโลเมตร ตัวเมืองตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:12:20

ความคิดเห็นที่ 82 วิหารคอม ออมโบ เป็นวิหารหนึ่งในเทวสถานเก่าอายุกว่า 2000 ปีที่สร้างถวายเทพโซเบค (Sobek) หรือเทพแห่งลำน้ำ ถือว่าเป็นเทพสำคัญเพราะคนอียิปต์ต่างฝากชีวิตไว้กับแม่น้ำไนล์ เทพองค์นี้มีหัวเป็นจระเข้ ในวิหารยังมีมัมมี่จระเข้เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์เล็กๆตรงทางออก เสียดายที่วันนี้เครื่องบินจากอะบูซิมเบล ดีเลย์ เลยทำให้มาถึง คอม ออมโบ ก็มืดแล้ว ผมมีเวลาชมวิหารไม่มากเท่าไหร่ก็ต้องรีบกลับไปเช็คอินเข้าห้องพักในเรือสำราญ กิจกรรมบนเรือมีกำหนดเวลาแน่นอน อาหารเช้า กลางวัน เย็น เขาเสริฟเป็นเวลา ถ้าไปเที่ยวกลับมาไม่ทันก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:12:37

ความคิดเห็นที่ 83 วิหารคอมออมโบ (Kom Ombo Temple) เป็นวิหารที่มีความซับซ้อนสวยงามมาก ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ที่ล้ำออกมาถึงแม่น้ำไนล์ สามารถเห็นวิวของแม่น้ำไนล์อันงดงาม ภายในวิหารคอม ออมโบ ประกอบไปด้วยห้องเล็กๆ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับการเก็บมัมมี่จระเข้อยู่สองตัว จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:12:55

ความคิดเห็นที่ 84 จากลานกว้างผ่านกำแพงเข้ามาสู่ห้องโถง Hypostyle Hall ในนี้แบ่งเป็นสองห้องโถงด้านนอกกับด้านใน ข้างนอกเป็นเสาใหญ่ลายสลักเพียบแม้หลังคาจะพังไปบ้างแล้วแต่คานบนเสายังคงอยู่ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:13:15

ความคิดเห็นที่ 85 ผ่านเข้ามาในห้องโถงชั้นสอง เสาต้นเล็กลงแต่สมบูรณ์กว่า ตามผนังด้านข้างมีลายสลักให้พิจาราณามากมาย บางอันแกะไว้เนียนมาก ดูเป็นภาพนูนต่ำ เช่นเทพีไอซีส เทพฮอรัส เป็นต้น จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:13:43

ความคิดเห็นที่ 86 Komombo6 จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:13:59

ความคิดเห็นที่ 87 ภายในห้องโถงแต่ละห้องเต็มไปด้วยภาพตามฝาผนังและเสากลม บอกเล่าเรื่องราวต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้า พิธีบูชาเทพเจ้า แน่นอนเนื่องจากเป็นวิหารที่สร้างเพื่อบูชาเทพจระเข้ซีเบค เราจึงพบภาพสลักเทพที่มีหัวเป็นจระเข้อยู่มากมาย (เทพโซเบคมีหัวเป็นจระเข้ ประทับยืนองค์ขวามือสุด) จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:14:18

ความคิดเห็นที่ 88 เสาลายสลักในวิหารโดดเด่นอย่างมาก ลายสลักยังคมชัดแม้เวลาผ่ามาแล้วหลายพันปี จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 16:14:33