ความคิดเห็นที่ 1 พระประวัติโดยย่อ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี (24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 - 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) เป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติ ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง ก่อนที่สมเด็จพระบรมชนกนาถจะเสด็จสวรรคตในอีกหนึ่งวันต่อมา พระนาม “ เพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี “ นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ในพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังโปรดให้ใช้คำนำหน้าพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าภาติกา*เธอ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ออกคำนำหน้าพระนามเป็น สมเด็จพระเจ้าภคินี*เธอ และคำนำหน้าพระนามนี้ยังใช้จนถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์ พระองค์ก็นับเป็นพระกุลเชษฐ์*โดยพระชนมายุ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นพระญาติชั้นที่ 3 ของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตพระมหากษัตริย์แห่งกัมพูชา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี สิ้นพระชนม์ด้วยพระอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16.37 นาฬิกา ณ ตึก 84 ปี โรงพยาบาลศิริราช สิริพระชันษา 85 พรรษา ที่มา : http://th.wikipedia.org ปล. *ภาติกา หมายถึงหลานสาวที่เป็นลูกสาวของพี่ชาย *ภคินี หมายถึงได้ทั้งน้องหญิงและพี่หญิง *พระกุลเชษฐ์ คือ พระบรมวงศ์ที่อาวุโสในพระชันษาที่สุด จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 09:56:06

ความคิดเห็นที่ 2 พระนาม พระนามของสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ นั้นได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ และมีคำนำพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ (ภาติกา หมายถึง หลานสาวที่เป็นลูกสาวของพี่ชาย) โดยก่อนหน้านี้มีการสมโภชได้มีการคิดพระนามไว้ ๓ พระนาม ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชอรสา สิริโสภาพัณณวดี, สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนจุฬิน สิริโสภิณพัณณวดี และสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ท้ายที่สุด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเลือกพระนามสุดท้ายพระราชทาน ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ได้เสด็จผ่านพิภพขึ้นสืบสนองพระองค์ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีประกาศเปลี่ยนคำนำพระนามสมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ จากนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบแทน ก็ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คงคำนำพระนามของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ ว่า สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ แม้ว่าสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ จะเป็นพระเชษฐภคินีผู้ทรงเจริญพระชนมายุสูงกว่า เนื่องจากคำว่า ภคินี แปลได้ทั้งน้องหญิงและพี่หญิง ดุจเดียวกัน จึงทรงพระนามตามพระฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ดังปรากฏในปัจจุบันว่า สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ที่มา : http://th.wikipedia.org ปล. สำหรับคนที่สงสัยว่าสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯคือใคร จากภาพที่เป็นเหมือนผังของราชวงศ์คราวๆก็จะเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชการปัจจุบันครับ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:00:15

ความคิดเห็นที่ 3 "ท้องสนามหลวง" เดิมเรียกว่า "ทุ่งพระเมรุ" เนื่องจากใช้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์ ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2398 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกจาก “ทุ่งพระเมรุ” เป็น “ท้องสนามหลวง” ดังปรากฏในประกาศว่า “ที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น คนอ้างการซึ่งนาน ๆ มีครั้งหนึ่งแลเป็นการอวมงคล มาเรียกเป็นชื่อตำบลว่า ‘ทุ่งพระเมรุ’ นั้นหาชอบไม่ ตั้งแต่นี้สืบไปที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น ให้เรียกว่า ‘ท้องสนามหลวง’” ในรัชกาลปัจจุบันมีการใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญ ๆ เช่น พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ, สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี กาญจนาภิเษก รวมทั้งงานพระเมรุมาศเจ้านายระดับสูง เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล, สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า, สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และล่าสุดใช้เป็นสถานที่จัดสร้างพระเมรุใช้ในการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ที่มา : http://th.wikipedia.org จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:01:25

ความคิดเห็นที่ 4 นอกจากนี้ยังเป็นที่ใช้จัดกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การปราศรัยใหญ่ในการหาเสียงเลือกตั้งในแต่ละครั้ง หรือการชุมนุมทางการเมืองต่าง ๆ รวมถึงใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางกีฬาการละเล่นต่าง ๆ เช่น ฟุตบอล หรือ ว่าว และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนทั่วไป ปัจจุบันทางกรุงเทพมหานครได้ทำการปรับปรุงภูมิทัศน์ของสนามหลวง จากเดิมที่เคยเสื่อมโทรมให้ดีขึ้น และไม่อนุญาตให้ใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางการเมืองใด ๆ เหมือนในอดีต เพื่อสงวนไว้สำหรับประกอบพระราชพิธีเท่านั้น ที่มา : http://th.wikipedia.org ปล. ตอนนี้สนามหลวงมีการล้อมรั้วบริเวณโดยรอบ และเปิดให้ประชาชนเข้าใช้พื้นที่ได้ทุกวันตั้งแต่ ๐๕.๐๐-๒๒.๐๐น. โดยไม่อนุญาตให้พักค้างแรม เอารถเข้ามาจอดหรือเอาของเข้าไปขายด้านในบริเวณเด็ดขาด จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:02:39

ความคิดเห็นที่ 5 วันที่ผมไปชมพระเมรุเป็นช่วงสงกรานต์พอดีฮะ คิดว่าผู้คนที่ไปชมคงไม่มากเท่าไหร่เพราะคงออกต่างจังหวัดกันซะเยอะ แต่ที่ไหนได้ผมไปถึงก็เกือบๆ ๕ โมงครึ่งก็เห็นฝูงชนเข้ามาชมความงามของพระเมรุกันเต็มไปหมดครับ บางส่วนก็เลือกจะนั่งเล่นในสนามหญ้ารับลมเย็นๆ เด็กๆก็สนุกสนานกับการเล่นว่าวซึ่งเป็นกีฬาอันดับหนึ่งของสนามหลวงเลยก็ว่าได้ นับๆดูตอนเย็นวันนั้นคงมีว่าวอยู่บนฟ้าไม่ต่ำกว่าร้อยตัวแน่ๆ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:03:16

ความคิดเห็นที่ 6 ความงดงามของพระเมรุยามต้องแสงยามเย็นมองดูแล้วสวยงามอย่าบอกใคร ยิ่งได้เห็นภาพตรงหน้าที่มีพื้นหลังเป็นวัดพระแก้วและหมู่มวลพระที่นั่งในพระบรมมหาราชวังด้วยแล้วผมอดภาคภูมิใจในศิลปะและวัฒนธรรมของคนไทยเสียมิได้ ปล.ชอบภาพนี้เ็นการส่วนตัว คิดว่าปีนี้จะส่งภาพนี้ประกวดปฎิทินบีพีซะเลย จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:04:42

ความคิดเห็นที่ 7 ได้เห็นแล้วก็รู้สึกเสียดายที่พอพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ แล้วเสร็จไม่นานนักก็จะมีการรื้อถอนพระเมรุและหมู่อาคารออกทั้งหมดครับ แต่ก็เข้าใจว่าคงไม่ควรเท่าไหร่นักที่จะมีพระเมรุมาตั้งถาวรอยู่ที่ท้องสนามหลวง ซึ่งจริงๆเรื่องนี้ก็เคยมีการถกเถียงกันมาเมื่อสมัยก่อนแล้วครับดังบทความต่อไปนี้ “ พระเมรุกลางเมืองนั้นเป็นของมีมาแต่ครั้งกรุงเก่า เพราะเป็นงานใหญ่ที่ประชาชนพลเมืองจะมาพร้อมเพรียงกันในงานนั้น จึงจำต้องปลูกสร้างขึ้นที่กลางใหญ่ให้เหมาะแก่รูปงาน ถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่าเป็นการสิ้นเปลืองเป็นอันมาก ฉะนั้นจึงควรจะทำให้เป็นที่ถาวรเสียในครั้งเดียว แล้วโปรดให้สร้างเป็นพลับพลาที่ทำพิธีพระราชกุศลขึ้นเป็นตัวตึก คือที่หอพระสมุดสำหรับพระนครบัดนี้ แต่ตัวพระเมรุซึ่งได้ลงรากไว้ตรงหอสมุดดำรงราชานุภาพยังมิได้ทันก่อสร้าง ก็มีเสียงคัดค้านไม่พอใจเกิดขึ้น เพราะต่างคนเห็นว่าศพผู้ที่เรารักอย่างยอดเยี่ยมนั้น จะทำให้เหมือนกับใครไม่ได้ และไม่นิยมยินดีที่จะไปทำร่วมกับผู้ใดๆ ดังเคยมีตัวอย่างมาแต่ในรัชกาลที่ ๓ แล้ว เพราะพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้เคยโปรดให้ทำเมรุถาวรขึ้นที่วัดสระเกศ แต่แล้วก็ไม่มีใครใช้ ก็คงจะได้ผลเช่นเดียวกัน จึงยุติการสร้างครั้งนั้นอยู่เพียงเท่าที่เห็นอยู่ในเวลานี้ ในสมัยต่อมา ก็ยังมีปัญหาเรื่องสิ้นเปลืองนี้ตลอดมา แต่ฝ่ายค้านทูลเกล้าฯ ถวายความเห็นว่า แม้จะสิ้นเปลืองก็เพื่อเป็นการรักษาวิชาช่างอย่างไทยแท้ไว้ให้อยู่ เพราะถ้ามีแต่เพียงตำรา ไม่ได้ฝึกหัดในทางทำแล้ว วิชานั้นๆ ก็จะต้องเสื่อมแม้ไม่สูญ อนึ่งในรัชกาลที่ ๗ นั้นมีผู้ก่อสร้างชาวต่างประเทศจากยุโรป มาขอเฝ้าและดูวิชาก่อสร้างพระเมรุจากสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้ทรงออกแบบและควบคุมงานด้วยพระองค์เอง เพราะนายช่างชาวต่างประเทศเห็นว่าวิเศษนัก ส่วนทางอเมริกาก็ถึงมีนักท่องเที่ยวโทรเลขสั่งมาว่าเมื่อใดจะมีการถวายพระเพลิงเจ้านายที่ท้องสนามหลวงแล้ว ขอให้โทรเลขไปบอกพวกเขา จะให้เข้ามาให้ทันเวลาได้ชม ด้วยเหตุที่เล่ามานี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชดำริเห็นชอบกับพวกฝ่ายค้าน และโปรดให้คงรูปงานของพระเมรุกลางเมืองไว้เช่นที่เราได้เห็นในบัดนี้ “ ที่มา : คัดมาจาก "สารคดีที่น่ารู้" ของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:05:58

ความคิดเห็นที่ 8 หลังจากเดินชมรอบๆบริเวณอยู่พักนึงก็ได้เวลาเดินเข้าไปชมภายในมณฑลพิธีกันแล้วครับ เดินเข้ามาก็จะเจอกับอาคารที่เรียกว่า “ศาลาลูกขุน“ (ทางด้านขวาสุดของภาพ) ซึ่งในงานพระราชพิธีนั้นใช้เป็นที่สำหรับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เฝ้าฯ รับเสด็จและร่วมพิธี เป็นอาคารโล่งชั้นเดียว ในครั้งนี้มีการปรับประยุกต์ใช้เต็นท์สำเร็จรูปเป็นโครงอาคาร และได้ออกแบบองค์ประกอบและลวดลายทางสถาปัตยกรรมไทย ตกแต่งให้เข้ากับหลังคาเต็นท์โค้ง (มีทั้งหมด ๑๐ หลัง) ปัจจุบันได้ตั้งเป็น ”กองอำนวยการ” เพื่อให้ประชาชนที่เข้าชมสามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับเอกสารเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับงานพระเมรุ และพระประวัติสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ อีกทั้งยังสามารถเลือกซื้อเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และแสตมป์ที่ระลึกสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ได้ในบริเวณกองอำนวยการได้อีกด้วยครับ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:06:27

ความคิดเห็นที่ 9 เดินถัดมาที่ศาลาลูกขุนอีกหลังหนึ่งก็จะมีการแสดงพระประวัติรวมไปถึงพระกรณียกิจของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯให้ประชาชนที่สนใจได้รับชม จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:07:00

ความคิดเห็นที่ 10 ถัดเข้าไปจะเป็น “พระที่นั่งทรงธรรม“ ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของพระเมรุ สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับขณะบำเพ็ญพระราชกุศล มีบริเวณสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ทูตานุทูต นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เฝ้าฯ รับเสด็จ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:07:45

ความคิดเห็นที่ 11 พระที่นั่งองค์นี้มีลักษณะเป็นอาคารโถง หลังคาจัตุรมุข ยกพื้นสูง หลังคาจั่วมีกันสาดปีกนก มุขหน้าและหลังมีมุขประเจิด พื้นที่ด้านหน้าอาคารต่อเป็นหลังคาปะรำ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้สอย การที่สถาปนิกออกแบบให้พระนั่งทรงธรรมตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่พระเมรุ เนื่องจากพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพจะเริ่มตั้งแต่ช่วงบ่ายไปจนถึงค่ำ ร่มเงาของพระที่นั่งทรงธรรมจะทอดสู่ลานและบันไดทางเสด็จพระราชดำเนินขึ้นพระเมรุ อีกทั้งผู้ที่อยู่บนพระที่นั่งทรงธรรมจะแลเห็นแสงเงาและสีสันอันงดงามของพระเมรุที่สะท้อนแสงอาทิตย์ในช่วงบ่ายถึงเย็น จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:08:47

ความคิดเห็นที่ 12 การเข้าชมพระเมรุและอาคารประกอบนั้นสามารถเดินเข้าชมได้โดยรอบ จะมีเพียงแค่ส่วนของพระที่นั่งทรงธรรมและพระเมรุเท่านั้นที่กั้นไม่ให้ประชาชนทั่วไปขึ้นไปชมด้านบน จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:09:23

ความคิดเห็นที่ 13 หลังเสร็จสิ้นงานพระราชพิธีฯได้มีการเก็บเครื่องใช้ในพระราชพิธีฯไปจนหมด บนพระที่นั่งจะเหลือก็แต่บุษบกเหนือพระแท่นแว่นฟ้า ซึ่งตอนงานพระราชพิธีฯนั้นเมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงเก็บพระอัฐิลงในพระโกศทองคำลงยา แล้วโปรดเกล้าฯให้เจ้าพนักงานอัญเชิญพระโกศลงมาประดิษฐานในบุษบกนี้ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:09:48

ความคิดเห็นที่ 14 จากคุณ : Coffee Blended เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:10:54

ความคิดเห็นที่ 15 พูดถึงพระโกศพระอัฐิของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯแล้วก็เลยเอาภาพมาให้ชมกันด้วย (ส่วนพระโกศจันทน์จะกล่าวถึงในช่วงต่อไปครับ) พระโกศสำหรับบรรจุพระอัฐิ ทองคำลงยา ดำเนินการผลิตโดยช่างโลหะและช่างศิราภรณ์ของสำนักช่างสิบหมู่ ชั้นในเป็นถ้ำศิลาทรงพระอัฐิและทำจากหินอ่อนกลึงกลม พระโกศภายนอกทำจากแผ่นทองสลักดุนลาย ลงยาสี ประดับพลอย ประดับด้วยเฟื่องดอกไม้ไหว ดอกไม้เอว และยอดพุ่ม ยอดพระโกศเป็นสุวรรณฉัตรเจ็ดชั้น (ขณะอัญเชิญอยู่ในพระราชพิธี) และแบบพุ่มข้าวบิณฑ์เงินประดับพลอย (ขณะประดิษฐานในพระวิมาน) พร้อมแป้นไม้กลึงปิดทองสำหรับรองรับฝาพระโกศ และฐานไม้กลึงปิดทองสำหรับรองรับยอดพระโกศพุ่มข้าวบิณฑ์หรือสุวรรณฉัตรเมื่อมีการถอดผลัดเปลี่ยนกัน ที่มา : http://www.princessbejaratana.com/th/knowledge02.php จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:11:16

ความคิดเห็นที่ 16 กาแฟ แอบมารีวิวแล้วยังตามเจออีกนะ ******************************************************** หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลเก็บพระอัฐิและพระสรีรางคารแล้ว เจ้าพนักงานภูษามาลาอัญเชิญพระโกศบรรจุพระอัฐิลงไปประดิษฐานบนพระบุษบกของพระที่นั่งราเชนทรยาน ขณะที่พระผอบบรรจุพระสรีรางคาร อัญเชิญประดิษฐานพระวอสีวิกากาญจน์ ก่อนตั้งริ้วขบวนพระอิสริยยศมุ่งสู่พระบรมมหาราชวัง เพื่อนำพระโกศพระอัฐิขึ้นประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ก่อนจะมีพระราชพิธีเชิญพระโกศพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ประดิษฐานที่พระวิมาน บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และในส่วนพระวอสีวิกากาญจน์ที่ประดิษฐานพระผอบบรรจุพระสรีรางคารนั้น เจ้าหน้าที่นำไปพักไว้ที่พระศรีรัตนเจดีย์ ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ก่อนจะอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ สุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหารต่อไป พูดถึงพระที่นั่งที่ได้กล่าวถึงผมก็มีภาพที่ได้ไปถ่ายไว้เองและได้เคยทำรีวิวไว้เมื่อเกือบๆ ๒ ปีก่อนมาให้ชมด้วยครับ ภาพ “พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระศพมาตลอดตั้งแต่มีพระราชพืธีพระศพรวมถึงพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลเก็บพระอัฐิและพระสรีรางคาร จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:12:56

ความคิดเห็นที่ 17 ภาพ “พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท” ซึ่ง “พระวิมาน” ที่จะอัญเชิญพระโกศพระอัฐิสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ ขึ้นประดิษฐานนั้นจะอยู่ที่ชั้นบนของปราสาทองค์กลาง พระวิมานนี้ประดิษฐานพระบรมอัฐิและพระอัฐิของเจ้านายหลายพระองค์ได้แก่ รัชกาลที่ ๔ ,รัชกาลที่ ๕ ,รัชกาลที่ ๖ ,รัชกาลที่ ๗ ,รัชกาลที่ ๘ ,สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ,สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในรัชกาลที่ ๖ และ ๗ ,สมเด็จพระศรีสวรินทรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ,สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ ,สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ,สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ,สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:13:29

ความคิดเห็นที่ 18 สวยมากครับน้าบอย จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:13:43

ความคิดเห็นที่ 19 ภาพ “พระศรีรัตนเจดีย์” ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:14:00

ความคิดเห็นที่ 20 สวยมาก ๆ เลยค่ะ จากคุณ : BROWN STITCH เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:14:48

ความคิดเห็นที่ 21 ลุงเอก ขอบคุณฮะ ภาพที่ถ่ายมายังไม่ตั้งใจทำเท่าข้อมูลที่หามาเลยครับ ******************************************************** กลับมาที่พระเมรุที่ผมตั้งใจจะพามาชมกันดีกว่าครับ ช่วงเวลาเริ่มค่ำแบบนี้ประชาชนที่เข้าชมจะเยอะมากเป็นพิเศษครับ เพราะทางสำนักพระราชวังจะเปิดไฟที่พระเมรุและบริเวณอาคารประกอบทั้งหมดทำให้เห็นความสวยงามของพระเมรุยามต้องแสงไฟมากยิ่งขึ้นไปอีก จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:16:05

ความคิดเห็นที่ 22 คุณBROWN STITCH ขอบคุณมากๆครับ ******************************************************** เมื่อมีผู้คนมากมาย การจะใช้ขาตั้งกล้องที่เตรียมไปด้วยเลยเป็นเรื่องที่ลำบากมากครับแถมผมก็ดูว่ามันคงไม่ควรเพราะคงไปเกะกะผู้คนที่เค้าอยากเข้าไปชมความงดงามของพระเมรุใกล้ๆ เลยตัดสินใจถ่ายภาพโดยไม่ใช้ขาตั้งกล้องแถมต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าเพราะตั้งใจว่าจะมาถ่ายพระเมรุช่วงที่ได้แสงทไวไลท์แบบนี้ด้วย เรียกได้ว่าแทบจะต้องวิ่งถ่ายรอบๆพระเมรุเลยทีเดียว มีช่องตรงไหนก็ขอซุกตัวเข้าไปก่อนเพราะอยากได้ภาพของพระเมรุแบบไม่มีฉากบังหน้าเป็นผู้คนเหมือนรูปที่แล้ว ปล.การถ่ายภาพไม่ว่าในสถานที่ใดๆเราควรดูด้วยครับว่ามันจะไปรบกวนหรือว่าสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจให้กับผู้ที่อยู่รอบข้างหรือเปล่า เรื่องนี้ผมถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆสำหรับนักถ่ายภาพทุกคนนะครับ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:18:00

ความคิดเห็นที่ 23 พระเมรุฝั่งนี้เป็นฝั่งทิศตะวันตกครับ เป็นฝั่งที่หันเข้าหาพระที่นั่งทรงธรรม จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:18:33

ความคิดเห็นที่ 24 ซึ่งพระที่นั่งทรงธรรมนี้ตามที่บอกไปข้างต้นคือ เป็นพระที่นั่งสำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับขณะบำเพ็ญพระราชกุศล มีบริเวณสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ทูตานุทูต นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เฝ้าฯ รับเสด็จ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:19:14

ความคิดเห็นที่ 25 ถ้าได้เห็นในภาพจากการถ่ายทอดสดพระราชพิธีฯ ฝั่งนี้เองจะมีลิฟท์ทางเสด็จฯของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ซึ่งมีถึงสองตัว โดยลิฟต์ตัวแรกอยู่ที่ฐานชานชาลาพระเมรุและตัวที่สองอยู่ที่ฐานชานชาลาบน ตรงเข้าไปห้องพระจิตกาธานดังภาพที่เห็น จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:19:57

ความคิดเห็นที่ 26 พระเมรุสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ยอดทรงมณฑปแปลง มีมุขยื่นทั้งสี่ด้าน สร้างขึ้นบนฐานชาลาใหญ่ ความสูงถึงยอดฉัตร ๓๕.๕๙ เมตร มุขหน้าด้านทิศตะวันตกเป็นทางเสด็จพระราชดำเนิน มุขด้านทิศเหนือมีสะพานเกรินสำหรับอัญเชิญพระโกศขึ้นประดิษฐานเหนือพระจิตกาธานภายในพระเมรุ มุขหลังด้านทิศตะวันออกเป็นพื้นที่วางเตาเผาพระศพ บริเวณฐานชาลาทุกด้าน มีบันไดทางขึ้นลง รายล้อมด้วยรั้วราชวัติ ฉัตร โคม และเทวดาอัญเชิญฉัตรประกอบพระอิสริยยศ ภาพนี้เป็นพระเมรุฝั่งทิศตะวันตกเฉียงใต้ครับ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:20:24

ความคิดเห็นที่ 27 ในความเชื่อแบบพราหมณ์ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ ซึ่งสถิตบนเขาพระสุเมรุ อันล้อมรอบด้วยเขาสัตบริภัณฑ์ และเมื่อจุติลงมายังมนุษยโลกเป็นสมมติเทพ เมื่อสวรรคตจึงตั้งพระบรมศพบนพระเมรุมาศ หรือพระเมรุ เพื่อเป็นการส่งพระศพ พระวิญญาณกลับสู่เขาสุเมรุดังเดิม ที่มา : http://th.wikipedia.org ดังนั้นการออกแบบจึงได้จำลองให้เป็นไปตามความเชื่อแบบพราหมณ์ คือพระเมรุเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นภูเขาศูนย์กลางจักรวาล มียอดเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นที่อยู่ของเทวดา และที่ตีนเขาเป็นป่าหิมพานต์ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:20:57

ความคิดเห็นที่ 28 ดังนั้นเราจึงได้เห็นการตกแต่งบริเวณรอบฐานพระเมรุเป็นป่าหิมพานต์ มีสัตว์หิมพานต์นานาชนิดมากถึง ๑๖๐ ตัว ตั้งอยู่บริเวณเขามอหรือภูเขาหินที่จำลองเป็นป่าหิมพานต์ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:21:23

ความคิดเห็นที่ 29 ด้านนี้เป็นมณฑลพิธีฝั่งทิศใต้ติดกับวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวังครับ ที่เห็นเป็นอาคารด้านหลังนั่นเรียกว่า “ทับเกษตร” หมายถึงอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงขอบเขตมณฑลพิธี มักสร้างเป็นระเบียงล้อมรอบพระเมรุ ใช้เป็นที่นั่งของเจ้าหน้าที่ผู้มาร่วมงาน ส่วนกลางทับเกษตรเป็นอาคารยอดมณฑป ชั้นเชิงกลอนประดับด้วยซุ้มบันแถลงและนาคปักที่มุมทั้งสี่ บนหลังคาอาคารส่วนที่เป็นปีกทั้งสองด้านประดับฉัตรผ้าทองแผ่ลวด จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:21:58

ความคิดเห็นที่ 30 พลอากาศตรีอาวุธ เงินชูกลิ่น สถาปนิกผู้ออกแบบเรียกเครื่องยอดลักษณะนี้ว่า เครื่องยอดทรงมณฑปแปลง เนื่องจากเป็นการประยุกต์ให้แตกต่างจากเครื่องยอดทรงมณฑปปกติ ซึ่งจะต้องมีชั้นเหมอยู่ใต้ชั้นบัวกลุ่ม แต่ครั้งนี้ พลอากาศตรีอาวุธ ได้ออกแบบทรงมณฑปนี้ใหม่โดยที่ไม่มีชั้นเหม จึงเรียกว่าเป็นทรงมณฑปแปลง เครื่องยอดพระเมรุนี้ ประกอบด้วยชั้นเชิงกลอน ๕ ชั้น กึ่งกลางของเชิงกลอนแต่ละชั้นมีซุ้มบันแถลงซ้อนสองชั้น ที่มุมหลังคามีนาคปัก ส่วนบนเป็นองค์ระฆังรับบัลลังก์ เหนือบัลลังก์เป็นชุดบัวกลุ่ม ๕ ชั้น ปลียอดแบ่งเป็นสองส่วนคั่นด้วยลูกแก้ว ที่ยอดบนสุดประดิษฐานสัปตปฎลเศวตฉัตร (ฉัตร ๗ ชั้น) ที่มา : http://www.princessbejaratana.com/th/knowledge01.php นอกจากนี้จะเห็นว่าตรงกลางภาพจะมีฉากบังด้านในของพระเมรุอยู่ ฉากนี้เรียกว่า “ฉากบังเพลิง” มีอยู่ ๒ แบบคือ ”ฉากบังเพลิงชั้นนอก” มี ๔ ชุดใช้ปิดโถงพระเมรุเวลามีพิธีพระราชทานเพลิงพระศพเพื่อกันสายตาและกันลมเพราะในสมัยก่อนการพระราชทานเพลิงพระศพจะทำกันบนพระจิตกาธานกลางพระเมรุ อีกแบบเรียกว่า “ฉากบังเพลิงชั้นใน” ใช้เป็นฉากบังเตาฉากแบบนี้มีอยู่ชุดเดียวเท่านั้นครับ รายละเอียดของฉากบังเพลิงแต่ละชุดไม่เหมือนกันครับ ถ้าสนใจไปตามอ่านกันได้ที่   http://www.princessbejaratana.com/th/knowledge04.php ครับ ภาพนี้เป็นพระเมรุฝั่งทิศใต้ครับ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:23:17

ความคิดเห็นที่ 31 ภาพนี้เป็นพระเมรุฝั่งที่ตะวันออกเฉียงใต้ จะเห็นว่ามีอาคารลักษณะคล้ายศาลาหลังเล็กๆอยู่ทั้งสี่มุมของฐานชาลาของพระเมรุเรียกส่วนนี้ว่า “ซ่าง” เป็นที่สำหรับพระพิธีธรรม ๔ ชุดสลับกันสวดพระอภิธรรม ตั้งแต่เชิญพระโกศพระศพประดิษฐานบนพระจิตกาธานจนเสร็จการพระราชทานเพลิง จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:23:53

ความคิดเห็นที่ 32 สิ่งที่จะลืมพูดถึงไปไม่ได้เลยคือ “สัปตปฎลเศวตฉัตร” ที่อยู่เหนือยอดพระเมรุ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรดำเนินการสร้างฉัตรเหนือยอดพระเมรุเป็นสัปตปฎลเศวตฉัตร (ฉัตร ๗ ชั้น) จากเดิมคือเบญจปฎลเศวตฉัตร (ฉัตร ๕ ชั้น) เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศสูงสุดแด่สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี “สัปตปฎลเศวตฉัตร” เป็นฉัตรขาวเจ็ดชั้น ประกอบขึ้นจากการสมาสระหว่างสี่คำ คือ สัปต หมายถึง เจ็ด, ปฎล หมายถึง ชั้น, เศวต หมายถึง สีขาว และ ฉัตร หมายถึง ร่มที่มีลักษณะซ้อนกันหลายชั้น ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ที่ยังมิได้รับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมราชชนก สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระยุพราช สมเด็จพระบรมราชกุมารี พระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงพระราชทานเป็นพิเศษ เช่น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นต้น หรือเทียบเท่า สัปตปฏลเศวตฉัตร มีีลักษณะเป็นฉัตรผ้าทรงกลม ๗ ชั้น สูง ๔.๕๕ เมตร คันฉัตรทำด้วยสแตนเลส ทาด้วยสีทอง กำพู็เป็นไม้กลึงแกะสลักปิดทอง ระบายของฉัตรแต่ละชั้น เป็นผ้าลินินสีขาว ทับซ้อนกัน ๓ ชั้น โดยไล่ระดับกัน ชายผ้าทุกชั้น ขลิบแถบดิ้นสีทองโดยรอบ ที่โครงระบายฉัตรชั้นที่ ๑ ห้อยดอกจำปาสีทอง ๘ สาย สายละ ๘ ดอก ส่วนยอดฉัตรเป็นไม้กลึงปิดทอง ๑.๑๖ เมตร ที่มา : http://th.wikipedia.org โดยปกติแล้วพระราชพิธียกสัปตปฏลเศวตฉัตรยอดพระเมรุ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯเองทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณฯ เสด็จฯ แทนพระองค์ เมื่อยกขึ้นยอดพระเมรุแล้วถือว่าการก่อสร้างพระเมรุเสร็จสมบูรณ์ (เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๕) จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:24:37

ความคิดเห็นที่ 33 สวยมากๆ จากคุณ : inint&anant เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:24:49

ความคิดเห็นที่ 34 การตกแต่งพระเมรุ ใช้งานศิลปกรรมแบบซ้อนไม้ทดแทนการแกะสลักไม้จริง เป็นลักษณะพิเศษที่ใช้ในงานพระเมรุ อันถือเป็นงานลำลองสำหรับอาคารใช้งานชั่วคราว งานพระเมรุครั้งนี้ มีแนวคิดที่ลดการใช้ไม้ซึ่งเป็นวัสดุหายาก จึงเสริมบางส่วนที่เป็นงานซ้อนไม้ด้วยวิธีการหล่อด้วยไฟเบอร์กลาส การประดับตกแต่งส่วนอื่นๆ ใช้การปิดผ้าทองย่นสาบกระดาษสี แทนการปิดทองประดับกระจก จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:26:00

ความคิดเห็นที่ 35 คุณอิ๊น ขอบคุณมากๆฮะ ไปชมความงดงามมาหรือยังครับเหลือแค่ ๒ วันแล้วนะฮะ ******************************************************** พระเมรุด้านทิศตะวันออกเป็นอีกด้านที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นด้านที่ใช้วางเตาเผาพระศพครับ เพิ่งได้เห็นเองกับตาเหมือนกันว่าเป็นเตาไฟฟ้าแบบไร้ควันและไม่สร้างมลพิษซึ่งเตาไฟฟ้าแบบนี้เพิ่งใช้ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ซึ่งครั้งแรกก็คือพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ที่ผ่านมาไม่นานนี้เอง ฉะนั้นแล้วพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพครั้งสุดท้ายที่มีการพระราชพิธีพระราชทานเพลิง(จริง)บนพระจิตกาธาน*คือพระศพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่านั่นเองครับ ปล.พระจิตกาธาน หมายถึง เชิงตะกอนเผาพระศพ ยังมีอีกหนึ่งอาคารที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระเมรุ แต่เสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายถาพมาคือ “หอเปลื้อง” ครับเป็นอาคารขนาดเล็กชั้นเดียวหลังคาจั่ว ยกคอสอง มีหลังคาปีกนกโดยรอบ มีผนังโดยรอบ เป็นที่เก็บพระโกศและเครื่องประกอบ หลังจากที่เปลื้องออกจากพระลองแล้วและสำหรับเก็บเครื่องใช้เบ็ดเตล็ดในช่วงการพระราชทานเพลิงพระศพ ซึ่งก็คืออาคารที่อยู่ทางด้านขวามือของภาพนี่ล่ะครับ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:28:13

ความคิดเห็นที่ 36 แวะมาชมครับ พี่บอย ภาพสวยมาก เนื้อหาแน่น รีวิวคุณภาพอีกรีวิว ตามชมต่อครับ ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ จากคุณ : กัปตันลูกชุบ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:28:20

ความคิดเห็นที่ 37 เลือกฟ้อนท์ได้อลังการจริงๆ จากคุณ : the Sixth Floor เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:29:58

ความคิดเห็นที่ 38 คุณตัน ขอบคุณมากๆจ้า เป็นรีวิวที่ตั้งใจทำมากจริงๆนั่งเขียนข้อมูลอยู่ ๕ วันได้ ได้รู้เรื่องต่างๆเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย มีความสุขและถือเป็นความภูมิใจที่ได้ทำรีวิวนี้จริงๆนะ ******************************************************** พูดถึงพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพแล้วก็เลยมีเรื่องอยากจะเอามาเล่าให้เป็นความรู้สำหรับผู้ที่ไม่เคยทราบมาก่อนได้ฟังกันครับ หลายคนทราบกันแล้วแต่อีกหลายๆคนก็ยังไม่ทราบว่าการพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ ในครั้งนี้ได้มีการอัญเชิญพระศพลงพระโกศจริง ซึ่งก็เป็นพระประสงค์ของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯเองที่ทรงอยากให้ทำตามแบบโบราณราชประเพณี แต่เดิมการเชิญพระศพลงพระโกศเป็นความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ที่เชื่อว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นสมมติเทพ เจ้านายที่เป็นพระราชบุตรพระราชธิดาก็เป็นเทพบุตรเทพธิดา เมื่อเสด็จสวรรคตหรือสิ้นพระชนม์ก็ต้องกลับคืนสู่สวรรค์ จึงต้องแต่งพระบรมศพหรือพระศพเป็นเทวดา ทรงมงกุฎและสร้อยถนิมพิมพาภรณ์เต็มเครื่องขัตติยราชย์ จะทำพระบรมศพหรือพระศพเหมือนชนชั้นสามัญธรรมดาไม่ได้ จึงต้องนำพระบรมศพหรือพระศพใส่พระบรมโกศหรือพระโกศแล้วจัดในท่านั่งเพื่อส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ต่อมามีการปรับให้เข้ากับศาสนาพุทธแล้วทำเป็นพระราชประเพณีสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ (การอัญเชิญพระศพลงพระโกศจะอธิบายช่วงต่อไปครับ) จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:31:44

ความคิดเห็นที่ 39 สวยงามมากๆเลยค่ะ จากคุณ : oomsin_me เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:34:29

ความคิดเห็นที่ 40 ชั้นหก นั่งเลือกอยู่นานมาก ถึงจะดูอ่านยากแต่ก็ดูจะเป็นอะไรที่เรียบร้อยสุดแล้ว แถมตั้งใจจะไม่ให้ลายน้ำอยู่ด้านบนของรูปเลย ******************************************************** พูดถึงพระโกศที่ใช้ในพระราชพิธีครั้งนี้ก็ต้องขออธิบายความเป็นมากันหน่อย พระโกศที่ทรงพระบรมศพและพระศพเจ้านาย กับโกศพระราชทานสำหรับศพข้าราชการผู้มีบรรดาศักดิ์สูง มี ๑๔ อย่างโดยพระโกศที่มีลำดับยศสูงสุดคือ “พระโกศทองใหญ่” สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ เมื่อปี ๒๓๕๑ โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดให้รื้อทองที่หุ้มพระโกศกุดั่นมาทำพระโกศทองใหญ่ขึ้นไว้สำหรับพระบรมศพของพระองค์ เมื่อทำพระโกศองค์นี้สำเร็จแล้ว โปรดให้เอาเข้าไปตั้งถวายทอดพระเนตรในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในปีนั้นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงศรีสุนทรเทพสิ้นพระชนม์ จึงโปรดให้เชิญพระโกศทองใหญ่ไปประกอบพระศพเป็นครั้งแรก จึงเกิดเป็นประเพณีในรัชกาลต่อมาที่มีการพระราชทานพระโกศ ทองใหญ่ให้ทรงพระศพอื่นนอกจากพระบรมศพได้ ที่มา : ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๔ “เรื่องตำนานพระโกศและหีบศพบรรดาศักดิ์” ของกรมพระสมมตอมรพันธุ์ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ปัจจุบันพระโกศทองใหญ่มีจำนวนทั้งสิ้น 3 องค์ โดยองค์แรกนั้นสร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ส่วนองค์ที่ 2 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ รองเสนาบดีกระทรวงวังและผู้บัญชาการกรมช่างสิบหมู่สร้างขึ้น เรียกว่า “พระโกศทองใหญ่ รัชกาลที่ 5” หรือ”พระโกศทองลองใหญ่” ซึ่งพระโกศทั้ง 2 องค์ข้างต้นนั้น ผ่านการใช้งานจนอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรม ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระโกศทองใหญ่องค์ที่ 3 ขึ้น โดยนำมาใช้เป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์เป็นพระองค์แรก ที่มา : http://th.wikipedia.org ในภาพเป็น “พระโกศทองใหญ่” ทั้ง ๓ องค์เรียงจากซ้ายไปขวาตามลำดับ ตามข้อมูลที่ทราบมาในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระศพสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทใช้พระโกศทองใหญ่ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระศพครับ ส่วนพระราชพิธีอัญเชิญพระศพออกพระเมรุนั้นใช้พระโกศทองใหญ่องค์แรกครับ ปล.พระโกศทองใหญ่เรียกอีกอย่างนึงว่า “พระลองทองใหญ่” หรือ “พระลองนอก” ครับ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:36:56

ความคิดเห็นที่ 41 คุณoomsin_me ขอบคุณมากๆครับ ******************************************************** ในพระราชพิธีฯ นั้นนอกจากพระโกศทองใหญ่แล้วยังมี ”พระลองใน” อีกองค์หนึ่ง พระลองในนี้ทำด้วยเหล็กหรือทองแดงหรือเงินปิดทอง หลังจากมีพระราชพิธีสรงน้ำพระศพแล้วก็จะอัญเชิญพระศพลงพระลองใน แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นแว่นฟ้าทองที่มุขตะวันตกพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท แล้วจึงประกอบพระลองทองใหญ่ทับพระลองในอีกชั้นนึง จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:39:18

ความคิดเห็นที่ 42 มาถึงเรื่องสำคัญอีกหนึ่งเรื่องที่ตัวผมเองและคิดว่าหลายๆคนอยากรู้และสงสัยกันมานานคือเค้ามีวิธีใส่พระศพลงไปในพระโกศกันอย่างไร เรื่องนี้พอจะมีคำตอบครับ สมัยก่อนคนส่วนใหญ่จะเล่าต่อกันมาว่า ต้องนำไม้มาเสียบที่พระทวารของพระบรมศพหรือพระศพเพื่อทำให้พระบรมศพหรือพระศพตั้งอยู่ในพระโกศได้ แต่เรื่องจริงๆแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ อธิบายง่ายๆตามภาษาชาวบ้านคือ เมื่อทำการสรงน้ำพระศพเสร็จแล้วก็จะทำการพระสุกำพระศพหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าการมัดตราสังห่อศพ ขั้นตอนคือนำเครื่องพระสุกำพระศพมาจัดถวาย เริ่มด้วยการใส่เครื่องประดับต่างๆ การนำแผ่นทองจำหลักปิดพระพักตร์(หน้ากาก) สวมพระชฎา ถวายซองพระศรีทองคำลงยา(ดอกบัวตูม 1 ธูปไม้ระกำ 1 เทียนเล็ก 1) เสร็จแล้วก็จะนำผ้าขาวมาปูซ้อนกันให้ได้หกแฉก จากนั้นก็นำพระศพมาจัดท่าในท่านั่งบนผ้านั้น มีไม้ค้ำจากพระบาทขึ้นมาจ่อที่คาง เพื่อให้พระศพอยู่ที่ท่านั่ง จากนั้นก็รวบผ้าทั้งหกแฉกขึ้น ผูกภูษาโยงที่ชายผ้า แล้วเชิญลงพระโกศ นำหมอนยัดเข้าไปในช่องว่างเพื่อไม่ให้พระศพเอียง จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:40:03

ความคิดเห็นที่ 43 จากนั้น ปิดฝาพระโกศนำขี้ผึ้งทารอบปากพระโกศ เป็นอันเสร็จการเชิญพระศพลงพระโกศ ตัวพระโกศซึ่งเป็นส่วนบรรจุพระศพนั้น ที่ด้านล่างจะเป็นตะแกรง ที่เป็นเช่นนี้เพราะเวลาเผานั้น จะนำแค่ส่วนตัวโกศไปเผาโดยตั้งไว้บนพระจิตกาธาน ไฟก็จะลุกเข้ามาผ่านตะแกรงด้านล่างขึ้นมาเผาพระศพ เปลวไฟและควันก็จะออกทางด้านบน ฐานพระโกศนั้น จะมีรูอยู่ตรงกลาง เป็นท่อที่ให้พระบุพโพ(น้ำหนอง)ไหล เพราะว่าสมัยก่อนไม่มีฟอร์มาลิน และการเก็บพระศพเจ้านายนั้นใช้เวลานานนับร้อยวัน ดังนั้นพระศพก็จะเน่าเปื่อยภายในนั้น น้ำหนอง น้ำเหลือง กลิ่นอะไรต่างๆก็ตลบอบอวลในพระโกศนั้นไม่ได้ระบายออกไปไหน ดังนั้นจึงได้มีรูเพื่อให้น้ำหนอง(พระบุพโพ)ไหลลงไป โดยที่พระแท่นสุวรรณเบญจดลจะมีท่อยาวต่อจากฐานพระโกศลงไปยังพื้นพระที่นั่ง น้ำหนองน้ำเหลืองที่ออกมาจากพระศพก็จะลงมาตามท่อนี้ ลงไปที่ถ้ำพระบุพโพ เมื่อใกล้ถึงงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพจะมีพระราชพิธีเปลื้องพระสุกำพระศพ(เปลี่ยนผ้าห่อพระศพ) หลังจากนั้นจะอัญเชิญพระบุพโพไปทำพิธี ในสมัยก่อนเจ้าพนักงานจะถ่ายพระบุพโพลงในกระทะทอง พร้อมเครื่องหอม อาทิ ลูกฝรั่งสุก ใบเนียม และจุดเพลิงเคี่ยวไปจนกว่าจะมอดเป็นเถ้า หลังจากนั้นจะมีพิธีการ ”ถวายรูด” จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:40:33

ความคิดเห็นที่ 44 งามหลายๆเลยบอย จากคุณ : Palm Jung Won เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:40:34

ความคิดเห็นที่ 45 สวยมากเลยน้องบอย แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 10:48:37 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 10:47:50 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 10:47:31 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 10:47:11 จากคุณ : armearn เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:41:25

ความคิดเห็นที่ 46 พี่เถียน ขอบคุณมากๆครับ ไปชมมาหรือยังฮะ ถ้ายังรีบน๊าเหลือเวลาแค่ ๒ วันเองครับ ******************************************************** ในสมัยก่อนการที่จะมีงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระศพ นั้นต้องทำในหน้าแล้งแต่การสิ้นพระชนม์ของพระบรมวงศานุวงศ์นั้นหาได้สามารถเลือกเวลาได้ดังนั้นเมื่อมีเจ้านายเสด็จสิ้นพระชนม์การที่จะรอสร้างพระเมรุมาศ พระเมรุ นั้นก็ต้องรอเวลา ฤดูกาลเป็นธรรมดาแต่ยิ่งเนิ่นนานวันพระบรมศพ พระศพนั้นเนื้อหนังมังสา ข้อเอ็น เส้นสายต่างๆ ก็ทยอยกันผุเปื่อย เพราะว่าในสมัยก่อนไม่มีการฉีดฟอร์มาลินบางพระองค์ที่สิ้นพระชนม์ในฤดูฝนก็ต้องเก็บศพไว้นานหน่อย รอจนกว่าจะถึงฤดูแล้งแล้วจึงจะทำการถวายพระเพลิง พระราชทานพระศพ เพราะโบราณมานั้นมักเผาศพกันกลางแจ้ง ไม่มีเมรุศพอย่างในสมัยนี้ ถ้ามีฝนก็เป็นอันว่าเผากันไม่ได้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาจะนำศพออกมาทำพิธีฌาปนกิจจึงต้องเปลื้องเอาผ้าห่อศพนั้นออก แล้วเอาศพนั้นไปสำรอกเอาเนื้อหนังมังสาเส้นสายต่างๆออกให้หมดโดยการนำลงต้มในกระทะใบบัว มักใส่สมุนไพรดับกลิ่นลงไปด้วย เช่น ชะลูด ซึ่งมักใช้เวลาต้มผ้า อบผ้าให้หอม จากนั้นจะ "รูด" เอาเนื้อหนังมังสานั้นออกจนเหลือแต่กระดูกขาวๆ เชิญออกมาไว้ต่างหาก สิ่งที่อยู่ในกระทะใบบัวนั้นก็จะทิ้งไม่ได้ ต้องเคี่ยวจนแห้ง แล้วนำไปเผาพร้อมกับผ้าบังสุกุล(ห่อศพ)ที่แก้ออกไว้แล้วในสถานที่ที่จัดไว้ต่างหาก เรียกว่า " ถวายพระเพลิงพระบุพโพ " ถ้าเป็นพระศพเจ้านายชั้นสูงจะเชิญไปถวายพระเพลิงที่บริเวณวัดมหาธาตุในปัจจุบัน (หน้าสนามหลวง) ส่วนพระอัฐิที่สำรอกพระมังสา พระบุพโพแล้วก็ให้เชิญลงพระลองประกอบโกศ เตรียมการถวายพระเพลิงต่อไป การถวายรูดครั้งสุดท้ายมีปรากฎในงานพระบรมศพสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฎว่ามีการถวายรูดอีกเลยนับจากวันนั้นถึงปัจจุบัน เพราะมีการฉีดฟอร์มาลินแล้วพระบรมศพก็แห้งติดไปกับพระบรมอัฐิ สำหรับพระราชพิธีของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯในครั้งนี้ก็มีการถวายพระเพลิงพระบุพโพเช่นกัน โดยโปรดเกล้าฯให้ผู้แทนพระองค์ไปถวายพระเพลิงฯ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ปล.ในภาพเป็นการจำลองให้เห็นถึงการอัญเชิญพระโกศประดิษฐานบนพระแท่นแว่นฟ้าทองว่าทำอย่างไรครับ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:42:51

ความคิดเห็นที่ 47 แม่ตุ่ม ขอบคุณมากๆเลยครับ ตั้งใจทำมากๆเลยครับสำหรับรีวิวนี้ ******************************************************** ออกนอกเรื่องของพระเมรุไปเยอะมากไม่รู้ว่าเบื่ออ่านกันหรือเปล่าแต่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่พวกเราๆไม่ค่อยได้รับรู้พอไปอ่านเจอมาก็เลยอยากนำมาบอกต่อๆกันว่าพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพสมัยก่อนเค้าทำกันยังไง สำหรับคนที่อยากทราบข้อมูลเรื่องพระโกศและเรื่องพระศพแบบละเอียดกว่านี้ลองไปหาอ่านได้ในกระทู้เก่าได้ตามที่ผมเอามาให้นี้เลยครับ ถือเป็นกระทู้ในตำนานเลยก็ว่าได้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/11/K7236250/K7236250.html http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/01/K7399936/K7399936.html http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/01/K6272308/K6272308.html มาชมความงดงามของพระเมรุต่อกันดีกว่าฮะ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:45:03

ความคิดเห็นที่ 48 นอกจากการจำลองป่าหิมพานต์และมีสัตว์หิมพานต์มากมายแล้วยังมีศิลปกรรมสำคัญอีกอย่างบริเวณรอบพระเมรุนั่นคืองานปั้น “เทวดา” ประดับรอบพระเมรุ เทวดาประดับรอบพระเมรุครั้งนี้มีจำนวน ๓๐ องค์ แบ่งเป็นเทวดานั่งถือโคม ๑๔ องค์ เทวดานั่งถือบังแทรก ๖ องค์ เทวดายืนถือโคม ๒ องค์ เทวดายืนถือฉัตรผ้า ๘ องค์ เป็นเทวดาชุดเดียวกับที่ใช้ในงานพระเมรุสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ และมีปั้นหล่อเพิ่มเติมอีก ๒ องค์ โดยสำนัก ช่างสิบหมู่ได้นำมาซ่อมแซมและทำสีใหม่ทั้งหมด พร้อมปิดลวดลายผ้าทองย่นสาบสีที่ฐานเทวดาใหม่ทั้งหมด จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:46:08

ความคิดเห็นที่ 49 พระเมรุองค์นี้มีสีทองและชมพูเป็นสีหลักเพราะสีชมพูเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระองค์ท่าน นอกจากนี้ยังมีการไล่เฉดสีส้มแซมเข้าไปด้วยเพราะเป็นสีที่พระองค์ทรงโปรด จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:46:34

ความคิดเห็นที่ 50 แบบพระเมรุ ในการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ เจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ เป็นยอดทรงมณฑป ลักษณะคล้ายพระเมรุสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ แต่ขนาดเล็กกว่า และใช้เวลาก่อสร้างแค่ 3 เดือนเท่านั้นซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าพระเมรุองค์ก่อนๆมากทีเดียว จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:48:03

ความคิดเห็นที่ 51 พระเมรุฝั่งสุดท้ายที่ถ่ายภาพมาให้ชมคือฝั่งทิศเหนือ เป็นฝั่งเดียวที่เปิดม่านบังเพลิงออกให้เราได้เห็นด้านในของพระเมรุครับ มุขด้านนี้ยังเป็นด้านที่ใช้สะพานเกรินอัญเชิญพระโกศพระศพขึ้นประดิษฐานบนพระเมรุอีกด้วย ส่วนเรื่องของพระราชรถต่างๆที่ใช้อัญเชิญพระศพผมขอไม่กล่าวถึงในรีวิวนี้นะครับ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:49:19

ความคิดเห็นที่ 52 ด้านในพระเมรุตั้งพระจิตกาธานเพื่อประดิษฐานพระโกศจันทน์ หน้าบันทั้ง 4 ด้าน ประดับอักษรพระนาม พร จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:50:20

ความคิดเห็นที่ 53 “พระโกศจันทน์” สร้างด้วยไม้จันทน์หอมแปรรูปไม้เป็นแผ่นบาง โกรกฉลุเป็นลวดลายตามแบบนำมาจัดประกอบโดยมีลายกว่า 50 ลักษณะลาย นายนิยม กลิ่นบุบผา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านช่างศิลปกรรม (ช่างสิบหมู่) สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากรกล่าวว่า พระโกศจันทน์ครั้งนี้มีลักษณะเป็นรูปแปดเหลี่ยม บริเวณองค์พระโกศยังคงเป็นกลีบบัว ในลายกลีบบัวทุกครั้งจะเป็นดอกเทศเปลวเล็ก ๆ ในลักษณะต่อก้านดอก แต่ครั้งนี้ทำเป็นช่อดอกขึ้นมาเป็นดอกใหญ่ ในหนึ่งกลีบบัวมีช่อดอกบนและดอกล่าง ระหว่างช่องว่างแทรกด้วยดอกเล็ก ส่วนชั้นฝาพระโกศมีลักษณะเป็นฝาเปิดต่อขึ้นไปด้านบนเป็นทรงมงกุฎส่วนยอดทำเป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ ครั้งนี้ช่างได้ผูกลายต่างจากที่ผ่านมา ลายที่ประดับพระโกศถ่ายทอดถึงงานช่างซึ่งได้ทำงานอย่างเต็มที่ด้วยความประณีต พระโกศจันทน์เปรียบเป็นฟืนเวลาที่ถวายพระเพลิง ดังนั้นเมื่อเป็นฟืนจึงไม่มีการแกะสลัก แต่จะตัดเป็นแผ่นบางจากนั้นใช้เลื่อยโกรกฉลุเป็นรูปลาย นำลายมาประกอบซ้อนกันปรากฏเป็นลายที่สมบูรณ์ สมัยก่อนตอนพระราชทานพระเพลิงพระศพจะเผาพระโกศจันทน์ไปพร้อมพระศพเลย เนื่องจากโบราณใช้ไม้จันทน์ช่วยให้มีกลิ่นหอม และช่วยป้องกันกลิ่นที่ไม่ต้องประสงค์ในระหว่างถวายพระเพลิงได้ แต่ประเพณีนี้เพิ่งมาเปลี่ยนเมื่อพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เนื่องจากเป็นพระประสงค์ของสมเด็จพระเทพฯที่อยากให้มีการเก็บพระโกศจันทน์ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ชมและศึกษา ผมหารูปพระโกศจันทน์แบบชัดๆไม่ได้ ขอนำรูปที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จฯพระราชทานพระเพลิงพระโกศจันทน์เมื่อคราวพระราชพิธีฯครั้งนี้มาใช้ครับ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:51:56

ความคิดเห็นที่ 54 ประชาชนหลั่งไหลเข้ามาชมความงดงามของพระเมรุและพระที่นั่งทรงธรรมกันเนืองแน่นครับ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:52:37

ความคิดเห็นที่ 55 นับเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามที่หาชมได้ยากยิ่ง จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:54:29

ความคิดเห็นที่ 56 แม้แต่เสาโคมที่ส่องสว่างอยู่ในมณฑลพิธีก็ยังมีความหมาย ยอดโคมเป็นยอดมงกุฎสีทอง เพื่อแทนความหมายของการเป็นดวงแก้ว แห่งพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนการตกแต่งสวนให้สวนนงนุชเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ที่เห็นรอบๆพระเมรุก็จะเป็นดอกดาวเรืองสีแสดสีโปรดของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ รอบนอกก็จะเป็นดาวเรืองสีเหลือง นอกจากนี้ ยังมีต้นหงอนไก่ ส้มหลอด ทองพันชั่ง หนวดปลาดุก รวมทั้งต้นไม้ประเภทบอนไซ ต้นไทร ต้นโมก ต้นสนเลื้อย เล็บครุฑ ไม้ดัดตะโกใหญ่ และกระถางต้นไม้สั่งทำพิเศษมีอักษรพระนาม “พร” ประกอบช่อชัยพฤกษ์และใบปาล์ม ประดับอยู่กลางกระถางด้วย แต่ด้วยเวลาอันน้อยนิดผมเลยไม่ได้เก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆนี้มาเลยซึ่งก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:55:06

ความคิดเห็นที่ 57 ภาพทับเกษตรทางด้านทิศเหนือ ด้านหลังจะมีอาคารประกอบอีกหนึ่งหลังเรียกว่า “พลับพลายกสนามหลวง” อยู่บริเวณด้านหน้าทางเข้าปริมณฑลท้องสนามหลวงเป็นอาคารโถง สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ประทับขณะประกอบพิธีอัญเชิญพระโกศลงจากราชรถเข้าสู่มณฑลพิธี ผังอาคารเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นที่ส่วนกลางยกฐานสูง หลังคาจั่วตรีมุข มีมุขลดชั้น ปีกซ้ายขวาเป็นหลังคาเต็นท์ผ้าใบกันน้ำสำเร็จรูปทรงจั่ว แบบเดียวกับทิมและทับเกษตร อาคารประกอบอีกอย่างที่ผมไม่ได้ถ่ายภาพมาจะเรียกว่า “ทิม” ครับ เป็นที่พักของพระสงฆ์ แพทย์หลวง และเจ้าพนักงาน และเป็นที่ประโคมปี่พาทย์ประกอบพิธี สร้างติดแนวรั้วราชวัติ มีลักษณะเป็นอาคารชั้นเดียว หลังคาใช้เต็นท์ผ้าใบกันน้ำทรงจั่ว ตกแต่งปลายจั่วเป็นหน้าเหรา ยอดจั่วเป็นหน้ากาล จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:55:38

ความคิดเห็นที่ 58 ที่เห็นรั้วอยู่นี่คือรั้วราชวัติเป็นแนวกำหนดขอบเขตปริมณฑลพระเมรุ สร้างต่อเนื่องไปกับทิมและทับเกษตร รั้วเป็นเหล็ก โปร่งสูง ๙๐ เซนติเมตร ประดับดอกประจำยามหล่อด้วยไฟเบอร์กลาส ตกแต่งเสารั้วด้วยโคมส่องสว่างและโคมไฟแก้วขนาดเล็ก จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:56:00

ความคิดเห็นที่ 59 พระเมรุที่เด่นเป็นสง่าอยู่กลางทุ่งพระเมรุ ถึงจะเป็นอนุสรณ์แห่งความอาลัยแต่ก็ทำให้คนไทยหลายๆคนได้เห็นสถาปัตยกรรมที่สูงค่าของประเทศ รวมถึงพระราชพิธีที่สำคัญอีกพิธีนึงที่ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นกัน จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:56:31

ความคิดเห็นที่ 60 ตามที่บอกไว้ว่าทางสำนักพระราชวังจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ชมความงดงามของพระเมรุจนถึงวันที่ ๒๕ เมษายนนี้เท่านั้น จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:56:54

ความคิดเห็นที่ 61 อ่านข้อมูลแล้วรู้เลย ทำไมถึงทำ 5 วัน ^______^ เยี่ยมมากๆ จากคุณ : กัปตันลูกชุบ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:57:42

ความคิดเห็นที่ 62 สามารถเข้าชมพระเมรุได้ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๙.๐๐ น. กรมศิลปากรจะจัดเจ้าหน้าที่นำชมพร้อมบรรยายพิเศษ วันละ ๔ รอบ เวลา ๑๐.๐๐ น.  ๑๔.๐๐ น.  ๑๖.๐๐ น. และ ๑๘.๐๐ น. หลังจากปิดให้เข้าชมภายในปริมณฑลพระเมรุแล้ว ยังสามารถชมความงดงามจากภายนอกรั้วราชวัติได้จนกว่าสำนักพระราชวังจะปิดไฟพระเมรุตอนเวลา ๒๒.๐๐ น. จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:58:29

ความคิดเห็นที่ 63 การสิ้นพระชนม์ของ "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" พระขัตติยนารีแห่งราชวงศ์จักรี ถือเป็นความสูญเสียที่ใหญ่หลวงยิ่ง ตลอดพระชนม์ชีพพระองค์ทรงพระจริยวัตรงดงามสมกับเป็นเจ้าฟ้าหญิงแห่งกรุงสยามมาตลอด พระองค์ทรงเป็นเจ้าฟ้าหญิงผู้ทรงธรรม ภาคภูมิพระทัยในความเป็นคนไทยของพระองค์ ทรงเรียบง่ายถึงแม้จะเป็นหน่อเนื้อขัตติยาแต่ก็ไม่เคยถือพระองค์ มีความมัธยัสถ์ และที่สำคัญคือพระองค์มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและตั้งใจทำประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างเต็มพระหฤทัย ดังพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า .. "ฉันขอกล่าวต่อท่านทั้งปวงว่า จะพยายามบำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์แก่บ้านเมือง ด้วยความจงรักภักดีต่อบ้านเกิด และต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นพระประมุขของชาติ ทั้งจะได้รักษาเกียรติศักดิ์แห่งความเป็นราชนารีในมหาจักรีบรมราชวงศ์ไว้จนชั่วชีวิต" รวมขอส่งเสด็จ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ สู่สวรรคาลัย .. จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:00:11

ความคิดเห็นที่ 64 คุณตัน 5555 เหมือนเป็นเรื่องที่เราไม่ค่อยได้รู้ไง แล้วพอได้หาข้อมูลก็เลยยิ่งสนุกไปกับการได้รู้ได้อ่านเลยหมดเวลาไปกับการหาข้อมูลเยอะมากๆ แต่ก็ถือว่าคุ้มนะถึงแม้ว่าอีก 2 วันรีวิวจะตกไปถึงไหนต่อไหนจนไม่มีใครสนใจจะดูแต่ก็อย่างที่บอกว่าภูมิใจที่ได้ทำรีวิวนี้แล้วล่ะ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:03:58

ความคิดเห็นที่ 65 ขอน้อมส่งเสด็จ  ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:18:13

ความคิดเห็นที่ 66 ขอน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยด้วยนะคะ จากคุณ : ไปเที่ยวกันนะ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:22:21

ความคิดเห็นที่ 67 สวยงามมากค่า ยังไม่มีโอกาสได้ชมความสวยงามเลย งั้นขอชมผ่านรีวิวก่อนนะคะ ขอบคุณค่า จากคุณ : hollaneung เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:23:43

ความคิดเห็นที่ 68 ภาพสวยมว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  น้าบอย จากคุณ : ประธานชมรมคนมีแฟนน่ารัก เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:28:16

ความคิดเห็นที่ 69 ความรู้อัดแน่นเลยคุณบอย ^ ^ จากคุณ : Zulkifli เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:36:40

ความคิดเห็นที่ 70 ขอบคุณรีวิวดีๆ มีคุณค่า ได้ทั้งอาหารตา และอาหารสมอง เยี่ยมมากๆ ค่ะคุณบิ๊กบอย จากคุณ : +G@To+ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:41:22

ความคิดเห็นที่ 71 สวยงามมากครับน้าบอย แถมได้ความรู้ที่ไม่เคยทราบมาก่อนด้วย ขอบคุณมากครับ จากคุณ : BANBONDOI เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:44:43

ความคิดเห็นที่ 72 สวยงามมากๆ เลยค่ะ จากคุณ : ColaGirl เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:44:48

ความคิดเห็นที่ 73 สวยงาม จากคุณ : SCFM เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:58:56

ความคิดเห็นที่ 74 ขอบคุณสำหรับรีวิวที่ทรงคุณค่าครับคุณบอย จากคุณ : จิ้งจอกหลงกรุง เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 12:18:26

ความคิดเห็นที่ 75 วิจิตรงดงามมากค่ะ ขอบคุณรูปสวยๆที่เก็บมาฝากกันนะคะ จากคุณ : คนช่างฝัน สาวข้างบ้าน เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 13:13:57

ความคิดเห็นที่ 76 เข้าใจผิดมาตั้งนาน ว่าเวลาใส่พระศพลงในระโกศ ต้องเอาเหล็กทิ่มทางพระทวาร จากคุณ : CK-ONliNE เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 13:38:55

ความคิดเห็นที่ 77 สวยงามมากๆ แถมได้ความรู้เพิ่มด้วย ปล.กิ๊ฟหมดนะคะ จากคุณ : ZhuZhuJoopJoop เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 14:24:19

ความคิดเห็นที่ 78 ... งดงามมาก เหนือคำบรรยาย ขอบคุณที่นำภาพมาให้ชมกันนะคะ .... จากคุณ : โอลีพ/แม่น้องเซ้นต์ (olives) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 14:29:30

ความคิดเห็นที่ 79 วิจิตรงดงาม อลังการมากๆครับ จากคุณ : Koon Shy_Tour Dee เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 15:19:15

ความคิดเห็นที่ 80 งามมากครับ จากคุณ : kungpack เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 15:42:10

ความคิดเห็นที่ 81 ตามมาชมรีวิวด้วยคนครับ  ศิลปะวัฒนะธรรม ปฏิมากรรม ของไทยเราสุดยอดเลย ภาพสวยมากเลยครับ ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ จากคุณ : ชานมชงเอง เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 17:19:11

ความคิดเห็นที่ 82 เป็นรีวิวที่ดีมากๆจ้ะแต่กีบพี่หมดไปแล้วนะบอย จากคุณ : หมูอ้วนจอมพลัง เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 18:38:51

ความคิดเห็นที่ 83 เห็นแล้วอยากไปชมด้วยตาตนเองบ้างจัง  ขอบคุณครับ จากคุณ : tiger's nest เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 19:50:01

ความคิดเห็นที่ 84 ขอบคุณมากค่ะ ^^ จากคุณ : คืนไร้ดาวพราวแสงจันทร์ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 20:23:44

ความคิดเห็นที่ 85 ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะคุณบอย วิจิตรการตามากๆ เลยค่ะ จากคุณ : เอ เองค่ะ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 20:33:51

ความคิดเห็นที่ 86 สวยจริงๆครับคุณบอย  ชอบๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : แม่ประนอม (luie2539) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 21:09:49

ความคิดเห็นที่ 87 วิจิตร งดงาม สมพระเกียรติ ขอบคุณสำหรับรีวิวค่ะ จากคุณ : nupook538 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 21:30:25

ความคิดเห็นที่ 88 น้าเล็ก ปอ คุณหนึ่ง เท่ากับตอนนี้ก็เหลือแค่พรุ่งนี้วันเดียวแล้วนะครับ ถ้าไปได้รีบไปน๊า ดีบุก ขอบคุณมากๆฮะ นานๆจะได้คำชมจากท่านบุกซะที คุณกิจ ก็ทำได้เท่าที่มีความสามารถจะรวบรวมได้เลยครับ ดีใจที่มีคนสนใจเช่นกันครับ คุณกาโต้ ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับ ขอบคุณที่เข้ามาชมรีวิวของผมตลอดเลยด้วยคร๊าบบ ลุงเปี๊ยก ยินดีเลยครับ ผมเองพอได้อ่านก็รู้สึกเหมือนมันต้องบอกต่ออ่ะครับ ดีใจที่ได้ช่วยเผยแพร่ข้อมูลให้ทราบกันฮะ พี่ปุ๊กกี้ ขอบคุณจ้า หมอปราง สั้นๆกระชับได้ใจความนะฮะ เอิ๊กๆๆๆ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 21:37:26

ความคิดเห็นที่ 89 งามมากๆครับ ขอบคุณนะครับ จากคุณ : boy next door เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 22:01:06

ความคิดเห็นที่ 90 ...ตามพี่บอยมาชมควาสวยงามของทุ่งพระเมรุท้องสนามหลวงด้วยนะคะ   ภาพสวยมากเลยค่ะ อยากมีโอกาสไปชมมั่งจัง แต่คงไม่ได้ไปอ่ะค่ะ เลยชมรูปสวยๆ จากพี่บอยแทนแล้วกันค่ะ   ^-^ จากคุณ : จูลายกะปลายฟ้า ^-^ (ปลายฟ้าที่ภูตะวัน) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 22:05:02

ความคิดเห็นที่ 91 คุณจิ้งจอก ยินดีเลยครับขอบคุณสำหรับคำชมด้วยฮะ คุณปริม เพื่อชาวบีพีผมยินดีอย่างยิ่งที่ได้ทำรีวิวนี้ให้ได้ชมกันฮะ ขอบคุณที่เข้ามาชมด้วยจ้า คุณCK-ONliNE ผมก็เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆเหมือนกันฮะ แต่ก็คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ จนมาทราบจากการหาข้อมูลนี่ละครับ จุ๊บๆ กิฟหมดไม่ว่าจ้า เข้ามาดูก็ปลื้มแระ คุณโอลีพ ขอบคุณสำหรับคำชมนะฮะ ยินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับเพื่อนๆจ้า คุณชายป้อม มองด้วยตาตัวเองจะรู้สึกว่างดงามกว่านี้อีกหลายๆเท่านะคุณชาย คุณkungpack ขอบคุณมากๆเลยฮะ คุณนนท์ ใช่ครับ เห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกภาคภูมิใจมากๆที่เกิดเป็นคนไทยอ่ะ พี่อุ๊ ขอบคุณสำหรับคำชมฮะพี่อุ๊ กิฟไม่แจกไม่ว่าขอแค่เข้ามาดูก็ดีใจแล้วจ้า พี่เสือ พรุ่งนี้วันสุดท้ายแล้วนะครับ ถ้ามีโอกาสต้องไปให้ได้นะครับ คุณวิ ยินดีมากๆครับ พี่เอ ยินดีเลยฮะ รีวิวนี้ตั้งใจทำข้อมูลมากที่สุดรีวิวนึงเลยครับดีใจที่ชอบครับ เฮียลุ้ย ขอบคุณนะครับ ดีใจที่ชอบครับ หายเหนื่อยเลย คุณnupook538 ขอบคุณที่เข้ามาชมเช่นกันนะครับ คุณหน่อง ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับ ขอบคุณที่เข้ามาชมเช่นกันฮะ ตะวันจ๋า เสียดายเนอะถ้าไม่ได้ไปชม ตอนแรกพี่ก็ว่าจะไม่ไปเหมือนกันแต่ก็คิดว่านานทีถึงจะมีโอกาสแบบนี้ถึงจะไม่อยากให้มีบ่อยๆก็เถอะ เสียดายที่พี่ไม่ได้เน้นถ่ายรอบๆมาเลยอ่ะ จากคุณ : biGbOySalaDbAr เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 22:11:51