ความคิดเห็นที่ 1 จากความเดิมที่ตั้งกระทู้ไปเมื่อวันศุกร์ เล่าเรื่องเกือบไม่มีที่ซุกหัวนอนใน Venice จากการจองผ่าน booking.com + [CR] แนะนำบ้านพัก Venice Home ของพี่เป้า http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12242678/E12242678.html ไอซ์ก็ขอกระโดดข้ามเวนิสมาที่มอลต้าก่อนเลยละกันค่ะ เพราะเวนิสมีคนรีวิวเยอะแล้ว แต่มอลต้ายังไม่ค่อยเห็น ^^ ทริปของไอซ์เป็นบินจากไทย - เวนิส ด้วยสายการบินเอมิเรตส์ บินจากเวนิส - มอลต้า ด้วยสารการบิน Ryan Air แล้วบินจากมอลต้า - ไทย ด้วยสายการบินเอมิเรตส์อีกทีค่ะ ประเทศมอลต้าใช้วีซ่าเชงเก้นนะคะ ^^ ... บางคนยังไม่รู้เลยว่าประเทศมอลต้า (Malta) นี่มันอยู่ตรงไหน มอลต้าอยู่ในทวีปยุโรปทางทิศใต้ของประเทศอิตาลีค่ะ ดูในแผนที่แล้วรบกวนช่วยเพ่งนิดนึงนะคะ ที่วงกลมสีแดงไว้เล็กๆ นั่นล่ะค่ะ มอลต้า >_< จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 20:53:25

ความคิดเห็นที่ 2 มอลต้าเป็นประเทศที่ประกอบด้วยเกาะหลักๆ 3 เกาะก็คือ มอลต้า (Malta) โกโซ (Gozo) และ โคมิโน่ (Comino) ค่ะ เมืองหลวงคือ Valletta ตั้งอยู่บนเกาะมอลต้านะคะ ถามว่ามอลต้าเล็กขนาดไหน เอาเป็นว่าถ้าขับรถจากเหนือลงใต้ของเกาะมอลต้า ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงค่ะ   มาพูดถึงงบก่อน เพราะจั่วกระทู้ไว้ว่าใช้งบไม่ถึง 15,000 บาทก็เที่ยวมอลต้าได้หนึ่งสัปดาห์นี่ มีงบอะไรบ้าง ออกตัวก่อนนะคะว่า ไอซ์ใช้เยอะกว่านี้เยอะมาก เพราะไม่ได้คิดจะประหยัด แหะๆ แต่ถ้าเอาเฉพาะที่เป็นค่าใช้จ่ายหลักล่ะก็ ไม่ถึงแน่ๆ ค่ะ เพื่อความสะดวกขอใช้ 1 ยูโร = 40 บาทละกันค่ะ เริ่มต้นจากที่พักนะคะ ไอซ์พักที่ Hotel British ซึ่งเป็นโรงแรมสองดาวที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งในมอลต้า ไอซ์เลือกพักห้องเดี่ยวแบบมีห้องน้ำในตัว ตกราคาคืนละประมาณ 45 ยูโรค่ะ แต่...ช้าก่อน...ถ้าคุณอยู่แบบแชร์ห้องน้ำได้ ไอซ์ขอแนะนำที่พักที่เป็น Guest House ค่ะ ราคาต่อคนต่อคืนคือ 20 ยูโร หรือ 800 บาทเท่านั้น >_< - Asti Guest House http://mol.net.mt/asti/ ที่นี่ดังมากนะคะ ใน Tripadvisor จัดไป 4 ดาว แต่การจองจะต้องโทรศัพท์ไปจองค่ะ ไอซ์ลองโทร.ไปจองแล้ว ปรากฎว่าวันที่ไอซ์จะไปพักไม่มีห้องว่างเลย ถ้าใครคิดจะไปมอลต้า ลองโทรศัพท์ไปจองเนิ่นๆ นะคะ - Bonheur Guest House http://www.bonheurmalta.com/ ที่นี่ไอซ์ติดต่อไปทางอีเมล์ คุณ Rosa ตอบกลับมาดีมากๆ นะคะ จะต้องโอนเงินไปมัดจำผ่าน Western Union หรือ MoneyGram ก่อนนะคะ ไอซ์เกือบจะไปพักที่นี่แล้วล่ะค่ะ แต่บังเอิญว่าไม่มีเวลาไปจัดการเรื่องโอนเงิน ห้องที่ Hotel British ไอซ์ก็จองไปแล้ว ถ้า cancel ต้องเสียเงิน แล้วคิดไปคิดมา อยากได้ห้องน้ำส่วนตัวอะ ก็เลยไม่ได้จองไป สรุปค่าที่พัก ถ้าพัก Guest House ล่ะก็ 7 คืนตกคนละ 140 ยูโร หรือ 5600 บาทเท่านั้นเอง ^^ รูปข้างล่างนี้คือวิวห้องอาหารของ Hotel British ค่ะ ที่นี่ดังเรื่องวิวนี้แหละ ดูกันจนเบื่อ เช้า - ค่ำ ((ร้านอาหารอยู่ชั้นสอง ส่วนบาร์อยู่ชั้น 3 ^^ ห้องพักเบสิกมากๆ เหมือนหอพักค่ะ ไม่มีแอร์นะคะมีแต่พัดลม เตียงนอนไม่สบายเท่าไหร่ ผนังบางมาก สรุปว่าห้องพักไม่โอเค แต่มีห้องน้ำส่วนตัว ถือว่าทดแทนกันไป ยังไงก็ใช้นอนอย่างเดียว เที่ยวทุกวัน ^^" จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 20:56:10

ความคิดเห็นที่ 3 มาต่อกันที่ค่าเดินทาง การเดินทางในมอลต้า ถ้าไปหลายคนเช่ารถก็สะดวกดีค่ะ แต่หนทางไม่ค่อยดีนะคะ ดูยากนิดนึง ส่วนถ้าไม่ต้องการขับรถ ก็รถเมล์เลยค่ะ หรรษา ราคาถูกสุดๆ ตั๋วรถบัสในมอลต้า ... ตั๋ว 2 ชั่วโมง ราคา 2.20 ยูโร // ตั๋ว 1 วัน 2.60 ยูโร // ตั๋วแบบ 7 วัน 12 ยูโร ไอซ์ซื้อตั๋วแบบ 7 วัน 12 ยูโร ... คือจะบอกว่า ตั๋วมันเหมือนใบเสร็จเวลาไปซื้อของเลยค่ะ ที่พิมพ์หมึกบนกระดาษ Thermal อะค่ะ บางๆ เล็กๆ เก็บให้ดีๆ นะคะ ถ้าจะนั่งเรือไป Gozo ตั๋วไป-กลับเฟอร์รี่ 4.65 ยูโร ตั๋วรถบัส 1 วันใน Gozo 2.60 ยูโร ถ้าจะนั่งเรือไป Comino ค่าเรือไปกลับ 10 ยูโร สรุปค่าเดินทางทั้งหมด 7 วัน ((ถ้าไม่บ๊องไปนั่งแท็กซี่ หรือนั่งเรืออื่นๆ แบบไอซ์ เหอๆ)) รวมแล้วก็ 12 + 4.65 + 2.60 + 10 = 29.25 ยูโร ตีซะ 1200 บาทละกัน ^^ รูปข้างล่างคือท่ารถบัสของเมือง Valletta รถบัสทุกสายจะออกจากที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางค่ะ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 20:57:22

ความคิดเห็นที่ 4 มาเที่ยวกับคุณไอซ์แบบทันใจด้วยนะคะ จากคุณ : Yai Klong_Tour Rai เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 20:57:43

ความคิดเห็นที่ 5 แปะภาพแผนที่ประเทศมอลต้าโดยรวมสักนิดเพื่อให้เห็นภาพค่ะ ตั๋วรถบัสในมอลต้าก็จะใช้ได้ในเกาะใหญ่ ซึ่งก็คือเกาะมอลต้าทั้งเกาะค่ะ ถ้าจะข้ามไปโกโซ่ หรือ โคมิโน่ ก็ต้องนั่งรถบัสไปทางเหนือของเกาะ เพื่อไปต่อเรือนะคะ ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:00:40

ความคิดเห็นที่ 6 กรี๊ดดดด คุณบงมาเป็นลูกทัวร์คนแรกแล้วววว >_< ... ต่อมาก็ค่าอาหารเนอะ ^^ อาหารการกินในมอลต้าไม่แพงมากค่ะ โดยเฉพาะถ้าเทียบกับที่ไอซ์บินมาจากเวนิสที่แพงกระฉูด อาหารมื้อใหญ่อลังการมีไวน์ด้วย ราคาเฉลี่ยประมาณ 20 ยูโรเท่านั้นค่ะ ถ้าทานพิซซ่า ขนมปัง หรืออะไรง่ายๆ ยิ่งถูกเข้าไปใหญ่เลยแหละ ไม่ถึง 5 ยูโรต่อมื้อหาได้ทั่วไปค่ะ ดังนั้นไอซ์ตีว่า ถ้าทานอาหารเช้าที่โรงแรม แล้วทานอาหารกลางวันกับเย็นข้างนอก เอาแบบกินเพื่ออยู่ไม่ใช่อยู่เพื่อกินแบบไอซ์นะคะ วันละ 20 ยูโรนี่เหลือๆ เลยค่ะ 7 * 20 = 140 ยูโร = 5,600 บาท ออกตัวก่อนว่า ไอซ์ใช้เยอะกว่านั้น เพราะไอซ์รับประทานหรรษามากๆ ไวน์ที่มอลต้าราคาถูกและรสชาติดีค่ะ ขนาดในร้านอาหารยังราคาเฉลี่ยอยู่ที่ขวดละ 10 ยูโรเท่านั้น เมามายทุกวัน แอ๊ >_< รูปข้างล่างนี้ ไอซ์จ่ายแค่ 20 ยูโรเท่านั้น พุงนี่กางแล้วกางอีก ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:03:27

ความคิดเห็นที่ 7 แล้วพูดถึงค่าเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ บ้างล่ะ ประเทศมอลต้าเป็นประเทศที่มีสถานที่ซึ่งขึ้นชื่อเป็นมรดกโลกเยอะมากกกกกค่ะ ถ้าคิดว่าจะเข้าชมสถานที่เหล่านี้ + พิพิธภัณฑ์ต่างๆ มากกว่า 6 แห่ง ไอซ์แนะนำให้ซื้อ Heritage Malta Pass ค่ะ ราคา 30 ยูโร เข้าสถานที่มรดกโลกได้เกือบทุกแห่ง ยกเว้น Hypogeum ((ต้องจองล่วงหน้า ราคา 20-25 ยูโร ไอซ์ไม่ได้เข้าไปดูนะคะ จองไม่ทัน)), Skorba และ Hagrat แต่เชื่อไอซ์เถอะว่า บัตรนี้เช้าชมได้ 20 แห่ง แค่นี้ก็ชมจนเบลอแล้ว ไอซ์เข้าไม่ครบด้วยอะ บัตรนี้มีอายุ 6 เดือนนะคะ แต่ว่าเข้าได้แห่งละครั้งเท่านั้น ตกราคาตรงนี้ 30 * 40 = 1200 บาท แต่ก็จะมีสถานที่ต่างๆ ที่น่าสนใจ เป็นไฮไลท์ แต่ไม่รวมในตั๋วนี้อีกบ้างนะคะ ยกตัวอย่างเช่น St John's Co-Cathedral ในวาเล็ตต้า ค่าเข้า 6 ยูโร อย่างนี้ก็จ่ายเพิ่มไปเหอะค่ะ มันสวยมาก >_< แล้วก็ยังมีโชว์ต่างๆ ที่น่าสนใจสำหรับคนชอบประวัติศาสตร์ อย่างเช่น The Malta Experience ...ซึ่งบอกเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมอลต้า ((จำราคาไม่ได้แล้วอ่า สิบกว่ายูโรนิดๆ ล่ะมั้ง พอดีว่าหางตั๋วเอาไปแลกไวน์ฟรีได้น่ะค่ะ เลยใช้ไปแล้ว 555)), The Mdina Experiance ((คล้ายๆ กับอันแรก แต่จะเจาะจงที่ Mdina)) และ The Knight of Malta ... สองโชว์หลังซื้อรวมกันราคา 10.25 ยูโร ค่ะ เอาเป็นว่า ค่าใช้จ่ายตรงนี้ขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละคนนะคะ ^^ ภาพข้างล่างนี้คือ Sleeping Lady เป็นรูปปั้นดินเผาที่เก่าแก่และสมบูรณ์มากๆ ถ่ายจาก National Museum of Archaeology ค่ะ เข้าได้ตาม Pass ที่บอก ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:04:50

ความคิดเห็นที่ 8 สรุปงบต่ำสุดสำหรับเที่ยวมอลต้าหนึ่งสัปดาห์แบบสบายๆ เที่ยวได้ครบๆ ค่าที่พัก 5600 บาท ค่าเดินทาง 1200 บาท ค่าอาหาร 5600 บาท รวมกันแล้วประมาณ 12400 บาท ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ แล้วแต่ความชอบนะคะ เอาเป็นว่างบ 15,000 บาทนี่...หลวมๆ เลยค่ะ อยากไปเที่ยวมอลต้ากันหรือยังคะ ^^ รูปข้างล่างนี้คือที่ Blue Lagoon เกาะโคมิโน่ค่ะ ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:05:41

ความคิดเห็นที่ 9 ก่อนจะตอบว่า "อยาก" คิดว่าหลายคนคงจะมีคำถามว่า แล้วประเทศมอลต้านี่มีอะไรให้เที่ยวบ้างล่ะเนี่ย 555 ส่วนตัวที่ไอซ์อยากไปเที่ยวประเทศมอลต้า เป็นเพราะไอซ์ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ Knights Hospitaller หรือ Order of St.John แล้วก็รู้สึกว่า ช่างเป็นเหล่าอัศวินที่เท่เหลือเกินอ่า >///< ทำให้อยากไปเห็นสถานที่จริงค่ะ ^^ มอลต้าเป็นประเทศเล็กๆ ที่ถูกมหาอำนาจผลัดกันยึดครอง เปลี่ยนมือกันจนสุดท้ายแทบไม่มีของมีค่าอะไรเหลือ ว่ากันจริงๆ แล้ว ถ้าคนไม่ได้ชอบประวัติศาสตร์ คนที่ชอบความหรูหลาอลังการ ชอบสถานที่ช้อปปิ้ง ชอบความ "กุ๊กกิ๊ก +  โรแมนติก" ของประเทศยุโรปอื่นๆ อาจจะรู้สึกว่า มอลต้าไม่มีอะไรให้ดูก็ได้นะคะ แต่ถ้าชอบประวัติศาสตร์ ชอบความขลังล่ะก็ มอลต้าเป็นประเทศที่มีเสน่ห์มากเลยทีเดียว ^^ ดังนั้นไอซ์จึงจะขอรีวิวประเทศมอลต้าตามลำดับขั้นตอนของประวัติศาสตร์ก่อน แล้วค่อยสรุปแผนการเดินทางตอนท้ายนะคะ มาดูกัน ^^ ... ประเทศมอลต้าเนี่ยนะคะ ถึงจะเล็กแต่ก็มีการไปตั้งหลักแหล่งกันตั้งแต่เจ็ดพันกว่าปีก่อนแล้วนะคะ มีหลักฐานการค้นพบชามไหที่  Skorba ว่ามีอายุอยู่ในยุคหิน 5200 BC โน่นแน่ะ แล้วก็มีการค้นพบหลักฐานที่อยู่ในถ้ำต่างๆ ด้วยค่ะ ^^ หลังจากนั้นก็เป็นช่วง Temple period ประมาณ 2500 BC ซึ่งหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นวัดต่างๆ ซึ่งสร้างจากหินก้อนใหญ่ มีอายุมากกว่า Stonehenge เสียอีก โบราณสถานเหล่านี้มีกระจัดกระจายทั่วตอนกลางและตอนใต้ของมอลต้านะคะ ล้วนแล้วแต่เป็นมรดกโลกหลายแห่งเลย ภาพจาก Hagar Qim Temple ... ส่วนตัวจากที่เคยไป Stonehenge มาแล้ว วัดที่มอลต้ามีขนาดเล็กกว่าค่ะ ไม่อลังกาเท่า แต่มีรายละเอียดเยอะกว่า นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เป็นการสร้างที่เกี่ยวข้องกับปฏิทินและตำแหน่งดวงดาว จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:06:29

ความคิดเห็นที่ 10 ตามป้าบงมาติดๆคับ มาเที่ยวด้วยคนนะครับคุณไอซ์ มี 15,000 เที่ยวมอลต้าได้จริงหรอเนี่ยะ อยากไปบ้างแล้วจิ จากคุณ : Coffee Blended เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:06:58

ความคิดเห็นที่ 11 ตามมาเที่ยวด้วยค่ะ ใช้จ่ายน้อยจริงๆ ค่ะ ^^ ไม่คิดว่าจะทำได้ในยุโรป จากคุณ : Bpearl เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:07:11

ความคิดเห็นที่ 12 หลังจากนั้นประมาณ 700 BC ชาวกรีกและ Phoenicians ก็พายเรือมาพบเกาะแห่งนี้ และคิดว่ามันสวยงามเหมือนสรวงสวรรค์ จึงตั้งชื่อเกาะนี้ว่า Maleth ที่แปลว่าสวรรค์นั่นเอง เรือที่พวกนี้พายเข้ามานั้น เป็นเรือพายค่ะ และก็เป็นต้นแบบของเรือ Luzzu ซึ่งเป็นเรือพื้นเมืองของชาวมอลทีสในปัจจุบัน ลูกตาที่แปะอยู่นั้นคือ Eye of Horus หรือ Osiris ตามความเชื่อของชาวกรีก ^^ ชาว Phoenicians นี่ล่ะค่ะ ที่นำทักษะการเป่าแก้วเข้ามาในมอลต้า เครื่องแก้วของมอลต้าคุณภาพดี ราคาไม่แพงค่ะ ไอซ์เพิ่งบินมาจากเวนิส แล้วพบว่า ของพื้นเมืองของมอลต้า ก็จะเป็นพวกแก้วเป่าและลูกไม้...สองอย่างนี้เหมือนที่เวนิสเลย แต่ราคาถูกกว่า และอีกอย่างก็คือ พวกเครื่อง Brass อะค่ะ อย่างที่จับประตูและสิ่งต่างๆ ที่ทำจากโลหะ สวยทีเดียว... ทั้งหมดนี้ไอซ์ไม่ได้ซื้อนะคะ ออกตัวล่วงหน้าไว้ก่อนเลยว่า ไอซ์ไม่ชอบช้อปปิ้งค่ะ ดังนั้นพวกข้อมูลเรื่องซื้อๆ ช้อปๆ นี่ จะมีน้อยนะคะ รูปเรือ Luzzu ถ่ายจากเมือง Marsaxlokk ค่ะ ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:07:28

ความคิดเห็นที่ 13 คุณกาแฟ - ทำได้จริงๆ จ้า ถ้าไม่กินล้างกินผลาญแบบไอซ์นะ เพราะไอซ์ใช้เกินอะ เกินค่ากิน + ค่าไวน์ 555 คุณเปิ้ล - ได้แน่นอนค่า ตามค่าใช้จ่ายทีสรุปด้านบนเลย ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าเข้าชม ไม่แพงค่ะ ^^ ... หลังจากช่วง First Punic War (264 - 241 BC) กรีกจบก็ตามต่อด้วยโรมันค่ะ ชื่อของเกาะเพี้ยนไปเป็น  Melita หลักฐานของช่วงที่โรมันเข้าครอบครองมอลต้านี้ ก็เช่น Catacombs หรือสถานที่ฝังศพใต้ดินของโรมันนั่นเอง ที่มีชื่อเสียงก็คือเหล่า Catacombs ใน Rabat ใกล้กับ Mdina คือ St. Paul Catacombs และ St. Agatha's Catacombs ค่ะ แห่งแรกเป็นมรดกโลกนะคะ แห่งที่สองสวยกว่าเพราะยังมี fresco เหลืออยู่ แต่ไอซ์เจอประสบการณ์น่าขยะแขยงกับคนมอลต้าที่  St. Agatha's Catacombs ค่ะ แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง T^T ภาพ St. Paul Catacombs เมือง Rabat ค่ะ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:08:48

ความคิดเห็นที่ 14 หลักฐานอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นบ้านของชาวโรมันที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือ Domus Romana ในเมือง Rabat ภายในมีพวกโมเสกให้ชมค่ะ สวยเชียว ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:09:51

ความคิดเห็นที่ 15 ช่วงนี้นี่เองค่ะ ที่มีตำนานเกี่ยวกับเรือล่มของ St.Paul ตามตำนานเล่าว่า ช่วง 60 AD พอลกำลังถูกนำตัวไปโรม เพื่อขึ้นศาลเกี่ยวกับคดีด้านการเมือง แต่เรือพาพอลและคนในเรืออีก 274 คนไปเจอกับพายุ เรือล่ม และคนทั้งหมดก็ขึ้นบกอย่างปลอดภัยที่มอลต้า ระหว่างที่กำลังผิงไฟกันอยู่นั้น พอลถูกงูพิษกัด แต่เขาก็แค่สะบัดมันลงในกองไฟ โดยที่ไม่เป็นอันตรายอะไรเลย ผู้คนก็เลยคิดว่าพอลเป็นเทวดา กลายเป็นเซนต์พอลไปซะงั้น ตามประเพณีแล้วเหล่า Apostle หรือพวกที่เผยแพร่ศาสนาจะพำนักในถ้ำค่ะ ถ้ำนี่ก็คือ St Paul's Grotto นั่นเอง ว่ากันว่าเซนต์พอลอาศัยอยู่ที่มอลต้าเป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของรากฐานศาสนาคริสต์ในประเทศมอลต้าค่ะ ^^ ภาพจาก St Paul's Grotto เมือง Rabat เค้าทำเชิงเทียนเป็นรูปเรืออะ บรรยากาศมากๆ ค่ะ 555 แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 55 21:11:37 จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:10:45

ความคิดเห็นที่ 16 จากยุคโรมันก็เป็นยุคที่ชาวอาหรับเข้ามาครอบครองตอนประมาณ 870 AD ค่ะ ช่วงนี้ดูจะเป็นช่วงที่มอลต้าอยู่กันอย่างแฮปปี้ดี เพราะชาวอาหรับเองก็ไม่ได้บังคับให้ชาวคริสเตียนเปลี่ยนศาสนา ชาวอาหรับพัฒนาระบบชลประทาน ((ประเทศมอลต้ามีปัญหาเรื่องน้ำมากๆ เพราะล้อมรอบไปด้วยทะเล และฝนตกน้อย)) ภาษาอาหรับนี่ล่ะค่ะที่เป็นพื้นฐานของภาษามอลทีสร่วมกับภาษาอิตาลีทางใต้ค่ะ ถ้าฟังภาษามอลทีสผ่านๆ ล่ะก็ จะเหมือนภาษาอารบิคมากๆ นะคะ อย่างคำว่า Hello = Merhba // Yes = Iva นี่มันภาษาอารบิคชัดๆ หรือคำว่า How much? = Kemm? ก็คล้ายกับภาษาอารบิค คือ บิแคม ((ถ้าจำไม่ผิดนะคะ ไอซ์ก็เลือนๆ ภาษาอารบิคไปบ้างแล้ว)) // No = Le ซึ่งภาษาอารบิคจะใช้คำว่า "ล่ะ" เป็นต้นค่ะ แต่คำว่าขอบคุณจะเป็น Grazzi แบบอิตาเลียน ช่วงที่อาหรับครองมอลต้านี่ล่ะค่ะ ก็มีการปรับปรุงเมือง Mdina ((อ่านว่า เอ็ม-ดีน่า นะคะ)) ให้มีความแคบและคดเคี้ยว ประมาณว่า จะไม่สามารถมองเห็นได้ไกลว่าระยะที่ลูกศรจะเล็งถึง ทำให้เมือง Mdina นี่แคบมากๆ เป็นเอกลักษณ์เลยค่ะ ^^ ภาพถนนหนทางใน Mdina จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:12:34

ความคิดเห็นที่ 17 หลังจากอาหรับแล้วก็เป็นพวก Normans ในช่วง 1091 AD ค่ะ Roger I of Sicily เป็นผู้นำในการขับไล่พวกอาหรับออกจากอิตาลีทางตอนใต้ แล้วก็ลากมาถึงมอลต้าด้วยค่ะ ซึ่งชาวท้องถิ่นที่เป็นคริสเตียนก็ยินดี ว่ากันว่าก่อนออกจากมอลต้า Roger I of Sicily ฉีกธงของตัวเองส่วนหนึ่งมอบใช้ชาวมอลต้าเป็นเครื่องหมายว่า มอลต้าอยู่ในความปกครองของเขา ธงนี้มีสีแดง-ขาว ซึ่งกลายมาเป็นธงของมอลต้าในปัจจุบันค่ะ ภาพธงของมอลต้าจากอินเตอร์เน็ตนะคะ ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:13:15

ความคิดเห็นที่ 18 หลังจากนั้นมอลต้าก็ถูกส่งต่อให้กับ House of Hohenstaufen เชื้อสายเยอรมันช่วง 1194-1266 มอลต้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของ  Holy Roman Empire of the German Nation เป็นระยะเวลา 72 ปี แล้วก็ต่อไปยัง Kings of Aragon ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะเกิดขึ้นค่ะ เกิดพวกราชนิกูลโน่นนี่ วุ่นวายทีเดียว จนกระทั่งประชาชนตาดำๆ ทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาปฏิวัติซะเลย พวกราชนิกูลก็ถูกดีดออกไป แต่มอลต้าก็ยังอยู่ในอานัติของอาณาจักรสเปนอยู่นะคะ เล่มมายาว ชาวมอลต้ายังไม่ได้หายใจหายคอเลย โดนยึดครองตลอด T^T พักสายตาด้วยภาพกำแพงเมือง Mdina หน่อยค่ะ จะเห็นว่า สูงโครตๆ มองลงไปเห็นไปกว้างไกลมากๆ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:13:48

ความคิดเห็นที่ 19 ตอนนี้ใกล้จะเข้าเรื่อง Knights Hospitaller หรือ Order of St. John ที่เข้ามาในมอลต้าแล้วค่ะ ก็เลยจะขอเล่าประวัติคร่าวๆ ของอัศวินกลุ่มนี้เป็นพื้นฐานก่อนนะคะ ^^ Knights Hospitaller หรือเรียกสั้นๆ ว่า Hospitaller ก่อตั้งขึ้นในช่วงประมาณปี 1023 ในตำบล Muristan ของเยรูซาเลม เพื่อช่วยรักษาคนยากจนที่เจ็บป่วยระหว่างการไปแสวงบุญที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่เยรูซาเล็มถูกยึดครองโดยคริสเตียนในปี 1099 แล้ว ช่วงสงครามครูเสด Hospitaller ก็เลยกลายเป็นกลุ่มทหารทางศาสนาไปด้วย โดยได้รับมอบหมายให้ปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้วไปๆ มาๆ ก็เลยทำหน้าที่ขับไล่พวกที่่นับถือศาสนาอิสลามไปด้วยเสียเลย ดังนั้น Hospitaller กับพวกมุสลิมนี่ก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันค่ะ รบกันมาตลอด จนกระทั่ง Hospitaller แพ้ราบคาบที่เมือง Rhodes แล้ว Suleiman the Magnificent ก็ใจดีปล่อย Hospitaller ออกไปพร้อมสมบัติมีค่าทั้งหลาย หารู้ไม่ว่าจะเป็นหนามยอกอกต่อไปในอนาคต >_< ปี 1530 เหล่า Hospitaller ที่ไร้ที่อยู่ ก็ได้รับการเสนอขายมอลต้าจาก Charles V of Spain ด้วยการแลกกับนกเหยี่ยวปีล่ะหนึ่งตัวเท่านั้น ((ถูกไปไหน >_<)) เหล่า Hospitaller ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้อยากอยู่มอลต้าเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะเป็นเกาะเล็กๆ แห้งแล้ง ดูไม่มีคุณค่า แต่ก็รับไว้นะคะ แหม...ไม่มีทางเลือกยังจะเลือกมากก็กระไรอยู่เนอะ 555 ก็เลยกลายเป็นอัศวินแห่งมอลต้ากันไปเลย ^^ สัญลักษณ์ของอัศวิน Hospitaller จะเป็นไม้กางเขนที่มี 8 มุมสีขาวบนพื้นดำ เครื่องแบบก็ตามหุ่นขี้ผึ้งตัวกลางในภาพเลยค่ะ เท่อ่า >///< ภาพถ่ายจาก The Knight of Malta โชว์ ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:14:45

ความคิดเห็นที่ 20 มาดูกันชัดๆ สัญลักษณ์ของอัศวินเหล่านี้คือ eight-pointed cross ค่ะ ปัจจุบันก็ยังมีบทบาทอยู่นะคะ ^^ ภาพจากอินเตอร์เน็ตค่ะ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:19:23

ความคิดเห็นที่ 21 อัศวินแห่งมอลต้านี้แบ่งเป็นอัศวินจาก 8 ประเทศ โดยเรียกแต่ละกลุ่มว่า Langue มาจาก Languages ที่แปลว่าภาษานั่นล่ะค่ะ คือ Provence, Auvergne, France, Castile and León, Aragon, Italy, England และ Germany โดยมีผู้ถูกเลือกเป็นผู้นำเรียกว่า Grand Master ((วิธีการเลือกจะซับซ้อนหน่อยค่ะ แต่ละ Langue จะเลือกตัวแทนขึ้นมาจำนวนหนึ่ง - ถ้าจำไม่ผิดจะเป็น 18 คน -  แล้วให้ตัวแทนเหล่านี้เลือก Grand Master อีกที - จำมาจากนิยายอิงประวัติศาสตร์นะคะ 555)) อัศวินแห่งมอลต้ายึดพื้นที่บริเวณใกล้อ่าวเป็นจุดยุทธศาสตร์ ซึ่งก็คือ เมือง Birgu ((หนึ่งใน Three Cities)) ระหว่างนี้ก็มีการสร้างป้อมปราการสำคัญต่างๆ เช่น Fort St.Elmo ((ฝั่งเมืองวาเล็ตต้า)) และ Fort St.Michel ในเมือง Isola ส่วนเมือง Birgu ก็มี Fort St.Angelo ปี 1565 เป็นปีที่เกิด The Great Siege ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของมอลต้าเลยค่ะ พยายามหารูปจากเน็ตให้เข้าใจง่ายๆ แต่หาไม่เจอ เลยไปเอารูปจากนิยายเรื่อง The Religion ของ Tim Willocks เกี่ยวกับเหตุการณ์ช่วงนี้ที่ไอซ์กำลังอ่านอยู่มาลงให้ดูค่ะ ((เล่มนี้ไอซ์ขนไปเที่ยวทริปนี้ด้วย มัวเที่ยวเลยยังอ่านไม่จบ เหลืออีกนิดหน่อย อ่านระหว่างเที่ยวได้บรรยากาศมากค่ะ 555)) จะเห็นว่า Fort St.Elmo อยู่ฝั่งเดียวกับเมืองวาเล็ตต้าในปัจจุบัน ((ตอนนั้นยังไม่มีวาเล็ตต้านะคะ)) ส่วนเมือง Birgu, L'Isola และ Kalkara ซึ่งก็คือ Three Cities ในปัจจุบันนั่นเองค่ะ ลองดูภาพแรกๆ นะคะ ตำแหน่งโรงแรม Hotel British อยู่ตรงข้ามกับเมือง Birgu ของ Three Cities พอดีเลย นึกภาพออกกันไหมเอ่ย ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:20:12

ความคิดเห็นที่ 22 Suleiman the Magnificent ยกกองทัพมาสี่หมื่นกว่าคน กะจะถล่มอัศวินแห่งมอลต้าให้ราบเรียบ ไม่ต้องเจอะเจอกันอีก ขณะนั้น Grand Master ของ The Order of St.John ก็คือ Jean Parisot de la Valette หรือเรียกสั้นๆ ว่า ลา วาเล็ตต์ มีอัศวินอยู่ไม่ถึงพันคน และมีชาวมอลทีสอีกประมาณเจ็ดพันคน พูดง่ายๆ ว่าเสียเปรียบแบบ 5:1 เลยทีเดียว ประวัติศาสตร์ช่วงนี้มันส์มากอ่า มีหนังสือเอามาเขียนนิยายเพียบเลยค่ะ สรุปสั้นๆ ว่า งานนี้ Suleiman the Magnificent เป็นฝ่ายพ่ายแพ้กลับไปค่ะ โฮ่ๆๆๆๆ จบจากสงครามรอบนี้ ทำให้ ลา วาเล็ตต์ ได้รับการสรรเสริญจากเหล่าคริสเตียนทั่วยุโรป เขาเขียนจดหมายไปขอร้องให้ช่วยกันส่งเงินมาสร้างซ่อมมอลต้า ซึ่งถือเป็นปราการป้องกันมุสลิมเข้าโจมตียุโรป เหล่าคริสเตียนทั้งหลายก็เลยพร้อมใจกันส่งเงินมามากมาย ลา วาเล็ตต์ ย้ายเมืองหลวงจาก Birgu ไปสร้างเมืองใหม่ที่ฝั่งตรงข้าม ไม่แปลกใจใช่ไหมคะ เมื่อเมืองหลวงใหม่ซึ่งเป็นเมืองหลวงปัจจุบันนี้ชื่อ "Valletta - วาเล็ตต้า" ^^ วาเล็ตต้าเป็นเมืองที่ ลา วาเล็ตต์ ตั้งใจจะให้มีตวามแข็งแรง ป้องกันง่าย โดยผังเมืองเป็นการตัดตรงจากหัวเมืองไปท้ายเมือง มองเห็นได้ตั้งแต่ประตูเมืองยันกำแพงทะเลเลยค่ะ ลองดูได้จากรูปข้างล่างนี้ เป็นถนนในเมืองวาเล็ตต้าค่ะ ^^ แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 55 21:22:31 จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:21:38

ความคิดเห็นที่ 23 นอกจากนั้นทั้งเมืองยังล้อมรอบไปด้วยกำแพงโครตจะสูงตามรูป >_< คุยกับนักท่องเที่ยวด้วยกันแล้วก็ขำๆ นะคะ มันดูพารานอยด์มากๆ เลยอะ แต่ถ้าเข้าใจประวัติศาสตร์ก็จะเข้าใจว่าทำไมเมืองวาเล็ตต้าถึงเหมือนป้อมปราการขนาดใหญ่แบบนี้ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:22:10

ความคิดเห็นที่ 24 แต่ ลา วาเล็ตต์ ก็อยากสร้างเมืองวาเล็ตต้าให้นอกจากแข็งแรงแล้วยังสวยงามด้วย ดังนั้นถ้าสังเกตดีๆ ถึงตึกเหล่านี้จะดูใหญ่โต เข้มแข็ง บึกบึน แต่ก็มีศิลปะอ่อนช้อยซ่อนอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นระเบียงที่ยื่นออกมา หรือรูปปั้นสวยๆ ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:23:43

ความคิดเห็นที่ 25 ตามป้าบง ,ป้าเปิ้ล  และลุงกาแฟ ไปเที่ยวกับคุณไอซ์ด้วยครับบบบบบ จากคุณ : Palm Jung Won เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:24:17

ความคิดเห็นที่ 26 สังเกตว่าบ้านแต่ละหลังจะมีระเบียงยื่นออกมา เห็นได้ทั่วไปเลยค่ะ ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:24:24

ความคิดเห็นที่ 27 ยินดีค่าน้าเถียน ((ตีสนิทอะ 555)) มาฟังประวัติศาสตร์มอลต้ากันเร้วววว >_< ... นอกจากนั้นก็มีการสร้างโบสถ์ สร้างโรงพยาบาล ((ลืมไปหรือยังคะว่า อัศวินเหล่านี้เป็นหมอด้วย ^^)) มีการสร้าง Aqueduct เพื่อแก้ปัญหาเรื่องน้ำด้วย เป็นช่วงที่มอลต้าเฟื่องฟูค่ะ แต่เมื่อทุกอย่างขึ้นจุดสูงสุดก็มีจุดตกต่ำค่ะ ยิ่งนานไปเหล่าอัศวินก็ยิ่งมั่วอะ ไม่รักษากฎระเบียบ สู้กันเอง มั่วผู้หญิง ... จนกระทั่งมีการปฏิบัติที่ประเทศฝรั่งเศส นโปเลียนเตรียมบุกอียิปต์ แล้วผ่านมาทางมอลต้า อัศวินส่วนใหญ่เป็นคนฝรั่งเศสก็เห็นอกเห็นใจฝั่งปฏิวัติ ประชาชนก็เบื่ออัศวินที่มั่วซั่วเต็มที Grand Master ในยุคนั้นซึ่งเป็นชาวเยอรมัน ก็ยกมอลต้าให้นโปเลียนง่ายๆ เลย หารู้ไม่ว่า...พลาดเสียแล้ว T^T นั่นเป็นยุคเข็ญเฮ็งซวยของแท้ค่ะ นโปเลียนอยู่ในมอลต้าแค่ 6 วัน แต่เขียนกฎระเบียบใหม่ที่ทำให้ชาวเกาะไม่พอใจ นอกจากนั้นยังปล้นสะดม ขนย้ายของมีค่าจากโบสถ์และอื่นๆ ออกไปขายเพื่อทำสงครามหมด สรุปว่าอะไรที่เคลื่อนย้ายได้ ขนไปเกลี้ยง ((ตอนอยู่นั่นเกลียดนโปเลียนมากอะ ทำให้อดดูของสวยๆ งามๆ เลย แง่ๆๆๆๆ)) ไม่ได้มีอะไรรังเกียจฝรั่งเศสนะคะ แต่สังเกตว่า ฝรั่งเศสไปยึดครองที่ไหน บรรลัยที่นั่นจริงๆ ไม่เคยสร้างอะไรให้คนพื้นเมืองเลย มีแต่เก็บเกี่ยวและทำลาย แย่มากๆ ค่ะ ดูอย่างหลายๆ ประเทศในอัฟริกา กัมพูชา หรือเวียดนาม เทียบกับ ฮ่องกง สิงคโปร์ ดูสิคะ ต่างกันขนาดไหน เหอๆ ภาพถ่ายจาก The Knight of Malta โชว์ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:25:48

ความคิดเห็นที่ 28 ชาวมอลต้าทนไม่ไหว ออกมาประท้วง มีการโยนหัวหน้าทหารฝรั่งเศสตกลงมาตายด้วย แล้วก็ขอความช่วยเหลือไปทางอังกฤษ อังกฤษก็มาช่วยไล่ฝรั่งเศสออกไป แล้วก็ปกครองมอลต้าต่อค่ะ ฮา อังกฤษก็ใช้มอลต้าเป็นจุดพักเรือในการค้าขาย เพราะอยู่กึ่งกลางระหว่าง  Strait of Gibraltar และ Suez Canal ช่วงนั้นก็รุ่งเรืองเรื่องค้าขายกันค่ะ ปี 1919 อังกฤษตั้งภาษีใหม่สูงมาก ทำให้ชาวมอลต้าขึ้นมาประท้วง ทหารอังกฤษยิงปืนใส่ผู้ประท้วง ทำให้มีชาวมอลทีสตาย 4 คน วันนั้นกลายเป็นวันสำคัญคือ Sette Giugno วันที่ 7 มิถุนายน เป็นวันหยุดประจำชาติมอลต้า เพื่อระลึกถึงผู้กล้าหาญในตอนนั้น ((ที่เล่าเรื่องนี้เพราะไอซ์อยู่ที่มอลต้าช่วงนี้พอดีด้วยค่ะ ^^)) ดูภาพในเมืองวาเล็ตต้านะคะ โทรศัพท์ของประเทศมอลต้าเป็นตู้แดงแบบของอังกฤษค่ะ ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:26:40

ความคิดเห็นที่ 29 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อิตาลีประกาศเข้าพวกกับเยอรมัน มอลต้าซึ่งอยู่ใกล้อิตาลีและเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษก็เลยโดนหนักมากค่ะ มีระเบิดลงทุกวัน ผู้คนไม่สามารถอยู่ในบ้านได้ ต้องไปอยู่กันใน Catacombs และหาที่กำบัง อาหารก็ขาดแคลน เพราะมอลต้าเป็นเกาะที่เหมือนจะถูกตัดขาดด้วย ช่วงนั้นลำบากมากมาย ที่น่าทึ่งมากๆ ก็คือ ไม่ว่าจะถูกถล่มยังไง กำแพงเมืองที่สร้างและบำรุงมาตั้งแต่สมัยอัศวินแห่งมอลต้าก็ยังอยู่ยงคงกระพันจนถึงวันนี้ >_< แปะรูปตอนกลางคืนบ้างค่ะ ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:27:19

ความคิดเห็นที่ 30 ประเทศมอลต้าประกาศเป็นอิสระเมื่อวันที่ 21 ก.ย. 1964 ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อันยาวนานเลยค่ะ ที่มอลต้าไม่ต้องตกอยู่ภายใต้การยึดครองของใคร ((แต่ตอนนั้นก็ยังอยู่ใน Commonwealth ของอังกฤษอยู่นะคะ)) มอลต้าขอสมัครเข้า European Union ตั้งแต่ปี 1990 และได้รับการรับรองในปี 2004 ค่ะ ดังนั้น...การไปเที่ยวมองต้า สามารถใช้วีซ่าเชงเก้นได้ และมอลต้าใช้เงินยูโรค่ะ ^^ เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อนะคะ ที่แม้จะถูกยึดครอง เปลี่ยนมือมามากมาย แต่ชาวมอลต้าก็ยังมีวัฒนธรรม มีภาษา เป็นของตัวเอง และชาวมอลต้าภูมิใจในชาติและประวัติศาสตร์ของพวกเขามากๆ ค่ะ ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:27:51

ความคิดเห็นที่ 31 เป็นยังไงคะ ประวัติศาสตร์ของมอลต้าสนุกไหม ^^ หวังว่าไอซ์คงจะไม่ได้ทำให้พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ หลับคากระทู้ หรือปิดกระทู้หนีหรอกนะคะ ^^" ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ ไอซ์จะพาเที่ยวมอลต้าต่อกันเลยค่า ^^ ไอซ์ออกจากเวนิสมามอลต้าวันที่ 6 มิ.ย. ด้วยสายการบิน Ryan Air ถึง Valetta บ่ายโมงกว่าๆ ค่ะ วันนั้นเมาค้างมาจากเวนิส กว่าจะถึงมอลต้าก็หมดแรง งานนี้ขี้เกียจเลยขึ้นแท็กซี่ค่ะ แพงโครต ตั้ง 20 ยูโร นั่งแป๊บเดียวเอง ซึ่งจริงๆ ถ้าไอซ์นั่งรถบัสมา ไม่ถึง 2 ยูโรอะ ((อารมณ์งกกำเริบ)) แต่เห็นจำนวนบันไดแล้ว คิดว่ายอมจ่ายก็ดีแล้วล่ะค่ะ ไม่มีแรงเดิน T^T เก็บของเสร็จแล้วเลยออกไปเดินเล่นนิดหน่อย แล้วก็เข้าไปดูโชว์ The Malta Experience ...ซึ่งบอกเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมอลต้า โชว์ดีทีเดียว ซึ่ง...ไอซ์ก็เอามาเขียนเล่าข้างบนนั่นแหละค่ะ 555 ภาพโรงแรม British Hotel จากด้านหน้าค่ะ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:28:51

ความคิดเห็นที่ 32 ภาพ Fort St.Angelo ของเมือง Birgu กันชัดๆ ค่ะ ที่นี่แหละที่เป็นตำแหน่งสุดท้ายที่สู้กันดุเดือดช่วง The Great Siege จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:29:22

ความคิดเห็นที่ 33 จะมีเรื่องอัศวินแห่งมอลต้า ตามมาหลังทริปนี้มั้ยคะ. จะรออ่าน จากคุณ : จันผา (จันผา) เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:29:32

ความคิดเห็นที่ 34 ส่วนเมือง Kalkara ซึ่งเป็นหนึ่งใน The Three Cities ในภาพเป็นโรงถ่ายภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดค่ะ เรื่อง Troy ก็มาถ่ายที่นี่แแหละ ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:29:49

ความคิดเห็นที่ 35 ตามมาเที่ยวด้วยคนครับ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:30:04

ความคิดเห็นที่ 36 มาติดตามครับ ประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนนี่มีเสน่ห์และสวยจริงๆ จากคุณ : boy next door เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:30:43

ความคิดเห็นที่ 37 คุณจันผา - ไอซ์กะจะเอามาเขียนเป็นนิยายเต็มที่เลยล่ะค่ะ 555 เท่อ่า >//< ... The Malta Experience ค่ะ ((ถ่ายตอนออกมาแล้ว ปิดพอดี 555)) จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:30:51

ความคิดเห็นที่ 38 คุณ numsiam - ยินดีค่า กำลังจะเริ่มเที่ยวพอดี ฮี่ๆๆๆ คุณ boy next door -  ที่นี่ประวัติศาสตร์ระอุ ที่แน่ๆ คือ ทะเลสวยมากค่ะ ทริปนี้มีไปทะเลด้วย ^^ ... ภายในเป็นโรงภาพยนตร์ ปรับภาษาได้หลายสิบภาษาเลย ^^ ส่วนตัวไอซ์คิดว่า ทำได้ดีทีเดียวค่ะ แม้ว่าราคาจะแพงไปสักเล็กน้อย ถ้าจำไม่ผิดสิบกว่ายูโรหรือไงเนี่ยอะค่ะ พอดีตั๋วมันเอาไปแลกไวน์ฟรีที่ร้านอาหารได้ เลยแลกไปแล้ว ลืมจดราคาด้วย >_< จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:33:10

ความคิดเห็นที่ 39 ฟ้าใส ทะเลใส อากาศร้อนระอุ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:33:40

ความคิดเห็นที่ 40 เมืองวาเล็ตต้าเป็นเนินขึ้นๆ ลงๆ ค่ะ ทรมานขาดีแท้ๆ >_< จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:34:14

ความคิดเห็นที่ 41 บน square ต่างๆ รวมทั้งจุดที่สามารถเห็นวิวทะเล มีร้านให้นั่งดื่ม นั่งเล่นเยอะมากๆ ค่ะ ปล. ไอซ์เอาตั๋วชม The Malta Experience ไปแลกไวน์ร้านทางขวานี่แหละ คือถ้าสั่งอาหารเกิน 7 ยูโร จะได้ไวน์ฟรีหนึ่งแก้ว ถ้านำหางบัตรไปโชว์ค่ะ ฮา แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 55 21:35:26 จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:34:36

ความคิดเห็นที่ 42 ระหว่างนี้เมืองวาเล็ตต้ามี City Gate Project อยู่นะคะ คือจะสร้างเป็น complex ผสมผสานกับกำแพงเมืองเดิม จะมีห้องคอนเสิร์ต มีที่เดินเล่น มีห้าง น่าสนใจทีเดียว จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:36:26

ความคิดเห็นที่ 43 พาราโนม่าบวมๆ ปิดท้ายวันอีกสักรูปนะคะ ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:36:53

ความคิดเห็นที่ 44 ว้าว เจ๋งๆๆ จากคุณ : ไปยังไงไม่มีรถ เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:37:31

ความคิดเห็นที่ 45 และ...ขอโชว์วิวช่วงเช้าที่มองเห็นได้จากชั้นสามของโรงแรมค่ะ ตอนอยู่มอลต้า ไอซ์ชมวิวแบบนี้ทุกวันเช้า-ค่ำ ดูได้ไม่เบื่อเลย นี่แหละ อีกหนึ่งสาเหตุที่เลือกโรงแรมนี้ แม้ว่าห้องนอนจะเห่ยมากก็ตาม >_< จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:38:16

ความคิดเห็นที่ 46 คุณไปยังไงไม่มีรถ - ไปมอลต้ามั้ยคะ เดินเป็นหลักค่ะ 555 ... 7 มิ.ย. อย่างที่เล่าข้างบนนะคะว่าเป็นวัน Sette Giugno วันหยุดราชการของประเทศมอลต้า ทั้งเมืองเหมือนผีหลอก ไม่มีคนเลย ไอซ์ตกลงใจไปเที่ยว Mdina และ Rabat ทางเดินจากโรงแรมไปใจกลางเมือง ToT ไอซ์ปีนตรงนี้ทุกวัน T^T แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 55 21:39:31 จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:39:01

ความคิดเห็นที่ 47 นั่งรถบัสสาย 50 51 52 53 จากวาเล็ตต้าไปลง Rabat ได้เลย ^^ พยายามหา bus route จากในเน็ตมาแปะให้ดูกัน แต่หาของ arriva ซึ่งเป็นระบบบัสที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ ไม่ได้เลยค่ะ มีแต่ของเก่า แต่รับรองค่ะว่า ดูแผนที่ง่ายมาก เวลาเที่ยวควรเลือกเส้นทางแต่ละวันให้ดีๆ เพราะระหว่างเมืองจะไม่มีรถบัสเชื่อมกันนะคะ ส่วนใหญ่จะต้องกลับมาตั้งต้นใหม่ที่วาเล็ตต้า ดังนั้นถ้าวางแผนกระจาย จะทำให้เสียเวลาในการรอและนั่งรถบัสเยอะมากๆ ค่ะ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ไอซ์เลือกปักหลักที่วาเล็ตต้า แม้ว่าค่าที่พักจะสูงกว่าที่อื่นๆ เพราะเป็นจุดศูนย์กลางในการเดินทางที่สะดวกดี ... หน้า Mdina และตามจุดต่างๆ จะมีรถม้ามาคอยให้บริการนะคะ นั่งรถม้าชมเมืองเก่า ท่าทางจะได้บรรยากาศดี ไอซ์ไม่ได้ถามราคาค่ะ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:40:46

ความคิดเห็นที่ 48 Main Gate งดงาม >_< จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:41:37

ความคิดเห็นที่ 49 เป็นงบประมาณการเที่ยวที่ย่อมเยามากครับ เป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีรีวิวซะด้วย จากคุณ : Koon Shy_Tour Dee เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:41:57

ความคิดเห็นที่ 50 อย่างที่เล่านะคะว่าใน Mdina จะเป็นถนนแคบๆ ค่ะ แคบจริงจังมากมาย >_< จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:42:00

ความคิดเห็นที่ 51 คุณชาย - ไอซ์ว่าน่าจะถูกสุดๆ ในยุโรปแล้วล่ะค่ะ ถูกกว่ายุโรปแถบบอลติกที่ไอซ์ไปเมื่อปีที่แล้วอีกอะ ... โบสถ์หลักของเมืองคือ St. Paul Cathedral ค่ะ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:43:04

ความคิดเห็นที่ 52 อย่างที่บอกนะคะว่าวันนั้นเป็นวันหยุด ที่โบสถ์ดันจะมีการจัดงานแต่งงานพอดี ไม่เปิดให้เข้าชม ไอซ์แว่บเข้าไปถ่ายรูปมาได้หน่อยนึง เอียงอีก T^T จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:43:39

ความคิดเห็นที่ 53 ชอบมากๆ ค่ะ ประเทศที่มีประวัติศาสตร์แบบนี้ สนุกมากๆ คุณไอซ์เล่าแล้วอินสุดๆ เลยค่ะ แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 55 21:44:25 จากคุณ : Yai Klong_Tour Rai เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:43:50

ความคิดเห็นที่ 54 ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอะไรเปิดค่ะ ไอซ์ก็เดินเล่นเรื่อยๆ ไปตามเรื่อง ขึ้นไปจุดชมวิวบนกำแพงเมือง หาคนถ่ายรูปให้ได้ซักที T^T จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:44:11

ความคิดเห็นที่ 55 คุณบงคะ ตอนไอซ์ไปเนี่ย อินมากค่ะ เพราะชอบประวัติศาสตร์แนวๆ ยุคกลางอะไรแบบนี้อยู่แล้ว 555 ... ไอซ์แวะเข้าดูโชว์ The Knight of Malta ซึ่งจะมีภาพยนตร์สั้นฉายให้ดู หลังจากนั้นก็เดินไปดูพวกหุ่นขี้ผึ้งล่ะค่ะ เพลินดีนะคะ ไอซ์ชอบ หลังจากนั้นก็ไปดู The Mdina Experience ซึ่งไอซ์คิดว่ามันคล้ายกับ The Mata Experience ไปหน่อย ((เห็นมั้ยคะว่า ดูหลายรอบ เลยจำแม่น 5555)) จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:45:09

ความคิดเห็นที่ 56 เดินเล่นเรื่อยเปื่อยค่ะ เมืองน่ารักดี ได้บรรยากาศเมืองโบราณจริงๆ ^^ ((คนขับรถม้าน่าจะหุ่นเพรียวเข้ากับประวัติศาสตร์ยุคเข็ญหน่อยอ่า ฮา)) จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:46:11

ความคิดเห็นที่ 57 โบสถ์แห่งหนึ่งที่น่าสนใจ แต่ไม่อยู่ใน Heritage Malta Pass ต้องจ่ายเงินเพิ่มเข้าไปดูคือ Carmelite Church ซึ่งเป็นศิลปะแบบบาร็อคในยุคกลาง สีเจ็บดีค่ะ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:46:42

ความคิดเห็นที่ 58 ภาพวาดใหญ่รูปวงรีบนนเพดานจะโดดเด่นมาก จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:47:07

ความคิดเห็นที่ 59 เดินใน Mdina จนขาหงิกแล้วก็ออกมาเพื่อจะเดินไป Rabat ต่อค่ะ เมืองอยู่ใกล้ๆ กัน สังเกตกำแพงเมือง Mdina ค่ะว่า สูงใหญ่ขนาดไหน สะพานในรูปคือสะพานที่จะข้ามไป Main Gate ค่ะ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:47:36

ความคิดเห็นที่ 60 จุดหมายต่อไปคือ Domus Romana ที่นี่รวมอยู่ใน Pass นะคะ ไอซ์ซื้อ Pass จากที่นี่แหละ พิพิธภัณฑ์อธิบายเรื่องความเป็นอยู่ของคนโรมันได้ดีทีเดียวค่ะ อธิบายเข้าใจง่าย จุดเด่นของที่นี่ที่เหลืออยู่ก็คือโมเสกรูปที่ไอซ์แปะไปแล้วข้างบน และโมเสกบนพื้นรูปนี้ค่ะ เป็นรูปนกกินน้ำฮิตกันในหมู่ไฮโซโรมัน >_< จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:48:06

ความคิดเห็นที่ 61 ออกมาแล้วไอซ์ก็ไป St. John's Grotto ต่อค่ะ ทางเข้าอยู่ข้างๆ โบสถ์ที่ถูกประดับซะฟู่ฟ่านี่แหละ ^^ เข้าฟรีนะคะ แต่จะมีคนมาบรรยายและขอให้ช่วยบริจาคค่ะ ที่บรรยายก็เป็นการเล่าเรื่องประวัติเรือแตกของเซนต์พอลนั่นเอง ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:48:38

ความคิดเห็นที่ 62 อ่าว...กรรม ลืมแปะรูปโบสถ์ซะงั้น >_< จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:49:28

ความคิดเห็นที่ 63 ประเทศนี้ สวยจังค่ะ เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละค่ะ ขอบคุณที่พาเที่ยวนะคะ จากคุณ : finaldevil เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:51:09 A:223.206.50.107 X: TicketID:193636

ความคิดเห็นที่ 64 จุดหมายต่อไปก็คือ  St. Paul Catacombs ที่นี่ใช้ Heritage Pass ได้ค่ะ มี audio ให้ยืมด้วย เพียงแต่ต้องเอาพาสปอร์ตไปต๊ะเอาไว้ บรรยายน่าสนใจดีค่ะ ประมาณว่าชาวโรมันมีการออกแบบหลุมศพใต้ดินหลายแบบมาก ^^ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:51:14

ความคิดเห็นที่ 65 คุณ finaldevil - ยินดีค่า ประเทศนี้มีมรดกโลกเยอะมากเลยค่ะ ^^ ... มี fresco เหลืออยู่กระจุ๋งนึง เพ่งหาอยู่ตั้งนาน จุดอื่นๆ สูญสลายไปหมดแล้วเพราะความชื้นและแสงค่ะ T^T ตามบรรยายเล่าว่า เป็นอักษรภาษากรีก แปลว่า Good-luck ((ทำไมอักษรกรีกมาอยู่ในหลุมฝังศพโรมัน...เขาไม่ได้บอก...แอบงง >_<)) จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:52:15

ความคิดเห็นที่ 66 ออกจาก St. Paul Catacombs แล้ว ไอซ์ก็เดินไป St. Agatha's Catacombs ... ตอนแรกเหล่หาอยู่นานก็ไม่เห็นว่ามันจะอยู่ตรงไหน ปรากฎว่าทางเข้ามันเป็นประตูที่ปิดตายอยู่ค่ะ ชายวันรุ่นตอนปลายคนหนึ่งเห็นไอซ์ด้อมๆ มองๆ อยู่ก็เดินออกมา ไอซ์ก็ถามว่าปิดกี่โมง ต้องจ่ายเท่าไหร่ เขาตอบว่าปิดสี่โมง ราคา 5 ยูโร ไอซ์ดูเวลาแล้ว มันสามโมงครึ่งแล้วอะค่ะ เขาก็บอกไอซ์ว่ามีเวลา เข้ามาได้ ไอซ์ก็โอเค ... ปรากฎว่าเขาไขประตูเข้าไป 3 ชั้น เดินลงไปใต้ดิน และพอเข้าไปแล้วพบว่า...มันมี fresco สวยมากๆ ค่ะ และมีป้ายเขียนไว้หลายป้ายมากว่า "ห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด" ฮ่วย ภาพจากอินเตอร์เน็ตเยอะแยะเชียว เหอๆๆๆ ภาพนี้จากเน็ตนะคะ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:53:05

ความคิดเห็นที่ 67 ระหว่างดู fresco ชายผู้ทำตัวเป็นไกด์นี้ดีมากๆ ค่ะ อธิบายทุกอย่างละเอียด ไล่ตั้งแต่ประวัติของเซนต์อากาธา โน่นนี่มากมาย สรุปว่าฟังเพลินเลยแหละ อุอุ พอดู fresco ด้านหน้าเสร็จแล้ว ไกด์ก็บอกไอซ์ว่า จะพาเข้าไปดู Catacombs ข้างใน ให้ทิ้งของทั้งหมดไว้ด้านนอกนี้ ไอซ์ลังเลมากๆ ค่ะ เพราะพาสปอร์ต เงิน อะไรต่างๆ อยู่ในกระเป๋าหมด เขาก็ยืนยันว่าไม่เป็นไร เพราะเขาล็อคประตูหน้าไว้แล้ว เขามีกุญแจอยู่คนเดียว รับรองว่าไม่หาย ถ้าเป็นคุณ...คุณจะเริ่มฉุกใจว่ามันประหลาดๆ มั้ยคะ สถานที่ท่องเที่ยวอะไรวะ รับแขกเข้ามาคนเดียว ปิดตายโลด เหอๆๆๆ ตอนนั้นไอซ์ไม่ทันคิดอะไรมากค่ะ เพราะอ่านจาก wiki หรือที่ไหนสักแห่งแหละว่า มันไม่ได้เปิดปิดเป็นเวลา ต้องหาคนมาเปิดประตูให้ แล้วแต่โชคว่าเจอหรือเปล่า ตอนนั้นก็คิดว่าตัวเองโชคดีนะ หึหึ แต่พอวางของไว้ข้างนอกเสร็จหมดแล้ว ไกด์ก็พาไอซ์เข้าไปใน Catacombs โดยที่เขาถือไฟฉายติดไปอันเดียว Catacombs มันมืดสนิทมากๆ มองอะไรไม่เห็นเลย แล้วมันก็ซับซ้อนแบบเขาวงกตอะค่ะ เข้าไปแล้วถ้าไม่ใช่ผู้ชำนาญนี่ ... ไม่มีทางรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนเป็นอันขาด ช่วงแรกๆ ไกด์ก็ดีอะค่ะ อธิบายโน่นนี่ และข้างในมันก็เจ๋งกว่าที่ St. John ค่ะ เพราะมีกระดูกจริงๆ อยู่ด้วย บางแห่งยังมี fresco สวยงามอยู่เลย ทีนี้มันมืดมาก เดินไปมองไม่เห็นทาง ไฟฉายก็ไม่ได้สว่างมาก เดินก็สะดุด หัวชนบ้าง ไกด์มันก็ขอจับมือ ... ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าความซวยจะมาเยือน ก็จับมือมันไป -_-" ภาพนี้จากเน็ตเหมือนกันค่ะ แต่ไอซ์จำได้ว่ามันอยู่ข้างใน ไกด์ฉายไฟฉายให้ดู จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 21:55:37

ความคิดเห็นที่ 68 ตามมาเกาะติด กด like แฟนเพจเรียบร้อย ทีนี่จะได้ตั้งหน้าตั้งตา เกาะขอบกระทู้ไปเที่ยวมอลต้าด้วยคนนะครับ ประเทศนี้ไม่ค่อยมีคนมารีวิวเลยจริงๆด้วย ถือเป็นวิทยาทานแก่เด็กน้อยด้านการท่องเที่ยวตาดำอย่างผมจริงๆ จากคุณ : stevyboy26 เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:00:55

ความคิดเห็นที่ 69 ต่อไปนี้คิดอยู่นานว่าจะเล่าดีหรือเปล่า เพราะก็เซ็งมากๆ เหมือนกัน อายก็อาย แต่ก็คิดว่าจะเอาไปเขียนไว้ใน tripadvisor เตือนให้คนอื่นๆ ระวังด้วยอะค่ะ อย่างที่บอกนะคะว่า ไอซ์เป็นผู้หญิงเที่ยวคนเดียว เข้าไปที่มืดๆ ไม่มีแสงไฟกับไกด์เวรนั่นแค่สองคน ไอซ์ไม่รู้ทางออก ไม่มีไฟฉาย ก็...เจอลวนลามน่ะสิคะ T^T เริ่มต้นจากตอนแรกเหมือนจะหวังดี จับมือไอซ์เดิน พอไปเรื่อยๆ ก็เริ่มจะมีมาจับเอว เหมือนช่วยประคอง ตอนนั้นเริ่มตะหงิดๆ ยิ่งเดินไปไกลยิ่งเอาใหญ่ ทำมานวดหลัง จับผม จับไหล่ จับแขน แล้วก็พยายามประกบตัวซ้อนอยู่ข้างหลัง ไอซ์ไม่ได้โวยวายค่ะ อีกอย่างโวยไปก็ไม่มีคนได้ยิน เพราะอยู่ใต้ดินตรงไหนของ catacombs ก็ไม่รู้ ต่อให้ได้ยินก็ไม่รู้ว่าจะลงมาช่วยยังไง ประตูหน้าล็อคตั้งสามชั้น เลยใช้วิธีใจเย็นๆ เดินเลี่ยง เบี่ยงตัวหนี แต่ใช้วิธีเบี่ยงตัวหนี แต่มันก็ไปไม่ได้ไกล เพราะแคบ + มืด + ไม่รู้ทาง ตอนนั้นนึกด่าตัวเองอยู่ในใจเหมือนกันว่า ทำไมห่วงเที่ยวจนคิดน้อยแบบนั้น ถ้าพ่อแม่รู้ได้ฆ่าตาย ... แต่ตอนที่เข้าไปใน catacombs ครั้งแรกไม่คิดจริงๆ ค่ะว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดี ก็มันเป็นโบสถ์บูชา St. Agatha แถมลงไปก็เป็นหลุมฝังศพ มีโครงกระดูกด้วย มันน่าโรแมนติกตรงไหนวะคะ ยิ่งไกลก็ชักจะยิ่งเอาใหญ่ ไอซ์ก็ค่อยๆ พยายามปะเหลาะๆ บอกเขาว่ากลัวความมืด กลัวความแคบ จะรีบออก ตานั่นก็บ่นว่า อยู่มาตั้งนานไม่เห็นกลัว ไอซ์ก็บอกว่า ตอนแรกไม่กลัวเพราะไม่คิดว่าจะต้องอยู่นานอะสิ((วะ)) เขาก็พยายามยื้อ พาไปดูโน่นดูนี่ ... คือ...ช่างสามารถอะ มือก็ยุ่มย่าม แต่ปากสามารถอธิบายจุดต่างๆ ได้คล่องแคล่ว ทำให้สงสัยว่า ไม่ใช่เลวเป็นครั้งแรกแหงๆ จนยิ่งมายิ่งไม่ไหว เพราะจะพยายามสอดมือเข้ามาใต้เสื้อ ไอซ์เลยพูดเสียงจริงจังมาก "You're making me feel very uncomfortable. I really think we should leave right now." เขาก็ทำเหมือนไม่เข้าใจ บอกว่า เนี่ยใกล้จะจบแล้ว อยู่อีกพักนึง ไอซ์ส่ายหน้าและย้ำสั้นๆ "Please" ((สุภาพโครต ทั้งๆ ที่ในใจอยากกระโดดถีบแล้วอะ)) ไอซ์พูดกับเขาดีตลอดนะคะ กะให้หลุดออกจากวงกตมืดๆ นี่ก่อนเหอะวะ เหอๆๆๆๆ ตอนนั้นไม่เชิงกลัว เพราะคิดว่าน่าจะเอาตัวรอดได้ แค่ขยะแขยงมากๆๆๆๆๆๆๆ สุดท้ายไอซ์ก็ได้ออกมาอย่างปลอดภัยนะคะ ก็ขอเตือนพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ผู้หญิงที่เดินทางคนเดียวไว้เลยค่ะ บางทีถึงแม้จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ต่อให้มันเป็นโบสถ์ เป็นสุสาน สถานที่ไม่เห็นจะเป็นใจ ทั้งๆ ที่ไอซ์ก็ไม่ได้แต่งตัวโป๊อะไร แต่งตามในรูปที่เห็นนั่นแหละค่ะ แต่อยู่กับผู้ชายแปลกหน้าตามลำพัง มันก็ไม่ปลอดภัย ยังไงก็ต้องมีสติค่ะ จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองแก้ไขสถานการณ์ได้ดีแค่ไหน แต่คิดว่าถ้าตอนนั้นถ้าร้องโวยวาย หรือทำให้เขาโมโห ถูกทำอะไรที่เกินเลยกว่านั้น ถูกฆ่าหมกตายอยู่ในหลุมใต้ดิน กว่าจะหาศพเจอคงนาน พอออกมาตรงที่สว่างได้  ยังต้องรอมันไขประตูอีกสามชั้น ((ระหว่างนั้นเลยขอมันถ่ายรูป 2*3 รูป ... ยังจะมีกะใจอีกนะตู -_-" คือกะว่าไหนๆ ก็เสียเปรียบไปแล้วอะ ขอเหอะ สัญชาติญาณนักเขียนแรงกล้ามาก -*-)) พอมันไขประตูบานสุดท้ายเสร็จ ไอซ์รีบวิ่งออกไปเลยค่ะ ตังส์เติงไม่จ่ายอะไรทั้งสิ้น ยิ่งมานึกได้ทีหลังว่า ตกลงไม่รู้ว่ามันต้องจ่ายจริงมั้ย เพราะไม่เห็นมีป้ายบอก แถวนั้นก็ไม่ค่อยมีคนเพราะมันเป็นวันหยุด อย่างกับเมืองร้าง สมกับเป็นวันหยุดจริงๆ -*- ถ้าแถวนั้นมีคนอยู่บ้าง ไอซ์โวยแน่ค่ะ เอาให้ตายกันไปข้างเลย แต่จะทำอะไรเราต้องประมาณกำลังตัวเองด้วย ที่เปลี่ยว ไม่มีคน หลุดมาได้ก็บุญแล้ว คิดว่าจะไปแจ้งตำรวจอยู่เหมือนกัน แต่หลักฐานอะไรก็ไม่มี จะเป็นคำพูดของเราปะทะคำพูดของเขา ซวยโครตซวย เล่นเอาหลอนไปเลยค่ะ และหลังจากครั้งนั้น ไอซ์ก็ยังเจอเรื่องประมาณนี้แต่ไม่น่ากลัวเท่านี้เพราะอยู่ในที่สาธารณะอีกหลายครั้ง ทำให้ไอซ์กึ่งจะเกลียดๆ มอลต้าไปเลย ... ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่ใจดี มีน้ำใจมากๆ แต่ก็มีผู้ชายส่วนหนึ่งที่...ทุเรศหาคำบรรยายไม่ได้เลยจริงๆ T^T ... รูปที่ถ่ายมาได้เป็น fresco ภาพของ St. Agatha ค่ะ ใบหน้าที่ถูกทำลายนั้น ถูกทำลายสมัยที่อาหรับปกครองนะคะ เพราะศาสนาอิสลามไม่อนุญาตให้บูชารูปน่ะค่ะ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:01:02

ความคิดเห็นที่ 70 แทรกๆ เดี๋ยวไปค้นรูปมาแจมด้วยได้ไหมจ๊ะ เพราะไปถ่ายใน st.john's co cathedral ไว้เยอะมากๆๆ สวยจริงๆเนอะ มลังเมลืองอลังการ อีกที่ที่สวยมากคือ blue grotto รอดูภาพไอซ์ด้วยจ้ะ ข้อมูลแน่นปึ้ก ทำไมไม่ไปเที่ยวช่วงพี่อยู่กรีซอ่ะ จะได้ขอลอกการบ้านหน่อย ฮ่าๆ ปล เดี๋ยวเรื่องช็อปจัดให้เอง อิิอิ จากคุณ : Il Maze เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:01:48

ความคิดเห็นที่ 71 แอ๊ คุณ stevyboy26 ไม่ใช่เด็กน้อยด้านการท่องเที่ยวแน่ๆ ค่ะ ไม่เชื่อๆ 555 ขอบคุณที่ไปกด like page นะคะ ^^ ... เดินออกมาเรื่อยๆ เจอร้าน Crystal Palace ที่ได้รับคำแนะนำใน Wikitravel ก็เลยย้ายตัวเองเข้าไปในร้านเพื่อพักใจ T^T ร้านนี้เป็นร้านของคนท้องถิ่นค่ะ มีอบขนม Pizelli ซึ่งเป็นขนมพื้นเมือง ข้างในเป็นไส้ชีส ทานกับน้ำชาที่ชงจากกาแบบโบราณเชียว จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:02:37

ความคิดเห็นที่ 72 พี่พัทเอาค่ะๆ 555 เสียดายตอนพี่พัทอยู่กรีซไอซ์ไม่ได้ไปอะ แง้วๆๆๆๆ ... เล่าไปแล้วนะคะว่า ทำไมถึงไม่ชอบมอลต้าเท่าที่ควร ไอซ์เจอเรื่องแบบนี้ที่นี่เยอะอะ เบื่อมว้ากกกกกก T^T ... จัดไปหนึ่งชิ้นกับหนึ่งแก้ว ราคา 70 เซ็นต์ โอ้ >_< อร่อยมากๆ ค่ะ ขอแนะนำ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:04:07

ความคิดเห็นที่ 73 เป็นประเทศที่น่าสนใจมากเลยค่ะ ไม่เคยเห็นรีวิวที่นี่มาก่อน สวย และน่าไปเที่ยวจัง จากคุณ : ดอยสูง เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:04:29

ความคิดเห็นที่ 74 ในร้านวุ่นวายมีคนมาซื้อของกันตลอดเวลา ข้างในร้านมีแต่ผู้ชายแก่ๆ นั่งอยู่ค่ะ เข้าไปคนเดียวแลดูเด่นอยู่เหมือนกัน แต่พวกปู่ๆ ตาๆ น่ารักดี ทำให้ความหลอนบรรเทาไปได้บ้าง -_-" แต่ก็สบายใจอยู่ได้ไม่นาน มีชายกลางคนเข้ามาพยายามพูดคุยตีสนิทอยู่ ไอซ์ก็เลยเผ่นกลับวาเล็ตต้าดีกว่า T^T ปล. เห็นแขนด้านซ้ายป่าวคะ นั่นแหละแขนมัน เอ๊ย เขา เปลือยอกมาด้วยนะ T^T จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:05:11

ความคิดเห็นที่ 75 ยอดเยี่ยมเลยครับ สวยทั้งวิวและคนเขียนเลย ร้อนมากมายไหมครับ ดูแล้วอยากไปบ้างจัง จากคุณ : amrit เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:05:26

ความคิดเห็นที่ 76 ประเทศนี้มีประวัติศาสตร์น่าสนใจมากอะค่ะคุณดอยสูง และก็มีหลักฐานหลงเหลือถึงปัจจุบันเยอะด้วย ค่าใช้จ่ายก็ถูกนะคะ ^^ ... ถึงวาเล็ตต้าแล้วปรากฎว่า ในเมืองดูคึกคักแปลกๆ ถามได้ความว่า เพราะว่าเป็นวัน Sette Giugno ทางการก็เลยจัดงานฉลองที่ระลึกขึ้นมา โดยจะมีคอนเสิร์ตฟรีที่ Palace Square แฮ่ๆๆ ดีใจ หายเซ็งไปเยอะเลยค่ะ ^^ คอนเสิร์ตนี้จะแสดงโดยวงดุริยางค์ ((เรียงงี้มั้ยนะ)) ประจำเมืองวาเล็ตต้าค่ะ ซึ่งมีเด่นดังอยู่สองวงก็คือ King's Own และ La Vallett ((ชื่อของลุง ลา วาเล็ตต์ นี่ฮิตจริงจังเห็นไหมคะ >_<)) ระหว่างรอไอซ์ก็ไปหม่ำกระต่าย + ดื่มไวน์ในร้านคคห.ที่ 41 ล่ะค่ะ 555 ประมาณก่อนหนึ่งทุ่มครึ่งนิดหน่อย ทั้งสองวงก็เดินพาเรตกันเข้ามาจากด้านประตูเมือง จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:06:46

ความคิดเห็นที่ 77 คุณ amrit คะ ร้อนนนนนมากกกกกกกกค่ะ แดดจ้าไม่มีเมฆเลยค่ะ วันสุดท้ายที่ไอซ์เดินเที่ยวนี่ 33 องศา จะเป็นลม ร้อนแห้งๆ ด้วยอะ ไอซ์ว่าถ้าจะไป น่าจะไปช่วง เม.ย. - พ.ค. ดีกว่า เห็นว่า ก.ค. - ส.ค. ร้อนกว่านี้อีก T^T ... บรรยากาศก่อนเริ่มงานเล็กน้อย บนเวทีเตรียมที่นั่งไว้สวยงาม ไอซ์นั่งรอเวลาอยู่ด้านข้าง เพราะไม่ใช่ชาวมอลต้าอะนะ ไม่กล้าไปนั่งเก้าอี้ที่จัดไว้ 555 ความซวยก็บังเกิดอีกแล้ว วันเดียวกันนี้แหละ มีผู้ชายมาคุยด้วย ตอนแรกก็คุยดีอะค่ะ พอรู้ว่ามาจากประเทศไทยคนเดียว ลายเริ่มออก พูดจาสองแง่สองง่าม จะชวนไปทานอาหารมื้อดึกอีก T^T เพิ่งมามอลต้าได้คืนเดียว ซวยติดกันสามครั้งในหนึ่งวัน ไม่หลอนก็ใจแข็งเกินแล้วล่ะค่ะ TT^TT จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:08:08

ความคิดเห็นที่ 78 โอ้ยตายเพิ่งได้อ่านคหก่อนหน้า เม้นต์ทิ้งไว้นานเพิ่งกดส่ง ดีนะที่ไอซ์มีสติ เห็นด้วยว่าหมอนั่นไม่ได้ทำครั้งแรกแน่ๆ โชคดีจริงๆที่ปลอดภัยนะ ทีหลังอย่าเสี่ยงจริงๆ เดินทางคนเดียวแบบนี้ปลอดภัยไว้ก่อนนะ (วันหลังสงสัยต้องบอกชื่อกับเบอร์กงสุลกิตติมศักดิ์ของเราที่ประเทศแปลกๆที่ไอซ์จะไปให้ด้วยนอกเหนือจากบีแอนด์บีคนไทยนะเนี่ย) จากคุณ : Il Maze เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:08:33

ความคิดเห็นที่ 79 ไอซ์เลยหนีไปนั่งกับคนมอลต้าหน้าเวทีเลย หลังจากนั้นก็นั่งฟังเพลงเพลิน ไม่ได้มีใครมารบกวนอีก จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:09:13

ความคิดเห็นที่ 80 ตามมาชม มอลต้า ด้วยคน สวยไม่แพ้ที่อื่นๆเลยค่ะ ^^ จากคุณ : LittleRT เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:10:33

ความคิดเห็นที่ 81 พี่พัท - พี่พัทคะ ไอซ์ก็มั่นใจว่าเขาไม่ได้ทำครั้งแรก และแอบสังหรณ์ใจว่า...จริงๆ แล้ว...มันปิดอะค่ะ แต่เขาเห็นไอซ์มาคนเดียวก็เลยมาเปิดให้เข้าไปดู เหอๆๆๆ จริงๆ แล้วเท่าที่หาข้อมูลมา ประเทศมอลต้าเป็นประเทศที่อาชญากรรมต่ำมากจนเกือบจะเป็นศูนย์ อาชญากรรมที่มีจะเกี่ยวข้องกับพวกเมาๆ ในเมืองที่มีคลับมากกว่า ก็เลยไม่คิดว่าจะมาเจออะไรแบบนี้ในเมืองเก่า ... แต่ตอนนั้นก็ค่อนข้างมั่นใจนะคะว่าเอาตัวรอดได้ นี่ไม่กล้าให้พ่อกับแม่รู้เรื่องเลย ไม่งั้นต่อไปขอไปเที่ยวไหนคนเดียวยากกว่านี้แน่ T^T คุณ LittleRT - มาเที่ยวด้วยกันเลยค่ะ ^^ ...... เล่าต่อนะคะ... แต่...ช้าก่อน อย่าลืมชายผู้นั้น เพราะเขาไปก่อกวนสาวมาเลเซียอีกคน ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กัน ไอซ์บังเอิญเจอกับเธอในรถบัสตั้งแต่ตอนเช้า และวันรุ่งขึ้นก็ไปเจอกันที่สถานีรถบัสอีก ก็เลยไปเที่ยวด้วยกัน เธอเลยเล่าให้ไอซ์ฟัง -_-" ... ไหนๆ เล่าเรื่องสุดเซ็งไปแล้ว ก็เล่าๆ ที่เหลือๆ ไปเลยละกัน เอาเฉพาะที่ทำให้เซ็งมากๆ นะคะ เซ็งปานกลางไม่เล่าล่ะ จะเยอะเกิน T^T อีกครั้งที่ทำให้เสียความรู้สึกมากๆ ก็คือ ที่โรงแรมที่พักนี่ล่ะค่ะ ไอซ์จะทานอาหารเช้าที่โรงแรม และค่ำๆ บางทีกลับมาแล้วก็มานั่งเขียนโปสการ์ด หรือนั่งดื่มเบียร์ ดูวิว ก็วิวโรงแรมสวยอะค่ะ มีพนังงานคนหนึ่ง ซึ่งทุกวันก็บริการดี ชวนคุยเรื่องที่ไอซ์ไปเที่ยวมา ถามว่ามาจากไหนอะไรยังไง แบบทั่วๆ ไปอะค่ะ คืนวันสุดท้ายก่อนไอซ์จะกลับ ก็คุยกันธรรมดาพักหนึ่ง พอจับมือบอกลากันตามมารยาท ดันเอานิ้วมาเขี่ยกลางฝ่ามือไอซ์แล้วขยิบตาให้ อยากจะกรี๊ด แทบจะกระโดดถีบมันให้ตกลงจากระเบียงลงไปคอหักตายเลยทีเดียว ... ที่พิพิธภัณฑ์ใน St John Co-Cathedral ก็โดนพนักงานชายตามประกบ ชวนคุยโน่นนี่ ด้วยสายตาแบบ ทำให้รู้สึกไม่ดีอะค่ะ ... คือ...ดิฉันจะชมงานศิลปะอะค่ะ ไม่ได้อยากหาผู้ชายมานอนด้วย อีกอย่าง...ที่นี่ในโบสถ์นะวะคะ อย่ามายุ่งมาก รำคาญญญญญ TT^TT ... สรุปว่า...ผู้ชายทุเรศประเทศนี้มีเยอะเกินไปมั้ยอะ ไปเที่ยวยุโรปคนเดียวมาหลายประเทศ มีที่นี่ที่ทำให้รู้สึกแย่ได้ขนาดนี้ ที่อื่นก็มีแซวมีจีบนะคะ แต่มันสุภาพกว่ากันเยอะมากๆ หรือจะมีแย่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ติดๆ กันสามครั้งหลังอาหารขนาดนี้ ไม่ได้ทำให้รู้สึกขยะแขยงและไม่ปลอดภัยเหมือนที่มอลต้านี่เลย ถ้าจะเขียนนิยายโดยเอาที่มอลต้าเป็นฉาก ไอซ์คิดว่าคงให้ผู้ชายมอลต้าเป็นพระเอกไม่ลงอะค่ะ ต้องเป็นตัวร้ายเท่านั้น T^T ((เจอที่ดีๆ ก็มีนะคะ แต่ความหลอนมันเยอะกว่า TT^TT)) เขียนบ่นมาเยอะ ไม่ใช่ว่าตัวเองเป็นคนสวยนะคะ ไอซ์หน้าตาธรรมดา เพียงแต่ว่า การที่เป็นผู้หญิงเอเชีย เดินทางในประเทศที่คนเอเชียเดินทางน้อยคนเดียว แถมดูเด็กๆ ท่าทางเหมือนจะไม่ประสีประสา ((มีคนเคยบอกมา -_-")) บางทีความซวยมันก็มาเยือนเหมือนกัน ... เวลาเห็นสาวๆ บอกว่า "มีหน้าตาเป็นอาวุธ" เนี่ย เป็นห่วงทุกที อย่าคิดว่าจะปลอดภัยเสมอไปนะคะ ยังไงก็ต้องระวังตัวไว้บ้างค่ะ เอาล่ะ บ่นไปเยอะแล้ว ค่อยโล่งหน่อย ต่อไปจะไม่บ่นเรื่องนี้แล้วค่ะ พาเที่ยวอย่างเดียวดีกว่า >_< ปล. ทั้ง King's Own และ La Vallette บรรเลงเพลงสลับกันนะคะ เพราะมากกกกก ถ้าไม่หลอนคงจะมีความสุขมากกว่านั้น T^T แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 55 22:13:53 แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 55 22:13:11 จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:12:17

ความคิดเห็นที่ 82 ปิดท้ายของวันด้วยรูปเมือง Birgu ตอนกลางคืนที่ถ่ายจากบาร์ของโรงแรม Hotel British ค่ะ ((ก็ที่ไอซ์ชอบไปนั่งชมวิวจะซวยนั่นแหละ เหอๆ)) จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:14:55

ความคิดเห็นที่ 83 เริ่ดที่สุด กรี๊สสสส กำลังอยากดูว่าคุณไอซ์ไปไหนมาบ้าง แบบนี้สบายผมเลย ข้อมูลแน่นเอี๊ยดแบบนี้ เวลาผมทำรีวิววันหลังจะบอกว่า ข้อมูลโดยละเอียด ไปดูกระทู้คุณไอซ์ แล้วแปะลิงค์กระทู้นี้ อิๆ จากคุณ : MedicinePath เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:16:29

ความคิดเห็นที่ 84 จบไปสองวันอย่างรวดเร็ว ลูกทัวร์เหนื่อยหรือยังคะ ถ้ายัง...((มีใครตอบ? 555)) เรามาต่อกันวันที่ 3 เลยนะคะ ^^ วันที่ 8 มิ.ย. ไอซ์ตั้งใจว่าจะไป Blue Grotto และวัดโบราณสมัย Temple period ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะค่ะ ถ้าใครจะไปเที่ยวที่นี่ด้วยรถบัส ระวังเรื่องเวลานิดนึงนะคะ เพราะรถบัสที่จะไปเส้นนี้คือเบอร์ 71 และ 201 มันเป็น limited service ค่ะ คือ ไม่ได้มีออกบ่อยๆ ต้องดูเวลากันดีๆ พลาดเที่ยวหนึ่งไปแล้ว ต้องรออีกเที่ยวเหงือกแห้งเลยค่ะ และ...จากประสบการณ์ส่วนตัว บางเที่ยวก็ปล่อยให้นักท่องเที่ยวรอเปล่า ไม่มาซะงั้น T^T ไอซ์พลาดรถบัสเที่ยว 8.45 น. เที่ยวต่อไปคือ 9.45 น. ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าจะเปลี่ยนแผนดีมั้ย แต่ไม่ได้เอาแผนที่ของที่อื่นออกมาด้วย ก็เลยตกลงใจทำตามแผนเดิม ขณะที่นั่งรอรถบัสอยู่นั้น ก็เจอกับสาวมาเลเซียคนที่เจอบนรถบัสเมื่อวานและเจอกันที่คอนเสิร์ตค่ะ ((คนนี้แหละที่โดนผู้ชายมอลต้าก่อกวนต่อจากไอซ์)) เธอชื่อ เบวี่ เป็นสาวมาเลเซียที่ทำงานอยู่ต่างประเทศหลายปี ตอนนี้ทำงานอยู่ที่เยอรมัน คุยกันถูกคอ และบังเอิญจะไปที่เดียวกัน ก็เลยไปเที่ยวด้วยกันซะเลย พอไปถึง Blue Grotto เราก็ลงจากรถบัส เดินไปตรงท่าเรือนะคะ การจะชมถ้ำสีฟ้านี้ เราจะต้องนั่งเรือกันเข้าไปค่ะ จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 22:16:30