ความคิดเห็นที่ 1 .. จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:30:03

ความคิดเห็นที่ 2 แผนที่ และสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดยโสธร จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:31:05

ความคิดเห็นที่ 3 จังหวัดยโสธรมีเนื้อที่ทั้งสิ้น 4,162 ตารางกิโลเมตร แบ่งออกเป็น 9 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอทรายมูล อำเภอกุดชุม อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอป่าติ้ว อำเภอมหาชนะชัย อำเภอค้อวัง อำเภอเลิงนกทา และอำเภอไทยเจริญ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:31:41

ความคิดเห็นที่ 4 ”ศาลหลักเมือง” ตั้งอยู่บริเวณถนนย่านบ้านสิงห์ท่า อำเภอเมืองยโสธร สร้างรูปทรงออกแนวสถาปัตยกรรมจีน ดูตระการตา และสวยงามมาก จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:32:13

ความคิดเห็นที่ 5 ”อนุสาวรีย์พระสุนทรราชวงศา(สิงห์)” ตั้งอยู่บริเวณสวนสาธารณะบุ่งน้อย-บุ่งใหญ่ริมแม่น้ำชีในเมืองยโสธร โดยท่านทรงเป็นเจ้าเมืองยโสธรเป็นท่านแรก เมื่อปี พ.ศ.2357 จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:32:43

ความคิดเห็นที่ 6 สายน้ำยังคงเป็นแหล่งพึ่งพิง แหล่งทำมาหากิน ซึ่งคงไม่ต่างจากจังหวัดอื่นๆ นัก แม่น้ำชีที่ทอดยาวไหลผ่านเมืองยโสธร เป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่สายหลักที่หล่อเลี้ยงผู้คนชาวยโสธร ให้อยู่กันอย่างอุดมสมบูรณ์ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:33:22

ความคิดเห็นที่ 7 ”วัดมหาธาตุยโสธร” ตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมืองยโสธร ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่สมัยแรกสร้างเมืองใน พ.ศ.2340 เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบุษยรัตน์ หรือพระแก้วหยดน้ำค้าง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำคัญประจำเมือง จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:33:56

ความคิดเห็นที่ 8 ใกล้ๆ กับพระอุโบสถยังเป็นที่ตั้งของพระธาตุยโสธร หรือพระธาตุพระอานนท์ ซึ่งมีบันทึกว่าถูกสร้างขึ้นโดยเสนาบดีเมื่อประมาณปี พ.ศ.2321 พุทธลักษณะเป็นเจดีย์ทรงเหลี่ยมศิลปะล้านช้าง ยอดแหลมสูง ซึ่งเป็นลักษณะเจดีย์โบราณที่พบโดยทั่วไปทางภาคอีสานของไทย และในประเทศลาว ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐธาตุของพระอานนท์ พระเถระผู้คอยดูแลพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งพุทธกาล จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:34:33

ความคิดเห็นที่ 9 ถัดมาด้านข้างยังเป็นที่ประดิษฐานของเจดีย์ที่บรรจุพระอัฐของเจ้าเมืองจำปาศักดิ์ เมื่อผมก้าวเข้ามาภายในวัดมหาธาตุยโสธร ผมรับรู้ได้ถึงความเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ความเงียบสงบสุข เป็นอีกที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเมืองยโสธรเลยทีเดียว จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:35:18

ความคิดเห็นที่ 10 ”สวนสาธารณะพญาแถน ยโสธร” ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมือง ริมถนนแจ้งสนิท ติดกับอ่างเก็บน้ำลำทวน มีเนื้อที่ 18 ไร่กว่าๆ ภายในตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ สนามเด็กเล่น สวนสุขภาพ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:35:59

ความคิดเห็นที่ 11 พญาแถน เป็นชื่อเรียกของเทพเจ้าแห่งฝน ตามความเชื่อของชาวอีสาน เมื่อถึงเดือนหกอันเป็นต้นฤดูฝน จะต้องทำการจุดบั้งไฟขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อถวายพญาแถน ฝนจะได้ตกต้องตามฤดูกาล ซึ่งสวนสาธารณะแห่งนี้ยังใช้เป็นสถานที่จัดงานบั้งไฟประจำปีอีกด้วย ภายในสวนสาธารณะแห่งนี้จะค่อนข้างร่มรื่น เย็นสบาย เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:38:16

ความคิดเห็นที่ 12 ”ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า” ย่านนี้จะคงความเป็นเอกลักษณ์ และวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเอาไว้อย่างสมบูรณ์ สภาพบ้านเรือนยังคงเป็นแบบโบราณ รูปทรงแนวโคโลเนี่ยลสไตล์ แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 55 15:19:06 จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:38:53

ความคิดเห็นที่ 13 แม้ความเจริญจะย่างกรายเข้ามาเรื่อยๆ กลืนกินวิถีชีวิตชุมชนไปบ้างตามยุคสมัย แต่บ้านสิงห์ท่าแห่งนี้ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของชุมชนเก่าแก่เอาไว้ได้เป็นอย่างดี ชาวบ้านในชุมชนล้วนถ้อยทีถ้อยอาศัย อยู่อย่างเรียบง่ายและสงบ ถนนรอบบริเวณย่านสิงห์ท่าเป็นทางลัดเลาะเชื่อมต่อถึงกันระหว่างชุมชน ตลาด โรงเรียน รวมถึงวัด เป็นเส้นทางการท่องเที่ยวที่สำคัญ และพิเศษเป็นอย่างยิ่ง จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:40:47

ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อมาเยือนบ้านสิงห์ท่าแล้ว สิ่งที่พลาดไม่ได้และเป็นของขึ้นชื่อของเมืองยโสธร ทั้งยังมีชื่อเสียงมาช้านานคือ ลอดช่องใบเตย ซึ่งมีเส้นเล็ก เหนียวนุ่ม และหอมใบเตย มีแหล่งผลิตอยู่ที่ย่านบ้านสิงห์ท่า จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:41:22

ความคิดเห็นที่ 15 อีกสิ่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อของบ้านสิงห์ท่าคือ ปลาส้ม ชาวบ้านแถบนี้จะผลิตเพื่อออกจำหน่ายกันเกือบจะทุกบ้าน เป็นของฝากชั้นเลิศที่ผู้มาเยือนจังหวัดยโสธรต้องหาติดไม้ติดมือกลับบ้านทุกครั้งไป จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:41:57

ความคิดเห็นที่ 16 ”พระธาตุก่องข้าวน้อย”  ตั้งอยู่ในทุ่งนา ตำบลตาดทอง ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 9 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 23 (ยโสธร-อุบลราชธานี) กิโลเมตรที่ 194 แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีก 1 กิโลเมตร พระธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์เก่าสมัยขอม สร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย ตั้งอยู่ในเขตวัดพระธาตุก่องข้าวน้อย ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงทุ่งนาในเขตตำบลตาดทอง พระธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์ก่ออิฐปูน รูปทรงแปลกไปจากเจดีย์โดยทั่วไป คือมีลักษณะเป็นก่องข้าว นอกจากนี้บริเวณด้านหลังพระธาตุมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งก่อด้วยอิฐ ชาวบ้านนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก และในเดือนห้าจะมีผู้คนนิยมมาสรงน้ำพระ และปิดทอง เชื่อกันว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ฝนจะแล้งในปีนั้น จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:42:41

ความคิดเห็นที่ 17 ประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจของพระธาตุก่องข้าวน้อย ซึ่งผิดไปจากปูชนียสถานแห่งอื่นๆ ที่มักเกี่ยวพันกับเรื่องพุทธศาสนา แต่ประวัติความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้กลับเป็นเรื่องของหนุ่มชาวนาที่ทำนาตั้งแต่เช้าจนเพล มารดาส่งข้าวสายเกิดหิวข้าวจนตาลาย อารมณ์ชั่ววูบทำให้เขาทำร้ายมารดา ด้วยสาเหตุเพียงว่าข้าวที่เอามาส่งดูจะน้อยไปไม่พอกิน ครั้นเมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว ข้าวยังไม่หมดจึงได้สติคิดสำนึกผิดที่กระทำรุนแรงต่อมารดาของตนเองจนถึงแก่ความตาย จึงได้สร้างพระธาตุก่องข้าวน้อยแห่งนี้ขึ้น เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลขออโหสิกรรม และล้างบาปที่ตนได้กระทำ นอกจากนี้ที่บริเวณบ้านตาดทอง กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดค้นเรื่องราวของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้ค้นพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และภาชนะลายเขียนสีแบบบ้านเชียง เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาด เมื่อมาเยือนเมืองยโสธรทีเดียว จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:43:28

ความคิดเห็นที่ 18 ยามเช้าของวันนั้นผมมาที่ตลาดอำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร สังเกตจากสภาพคงไม่ต่างจากตลาดทั่วไปของแต่ละจังหวัดนัก แต่ทีเด่นชัดคือสินค้าที่นำมาขายส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าท้องถิ่น พื้นบ้าน สินค้าบางอย่างไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ และราคาก็ไม่แพงมากนัก จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:43:58

ความคิดเห็นที่ 19 การได้มาเดินตลาดตามชนบท ผมถือว่าเป็นการได้ท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาอย่างหนึ่ง เสน่ห์ของมันอยู่ตรงที่การได้เห็นวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ภาษา การอยู่การกิน รอยยิ้มเพียงเล็กๆ ที่ส่งมาให้ทำให้ผู้มาเยือนอย่างผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:45:39

ความคิดเห็นที่ 20 จากตลาดคำเขื่อนแก้ว ผมแวะมาที่ ”ดงเมืองเตย” ตั้งอยู่ที่บ้านสงเปือย อยู่ห่างจากตัวอำเภอคำเขื่อนแก้วประมาณ 7 กิโลเมตร จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:46:17

ความคิดเห็นที่ 21 ภายในบริเวณดงเมืองเตยจะมีซากวัด สระน้ำ กำแพงเมือง ซึ่งปัจจุบันได้ชำรุดลงไปมากแล้ว แต่ยังมีเค้าโครงเดิมพอจะสันนิษฐานได้ว่าเดิมเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณสมัยทวารวดี โดยโบราณสถานแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ที่นับถือพระศิวะ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:47:59

ความคิดเห็นที่ 22 อำเภอไทยเจริญ เป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สุดอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดยโสธร นั่นก็คือ ”โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้” ซึ่งว่ากันว่าเป็นโบสถ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:48:30

ความคิดเห็นที่ 23 ปาดดด...ตามลุงม่วงไปกินปลาส้ม ..ง่ะ กินไม่เป็น จากคุณ : คุณแม่ติดเน็ต เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:50:30

ความคิดเห็นที่ 24 มีประวัติเล่าสืบกันมาว่าในปี ค.ศ.1908 มีผู้หนีตายอพยพจากที่ต่างๆ กัน เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้รวม 5 ครอบครัว ซึ่งหนีมาด้วยสาเหตุเดียวกันคือ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ ชาวบ้านในหมู่บ้านจึงรุมทำร้ายและขับไล่ ผู้อพยพเหล่านี้จึงเดินทางไปหาบาทหลวงเดชาแนล และบาทหลวงออมโบรซีโอ ที่บ้านเซซ่ง ต.เชียงเพ็ง อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ขอให้ไปช่วยขับไล่ผีปิศาจที่สิงสู่อยู่กับพวกตน และครอบครัว ซึ่งบาทหลวงทั้ง 2 ท่านก็ยอมช่วยเหลือตามคำขอ เมื่อรู้สึกดีขึ้น ทั้ง 5 ครอบครัวจึงเข้ามาขอนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ต่อมาบ้านหนองซ่งแย้มีผู้คนอพยพเข้ามาอยู่เพิ่มมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1909 ชาวบ้านจึงรวบรวมแรงศรัทธาปลูกกระต๊อบเล็กๆ เพื่อใช้ประกอบพิธีทางศาสนา นับว่าเป็นจุดกำเนิดของวัดซ่งแย้ ต่อมาคนในบ้านหนองซ่งแย้ซึ่งล้วนแต่เป็นชาวไทยอีสานได้มาเข้ารีต นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกกันเกือบทั้งหมด จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:50:54

ความคิดเห็นที่ 25 คุณแม่ติดเน็ต อรุณสวัสดิ์ครับ ไปเที่ยวกันครับ ---------------------------------------------------------------------------------------- หลังจากนั้นได้มีการสร้างอาคารโบสถ์ใหม่หลายครั้ง โบสถ์ไม้เนื้อแข็งหลังปัจจุบันนี้เป็นโบสถ์หลังที่ 4 วางแผนก่อสร้างปี ค.ศ. 1936 ชาวบ้านพากันรวบรวมไม้ ลงมือสร้างปี ค.ศ. 1947 ตัวโบสถ์รูปทรงที่สร้างขึ้นมีลักษณะแบบศิลปะไทย จัดเป็นโบสถ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ใช้แผ่นไม้เป็นแป้นมุงหลังคา 80,000 แผ่น ใช้เสาขนาดต่างๆ กันถึง 360 ต้น ส่วนใหญ่เป็นเสาไม้เต็ง เสาในแถวกลางมีขนาดใหญ่ยาวที่สุดมี 260 ต้น สูงจากพื้นดินกว่า 10 เมตร พื้นแผ่นกระดานเป็นไม้แดง และไม้ตะเคียนขนาดใหญ่ ม้านั่งไม้จุคนได้กว่าพันคน และเนื่องจากไม้ที่ได้รวบรวมมามีจำนวนมาก จึงได้นำไม้ที่เหลือมาสร้างโรงเรียนบ้านซ่งแย้พิทยา .. ไม่ว่าชาติใด เชื้อสายใด ต่างก็มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เป็นศูนย์รวมทางจิตใจให้ผู้คนภายในชุมชนรักใคร่สามัคคีกัน ศาสนสถานแห่งนี้จึงเป็นมากกว่าโบสถ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ หากแต่ยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจที่ยิ่งใหญ่กว่า เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มาเยือนยโสธรไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 55 06:54:24 จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:52:22

ความคิดเห็นที่ 26 สวัสดีวันสุขฮะ ขอตามไปเที่ยวด้วยคนน้าาา จากคุณ : น้องแมว (weneedlove) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:54:50

ความคิดเห็นที่ 27 จากอำเภอไทยเจริญ ผมย้อนกลับมาที่อำเภอกุดชุม ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกหลายแห่งทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ถ้ำต่างๆ มากมาย ผมเดินทางมาสัมผัสความงดงามของ ”ภูหินปูน” ซึ่งเป็นภูเขาที่ไม่สูงมากนัก แต่ก็ได้ความเขียวขจียามหน้าฝนแบบนี้เข้ามาทดแทน ด้านบนมีหินรูปร่างแปลกๆ ตั้งตระหง่านเรียงรายอยู่เหนือบริเวณลานหินกว้าง ยอดภูยังเป็นที่ตั้งของวัดภูหินปูน มีศาลาการเปรียญวัดที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดยโสธร นักท่องเที่ยวสามารถแวะมาพักผ่อน และนมัสการกราบไหว้บูชาองค์พระได้อีกด้วย จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:55:20

ความคิดเห็นที่ 28 พี่แมวคนงาม ตามมาเลยครับ ---------------------------------------------------------------------------------- ”ภูหมากพริก” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งของอำเภอกุดชุม ซึ่งอยู่ห่างจากภูหินปูนราว 3 กิโลเมตร ในช่วงปลายฝนต้นหนาวเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการการท่องเที่ยวแบบเดินป่าของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัย และการเดินป่าเพื่อชมธรรมชาติอันบริสุทธิ์มากที่สุด จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:56:31

ความคิดเห็นที่ 29 วันนี้มาทันปาดคุณเอกด้วย อิอิ ตามไปเที่ยวยโสธรด้วยคนค่ะ จากคุณ : ตัวยาว (lekatuayao) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:56:43

ความคิดเห็นที่ 30 ตามตำนานกล่าวว่าในสมัยก่อนเคยมีต้นพริกขนาดใหญ่ขึ้นที่บริเวณภูดังกล่าวจนชาวบ้านเรียกขนานนามว่าภูหมากพริก เป็นภูเขาหินเก่าแก่ยุคไดโนเสาร์ มีความคล้ายคลึงกับหินแถบจังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น บนเขามีลักษณะเป็นเขตร้อนมีความชุ่มชื้นทั้งปี มีน้ำซับบนภูเขาที่ไหลซึมตลอดปี สังเกตได้จากบนทางเดินจะปูลาดไปด้วยตระไคร่น้ำ มอส เฟิร์น ปกคลุมไปตลอดเส้นทาง เป็นที่อาศัยของหมูป่า และสัตว์ประเภทเก้ง เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวแบบผจญภัยเดินป่าเป็นอย่างยิ่ง จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:57:15

ความคิดเห็นที่ 31 คุณตัวยาว (lekatuayao)ตามไปเที่ยวอีสานกันครับ ------------------------------------------------------------------------------------- ”วัดลาดเก่า หรือวัดล้านขวด” ตั้งอยู่อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร จุดเด่นของวัดแห่งนี้คือการนำเอาขวดมาก่อสร้างเป็นศาสนสถาน ทั้งตัวอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอระฆัง เมรุ หรือซุ้มประตูรั้ว ล้วนแล้วแต่ทำจากขวดทั้งหมด  เป็นการนำภูมิปัญญาและความชำนาญมาใช้ได้อย่างงดงามและลงตัวทีเดียว จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:00:11

ความคิดเห็นที่ 32 ภายในบริเวณวัดจะค่อนข้างร่มรื่นด้วยต้นไม้นานาชนิด มีพระอุโบสถหลังใหญ่ที่ทำด้วยขวดแก้วสีเขียวตั้งตระหง่านเหนือพื้นน้ำ ดูสวยงาม แปลกตามากๆ เป็นอีกสถานที่ที่สำคัญของจังหวัดยโสธรที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:02:42

ความคิดเห็นที่ 33 มาทันลุงม่วง...ถ่ายทอดสด ด้วย..^^ ยโสธร......คืองามคักแท้ จากคุณ : sai_dil69 เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:02:49

ความคิดเห็นที่ 34 ”หมู่บ้านทำหมอนขิตบ้านศรีฐาน” อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร หมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อเสียงด้านการทำหมอนขิตมาอย่างช้านาน การทำหมอนขิตเป็นอาชีพเสริมรองจากการทำนา ซึ่งส่งจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกต่างประเทศด้วย จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:03:16

ความคิดเห็นที่ 35 คุณ sai_dil69 ตามไปเที่ยวอีสานบ้านเฮากันครับ ----------------------------------------------------------------------------------- ผมได้พูดคุยกับคุณยายที่กำลังนั่งทำหมอนขิตอยู่ใต้ถุนบ้าน คุณยายเล่าให้ฟังว่าหมู่บ้านนี้ทำกันแทบทุกบ้าน เมื่อก่อนใช้มือทำ แต่ด้วยจำนวนความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ทำกันไม่ทันตามความต้องการ ปัจจุบันชาวบ้านเลยหันมาใช้เครื่องจักรในการทำ เพื่อช่วยทุ่นแรงและเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้นให้ทันต่อความต้องการของตลาด จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:06:11

ความคิดเห็นที่ 36 ลวดลายที่สวยงามของผ้าขิตบ่งบอกถึงความประณีตในการทำ อีกทั้งยังมีหลายรูปแบบในราคาที่ไม่สูงมากนัก หมอนขิตบ้านศรีฐานจึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมา สามารถแวะหาซื้อหมอนขิตเป็นของฝากกลับบ้าน และยังได้ช่วยเหลือชุมชนให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น ส่งเสริมภูมิปัญญาชาวบ้านได้อีกทางด้วย จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:06:48

ความคิดเห็นที่ 37 ประเดิมกิฟแรกของเดือนไปเลยจ้า น้าเอก จากคุณ : armearn เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:08:22

ความคิดเห็นที่ 38 หากบอกถึงความรู้สึกของผมเมื่อมาเยือนยโสธร ต้องยอมรับว่าบ้านนี้เมืองนี้ค่อนข้างเงียบสงบ มีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก พึ่งพิงธรรมชาติ อยู่กันแบบเรียบง่าย เป็นวิถีชีวิตที่บางครั้งความสุขก็ไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงินทอง จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:08:28

ความคิดเห็นที่ 39 พี่ตุ่ม มอนิ่งครับ ไปเที่ยวอีสานกันครับ ----------------------------------------------------------------------------------- ”หมู่บ้านนาสะไมย์” ถือว่าเป็นหมู่บ้านช่างฝีมือในจังหวัดยโสธร เนื่องจากมีสินค้าหัตถกรรมที่เลื่องชื่อหลายอย่าง อาทิเครื่องจักสาน งานแกะสลักบานประตูไม้ เกวียนไม้โบราณจำลอง และเครื่องทองเหลือง ชาวบ้านมีความชำนาญในการทำเครื่องจักสานทุกครัวเรือน เป็นหมู่บ้านที่มีเศรษฐกิจดีนำรายได้ให้กับจังหวัดเป็นจำนวนมากในแต่ละปี จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:10:23

ความคิดเห็นที่ 40 หมู่บ้านนาสะไมย์นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่น่าเยี่ยมชม และหาซื้อสินค้าฝีมือต่างๆ ซึ่งบ่งบอกถึงวัฒนธรรมอันเป็นที่อิ่มเอมใจทั้งผู้ให้และผู้รับ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:11:52

ความคิดเห็นที่ 41 ตามน้าม่วงไปเที่ยวด้วยคนจร้า...... จากคุณ : โรม ณ. โคราช เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:13:51

ความคิดเห็นที่ 42 คุณลุงชาวบ้านพูดคุยกับผมอย่างเป็นกันเอง ลุงบอกว่าชาวบ้านนาสะไมย์ทำจักสานกันทุกบ้านเมื่อว่างจากการทำนา ซึ่งถือเป็นอาชีพเสริมได้อย่างดีทีเดียว รอยยิ้มและแววตาของคุณลุงบ่งบอกถึงความสุข ความเรียบง่ายในวิถีชีวิต เป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น ส่งผ่านมายังผู้มาเยือนอย่างจริงใจ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:14:45

ความคิดเห็นที่ 43 น้าโรม ตามมาเลยครับ ---------------------------------------------------------------------------------- ตำบลทุ่งมน อำเภอคำเขื่อนแก้วในวันนี้มีงานประเพณีบุญบั้งไฟซึ่งจัดงานกันทั้งสิ้น 2 วัน วันแรกเป็นขบวนแห่ฟ้อนรำ ส่วนอีกวันเป็นการจุดบั้งไฟ เป็นงานเล็กๆ ประจำหมู่บ้าน เป็นประเพณีที่ต้องจัดกันทุกบ้านทุกตำบลในช่วงเข้าฤดูฝน นอกเหนือจากประเพณีบุญบั้งไฟใหญ่ของจังหวัดที่จัดเสร็จสิ้นไปแล้ว จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:15:42

ความคิดเห็นที่ 44 แวะมาชมวิวสวยๆด้วยคนคร๊าบบ จากคุณ : ตระเวนเที่ยว เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:16:10

ความคิดเห็นที่ 45 ”ประเพณีบุญบั้งไฟ” เป็นประเพณีหนึ่งทางภาคอีสานของไทยรวมไปถึงประเทศลาว โดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านได้กล่าวถึงการที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการบูชาพระยาแถน ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่าพระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล พระยาแถนมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก หากหมู่บ้านใดไม่จัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล และอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:16:19

ความคิดเห็นที่ 46 คุณตระเวนเที่ยว ตามไปเที่ยวอีสานกันครับ ----------------------------------------------------------------------------------    บางตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าถือชาติกำเนิดเป็นพญาคางคก ได้อาศัยอยู่ใต้ร่มโพธิ์ใหญ่ในเมืองพันทุมวดี ด้วยเหตุใดไม่แจ้ง พญาแถนเทพเจ้าแห่งฝนโกรธเคืองโลกมนุษย์มาก จึงแกล้งไม่ให้ฝนตกนานถึง 7 เดือน ทำให้เกิดความลำบากยากแค้นอย่างแสนสาหัสแก่มวลมนุษย์ สัตว์และพืช จนกระทั่งพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก พวกที่แข็งแรงก็รอดตาย และได้พากันมารวมกลุ่มใต้ต้นโพธิ์ใหญ่กับพญาคางคก สรรพสัตว์ทั้งหลายจึงได้หารือกันเพื่อจะหาวิธีการปราบพญาแถน ที่ประชุมได้ตกลงกันให้พญานาคียกทัพไปรบกับพญาแถน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ จากนั้นจึงให้พญาต่อแตนยกทัพไปปราบแต่ก็ต้องพ่ายแพ้อีกเช่นกัน ทำให้พวกสรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดความท้อถอย หมดกำลังใจและสิ้นหวัง ได้แต่รอวันตาย ในที่สุดพญาคางคกจึงขออาสาที่จะไปรบกับพญาแถน จึงได้วางแผนในการรบโดยให้ปลวกทั้งหลายก่อจอมปลวกขึ้นไปจนถึงเมืองพญาแถน เพื่อเป็นเส้นทางให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายได้เดินทางไปสู่เมืองพญาแถน ซึ่งมีมอด แมงป่อง ตะขาบ สำหรับมอดได้รับหน้าที่ให้ทำการกัดเจาะด้ามอาวุธที่ทำด้วยไม้ทุกชนิด ส่วนแมงป่อง และตะขาบให้ซ่อนตัวอยู่ตามกองฟืนที่ใช้หุงต้มอาหาร และอยู่ตามเสื้อผ้าของไพร่พลพญาแถนทำหน้าที่กัดต่อย หลังจากวางแผนเรียบร้อย กองทัพพญาคางคกก็เดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่การรบ มอดทำหน้าที่กัดเจาะด้ามอาวุธ แมงป่องและตะขาบกัดต่อยไพร่พลของพญาแถนจนเจ็บปวด ร้องระงมจนกองทัพระส่ำระสาย ในที่สุดพญาแถนจึงได้ยอมแพ้และตกลงทำสัญญาสงบศึกกับพญาคางคก ดังนี้         1. ถ้ามวลมนุษย์จุดบั้งไฟขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อใด ให้พญาแถนสั่งให้ฝนตกในโลกมนุษย์         2. ถ้าได้ยินเสียงกบ เขียดร้อง ให้รับรู้ว่าฝนได้ตกลงมาแล้ว         3. ถ้าได้ยินเสียงโหวด ให้ฝนหยุดตกเพราะจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าว หลังจากที่ได้สัญญากันแล้ว พญาแถนจึงได้ถูกปล่อยตัวไป และได้ปฏิบัติตามสัญญามาจนบัดนี้ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:17:57

ความคิดเห็นที่ 47 วันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มจัดงาน โดยจะจัดงานกันที่วัด มีเวที มีสินค้ามาขาย มีการละเล่นเหมือนงานวัดทั่วๆ ไป ช่วงบ่ายๆ จึงเริ่มมีการฟ้อนรำ โดยนางรำจะเป็นคนในชุมชนที่รวมกลุ่มกันและฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี แต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดพื้นบ้านโบราณหลากสีสัน ดูงดงามและแปลกตามากๆ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:18:44

ความคิดเห็นที่ 48 เสียงดนตรีพื้นบ้านที่ขับขาน ท่วงท่าการฟ้อนรำที่อ่อนช้อย แม้แสงแดดในวันนี้จะร้อนแรง แต่รอยยิ้มที่แสดงออกมา ผสมผสานกับลีลาการร่ายรำ ประหนึ่งภูมิใจที่ได้สืบสานประเพณี จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:19:20

ความคิดเห็นที่ 49 ปลาส้มน่ากินมากเลย ซื้อมาฝากกันบ้างป่าว จากคุณ : armearn เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:19:20

ความคิดเห็นที่ 50 พี่ตุ่ม หมดไปแล้วครับ มีแต่หัวใจมาฝากคร้าบบบบ ฮิ้วๆ ------------------------------------------------------------------------------------ ผมได้พุดคุยกับลุงผู้ใหญ่บ้าน ลุงผู้ใหญ่บอกว่าทางตำบลได้จัดงานบุญบั้งไฟกันแบบนี้ทุกปี เพื่อสืบสานประเพณี และเชื่อมความสามัคคีไปในตัว จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:20:47

ความคิดเห็นที่ 51 การฟ้อนรำในวันนี้มีทั้งหมด 3 ชุด ชุดแรกจะเป็นระดับผู้สูงอายุซักหน่อย ชุดที่สองจะเป็นระดับวัยรุ่น ส่วนชุดสุดท้ายจะเป็นระดับเด็กๆ โดยจะฟ้อนรำกันที่หน้าปากทางเข้าวัด จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:21:25

ความคิดเห็นที่ 52 ชาวบ้านมาร่วมชมการฟ้อนรำไม่กี่ร้อยคนนัก บ้างก็จูงลูกจูงหลานมาร่วมชม บ้างก็จับกลุ่มดื่มสุรา โดยมีเจ้าหน้าที่ อปพร. คอยดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่โดยรอบบริเวณ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:22:08

ความคิดเห็นที่ 53 ผมซึ่งเป็นคนต่างถิ่น สะพายกล้องถ่ายรูปเข้าไปในงาน ส่วนใหญ่ก็จะได้รับการทักทายเป็นอย่างดี ส่งยิ้มทักทาย วัยรุ่นหน่อยก็หยิบยื่นสุราให้ทานบ้าง ดูทุกคนสนุกสนานกับงานประเพณีเป็นอย่างมาก จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:22:48

ความคิดเห็นที่ 54 นางรำก็ร่ายรำกันไปอย่างอ่อนช้อย มือกลองก็ตีกันไปอย่างเข้มแข็ง ดูสนุกสนาน แต่บางทีก็อดขำไม่ได้กับลีลา และสีหน้าที่ดูเอาจริงเอาจัง จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:23:26

ความคิดเห็นที่ 55 ผมชอบนางรำคนนี้มาก ดูอารมณ์ดีตลอดเวลา ยิ้มแย้มอยู่ตลอด ถึงอากาศจะร้อนเอามากๆ  ก็ตาม จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:24:00

ความคิดเห็นที่ 56 นางรำชุดเหลืองคนนี้ก็ไม่เบา จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:24:32

ความคิดเห็นที่ 57 รอยยิ้มของพวกเธอในวันนี้ จะเป็นแรงผลักดันให้เยาวชน คนรุ่นหลังได้สืบสานประเพณีอันดีงามแบบนี้ตลอดไปนานแสนนาน การแสดงในวันนี้ใช้เวลาทั้งสิ้นราว 2 ชั่วโมง แต่เป็น 2 ชั่วโมงที่ประทับใจผู้มาเยือนอย่างผมเป็นอย่างยิ่ง จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:25:07

ความคิดเห็นที่ 58 เช้าวันรุ่งขึ้น ผมกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อมาร่วมชมการจุดบั้งไฟ ตามกำหนดการจะจุดกันเวลาประมาณ 10 โมงเช้า จุดกันเป็นร้อยๆ ลูก กลางทุ่งนา จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:25:41

ความคิดเห็นที่ 59 แม้วันนี้ฝนฟ้าจะไม่อำนวยนัก แต่งานก็ต้องดำเนินต่อไป สายฝนโปรยปราย กระทบกล้าข้าว เป็นสัญญาณเตือนว่า การจุดบั้งไฟเพื่อขอให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล องค์พญาแถนคงเห็นใจ และชอบใจในความสามัคคีของชาวบ้านเป็นแน่ จึงส่งฝนมาทักทายการจัดงาน จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:26:19

ความคิดเห็นที่ 60 ปาดขวาเข้ามาร่วมร่ายรำกับสาวๆๆๆๆๆ ด้วยค่ะคุณม่วงมหากาฬ อิอิ จากคุณ : เอ เองค่ะ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:26:24

ความคิดเห็นที่ 61 เด็กๆ ดูตื่นเต้นกับงานจุดบั้งไฟในวันนี้มาก พวกเขาเหล่านี้แหละจะเป็นกำลังสำคัญในการสืบสานประเพณีอันดีงามต่อไปในอนาคต จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:26:54

ความคิดเห็นที่ 62 คุณเอ ตามมาเลยครับ สะกิดเรียกคนข้างๆ มาปาดด้วยนะครับ อิอิ ---------------------------------------------------------------------------------- เห็นผู้ใหญ่จุดบั้งไฟกัน เด็กๆ ก็ขอจุดบ้าง เป็นบั้งไฟขนาดจิ๋ว มีพ่อค้าหัวใสนำมาขายในงาน อันละ 5 บาท ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทีเดียว จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:28:07

ความคิดเห็นที่ 63 จะขอกล่าวถึงขั้นตอนการจัดงานบุญบั้งไฟแบบโบราณซักนิดครับ เพื่อเป็นความรู้แก่คนรุ่นหลัง เริ่มจากประชุมชาวบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ พระสงฆ์ ร่วมตกลงเรื่องการจัดงาน และส่งข่าวเชื้อเชิญไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงให้มาร่วมงานบุญ เรียกว่า "เตินป่าว" ในสมัยถัดมาบ้านเมืองเจริญขึ้นก็พัฒนามาเป็นการแจกหนังสือเชิญชวนเรียกว่า "สลากใส่บุญ" เหตุที่ถือว่างานนี้เป็นงานบุญก็เพราะว่า วัดเป็นที่รวมของการจัดกิจกรรมของชุมชน การเตรียมการต่างๆ ตั้งแต่การทำบั้งไฟก็มักจะเริ่มจากพระ ซึ่งถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้นฉบับ ในวาระโอกาสนี้ยังมีการแทรกประเพณีทางพุทธศานาเข้าไปด้วย เช่นการบวช ชาวบ้านจะเรี่ยไรเงินและสิ่งของตามศรัทธาเพื่อร่วมสมทบกันสร้างบั้งไฟ ในสมัยโบราณจะทำเพียงบั้งเดียว บอกบุญให้บ้านเรือน 3-4 หลังมารวมกันต้อนรับแขกจากต่างบ้าน ส่วนใหญ่ก็มักจะกำหนดให้ครอบครัวที่บวชลูกหลานเป็นเจ้าภาพ เพราะต้องจัดงานเลี้ยงญาติพี่น้องอยู่แล้ว ในวัดจะมีการทำบั้งไฟ โดยมีลูกมือคือชาวบ้านที่เป็นผู้ชาย         ชาวบ้านที่ได้รับมอบหมายจะสร้างปะรำ หรือ "ผาม" หรือ "ตูบบุญ” ซึ่งทำด้วยโครงไม้จริง ยกพื้นข้างบนให้พระสงฆ์นั่งฉันภัตตาหาร ส่วนข้างล่างปูด้วยใบไม้ หรือฟางข้าวให้หญิงสาวนั่ง โดยมีหญิงสูงอายุควบคุมดูแลหญิงสาวเหล่านี้ เพื่อป้องกันมิให้ถูกชายในขบวนเซิ้งลวนลามจนเกินเหตุ         การทำบั้งไฟในสมัยก่อนจะใช้ไม้ไผ่ลำขนาดใหญ่ที่สุด ทะลวงปล้องให้ถึงกัน ภายนอกจะใช้ตอกไม้ไผ่ถักเป็นเชือกมัดรอบลำไผ่ให้แน่นเพื่อไม่ให้ลำไผ่แตก ส่วนหัวปล้องสุดท้ายจะถูกอุดด้วยแผ่นไม้หนาพอควร แล้วทำการอัดบรรจุดินปืนให้แน่นด้วยการตำ ยุคสมัยเปลี่ยนไปจากลำไผ่กลายมาเป็นท่อเหล็กหรือท่อประปา ตอนหลังหันมาใช้ท่อพีวีซีแทนซึ่งก็ยังเป็นอันตรายอยู่ดี จากการบูชาพญาแถนมาเป็นการพนันขันต่อเพื่อการเดิมพัน จำนวนบั้งไฟที่จุดในแต่ละที่จึงมีจำนวนมาก และสร้างความเสียหายต่อชุมชนในทิศที่บั้งไฟถูกจุดออกไป           ในวันสุกดิบ ชาวบ้านจะจัดขบวนแห่บั้งไฟไปยังศาลปู่ตาของหมู่บ้าน พร้อมนำเอาเหล้าไปด้วยจำนวนมาก ส่วนหนึ่งใช้เซ่นสรวง มีการจุดบั้งไฟขนาดเล็กเรียก "บั้งเสี่ยง" เพื่อเสี่ยงทายดูถึงความอุดมสมบูรณ์ และความสำเร็จในการทำนาปีนั้น จากนั้นก็ดื่มเหล้าฟ้อนรำรอบศาลปู่ตาเป็นที่สนุกสนาน             การแห่บั้งไฟ ผู้ร่วมขบวนนั้นดูเหมือนจะตั้งใจละเมิดกฎเกณฑ์ปกติ เช่น ชายแต่งกายเป็นหญิง หรือเอาโคลนพอกหน้า ขบวนเซิ้งจะแห่ไปตามหมู่บ้านเพื่อขอสาโทมากิน การเซิ้งจะมีคนจ่ายกาพย์ และคนตีกลองให้จังหวะเซิ้งอยู่กลางขบวนฟ้อน เพื่อให้ผู้ฟ้อนเซิ้งได้ยินเสียงจังหวะ และคำกลอนลำกาพย์เซิ้งได้ชัดเจน         การละเมิดกฎเกณฑ์ และธรรมเนียมปฏิบัติกันทั่วไปมีคำอธิบายได้ว่า เป็นการปลดปล่อยคนให้หลุดจากกฎเกณฑ์ชั่วคราว ในอีสานสมัยก่อนผู้ชายเมื่อแต่งงานต้องเข้าไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิง ผู้ชายจึงอยู่ในฐานะที่โดดเดี่ยวต้องอยู่ในความควบคุมของญาติฝ่ายหญิง และต้องฝากอนาคตของตนไว้กับความเมตตาของครอบครัวฝ่ายหญิงด้วย เพราะจะสามารถสร้างหลักให้แก่ครอบครัวได้ก็ด้วยการอุปถัมภ์ของพ่อตา เขยจะถูกจัดให้เป็นผู้ด้อยกว่าในทางพิธีกรรม ดังนั้นการที่แสดงออกในทางพิธีกรรมในบุญบั้งไฟจึงเป็นการปลดปล่อยจากกฎเกณฑ์ของสังคม เพราะเรื่องเพศ การกล่าวถึงหรือแสดงอวัยวะเพศ เป็นความหยาบโลนที่สังคมปกติไม่ยอมรับ         ตอนบ่าย จะมีการตีกลองโฮม เพื่อให้ขบวนแห่ทุกขบวนไปรวมกันที่วัด ซึ่งจะหมายถึงการไปร่วมในพิธีบวชของบุตรหลาน ถ้ามีการบวชก็จะมีการแห่นาคด้วยม้า มีการจุดตะไลตามหลังม้าไปตลอดทาง         กลางคืนจะมีแข่งตีกลองกัน โดยแต่ละหมู่บ้านจะนำกลองกิ่งของวัดในหมู่บ้านตนมาตีแข่ง ถือกันว่าถ้าหากแพ้ในการตีกลอง ก็จะไม่ใช้กลองนั้นอีกเลย จะต้องไปเสาะแสวงหากลองมาตีใหม่ในปีหน้า การตีกลองจะมีกันไปจนถึงเที่ยงคืน         รุ่งเช้าจะมีการทำบุญถวายจังหันพระ พอตกบ่ายก็มีการแห่บั้งไฟไปยังค้างที่เตรียมไว้ อาจใช้ต้นไม้ใหญ่เป็นค้างก็ได้ การแข่งขันระหว่างหมู่บ้าน บ้านใดจะสามารถยิงบั้งไฟไปได้สูงกว่ากัน เป็นการแสดงความสามารถของช่างบั้งไฟบ้านนั้น หากบั้งไฟบ้านใดไม่ขึ้น หรือแตกระหว่างการจุด ช่างก็จะถูกจับโยนลงตม คือโยนลงไปในโคลนเป็นที่สนุกสนานทั้งผู้โยน และถูกโยน                 สิ่งที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวในอดีต ปัจจุบันงานประเพณียังคงอยู่แต่ความเชื่อ และวัฒนธรรมของงานบุญหายไป กลายไปเป็นการประกวดประชันกัน การวางเดิมพันเงินแสนเงินหมื่น ไม่มีการพูดถึงดอนปู่ตา หรือผีบรรพบุรุษอีกแล้ว น่าเสียดายที่ความงามในอดีตเริ่มจะเลือนหายไปจากอีสาน กลายเป็นตำนานให้กล่าวถึงเพียงเท่านั้น จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:29:32

ความคิดเห็นที่ 64 กลุ่มแม่บ้านก็รวมตัวกันส่งบั้งไฟมาประกวดในวันนี้เช่นกัน จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:30:07

ความคิดเห็นที่ 65 บั้งไฟลูกแรกถูกจุดขึ้นสู่ท้องฟ้า จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:30:39

ความคิดเห็นที่ 66 บั้งไฟลูกต่อๆ มา ถูกจุดขึ้นเป็นระยะๆ มีการประกวดกันว่าบั้งไฟลูกไหนอยู่บนท้องฟ้าได้นานที่สุด โดยจะจับเวลาเป็นเศษวินาที มีเงินรางวัลให้แก่เจ้าของบั้งไฟนั้นๆ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:31:16

ความคิดเห็นที่ 67 ไปเที่ยวด้วยคนนะคะ :) จากคุณ : pangiko เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:31:51

ความคิดเห็นที่ 68 แม้จะเป็นงานบุญบั้งไฟเล็กๆ ประจำหมู่บ้าน แต่ทุกคนก็ตั้งใจสืบสานประเพณีอันดีงามนี้ให้อยู่คู่เมืองยโสธรตราบนานเท่านาน จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:31:59

ความคิดเห็นที่ 69 คุณpangiko ตามมาเลยครับ ------------------------------------------------------------------------------------- บริเวณด้านข้างก็จะมีเหล่าบรรดาเซียนพนัน มาพนันขันต่อกันว่าบั้งไฟลูกนั้นๆ จะอยู่ได้สูง หรือต่ำกว่ากี่วินาทีที่ตกลงกัน จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:33:10

ความคิดเห็นที่ 70 บั้งไฟลูกแล้วลูกเล่าถูกจุดขึ้นสู่ท้องฟ้า บางลูกใช้เวลาประมาณ 200 กว่าวินาทีก็ตกในเวลาอันรวดเร็ว หากแต่ที่ยังคงอยู่อย่างยาวนานก็คือ ประเพณีอันดีงาม ความสามัคคีในชุมชน จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:33:54

ความคิดเห็นที่ 71 ตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาสู่จังหวัดยโสธร ได้เห็นวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีต่างๆ รู้สึกได้ถึงความผูกพันของผู้คนในท้องถิ่นที่มีต่อกิจกรรมต่างๆ รู้สึกได้ถึงวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย ความรักสามัคคีกลมเกรียวกัน สิ่งที่งดงามเหล่านี้ ถ้าหากไม่รักษาไว้ บางทีอาจจะเลือนหายไปในอนาคตข้างหน้า แต่กับยโสธรในวันนี้ วันที่โลกเปลี่ยนแปลงไป ชาวยโสธรก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ได้อย่างมั่นคงและงดงาม จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:34:56

ความคิดเห็นที่ 72 บันทึกการเดินทางชุดนี้ต้องขอขอบคุณพี่น้องชาวยโสธร ขอบคุณวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามที่แสดงออกโดยความเป็นธรรมชาติ โดยการปลูกฝังมาช้านาน ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม แล้วมีเวลาอย่าพลาดไปเยี่ยมเยือนยโสธรเมืองแห่งวัฒนธรรมนะครับ แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า สวัสดีครับ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:35:28

ความคิดเห็นที่ 73 ตามมาชมบั้งไฟด้วยครับน้าม่วง จากคุณ : Nat_NM เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:44:34

ความคิดเห็นที่ 74 ตามคุณเอกไปเที่ยวยโสธรด้วยคนค่ะ จากคุณ : ข้าวปุ้นจอมยุ่ง เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 07:48:17

ความคิดเห็นที่ 75 เอากิฟแรกของเดือนมาแปะครับ รีวิวคุณภาพเหมือนเดิมนะลุงเอก อ่านเพลินเลย จากคุณ : BANBONDOI เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:05:45

ความคิดเห็นที่ 76 จากที่ไม่เคยรู้เรื่องรวของจังหวัดนี้ ก็ได้มารู้ที่กระทู้นี้แหละ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : HANEUN เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:07:20

ความคิดเห็นที่ 77 ตามไปเที่ยวด้วยคน :) จากคุณ : sasatorn เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:12:13

ความคิดเห็นที่ 78 ตามพี่ม่วงไปกินปลาส้ม ดูบั้งไฟด้วยค่ะ จากคุณ : ย้ำคิดย้ำฝัน เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:12:43

ความคิดเห็นที่ 79 พอพูดถึงยโสธร ผมแทบไม่รู้จักจังหวัดนี้เลย แต่เคยได้ยินแต่บุญบั้งไฟ ที่แท้อยู่ในจังหวัดนี้นี่เอง รีวิวนี้ทำให้ได้รู้จักจังหวัดนี้มากขึ้น สถานที่สำคัญ ๆ ของจังหวัด  ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่เรียบง่าย แต่ที่ชอบคือเพิ่งรู้ว่าบุญบั้งไฟที่ยิงขึ้นฟ้าอยู่บนฟ้าได้เป็นนาที ๆ เลย  นานนะนั้น ขอบคุณสำหรับรีวิวชุดนี้นะครับ  ได้บรรยาากาศของวิถีไทยไปอีกแบบ รอชมรีวิวถัดไปนะครับ จากคุณ : ชานมชงเอง เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:13:31

ความคิดเห็นที่ 80 ครั้งแรกที่เคยเห็นรีวิวจังหวัดยโสธรในห้องบลูเลยค่ะ.... น่าไปเที่ยวจัง.. จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:15:20

ความคิดเห็นที่ 81 ชอบวัดขวด กะ โบสถ์ไม้อ่ะ เท่ห์จังเลยลุง แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 55 08:49:54 จากคุณ : ประธานชมรมคนมีแฟนน่ารัก เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:15:53

ความคิดเห็นที่ 82 มาจองที่ไว้ก่อนนะคะ จากคุณ : koongky เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:20:23

ความคิดเห็นที่ 83 หายไปนานคิดฮอด รีวิว แนวนี้ของน้ามากเลย จากคุณ : hollaneung เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:21:00

ความคิดเห็นที่ 84 ชอบจังค่ะ เที่ยวแบบนี้ได้หลายบรรยากาศและหลายมุมมอง ภาพสวยมากค่ะ ขอบคุณที่นำมาฝากนะคะ จากคุณ : ลำตะคอง เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:22:04

ความคิดเห็นที่ 85 ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:23:51

ความคิดเห็นที่ 86 ตามไปเที่ยวด้วยคนครับ ยโสธร เคยแต่ผ่านยังไม่เคยแวะเที่ยวเลย ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ จากคุณ : ยุง บิน ชุม เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:24:44

ความคิดเห็นที่ 87 ทริปเดียวแต่เก็บแทบหมดจังหวัด ขอบคุณครับสำหรับรีวิว   จากคุณ : Low Batt เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:24:53

ความคิดเห็นที่ 88 เซิ้งเชิ้บๆกับเพลงในความคิดเห็นที่ 1   อ่านไปเซิ้งไป ฟังเพลงประกอบรีวิวไป ม่วนหลาย จากคุณ : ขอบคุณเด้อ คุณเอก (ชมจันทร์) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:29:48

ความคิดเห็นที่ 89 อยากกินลอดช่องใบเตยจังค่ะ  น้าม่วงซื้อมาฝากเค้าบ้างป่าว เพิ่งเคยเห็นจากรีวิวนี้แหล่ะค่ะว่าบุญบั้งไฟเค้าจุดยังไง หน้าตาเป็นยังไง กัวมันตกใส่หัวจัง ปล.วัดลาดเก่าสีเขียวๆ สวยมากๆ ค่ะ ยิ่งใช้ขวด(ไฮเนเก้น)มาสร้างด้วยแล้ว ถือว่าเป็นงานที่มีฝีมือที่ละเอียดและงดงามมากมายจริงๆ จากคุณ : Angletaire เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:29:54

ความคิดเห็นที่ 90 ขอบคุณที่พาไปเที่ยวนะค่ะ น่าสนุก ทั้งได้เห็นรอยยิ้มของทุกคน คงจะมีความสุขกับประเพณีที่ต้องการ สืบสานต่อไปให้ลูกหลาน จากคุณ : ทวิตตี้สีฟ้า เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:38:05