ความคิดเห็นที่ 1 แล้ววันเดินทางก็มาถึง โดยสองช้างทราบชะตากรรมล่วงหน้ากันแล้ว ว่าจะมีน้องฝนดาหน้ามาต้อนรับและตาม ตื๊อเราไปตลอดทุกเมือง โดยช้างน้อยพยายามหาโพลจากหลายๆสำนัก โดยหวังว่าจะมีใครทำนายออกมาดีๆ บ้าง แต่ทุกสำนักทำนายตรงกันหมด ถึงตอนนี้ก็ได้แต่หวังพึ่งปาฏิหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยหวนกลับไป นึกถึงสุภาษิตฝรั่งบทหนึ่งที่มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยมอบให้ว่า “You can't direct the wind but you can adjust the sails” ถ้าเอามาประยุกต์ในตอนนี้ก็คือ ยังไงเราก็เอาชนะธรรมชาติไม่ได้ แต่เราก็สามารถทำตัว ให้กลมกลืนกับธรรมชาติอย่างมีความสุขได้ โดยช้างน้อยได้วางแผนแล้วว่าถ้าไปแล้วฝนตกในแต่ละที่ เราจะทำ อะไรกันเป็นแผนสำรอง บางที่มันจะตกก็ตกไป เราก็กางร่มเที่ยวกันก็ได้  โดยได้กำลังใจจากคุณช้างน้ำว่า ฟ้า ฝนจะเป็นยังไงก็ช่าง ได้เที่ยวกับช้างน้อยสองคนก็มีความสุขแล้ว เมื่อคุณช้างน้ำเธอมีความสุข ช้างน้อยก็พลอย มีความสุขไปด้วย จากนั้นเป็นต้นมาเราก็เลิกห่วงเรื่องดินฟ้าอากาศกันอีก ที่สนามบินเวียนนาที่เราต่อเครื่องบิน เป็นวันเดียวที่เราเห็นพี่ซันนี่ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:19:08

ความคิดเห็นที่ 2 เราไป Austrian Airline ด้วยเหตุผลที่ว่าไปถึงมิวนิคตอนเช้าเจ็ดโมง ทำให้เราไม่เสียเวลาเที่ยว ถ้าไป การบินไทยต่อเดียวก็จริงแต่ไปถึงมิวนิคเที่ยงทำให้เสียเวลาเที่ยว กับเหตุผลข้อสอง ช่วงกรุงเทพ-เวียนนา ไม่ ต้องต่อเครื่องที่ไหน ทำให้ช้างน้อยสามารถนอนได้รวดเดียวเต็มอิ่ม เนื่องจากวันรุ่งขึ้นช้างน้อยก็ต้องขับรถ ตั้งแต่เช้าถึงเย็นกันแล้ว ถ้าไปสายการบินของตะวันออกกลางฝันของเราต้องถูกดับกลางอากาศหนึ่งครั้ง คือ ต้องไปเปลี่ยนเครื่องเมื่อครึ่งทาง ทำให้นอนไม่ต่อเนื่องและอาจจะนอนไม่หลับได้ แต่ต้องบอกว่าเป็นการตัดสิน ใจที่ผิดพลาด เพราะหนึ่ง ค่าตั๋วแพงมาก สอง ขากลับเราต้องนั่งเครื่องจากมิวนิคมาเวียนนา มีช่วงเวลาสั้น มาก ในการต่อเครื่อง ถ้าเครื่องดีเลย์เพียงนิดเดียว ก็จะเกิดปัญหาใหญ่กับเรา จึงควรหา direct flight จากเมืองที่ เราอยู่เมืองสุดท้ายกันเลย ช่วงแรกอากาศก้ยังดีอยู่นะครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:22:04

ความคิดเห็นที่ 3 แต่เมื่อนั่งเครื่องบินไปเรื่อยๆก็ทำใจ ยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี เนื่องจากมีเมฆปลกคลุมท้องฟ้าหนักขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นฝนสาดหน้าต่างเครื่องบิน เมื่อกำลังจะลงมิวนิค จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:23:13

ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อลงจากเครื่องกันแล้ว สองช้างก็มองหาเคาน์เตอร์ของ Avis โดยจองรถคลาสเดิมกับที่เราใช้เมื่อครั้งที่แล้ว แต่งวดนี้เราได้ Mercedes A180ใหม่เอี่ยม วิ่งยังไม่ถึงหมื่นกิโลเลยครับ มีGPSในตัว จริงๆแล้วช้างน้อย อยากได้ GPS แบบเดิมที่อยู่นอกตัวรถมากกว่า เนื่องจากคุ้นเคยในการใช้แล้ว และเวลากลางคืนช้างน้อยก็ สามารถถอดไปตั้งที่อยู่หลายๆที่ที่จะไปในวันรุ่งขึ้นเตรียมไว้ได้เลย จากที่จอดรถช้างน้อยพยายาม set GPS แต่ไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะมั่วยังไงก็ตาม หาแมนนวลในลิ้นชักรถมาอ่านก็เป็นภาษาเยอรมัน สุดท้ายต้องไป ตามเจ้าหน้าที่มาสอน เจ้าหน้าที่มาถึงก็ถามว่ายูจะไปใหน พอบอกเสร็จคุณเธอก็ set ให้อย่างรวดเร็วโดยไม่ แนะนำช้างน้อยสักคำ ช้างน้อยก็คิดว่า ไปตายเอาดาบหน้าก็ได้วะ ตอนนี้ไปให้ถึง destination ถัดไปก่อน คือ เมือง Landsberg am Leh ต้องบอกว่ารถคู่ชีพของเราคันนี้ทำหน้าที่ได้ดีมาก ทุกอย่าง auto หมด  ขับสบาย เราทำประกันแบบ cover ทุกอย่าง ค่าเช่าตกประมาณวันละ 80ยูโร จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:28:21

ความคิดเห็นที่ 5 Landsberg am Leh เป็นเมืองยุคกลางเล็กๆเมืองหนึ่งที่อยู่บน Romantic Road  เราเข้าไปจอดใน indoor parking เนื่องจากกลัวรถเป็นหวัด อิอิ แล้วสองช้างก็ออกมาเดินตากฝน แต่พอออกมาฝนก็เริ่มหยุด ตรงที่ๆเรา จอดรถอยู่ใกล้ๆกำแพงเมือง ซึ่งเป็นกำแพงเมืองเก่าของดั้งเดิมตั้งแต่สมัยยุคกลาง สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:31:30

ความคิดเห็นที่ 6 ข้างๆกำแพงมีดอกไม้สวยสดงดงาม ตามตำราบอกว่าในยามที่ท้องฟ้าหม่นหมอง จะถ่ายดอกไม้ออกมาสวย สีจะอิ่มตัว จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:33:01

ความคิดเห็นที่ 7 เราเดินเลาะเรียบกำแพงมาเข้าเมืองผ่านทางประตูเมือง Bayertor ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเมือง ซึ่งท่านผู้รู้ บอกว่าเป็นประตูเมืองสไตล์บารอกที่งดงามมากที่สุดประตูหนึ่งเลยแหละ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:34:18

ความคิดเห็นที่ 8 ช้างน้อยคิดว่าเคยเห็นประตูแบบนี้ในหนังประเภท Ivanho เนี่ยแหละ และคุยกับคุณช้างน้ำว่าถ้าเดินๆอยู่แล้วมี อัศวินขี่ม้าออกมาจากประตูเมือง ช้างน้อยจะไม่แปลกใจเลยจนนิดเดียว จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:35:07

ความคิดเห็นที่ 9 ที่ประตูเมืองมีการสลักปีที่สร้างไว้ด้วยคือ 1425 โดยมีประวัติว่า Duke Ernst เจ้าผู้ครองแคว้นบาวาเรียสมัย นั้นมอบเมือง Landsberg นี้ให้ Elisabeth Visconti คู่หมั้นของพระองค์เป็นของขวัญวันแต่งงาน ดังนั้นบน ประตูเมือง นอกจะจะมี coat of arm ของท่านดยุคแล้ว ยังมีของเจ้าหญิงอีกด้ว จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:38:38

ความคิดเห็นที่ 10 ชาวเมืองขณะนั้นสร้างประตูเมืองอย่างงามสง่าเพื่ออวดเมืองอื่นถึงความร่ำรวยของเมืองในขณะนั้นที่มีรายได้ มาจากการเก็บค่าต๋งจากการเดินทางค้าขายเกลือและขนสัตว์ ถึงกับเปรียบเปรยกันว่าถนนในเมืองนี้ปูด้วย ทองคำ มีอีกเกร็ดนึงเกี่ยวกับเมืองนี้ คือเป็นที่คุมขัง Hitler ที่พยายามก่อการกบฏในปี 1923, และเป็นที่ที่เขา เขียนหนังสือ “Mein Kampf” ออกมา จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:40:04

ความคิดเห็นที่ 11 ... จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:40:50

ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อเราชื่นชมประตูเมืองยุคอัศวินกันจนพอใจแล้ว ก็เกี่ยวก้อยกันตรงมายังใจกลางเมือง เมื่อหันไปมองประตูเมืองจากด้านในเมืองครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:42:22

ความคิดเห็นที่ 13 ขอปาด หิมะ ออกจากหน้ากระทู้ให้นะครับ ทางจะได้สะดวก เพื่อรีวิว 55 ภาพแจ่ม วิวสวย อยากไปบ้างจัง จากคุณ : บารอนก๊อง เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:42:42

ความคิดเห็นที่ 14 ดอกไม้ข้างทางนะครับ ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงที่ทิวลิปออกดอกนะครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:43:43

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ : บารอนก๊อง...ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยปัดหิมะให้ แต่อย่าปัดออกหมดนะครับ คุณช้างน้ำเธอชอบครับ ฮ่าฮ่า ภาพชุดนี้จะไม่สดใสนะครับ ผิดหวังบ้างเล็กน้อย บ้านเรือนสีหวานนะครับ เนื่องจากเป็นเมืองแรก สองช้างจึงตื่นตากับบ้านเรือนอยู่ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:46:24

ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อถึงกลางเมืองเดินผ่านร้านเบเกอรี่ เห็นคนเข้าออกคึกคัก คุณช้างน้ำเธอเกิดหิวขึ้นมา จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:47:43

ความคิดเห็นที่ 17 ป้ายร้านเบเกอรี่นะครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:48:39

ความคิดเห็นที่ 18 จึงชวนกันเข้าไปกินกาแฟกับขนมปัง ช้างน้อยเลือกชิ้นนี้โดยเขาใจว่าเป็นไส้กรอกเคลือบด้วยชีส แต่พอกินแล้วกลายเป็นขนมปังไป แต่ก็อร่อยดีครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:49:31

ความคิดเห็นที่ 19 ขนมปังน่ากินทั้งนั้นเลยครับ เลือกไม่ถูก จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:51:06

ความคิดเห็นที่ 20 หลังจากสองช้างเข้ามา ก็มีคนตามเข้ามาเต็มร้านเลยครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:51:55

ความคิดเห็นที่ 21 ออกตัวก่อนเลยว่าตามธรรมดาเราไม่ดูหรืออ่านกระทู้เที่ยวยุโรปเลยเพราะว่าไม่ชอบยุโรป แต่กระทู้นี้จขกทเขียนอ่านสนุกมากๆค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : flymom เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:52:38

ความคิดเห็นที่ 22 เมื่ออิ่มหนำสำราญกันแล้วก็ค่อยๆพินิจพิจารณาสิ่งแวดล้อมไปเรื่อยๆ ป้ายที่ติดไว้ แปลว่าน้ำนี้ห้ามกินนะครับ แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 55 20:56:15 จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:52:59

ความคิดเห็นที่ 23 คุณ : flymom...ขอบคุณครับ นับว่าเป็นมธุรสวาจาอย่างยิ่งเลยครับ มีกำลังใจเพิ่มอีกเยอะเลยครับ ตอนนี้เราอยู่บริเวณ Town square แล้วครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:55:30

ความคิดเห็นที่ 24 ภาพรวมของสแควร์นะครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:58:17

ความคิดเห็นที่ 25 เมืองสวยมากๆครับบ ตามไปเที่ยวยุโรปด้วยคนครับบบ................ จากคุณ : สายลมแห่งวิงค์ เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:58:18

ความคิดเห็นที่ 26 คุณ : สายลมแห่งวิงค์...ตามมาเลยครับ รูปปั้นหินอ่อนกลางสแควร์ แกะสลักเป็น ‘Madonna with Christ Child’ โดย Lorenz Luidl ตั้งแต่ปี 1430 รูปนี้ถ่ายยากมากเลยครับ สุดท้ายเลยลองถ่ายที่เรียกว่า high key จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:59:51

ความคิดเห็นที่ 27 high key อีกซักรูปนะครับ จะเห็นพระแม่มารีเหยียบศีรษะงูไว้ด้วย แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 55 21:02:34 จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:01:00

ความคิดเห็นที่ 28 ด้านหน้ารูปปั้นเป็นศาลาว่าการเมืองสร้างเมื่อปี 1719 ซึ่งออกแบบผนังอาคารโดย Dominikus Zimmermann ซึ่งเป็นสถาปนิกและนักปั้นปูนที่สำคัญของบาวาเรียและเป็นชาวเมืองนี้ รวมทั้งเคยเป็นเจ้าเมือง ของเมืองนี้อยู่หลายสมัยด้วย ผลงานชิ้นสำคัญที่สุดที่ Dominikus Zimmermannฝากไว้คือการออกแบบ Wieskirche มรดกโลกที่พวกเรากำลังจะไปดูกันด้วย จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:04:50

ความคิดเห็นที่ 29 ศาลาว่าการเมือง... จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:05:48

ความคิดเห็นที่ 30 ดูศิลปกรรมแบบใกล้ชิดหน่อยนะครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:06:26

ความคิดเห็นที่ 31 จากสแควร์นี้ ถ้าเราเดินขึ้นเหนืออีกนิด จะเห็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองนี้คือ Parish Church จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:07:14

ความคิดเห็นที่ 32 Parish Church นี้สร้างสไตล์โกธิกใหญ่โตค้ำหัวตึกรามบ้านเรือนทั้งหลาย เริ่มสร้างเมื่อ 500ปีก่อน โดยชาว เมืองได้ว่าจ้างสถาปนิกที่มีชื่อเสียงขณะนั้นจากเมือง Ulm คือ Matthäus von Ensingen ซึ่งมีชื่อเสียงจาก การสร้าง Bern cathedral ใน Switzerland มาแล้ว มาเป็นคนดำเนินการ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:08:33

ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อเข้ามาภายในโบสถ์จะเห็นการประดับเป็นแบบบารอก มีกระจกดอกกุหลาบอยู่ล้อมรอบ หน้าต่างเป็นแบบโกธิก จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:09:29

ความคิดเห็นที่ 34 แท่นบูชาหลักประดับประดาด้วยทอง โดยมีรูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงของเทวดาและนักบุญอยู่ แกะสลัก โดยช่างแกะสลักชาว Landsberg ชื่อ Lorenz Luidl ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่ปั้น ‘Madonna with Christ Child’ ที่ได้กล่าวไปแล้ว แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 55 21:11:27 จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:10:47

ความคิดเห็นที่ 35 ในช่วงคริสต์มาส จะมีการนำ baroque crib มานำแสดง ถือว่าเป็นcribใหญ่และสวยที่สุดของบาวาเรีย จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:12:55

ความคิดเห็นที่ 36 สีสรรตึกสวยดีนะคะ... จากคุณ : ป้าปุ๊ (thai orchid) เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:13:10

ความคิดเห็นที่ 37 สังเกตเทวดาเด็กที่ถือหมวกนะครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:13:50

ความคิดเห็นที่ 38 ป้าปุ๊...ขอบคุณนะครับที่เข้ามาทัก...พอตอนหลัง ตึกรามบ้านช่ิงจะสีแบบนี้หมดเลยครับ ดูแล้วนักบุญท่านนี้เหมือนกระเหรี่ยงคอยาวเลยอ่ะครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:15:38

ความคิดเห็นที่ 39 แท่นบูชารอง ดูเหมือนจะมีกระโหลกของนักบุญอยู่ใต้แท่นด้วยครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:16:53

ความคิดเห็นที่ 40 รูปปั้นข้างๆครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:17:40

ความคิดเห็นที่ 41 คุณ mordek1 กลับมาแล้วพร้อมรูปสวยๆ ผมมารอปูเสื่อชมรีวิวครับ จากคุณ : Chris Evert เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:17:43

ความคิดเห็นที่ 42 เพียตต้า จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:18:18

ความคิดเห็นที่ 43 ขอหน้าต่างอีกบานนะครับ ก่อนที่จะชวนกันออกมา จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:19:02

ความคิดเห็นที่ 44 เราเดินย้อนกลับมาที่สแควร์อีกที จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:19:53

ความคิดเห็นที่ 45 จากกลางเมืองเราเดินลงทางใต้โดยตั้งใจจะข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ Lech หันกลับไปถ่ายสแควร์อีกทีครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:21:26

ความคิดเห็นที่ 46 window shoppingไปด้วยนะครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:22:49

ความคิดเห็นที่ 47 ถึงริมฝั่งน้ำแล้วครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:23:29

ความคิดเห็นที่ 48 เมื่อข้ามแม่น้ำ Lech แล้ว จะเห็นฝายกั้นแม่น้ำมีสายน้ำไหลหลากมาเป็นหลายระดับลดหลั่นลงมาแล้วมีบ้านเรือนเก่าๆสีสดงามงามเรียงรายกันอยู่เป็นแถว ภาพที่เห็นจึงสวยงามมาก จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:25:17

ความคิดเห็นที่ 49 ถ่ายภาพออกมาได้สวยสุด ๆ เลยค่ะ... จากคุณ : ป้าปุ๊ (thai orchid) เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:25:54

ความคิดเห็นที่ 50 มีตำนานกล่าวว่า เมืองนี้รุ่งเรืองอยู่นาน จนมาถึงยุคสงครามศาสนา เนื่องจากเป็นเมืองเล็กจึงถูกย่ำยีจาก กองทัพข้าศึกอยู่เรื่อยๆ ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำลง ถ้าเราศึกษาดูจะเห็นว่าเมืองเก่าๆสวยๆที่คงสภาพเดิมอยู่ได้ ไม่ ว่าจะเป็น Rothenburg หรือ Cesky Krumlov จะเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด คือเจริญรุ่งเรืองในยุคกลางแล้ว ตกต่ำลง จึงไม่มีการขยายเมืองหรือสร้างตึกรามขึ้นมาใหม่ แล้วค่อยได้รับการบูรณะให้เป็นเมืองท่องเที่ยวใน ยุดปัจจุบัน โดยในช่วงที่ตกเป็นเบี้ยล่างของข้าศึกนั้น พวกผู้หญิงจะถูกกระทำชำเราโดยผู้ชนะ จึงมีบางคนยอมฆ่าตัวตาย โดยกระโดดจากหอคอยที่เห็นในภาพ จึงเรียกหอคอยนี้ว่า “Jungfernsprung” ที่แปลว่า “Virgins’ Leap” จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:28:05

ความคิดเห็นที่ 51 รูปสวยบาดใจจริง ๆ เกิดกิเลสล่ะ เฮ้อ ขอย้อนวัยกลับไปเบ๊าะ เบาะ สัก 20 ปี จะขับรถตามรอยไปมั่ง จากคุณ : คุณแม่ติดเน็ต เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:29:25

ความคิดเห็นที่ 52 ไปเที่ยวด้วยคนครับ บรรยากาศดีมากๆ เลย ... จากคุณ : ผู้ก่อการร้ายทางความคิด เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:31:42

ความคิดเห็นที่ 53 #1 หวานซะ น้ำตาลมากกว่า 126   อิอิ คุณช้างน้อยทำการบ้านมาอย่างดี รู้ประวัติละเอียดยิบ แล้วกล้องไรหว่า ถ่ายโหมด high key ,lo key ได้ด้วย (d300 ไม่มีฟังชั่นนี้นะ) แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 55 21:38:32 จากคุณ : ฟองสบู่ เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:35:00

ความคิดเห็นที่ 54 คุณ : Chris Evert...ขอบคุณนะครับ ครั้งนี้ซ้ำรอยของพี่จิโร่หลายที่เลยครับ แต่ภาพออกมาคนละเรื่องเลยครับ ขอบคุณป้าปุ๊อีกครั้งนะครับ คุณแม่ติดเน็ต...ขอบคุณนะครับ ขับรถไม่ยากนะครับ จริงๆครับ คุณ : ผู้ก่อการร้ายทางความคิด...ขอบคุณนะครับ ที่เข้ามาทักทาย มาถึงตอนนี้ ฝนก็เริ่มเทลงมาหนักขึ้น เนื่องจากเป็นที่โล่งตลอด ไม่สามารถหาที่หลบฝนได้ สองช้างจึงรีบถ่าย รูปและก็เดินกลับมาทางเก่า ทั้งๆที่ยังไม่จุใจนัก พวกเราตรงไปยังที่จอดรถ ที่จอดรถที่นี่ใช้ระบบอัตโนมัติ คือรับ บัตรตอนเข้า เมื่อจะออกเราต้องไปจ่ายเงินที่machine คล้ายๆATM เสียก่อน เมื่อจะออก ก็เอาบัตรเสียบเข้าไป ในเครื่อง ที่กั้นก็เปิดเองโดยอัติโนมัติ โดยที่กระบวนการทั้งหมดไม่ต้องใช้คน  เมื่อสองช้างเข้ารถแล้ว ก็ถึงเวลา มหกรรมมั่วกับพี่จีต่อ เพราะยังไงก็ต้อง setให้ได้ ไม่ยังงั้นคงหลงทางแย่ แต่ถึงจะเค้นพลังไอคิวทั้งหมดที่มีอยู่ ก็ไม่สามารถตั้งได้ พอดีมีหนุ่มน้อยน่ารักมาขึ้นรถข้างๆกับคุณแม่ ช้างน้อยจึงบากหน้าไปขอความช่วยเหลือ ซึ่ง ทั้งสองก็ใจดีมาก ทั้งๆที่บอกว่าไม่เคยใช้แบบนี้เหมือนกัน แต่หลังจากสามคนรวมพลังกันมั่วสักพัก คราวนี้ก็ไปได้ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:36:32

ความคิดเห็นที่ 55 คุณ : ฟองสบู่ ...เขียนให้มันหวานไปยังงั้นแหละครับ 55 กล้องเดิมครับ แต่ตั้งวัดแสงเป็น spot metering แล้ววัดที่ใบหน้าพระแม่เลยครับ โดยช้างน้อยขอให้ตั้งจุดหมายปลายทางของพวกเราในวันนี้ไปเลย คือเมือง Fussen เนื่องจากศึกษาแผนที่มา พอควร และคิดว่าสามารถเอาตัวรอดกับที่ที่จะแวะระหว่างทางได้ นับว่าเป็นน้ำใจแรกที่ได้รับจากคนเยอรมัน ถ้า จะว่าไปแล้ว ทริปนี้สองช้างได้รับน้ำใจจากจากคนเยอรมันมาตลอดทางเลย(เนื่องจากสามประเทศในส่วนที่ไป พูดภาษาเยอรมันกันทั้งหมด จึงเหมารวมเป็นคนเยอรมันก็แล้วกัน) เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจกับพี่จี พวกเราก็พากัน ออกจากที่จอด แต่เมื่อสอดบัตรเข้าไปแล้ว ไม้ไม่ยอมกระดกขึ้น พวกเรากำลังงงกันอยู่ ก็มีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาดู แล้วก็บอกพวกเราว่ายูใช้เวลาเกินสิบห้านาที นับจากจ่ายเงินจนถึงเอารถออก พวกเราเลยถึงบางอ้อ บอกเขาไป ว่าเรามีปัญหากับการตั้งพี่จีอยู่ เขาก็เดินไปกดสวิตช์เปิดที่กั้นให้แต่โดยดี นับว่าเป็นบทเรียนสำหรับพวกเราใน เวลาต่อๆมา คือจะทำภาระกิจทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน เมื่อพร้อมจะออกจึงค่อยไปจ่ายเงิน เมื่อออกมาแล้ว เราก็ตรงดิ่งไปทางที่พี่จีสั่ง โดยช้างน้อยยกเลิกเบี้ยบ้ายรายทางทั้งหมดเนื่องจากรำคาญน้อง ฝนที่ตามตื๊อไม่เลิกรา ตั้งใจจะไป Wieskirch ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเลย ที่เราวิ่งตอนนี้ก็เป็น Romantic Road แล้วนะครับ จริงๆแล้วเค้าบอกว่า ชื่อถนนทำให้คนเข้าใจผิด เพราะจริงๆ แล้วถนนเนี่ยไม่ได้โรแมนติค แต่เมืองเล็กเมืองน้อยที่อยู่บนถนนนี้ต่างหากที่โรแมนติค ซึ่งช้างน้อยก็เห็นด้วยนะครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:41:54

ความคิดเห็นที่ 56 พี่ฟองสบู่อีกทีครับ ...อันนี้ครับคือการบ้านที่ทำไปล่วงหน้า จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:43:20

ความคิดเห็นที่ 57 กับเอกสารที่ได้จากการท่องเที่ยวของทั้งสามประเทศ แต่ต้องบอกว่าออสเตรียเตรียมการและใจดีที่สุดครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:44:26

ความคิดเห็นที่ 58 มาเที่ยวกันต่อนะครับ รีวิวนี้ ภาพที่ได้มาจากสามกล้องนะครับ ส่วนใหญ่มาจาก D300 ของช้างน้อย มีส่วนน้อยโดยเฉพาะวิวข้างทางในยามที่ช้างน้อยขับรถ จะได้มาจาก G12 ของคุณช้างน้ำ กับอีกส่วนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพอาหารมาจาก iPhone นะครับ เพราะสะดวกดี ผู้คนไม่แตกตื่น แต่คุณภาพก็ถือว่าดีนะครับ ดูภาพRomantic Road ส่วนปลายทางกันต่อนะครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:48:12

ความคิดเห็นที่ 59 กด F5 ทีไรก็ได้ชมภาพสวยๆ ทุกที เห็นหนังสือที่อ่านแล้ว ยกนิ้วให้เลยคะ น้องใหม่หัดขับ ขอตามรอยรุ่นพี่บ้างนะคะ จากคุณ : คาเฟ่โอเล่ (คาเฟ่โอเล่) เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:48:50

ความคิดเห็นที่ 60 โรงแรมน่าพักข้างทางครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:48:56

ความคิดเห็นที่ 61 คุณ : คาเฟ่โอเล่...ขอบคุณนะครับที่มาทักทาย แต่แน่ใจได้ไงครับว่ารุ่นพี่ แอะแอะ ทางที่จะไป Wieskirche ต้องแยกออกจากถนนหลักเล็กน้อย มีป้ายบอกทางชัดเจน ไม่มีหลง ถึงตอนนี้พี่จีคงงงว่าเราจะไปใหนกัน สั่งให้ช้างน้อยกลับรถอยู่ตลอดเวลา จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:51:33

ความคิดเห็นที่ 62 ยืนยันว่าเป็นมรดกโลกนะครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:52:34

ความคิดเห็นที่ 63 ทางเดินเข้าโบสถ์ดูแปลกนะครับ ถ้าฝนตกคงเฉาะแฉะน่าดู อาจจะเป็นเพราะรอบๆโบสถ์ยังมีฟาร์มอยู่รายรอบ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:54:04

ความคิดเห็นที่ 64 ภายในโบสถ์ตั้งใจใช้สีอ่อน ทำให้ดูโปร่ง เวลาคนที่มีความทุกข์เข้ามาแล้วจะรู้สึกโล่งใจ สบายใจ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:56:14

ความคิดเห็นที่ 65 ความจริงมีคนรีวิวโบลถ์นี้อยู่เยอะเหมือนกันครับ ช้างน้อยขอรวบรัดตัดความเลยแล้วกันนะครับ โบสถ์นี้ดังขึ้น มาก็เพราะมีรูปพระเยซูเป็นไม้แกะสลักเรียก scourged savior ซึ่งแกะสลักขึ้นในปี 1730 พอถึงปี1735 คณะ กรรมการโบสถ์ลงมติให้เอารูปแกะสลักนี้ไปเก็บในห้องเก็บของ เนื่องจากเห็นว่าเป็นภาพที่ไม่เจริญหูเจริญตา เพราะเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือด จนถึงปี 1738 รูปแกะสลักนี้ก็ถูกย้ายไปยังกระท่อมชาวนาแห่งหนึ่ง แล้ว มหัศจรรย์ก็บังเกิดเมื่อวันที่14 มิ.ย 1738 เมื่อรูปไม้แกะสลักนี้มีน้ำตาไหลออกมา จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:59:20

ความคิดเห็นที่ 66 เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ก็มีผู้คนเลื่อมใสศรัทธาหลั่งไหลมาเคารพบูชา โบสถ์เดิมซึ่งเป็นโบสถ์ไม้เล็กๆไม่ สามารถรองรับผู้คนที่มาได้ จึงมีการขยายโบสถ์ให้ใหญ่ขึ้นโดยโบสถ์ที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นในปี 1745-45 โดยพี่น้องตระกูล Dominikus และ Johann Baptist Zimmermann แห่งเมือง Wessobrunn ตัว Dominikus เองขณะนั้นมีอายุ 70 ปีแล้วจึงคิดจะฝากฝีมือชิ้นสุดท้ายของเขาไว้กับโบสถ์นี้  โดยสร้างบ้านอยู่ หน้าโบสถ์เลย และอาศัยอยู่บ้านหลังนี้จนกระทั่งเสียชีวิต หลังจากนั้นได้มีการบูรณะครั้งใหญ่อีกทีไม่นานมานี้ เมื่อปี 1985-1991 จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:00:45

ความคิดเห็นที่ 67 คุณ : คาเฟ่โอเล่...ขอบคุณนะครับที่มาทักทาย แต่แน่ใจได้ไงครับว่ารุ่นพี่ แอะแอะ ชักเริ่มไม่แน่ใจซะแว้ววววว เพราะ เข้าสู่ "วัยสาวเหลือน้อย" เอ๊ะ ! หรือไม่เหลือเลย ยังไงก็ขอเกาะล้อตามไปด้วยคน  ถ่ายรูปสวยมากมาย จากคุณ : คาเฟ่โอเล่ เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:01:42

ความคิดเห็นที่ 68 โอ้ ว้าว เห็นหนังสือแล้ว อึ้ง ทึ่ง ทำการบ้านก่อนไปเที่ยวดีมาก เปลี่ยนอาชีพไปเป็นไกด์ได้เลย GPS น่าจะเตรียมจากไทยไปนะครับ จากคุณ : ฟองสบู่ เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:01:57

ความคิดเห็นที่ 69 ภายในโบสถ์ตกแต่งอย่างมีชีวิตชีวาด้วยโทนสีอ่อน ตามเสามีลวดลายสีแดงและสีน้ำเงิน สีแดงจะวนขึ้นหมาย ถึงเลือดของผู้ที่มาบูชาพระเจ้า โดยวิ่งขึ้นหาพระเจ้า ในขณะที่ลายสีน้ำเงินจะวนลงหมายถึงการให้อภัยของ พระองค์ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:01:59

ความคิดเห็นที่ 70 ตามมาเที่ยวด้วยค่ะ  ยุโรปมีเสน่ห์เสมอ   ถึงฟ้าจะหม่น  แต่ภาพออกมาสีสวยดีจังค่ะ ^_^ จากคุณ : ชอบกินชอบเที่ยว (ชอบกินชอบเที่ยว) เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:03:05

ความคิดเห็นที่ 71 เหนือแท่นบูชาหลักเป็นที่ประดิษฐานของ scourged savior อันศักดิ์สิทธิ์ ภาพวาดเหนือรูปแกะสลักเป็น ศิลปกรรมชิ้นเดียวในโบสถ์นี้ที่ไม่ได้ทำภายในโบสถ์ แต่วาดที่มิวนิคแล้วนำมาแบบสำเร็จรูป เป็นรูปพระเยซู สมัยเด็กแวดล้อมด้วยวงษาคณาญาติของพระองค์ โดยพระองค์อยู่ในท่ากางแขนออกซึ่งเป็นการทำนายว่า พระองค์จะสวรรคตโดยถูกตรึงบนไม้กางเขน จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:04:41

ความคิดเห็นที่ 72 คุณ : ชอบกินชอบเที่ยว ...ขอบคุณนะครับสำหรับกำลังใจ ถึงตอนนี้คุณช้างน้ำก็รำพึงออกมาว่า ทำไมน้อยรู้ดีจัง มั่วรึป่าวเนี่ย ช้างน้อยไม่ได้มั่วนะครับ เพียงแต่ศึกษาไป ก่อน เวลาเห็นของจริงจะสนุกขึ้นอีกเยอะ ถึงแม้ฝนจะตก เราก็ไม่หวั่น เราก็ใช้เวลาค่อยๆพิจารณาศิลปกรรม แต่ละอย่างไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเร่งรีบ ยัง ยังไม่หมดนะจ๊ะ ช่วยกันหานก pelican กันเร็วเห็นบอกว่าอยู่เหนือแท่น หลัก ช้างน้อยบอกช้างน้ำ แต่เป็นอะไรที่หายากมากกว่าจะเจอ โดยเป็นรูปหล่อทองเหลือง โดยมีตำนานว่านกชนิดนี้เมื่อไม่สามารถ หาอาหารให้ลูกได้ จะแหวะอกตัวเอง เพื่อให้ลูกรอดชีวิตด้วยการดื่มกินเลือดของตัวเอง เปรียบเสมือนพระเยซูที่ ยินดีให้ทหารปักหอกลงบนหน้าอกตัวเองเพื่อรักษาชีวิตทหารซึ่งพระองค์ถือว่าคนทุกคนเป็นลูกของพระองค์ แหมเป็นอะไรที่ลึกซึ้งมาก แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 55 05:45:38 จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:07:51

ความคิดเห็นที่ 73 ตามมาเริ่มต้นผจญภัยไปด้วยค่ะ จากคุณ : Bpearl เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:07:54

ความคิดเห็นที่ 74 คุณ : Bpearl...ขอบคุณครับ แต่จริงๆแล้วไม่ค่อยรู้สึกผจญภัยเท่าไหร่ครับ เหนือเพดานโบสถ์ มีรูป frescoขนาดใหญ่ วาดเป็นรูปพระเยซูที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง นั่งอยู่บนรุ้งกินน้ำ(ซึ่ง บอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของการให้อภัย) มีนางฟ้า บัลลังค์พิพากษา และประตูสู่สวรรค์ เห็นภาพวาดเล่านี้ แล้วก็ คิดถึงวัดบ้านเราซึ่งก็มักจะมีรูปนรก สวรรค์เตือนใจให้คนทำความดีอยู่เหมือนกัน แต่ของเรามักเป็นภาพเล็กๆ ไม่อลังการเท่า จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:10:24

ความคิดเห็นที่ 75 อันนี้น่าจะเป้นประตูสวรรค์นะครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:11:38

ความคิดเห็นที่ 76 บัลลังค์พิพากษารึป่าว เห็นบอกว่าภาพวาดเหล่านี้จะกลมกลืนไปกับปูนปั้นของเพดาน เป็นความกลมกลืนของสองมิติและสามมิติที่มหัศจรรย์ แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 55 05:54:50 จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:14:43

ความคิดเห็นที่ 77 ออร์แกนก็ตบแต่งสวยนะครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:16:11

ความคิดเห็นที่ 78 แท่นธรรมมาศครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:17:13

ความคิดเห็นที่ 79 ไม่แน่ใจว่าเขียนว่าอะไรนะครับ ใครรู้วานบอกด้วยครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:18:21

ความคิดเห็นที่ 80 หยุด กรุณาอย่าเพิ่งจบ !!! ลูกทัวร์เพิ่งกลับมาถึงบ้าน จากคุณ : Coffee Blended เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:18:33

ความคิดเห็นที่ 81 เมื่อออกจากโบสถ์ เรายังพอมีเวลา จึงชวนกันเดินเล่นด้านหลัง ซึ่งเป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เจอตัวอะไรก็ไม่รู้ คล้ายๆม้า แต่ไม่ใช่ม้า ไม่แน่ใจว่าใช่ลารึเปล่าครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:19:42

ความคิดเห็นที่ 82 คนยุโรปเขาเอาลาตัวผู้ผสมกับม้าตัวเมียออกมาเป็นล่อ ซึ่งใช้ขนของข้ามเขาในสมัยโบราณ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:21:58

ความคิดเห็นที่ 83 คุณ : Coffee Blended ...น้ากาแฟรู้ใจมากเลยครับ กำลังหมดสภาพแล้วครับ คิดอยู่ว่าจะพักก่อนดีไม๊ ถ่ายจากด้านหลังโบสถ์นะครับ สงสัยว่าถ้าไม่มีแดด แล้วคนโบราณเขาบอกเวลากันยังไง แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 55 22:25:02 จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:24:05

ความคิดเห็นที่ 84 มีร้านอาหารด้วย จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:25:54

ความคิดเห็นที่ 85 กับร้านขายเครื่องบูชา ซึ่งสองช้างไม่ได้สังเกตุตอนขาเข้า จึงไม่ได้ซื้ออะไรเข้าไปบูชากันเลย จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:27:21

ความคิดเห็นที่ 86 ตามไกด์บุค บอกว่าที่โบสถ์นี้จะมีรถทัวร์ขนนักท่องเที่นวกันมามากมาย ส่วนใหญ่มาที่นี่จะเจอคนเยอะ แต่วันที่สองช้างไป มีคนมาน้อยมาก อาจจะเป็นข้อดีของฝนตกก็ได้นะครับ เลยไม่มีใครอยากออกไปใหน จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:29:29

ความคิดเห็นที่ 87 มีคนเลี้ยงไก่ด้วยครับ จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:30:16

ความคิดเห็นที่ 88 จากนั้นจึงพากันเดินทางต่อ ไปยังเป้าหมายสุดท้ายของวันนี้ นั่นคือปราสาท Neuschwanstein โดยคาดหวัง ว่าจะแวะถ่ายรูปที่โบสถ์ St.Koloman กันก่อน โดยช้างน้อยจองตั๋วชมปราสาท online ไว้รอบบ่ายสี่โมงครึ่ง เพราะคิดว่าช่วงใกล้ๆปิด คนคงจะน้อย การจองตั๋วทาง onlineนี้จะทำให้เราไม่ต้องไปเข้าคิวซื้อตั๋วซึ่งเอาแน่เอา นอนไม่ได้ว่าจะยาวจะสั้น บางคนต้องไปคอยคิวเป็นชั่วโมง แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม 2-3 Euro จำไม่ได้ ว่าเท่าไรแน่ ในตั๋วที่ส่งมากำชับให้เราไปถึงเคาน์เตอร์เพื่อแลกตั๋วก่อนบ่ายสามสิบห้า เนื่องจากต้องใช้เวลาเดิน ทางขึ้นปราสาทอยู่เหมือนกัน จากคุณ : mordek1 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:31:46