ความคิดเห็นที่ 1 เพ้อมาได้ยาวพอสมควรแล้ว ตอนนี้มาเข้ารีวิวของเรากันดีกว่าครับ ฮ่าๆๆ หลังจากที่ผมอิ่มอกอิ่มใจกับทัวร์ดูดาวกลางทะเลทราย Atacama ในคืนวันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคมเรียบร้อยแล้ว ผมก็เข้านอนด้วยดวงใจอันเปี่ยมสุข แต่ลึกๆ ผมเองก็รู้สึกใจหายนิดๆ เพราะนี่คือคืนสุดท้ายของผมในประเทศชิลีนั่นเอง พอได้มาคิดถึงน้ำใจของผู้คนที่ผมได้รับในต่างถิ่นต่างสถานที่แบบนี้ มันทำให้ผมซาบซึ้งอย่างมาก ที่ท่องเที่ยวของชิลีเองก็สวยงามน่าสนใจ แต่สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดในชิลีกลับไม่ใช่สถานที่เหล่านั้นเลย คนชิลีต่างหากที่ทำให้ผมประทับใจประเทศนี้ชนิดที่ไม่รู้ลืมเลยละครับ น้ำใจของพวกเขานั้นกว้างยิ่งกว่าคนประเทศไหนๆ ที่ผมเคยพบเจอมาเลยก็ว่าได้ครับ (ยกเว้นญี่ปุ่นไว้ประเทศนึงที่ผมว่าความมีน้ำใจของผู้คนนั้นสูสีกับชิลีอย่างที่คุณ tottui ตั้งข้อสังเกตไว้ในรีวิวตอนที่ 2 ของผมเป๊ะเลยครับ) แต่พอตื่นเช้ามาในวันที่ 6 กรกฎาคมตอนหกโมงก็ได้เวลาต้องเก็บกระเป๋าแล้ว เพราะบริษัททัวร์ที่ผมจองไว้ไปยังทะเลเกลือนี่พี่แกเล่นนัดซะแต่เช้า ชนิดที่ว่าเมืองทั้งเมืองก็ยังมีสภาพไม่ต่างอะไรไปกับเมืองร้างเลย ผมก็ต้องรีบแหกขี้ตาตื่นขึ้นมานี่แหละครับ เพราะกลัวจะไม่ทันตามนัดนั่นเอง จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:34:53

ความคิดเห็นที่ 2 และอย่าลืมเก็บใบเสร็จยืนยันเอาไว้แสดงกับพนักงานในสำนักงานด้วยนะครับ อ้อ และอย่าลืมน้ำขวดใหญ่และขนมของว่างทานเล่นบนรถด้วยหากใครเป็นคนหิวง่ายครับ แต่ผมว่าน้ำนี่จำเป็นกว่ามาก เพราะอย่าลืมว่าเรากำลังจะเดินทางไปยังเขตที่มีสภาพภูมิประเทศที่แห้งแล้งไม่ต่างอะไรไปกับทะเลทรายเป็นเวลาถึง 3 วัน 2 คืน หากไม่มีน้ำไปเลยนี่ผมว่ามีหวังไม่รอดครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:35:09

ความคิดเห็นที่ 3 พอทุกคนมาพร้อมกันแล้วทางบริษัทก็จัดเอารถตู้คันเล็กๆ เพื่อขนถ่ายแรงงานต่างด้าว เอ้ย นักท่องเที่ยวอย่างพวกเราไปยังด่านพรมแดนนั่นเองครับ ทีนี้แหละเราจะได้ไปประเทศใหม่กันแล้ว ตื่นเต้นเหมือนกันครับ ผมเองก็สงสัยอยู่นานมากว่าโบลิเวียจะเป็นยังไงหนอ หลังจากวันนี้ไปผมคงมีคำตอบให้กับคำถามนี้ครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:35:50

ความคิดเห็นที่ 4 นั่งรถมาราวๆ 3 กิโลเมตรเราก็มาถึงด่านพรมแดนของชิลีแล้วครับ ที่นี่เราจะประทับตราออกนอกประเทศกัน พร้อมกับคืนใบเข้าเมืองที่เราได้มาตั้งแต่ตอนเข้าประเทศให้กับเจ้าหน้าที่ไปด้วย (หากอยากทราบว่าหน้าตาเป็นอย่างไรให้ติดตามในตอนที่ 1 ครับ) และสำหรับผู้ถือพาสปอร์ตไทยคงเป็นที่รู้กันครับว่าเราสามารถเข้าออกชิลีได้โดยที่ไม่ต้องมีวีซ่าเป็นเวลาถึง 90 วันครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:36:49

ความคิดเห็นที่ 5 และนี่แหละครับหน้าตาของตราประทับประเทศนี้ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:37:10

ความคิดเห็นที่ 6 มองออกไปจากตรงด่านก็จะเห็นป้ายบอกทางไปยังช่องเขาต่างๆ ซึ่งส่วนมากเป็นชายแดนระหว่างชิลีและอาร์เจนตินาครับ สำหรับชายแดนโบลิเวียจะห่างจากจุดนี้ไปประมาณ 40 กิโลเมตรครับ ไม่ใช่ว่ามีชายแดนโบลิเวียอยู่ตรงนั้นเลย ต้องนั่งรถกันไปอีกราวหนึ่งชั่วโมงครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:37:27

ความคิดเห็นที่ 7 เมือง San Pedro de Atacama อย่างที่ผมกล่าวไว้ในตอนที่แล้วครับว่าที่นี่สูงจากน้ำทะเลประมาณ 2350 เมตร แต่ว่าด่านพรมแดนของโบลิเวียนั้นอยู่สูงถึง 4300 เมตร ใต่ขึ้นกันเร็วขนาดนี้นี่เสี่ยงมากๆ ครับว่าอาการแพ้ความสูงจะเล่นงาน เมื่อวานนี้ผมโชคดีไม่เจออะไรตอนกลับมาจากน้ำพุร้อน El Tatio ที่ความสูงระดับเดียวกับด่านพรมแดนโบลิเวีย แต่นั่นก็ไม่ได้รับประกันว่าวันนี้ผมจะไม่เจออะไรเหมือนเมื่อวานครับ คงต้องมาลุ้นกันละครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:37:50

ความคิดเห็นที่ 8 เลี้ยวซ้ายโลดครับ ถ้าตรงไปเราอาจจะได้ไปเยี่ยมบ้านคุณมาราโดน่าหรือคุณเมสซี่ (แต่ตอนนี้คนหลังไม่น่าจะอยู่ในอเมริกาใต้แฮะ) ได้ภายในเวลาหนึ่งวันครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:38:20

ความคิดเห็นที่ 9 นี่แหละครับหน้าตาของด่านพรมแดนฝั่งโบลิเวีย ดูเหมือนป้อมยามแถวบ้านก็ไม่ผิดครับ ไม่รู้รัฐบาลประเทศนี้คิดยังไงมาตั้งด่านตรงที่ที่ไกลปืนเที่ยงซะขนาดนี้เหมือนกันครับ... จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:38:46

ความคิดเห็นที่ 10 และแน่นอนว่าเราต้องเตรียมวีซ่าโบลิเวียไว้ให้พร้อมครับ สำหรับคนไทยจะเข้าโบลิเวียต้องขอวีซ่าไว้ก่อนครับ อยู่ได้ 30 วัน แต่ว่าค่าวีซ่าสำหรับคนไทยฟรีครับ แค่เตรียมเอกสารไว้ให้พร้อมก็พอ (รูป 2 x 2 นิ้ว 1 รูป แนบมากับแบบฟอร์มขอวีซ่าที่กรอกเรียบร้อยแล้ว และพาสปอร์ต ส่วนเรื่องเอกสารวัคซีนป้องกันไข้เหลืองนั้น หากไม่ได้จะไปยังเมืองที่อยู่ในเขตอะเมซอนก็ไม่จำเป็นต้องขอครับ) เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่คนมักจะเข้าประเทศนี้กันตรงด่านชายแดนแถวๆ เมือง Copacabana ซึ่งอยู่ริมทะเลสาบติติกากา และหากเข้ากันทางนั้นคนส่วนมากจะมาขอวีซ่ากันที่เมือง Puno ของเปรูซึ่งมีสถานกงสุลโบลิเวียอยู่ด้วยนั่นเองครับ ส่วนหากจะมาทางชิลีแบบผมนั้น ที่ San Pedro de Atacama ไม่มีสถานกงสุลนะครับ สถานกงสุลที่ใกล้ San Pedro ที่สุดจะอยู่ที่เมือง Antofagasta ซึ่งไม่ถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศเท่าไหร่นัก หรือไม่ก็ขอมาจากสถานกงสุลในกรุง Santiago เลยก็ได้ (หลายคนคงงงว่าทำไมในเมืองหลวงอย่าง Santiago โบลิเวียจึงมีเพียงแค่สถานกงสุลทั้งๆ ที่เป็นเพื่อนบ้านกันแท้ๆ เพราะชิลีกับโบลิเวียไม่ถูกกันจากเรื่องการเสียดินแดนชายฝั่งทะเลเดิมของโบลิเวียให้กับชิลีเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วนี่เองครับ และจากเหตุการณ์นี้เองทำให้โบลิเวียไม่มีทางออกทะเลเลย) แต่ในกรณีของผมผมไม่ได้ทำวีซ่าที่ชิลีเลยครับ เพราะผมทำของผมมาก่อนแล้วจากสถานกงสุลโบลิเวียในนคร Los Angeles ของสหรัฐอเมริกานั่นเองครับ ในอเมริกาถือว่าสะดวกอยู่เพราะมีสถานกงสุลโบลิเวีย แต่หากนับจากเมืองไทยสถานทูตโบลิเวียที่ใกล้ที่สุดเห็นจะเป็นจีนกับญี่ปุ่นครับ ซึ่งหากจะบินไปจีนหรือญี่ปุ่นเพื่อไปขอวีซ่าโบลิเวียนี่ผมว่าคงไม่คุ้มกันหรอกครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:39:34

ความคิดเห็นที่ 11 หน้าตาของใบเข้าเมืองของโบลิเวียครับ เก็บส่วนล่างไว้ให้ยิ่งชีวิตเลยครับ ไม่งั้นจะมีปัญหาเวลาออกประเทศครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:40:28

ความคิดเห็นที่ 12 ภายในด่านพรมแดนที่ดูสุดแสนจะธรรมดามาก คนในรูปสีทางขวาสุดที่ยืนยิ้มห้อยสายสะพายอยู่เป็นประธานาธิบดีคนปัจจุบันครับ ชื่อว่า เอโบ โมราเลส (Evo Morales) ครับ เป็นประธานาธิบดีชาวพื้นเมืองดั้งเดิมคนแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศครับ และไม่ค่อยกินเส้นกับอเมริกาเท่าไหร่ซะด้วยสำหรับเฮียโมราเลสคนนี้ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:41:06

ความคิดเห็นที่ 13 เจ้าหน้าที่เองก็งงกันหลายตลบเลยละครับ นานๆ ทีคงจะเห็นพาสปอร์ตไทยผ่านมาทางนี้ หันไปเปิดโพยกันให้ควั่ก และคงงงกับวีซ่าของผมซึ่งออกมาจากนคร Los Angeles ที่สภาพเป็นแผ่นกระดาษแปะพาสปอร์ตมาอย่างดี (เห็นจากรีวิวคุณอาตี๋อินเตอร์เน็ตแล้ววีซ่าโบลิเวียที่ออกมาจาก Puno นี่มีเพียงแค่ตรายางปั๊มเท่านั้นเอง และวีซ่าโบลิเวียที่ออกมาจากสถานทูตสถานกงสุลทั่วอเมริกาใต้คงเป็นแบบนี้กันทั้งนั้นด้วยครับ ไม่งั้นพี่แกไม่เพ่งมองวีซ่าผมซะหลายรอบขนาดนั้นหรอก) แต่สุดท้ายก็ปั๊มให้ผม 30 วันแต่โดยดีครับ เย้!! ในที่สุดก็มาอยู่ในโบลิเวียอย่างเป็นทางการซะที!! จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:41:44

ความคิดเห็นที่ 14 อาหารเช้าสำหรับวันนี้รวมในราคาทัวร์เช่นกันครับ เข้าไปทานกันในกระต็อบนี่ได้เลย สำหรับเรื่องเวลานี่เวลาที่ชิลีกับโบลิเวียเหมือนกันเด๊ะครับ เลยไม่ต้องห่วงเรื่องการปรับเวลา จากในภาพนี่ก็ปาเข้าไปจะเก้าโมงแล้ว (แต่จะเหมือนกันเฉพาะหน้าหนาวเท่านั้นครับ เพราะชิลีใช้ระบบ Daylight Saving Time ปรับเวลาให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมงในหน้าร้อน เพราะฉะนั้นหากเป็นหน้าร้อนเวลาที่ชิลีจะเร็วกว่าโบลิเวีย 1 ชั่วโมงครับ) จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:42:23

ความคิดเห็นที่ 15 กินกันเสร็จแล้วก็เตรียมตัวไปขึ้นรถโฟร์วีลที่มารอรับกันอยู่แล้วที่ตรงด่านพรมแดนเลยครับ รถ 1 คันสามารถนั่งได้ 6 คน เพราะฉะนั้นในกลุ่มของเราที่จองกับบริษัทนี้ 18 คน ก็จะมีรถทั้งสิ้น 3 คันนั่นเองครับ มาถึงตอนนี้คนขับของเรา (ที่ยังเป็นไกด์และพ่อครัวจำเป็นซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่ยังดีครับที่พวกฝรั่งบางส่วนก็ฟังสเปนกันออกบ้าง และผมเองก็พอฟังออกแม้จะไม่เกิน 30% ก็ตาม ก็เลยพอถูไถไปได้) ก็บอกให้ทุกคนเอากระเป๋ามาเก็บตรงราวข้างบนนี่แหละครับ ซึ่งบนราวนั้นจะมีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าของพวกเรา น้ำมันสำรองสำหรับรถ หรือแม้กระทั่งถังแก๊สไว้สำหรับเตรียมอาหาร! จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:42:55

ความคิดเห็นที่ 16 แน่นอนครับว่าไม่ได้มีเฉพาะรถโฟร์วีลของกลุ่มเราเท่านั้น ยังมีรถโฟร์วีลอีกจำนวนหนึ่งจอดรอตรงชายแดน เพราะในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีกลุ่มทัวร์ที่เพิ่งมาถึงจาก Uyuni กำลังเอาของลงจากรถเพื่อเดินทางต่อไปยัง San Pedro de Atacama อีกด้วยครับ และยังมีบางคันที่รอรับลูกทัวร์ที่มาจากบริษัทอื่นๆ ใน San Pedro อีกด้วยครับ (และบริษัทเล็กๆ มักมีชื่อเสียงมากในเรื่องการจับลูกทัวร์มารวมกันกับบริษัทอื่นๆ แล้วจ้างคนขับรถโฟร์วีลที่ไม่ได้สังกัดบริษัทไหนเลย ซึ่งเป็นอะไรที่เสี่ยงมากๆ) จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:43:17

ความคิดเห็นที่ 17 คุณคนขับรถของเรา (ซึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษด้วยว่า Wilson ทั้งๆ ที่พูดอังกฤษไม่ได้) กำลังห่อสัมภาระของพวกเราด้วยผ้าใบสีฟ้าอย่างคล่องแคล่วครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:43:48

ความคิดเห็นที่ 18 พอทุกอย่างเสร็จสรรพ ของทุกชิ้นอยู่ด้านบนเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินทางกันครับ ก่อนที่พวกเราจะเกาะล้อตามรถของพวกเราไปผมขอเกริ่นนำเกี่ยวกับทัวร์นี้ซักเดี๋ยวนะครับ ทัวร์นี้มักจะเรียกว่า Salar de Uyuni Tour แต่จริงๆ แล้วพวกเราไม่ได้ดูกันแค่ทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลก Salar de Uyuni หรอกครับ เพราะพวกเรายังมีโอกาสได้เห็นทิวทัศน์แบบที่ราบสูงที่สูงเกิน 4000 เมตรขึ้นไปซึ่งมักจะเป็นภาพของทะเลสาบตัดกับยอดเขาหิมะ หรือไม่ก็ทะเลทรายที่ดูแห้งแล้ง มีเพียงไม้พุ่มเตี้ยๆ ขึ้นอยู่เท่านั้น หรือไม่ก็หินรูปร่างแปลกๆ นี่แหละครับคือภาพรวมของทัวร์นี้ ส่วนมากคนจะนิยมทำทัวร์กันแบบ 3 วัน 2 คืน หรือไม่ก็ 4 วัน 3 คืนครับ สามารถเลือกได้ว่าจะเริ่มต้นจากเมือง Uyuni ในโบลิเวียหรือ San Pedro de Atacama ในชิลีก็ได้ ส่วนมากทัวร์ 4 วัน 3 คืนมักจะจบท้ายที่เมืองที่เราเริ่มต้นเลยครับ ส่วนทัวร์ 3 วัน 2 คืน จะไม่มีการย้อนกลับไปเมืองเดิมที่เราจากมาอีกแล้ว หากเริ่มจาก Uyuni ทัวร์ 3 วัน 2 คืนจะจบลงที่ San Pedro ส่วนหากเริ่มจาก San Pedro ทัวร์จะจบลงที่ Uyuni นั่นเองครับ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะเลือกทำทัวร์นี้จากเมือง Uyuni ของโบลิเวียครับ (รีวิวทัวร์ทะเลเกลือของคุณอาตี๋อินเตอร์เน็ตก็เลือกทำจากที่นี่) เพราะว่าเมือง Uyuni สามารถเชื่อมต่อกับเมืองใหญ่อย่าง La Paz ได้ในเวลาที่ไม่นานนักและราคาไม่แพง ทำให้นักท่องเที่ยวเลือกทางนี้กันมาก ผิดกับ San Pedro de Atacama ที่ห่างจาก Santiago ร่วมวันโดยรถบัส หากบินมาราคาก็แพงมหาโหด อีกทั้งเมือง Uyuni เองก็มีความสูงใกล้เคียงกันกับสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในทัวร์นี้ ทำให้ไม่มีปัญหาในการปรับตัวเรื่องความสูงมากนัก เพราะหากใครจะมา Uyuni ก็ต้องมาจาก La Paz ซึ่งนับว่ามีประสบการณ์การปรับตัวกับความสูงมาก่อนแล้ว หากเริ่มจาก San Pedro de Atacama วันแรกของทัวร์ก็จะต้องใต่ขึ้นจาก 2400 เมตรขึ้นมา 4000 กว่าเมตรในเวลาแค่ชั่วโมงเดียว ซึ่งนับว่าค่อนข้างโหดเอาการสำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมเรื่องความสูงมาครับ ฟังดูเหมือนจะน่ากลัวเลย แล้วข้อดีของการเริ่มต้นจาก San Pedro ล่ะครับมันคืออะไรกันแน่ แพงก็แพงกว่า แถมโหดกว่าอีก การที่นักท่องเที่ยวน้อยกว่านี่แหละครับนับว่าเป็นข้อดีอีกอย่างสำหรับคนที่ไม่ชอบเจอนักท่องเที่ยวเยอะๆ เวลาไปเที่ยว เพราะจะรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสถานที่เที่ยวมากกว่า และหากเริ่มจาก San Pedro พวกเราจะได้ชมทะเลเกลือซึ่งเป็นพระเอกของทัวร์นี้ในวันสุดท้าย เปรียบเสมือนกับละครที่มักจะถึงจุดไคลแม็กซ์ตอนใกล้จะจบเรื่องนั่นเอง มันจึงเป็นความรู้สึกอีกแบบหนึ่งที่แตกต่าง และนักท่องเที่ยวหลายๆ คนรวมทั้งผมก็ยินดีจ่ายทั้งๆ ที่แพงกว่าครับ ก็เพราะคำว่าประสบการณ์มิใช่หรอกหรือครับที่มันมีค่ากว่าตัวเงินมากมายหลายเท่านัก จุดแรกที่เราจะแวะกันก็คือทะเลสาบเขียว ซึ่งมีชื่อในภาษาสเปนว่า Laguna Verde นั่นเอง ทะเลสาบนี้ (และจุดแวะอื่นๆ ตลอดวันแรกและวันที่สอง) จะอยู่ในเขตอนุรักษ์ที่ชื่อว่า Reserva Nacional de Fauna Andina Eduardo Avaroa (หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Eduardo Avaroa National Reserve of Andean Fauna) ซึ่งนักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องจ่ายค่าเข้าเป็นเงิน 150 โบลิเวียโน่ครับ (หากอยากทราบอัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลนี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐมีค่าประมาณ 7 โบลิเวียโน่ครับ เพราะฉะนั้นหากอยากทราบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาท ก็ให้เอา 4.5 คูณเข้าไปโดยประมาณครับ ค่าเงินใกล้เคียงกับเงินหยวนจีน) ซึ่งตกประมาณเกือบ 700 บาทนั่นเองครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:44:29

ความคิดเห็นที่ 19 และวินาทีแรกที่ผมได้เห็นเท่านั้นเอง ผมพูดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูกนอกจากได้แต่ร้องออกมาดังๆ ว่า “ว้าว!!” จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:45:04

ความคิดเห็นที่ 20 สาเหตุที่ทะเลสาบนี้มีสีเขียวก็เนื่องจากสาหร่ายที่อาศัยอยู่ในนั้นนั่นเองครับ และสาหร่ายก็สามารถอยู่ในนั้นได้เพราะในนั้นมีแร่ธาตุหลายอย่างนั่นเอง รวมไปถึงทองแดงซึ่งสามารถให้สารประกอบเชิงซ้อนที่มีสีเขียวได้ (เอ๊ะ นี่ผมเป็นอาจารย์อุ๊ในร่างผู้ชายรึยังไงนี่ครับ หรือผมจะเปิดกวดวิชาเคมีแข่งกะแกดีหนอ..... ฮ่าๆๆ) จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:45:37

ความคิดเห็นที่ 21 งดงาม เหมือนอยู่ในแดนสวรรค์ยังไงยังงั้นเลยครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:47:01

ความคิดเห็นที่ 22 ที่เห็นขาวๆ นั่นคือน้ำแข็งครับ อุณหภูมิวันนี้น่ะหรือครับ ติดลบแน่นอนอยู่แล้ว! แล้วผมจะมาทรมานตัวเองตอนหน้าหนาวทำไมล่ะเนี่ย... จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:47:39

ความคิดเห็นที่ 23 เสร็จแล้วก็ไปกันต่อเลยครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:48:20

ความคิดเห็นที่ 24 จุดต่อไปคือ Laguna Blanca หรือทะเลสาบขาวนั่นเอง จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:48:38

ความคิดเห็นที่ 25 อยากจะชื่นชมความงามมันแบบนี้ตลอดไปอยู่หรอกครับ แต่เหมือนอาการแพ้ความสูงมันจะเริ่มเล่นงานผมซะแล้ว -_-" จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:49:38

ความคิดเห็นที่ 26 แต่ก็ไม่ได้แคร์ครับ ก็คนมันอยากถ่ายรูปน่ะ ใครจะทำไม จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:49:59

ความคิดเห็นที่ 27 รถทั้งสามของคณะเราครับ มีมาจากไหนก็ไม่รู้อีกคันนึง.. จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:50:49

ความคิดเห็นที่ 28 สภาพถนนไม่เป็นแบบนี้ก็เป็นหินขรุขระๆ หรือบนเกลือแบบนี้ไปตลอดทั้งทริปครับ นึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าถ้าไม่ใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อแล้วจะมาได้ยังไง จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:51:12

ความคิดเห็นที่ 29 สภาพภูมิประเทศเผลอแป๊บเดียวก็เปลี่ยนจากทะเลสาบที่ยังพอดูแล้วรู้สึกเยือกเย็นและชุ่มชื้นมาเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งดูไร้ชีวิตไปซะอย่างงั้น น่าทึ่งจริงๆ ครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:51:37

ความคิดเห็นที่ 30 พี่สิงห์ออฟโรดสั่งลุย!! จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:52:05

ความคิดเห็นที่ 31 มาแวะยังจุดต่อไปซึ่งหากใครอยากอาบน้ำแร่ (แต่ไม่มีน้ำนมให้แช่) ก็เชิญได้ตามอัธยาศัยครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:53:05

ความคิดเห็นที่ 32 แต่ผมออกไปถ่ายรูปต่อไปดีกว่า จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:53:55

ความคิดเห็นที่ 33 ฟ้าใสไร้เมฆ ช่างผิดกับเมื่อเกือบอาทิตย์ก่อนบนเกาะอีสเตอร์ลิบลับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:54:26

ความคิดเห็นที่ 34 จุดแวะต่อไปคือจุดที่เรียกว่า โซล เด มายานน่า (แปลเป็นไทยได้ว่าตะวันยามเช้า) นั่นเองครับ ที่เห็นนี่ไม่ใช่น้ำพุร้อนนะครับ แต่มันเป็นท่อธรณีที่เชื่อมต่อกับส่วนลึกๆ ของโลกเรา และควันที่เห็นก็ไม่ใช่ไอน้ำด้วย มันคือแก๊สไข่เน่า (ชื่อทางเคมีคือไฮโดรเจนซัลไฟด์ แต่กลิ่นอาจไม่ได้มาจากแก๊สนี้เพียงอย่างเดียว อาจมีสารประกอบจำพวกเมอร์แคปแทนซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกับกลิ่นแก๊สรั่วอยู่ด้วย) ครับ แหวะ เหม็น เหมือนคนซักร้อยคนมาผายลมรวมกันได้ครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:55:23

ความคิดเห็นที่ 35 แต่อย่าได้เข้าไปใกล้นานๆ เชียวครับ กลิ่นเหม็นๆ มันก็เหมือนเป็นสัญญาณเตือนไม่ให้เข้าใกล้มากๆ อยู่แล้ว จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:55:45

ความคิดเห็นที่ 36 เพราะไฮโดรเจนซัลไฟด์ถือว่าเป็นแก๊สพิษครับ อันตรายยิ่งกว่าแก๊สไซยาไนด์เสียอีก หากดมเข้าไปเกินขนาดนี่ซี้ม่องเท่งแน่นอนครับ แถมที่นี่อากาศยิ่งมีออกซิเจนน้อยๆ ด้วย ทางที่ดีถอยออกมาห่างๆ ดีกว่า เก็บเอาแต่รูปและบรรยากาศที่แปลกตาไปก็พอแล้วครับ ปล. ที่จุดจุดนี้ความสูงก็ไม่เท่าไหร่ครับ เฉียดๆ 5000 เมตรเท่านั้นเอง!! นับเป็นจุดสูงสุดของทัวร์นี้เลยละครับ และยังเป็นจุดสูงสุดในชีวิตที่ผมเคยเดินทางผ่านอีกด้วย จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:56:12

ความคิดเห็นที่ 37 ดมอะไรเหม็นๆ อยู่นานไม่ได้หรอกครับสำหรับผม เราไปต่อกันดีกว่า แต่อย่างไรก็ดี “ตะวันยามเช้า” แห่งนี้ก็น่าทึ่งไม่น้อยเหมือนกันนะครับสำหรับผม จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:56:47

ความคิดเห็นที่ 38 ดูความสูงสิครับ!! จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:57:07

ความคิดเห็นที่ 39 ต่อจากนี้เราก็เดินทางต่อไปยังที่พักในคืนแรกของเรากันแล้วนะครับ ซึ่งคุณวิลสันบอกว่าอยู่ที่ 4200 เมตรจากน้ำทะเล ใกล้กับทะเลสาบแดงหรือ Laguna Colorada เราจะทานข้าวเที่ยงและข้าวเย็นกันที่นั่นครับ และนี่คือหน้าตาอาหารเที่ยง เห็นน้อยๆ แบบนี้ แต่นี่ไม่ใช่จานเดียวสำหรับผมหรอกครับ เพราะมันมาในรูปแบบที่ใครใคร่ตักก็ตักเท่าไหร่ก็ได้เท่าที่มีครับ ที่จริงแล้วสำหรับผม ของว่างที่เขาบอกให้เตรียมมาเผื่อหิว มันก็ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นเลยแฮะ กินข้าวที่เขาเตรียมมาให้ก็อิ่มดีอยู่แล้วครับสำหรับผม จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:58:00

ความคิดเห็นที่ 40 ห้องนอนหนึ่งๆ ก็นอนรวมกันแบบนี้เลยครับ 6 คน และบอกก่อนครับว่าตกกลางคืนอุณหภูมิที่นี่ลงไปถึง -20 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว และที่นี่ก็ไม่มีเครื่องทำความอุ่นซะด้วย สิ่งที่จะช่วยให้อุ่นในคืนอันเหน็บหนาวที่ที่นี่มีให้มีเพียงผ้าห่มเท่านั้นครับ หากอยากอุ่นกว่านี้คงต้องใส่เพิ่มอีกหลายๆ ชั้นแล้วละครับ เพราะฉะนั้นหากกลัวหนาวขาจะซื้อกางเกงพวกลองจอนมาก็ได้ครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:58:24

ความคิดเห็นที่ 41 ช่วงบ่ายหลังทานข้าวเที่ยงก็ไม่ได้ทำอะไรครับ ออกมาเดินเล่นซะหน่อยดีกว่า แล้วก็มาพบกับเจ้านี้ครับ! ผมนี่แทบจะอ้าปากค้างเลยทีเดียว ตื่นเต้นครับ ได้มาเห็นเจ้ายามะตัวเป็นๆ ในระยะประชิดแบบนี้ ^ ^ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:58:54

ความคิดเห็นที่ 42 ส่วนพวกนี้ก็น่าจะเป็นกวานาโกนะครับ กำลังเล็มหินเล็มหญ้าหากินกันอย่างสบายอารมณ์เชียว จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 07:59:24

ความคิดเห็นที่ 43 นี่แหละครับสภาพที่พัก อยู่โดดเดี่ยวมากๆ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างหลังอื่นๆ อยู่ในบริเวณนั้นเลย!! จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:00:27

ความคิดเห็นที่ 44 เพื่อนร่วมทัวร์ผมบางคนก็ออกมาเตะบอลกันครับ ไม่รู้เล่นกันเข้าไปได้ไง ผมนี่แค่เดินก็แทบจะไปแล้วครับ ผมไม่ไหวหรอกครับกับที่สูงๆ ออกซิเจนน้อยๆ แบบนี้ และแล้ววันแรกของทัวร์ก็จบลงครับ เพราะหลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าทานข้าวเย็นแล้วละครับ น้ำก็ไม่ได้อาบเพราะไม่มีให้อาบ อีกทั้งอากาศแบบนี้ใครจะอยากอาบกันล่ะครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:00:59

ความคิดเห็นที่ 45 เช้าวันที่สองผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ อยู่ๆ ผมก็ปวดหัวเหมือนมีคนนับสิบมากดหัวผมเอาไว้ รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยครับวันนี้ หรือว่าอาการแพ้ความสูงจะเริ่มเล่นงานผมซะแล้ว!?!? พอไปทานข้าวเช้าผมก็ไม่รู้สึกอยากทานอะไรเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่เพื่อนร่วมทริปก็คะยั้นคะยอให้ทานซักหน่อยเดี๋ยวจะไม่มีแรง ผมก็ไม่มีความอยากที่จะหยิบอะไรเข้าปากเลย และพอทุกคนกำลังจะทานอาหารเช้าเสร็จกันเท่านั้นแหละครับ จู่ๆ ผมก็เกิดคลื่นไส้ อยากจะอาเจียนขึ้นมา และผมก็ต้องรีบวิ่งสุดชีวิตไปยังห้องน้ำแล้วละครับตอนนี้ ชักท่าจะไม่ดีแล้วแฮะวันนี้ เป็นความรู้สึกทางร่างกายที่แย่สุดๆ นับตั้งแต่มาถึงอเมริกาใต้เลยทีเดียว แต่ยังไงการเดินทางก็ต้องดำเนินต่อไปครับ ผมขอให้เพื่อนร่วมทริปถ่ายรูปผมในสภาพที่หมดสภาพอย่างที่เห็นนี่แหละครับ แขนเขินอะไรตกหมด แรงแทบจะไม่เหลือ แต่ผมก็ทานยาแก้ปวดชนิดที่มีผลข้างเขียงในการทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นเข้าไปหลังจากนั้นกับยาแก้อาเจียนครับเพื่อบรรเทาผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากอาการแพ้ความสูง ตอนนี้ผมก็ยังไม่ทราบหรอกครับว่ายาที่ผมทานเข้าไปมันจะช่วยได้แค่ไหน แต่เมื่อเขาจะเดินทางกันต่อแล้วผมก็ต้องไปแหละครับ เพราะ The show must go on! จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:01:32

ความคิดเห็นที่ 46 จุดแรกในวันที่สองคือทะเลสาบแดง Laguna Colorada ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักในคืนแรกมาก ที่เรียกชื่อแบบนี้ก็เพราะสีแดงของทะเลสาบนี่แหละครับ ซึ่งเกิดจากสาหร่ายเช่นเดียวกับกรณีของทะเลสาบเขียวนั่นเอง จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:01:53

ความคิดเห็นที่ 47 แต่วิวนี่สวยเลยทีเดียวครับ ยิ่งกับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าแบบนี้ด้วยนี่ สุดยอดดดดดด!! จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:02:37

ความคิดเห็นที่ 48 ลืมอาการป่วยแพ้ความสูงของตัวเองไปได้ชั่วขณะเลยทีเดียว จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:03:04

ความคิดเห็นที่ 49 และสัตว์ที่พบเห็นได้มากแถวนี้คือนกฟลามิงโก้แอนดีส (Andean Flamingo) นั่นเองครับ ดูมันบินสิครับ เจ๋งดี จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:03:34

ความคิดเห็นที่ 50 ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ ถึงความงามครับ ใช้ใจสัมผัสก็พอแล้ว จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:04:07

ความคิดเห็นที่ 51 นั่งรถไปกันต่อเลยครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:04:33

ความคิดเห็นที่ 52 จุดต่อไปของเราคือต้นไม้หิน หรือชื่อภาษาสเปนว่า Arbol de Piedra นั่นเองครับ เป็นหินที่ถูกกัดกร่อนโดยลมมานานแสนนานแล้ว จนมีรูปร่างแปลกตาอย่างที่เห็นนี่แหละครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:04:50

ความคิดเห็นที่ 53 และยังมีกลุ่มหินรูปร่างแปลกๆ อื่นๆ อีกมากมายแถวนั้นเช่นกันครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:05:34

ความคิดเห็นที่ 54 ผมล่ะชอบจริงๆ ครับการได้มากับรถโฟร์วีลและได้ลุยแบบสมบุกสมบันจริงๆ แบบนี้ ผมเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มาทำอะไรแบบนี้ แต่นี่แหละครับรสชาติของชีวิต จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:06:10

ความคิดเห็นที่ 55 จุดต่อไปคือทะเลสาบโอนด้า (Laguna Honda – ภาษาสเปนไม่ออกเสียงตัว “h”) แล้วครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:06:34

ความคิดเห็นที่ 56 สวยใช่ย่อยเลยนะครับเนี่ย จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:06:50

ความคิดเห็นที่ 57 อย่างที่ผมบอกแหละครับว่าแถวนี้คือที่ราบสูงที่สูงมากๆ ภาษาสเปนจึงเรียกดินแดนแถบนี้ว่า Altiplano ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า high plain นั่นเองครับ พืชพรรณของแถบ Altiplano นี้ก็จะมีแต่ไม้พุ่มเตี้ยๆ จะหาต้นไม้ใหญ่ๆ นี่คงไม่มีครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:07:15

ความคิดเห็นที่ 58 และทะเลสาบแห่งนี้ยังเป็นแหล่งหากิน (พูดซะฟังดูไม่ดีเลย) ของนกฟลามิงโกแอนดีสอีกด้วยครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:07:41

ความคิดเห็นที่ 59 พูดไม่ทันขาดคำ นางแบบของเราก็ออกมาอวดโฉม! จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:08:08

ความคิดเห็นที่ 60 และไม่ได้มีแค่หนึ่งครับ มีอีกเพียบ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:08:34

ความคิดเห็นที่ 61 สวยจริงๆ ครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:08:54

ความคิดเห็นที่ 62 ถ่ายมุมไหนๆ ก็สวยจริงๆ ครับ ตากล้องห่วยๆ แบบผมก็เลยได้รูปสวยๆ โชคดีไป จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:09:12

ความคิดเห็นที่ 63 จุดแวะต่อไปก็อยู่ที่ทะเลสาบอีกแห่งครับ จำชื่อไม่ได้แล้ว ผ่านทะเลสาบหลายที่เหลือเกินครับวันนี้ จุดนี้มีห้องน้ำสาธารณะด้วยสำหรับคนที่อยากทำธุระส่วนตัวครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:09:32

ความคิดเห็นที่ 64 และก็ยังมีฟลามิงโกอยู่เพียบเหมือนเดิม จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:09:58

ความคิดเห็นที่ 65 นางแบบอีกรายมาอวดขาอ่อนอีกแล้วครับ แหม น่าจับไปประกวดนางสาวฟลามิงโก้โบลิเวียนะครับเนี่ย เผื่อจะได้มงกุฏเพชรกับรถอีกคัน จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:10:36

ความคิดเห็นที่ 66 สวยเหลือเกิน มาถึงตอนนี้อาการแพ้ความสูงของผมดีขึ้นมากแล้วครับ คงเป็นผลจากยาที่ผมทานเข้าไปเมื่อเช้าด้วย กลับมาซ่าส์ได้เหมือนเดิมแล้ว จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:11:01

ความคิดเห็นที่ 67 จุดต่อไปเป็นจุดแวะพักใหญ่อีกจุดครับ ทะเลสาบคายาป้า ที่เห็นขาวๆ นี่คือเกลือครับ สงสัยป้าแกจะเค็มจัด (เอ้ย ไม่ใช่ละ...) จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:11:21

ความคิดเห็นที่ 68 ภูเขาลูกนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าชื่ออะไร แต่ผมว่าทรงสวยดีครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:11:41

ความคิดเห็นที่ 69 ทิวทัศน์รอบๆ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:12:01

ความคิดเห็นที่ 70 เงียบสงบดีมากๆ เลยครับ ^ ^ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:12:24

ความคิดเห็นที่ 71 สำหรับสถานที่ไกลปืนเที่ยงแบบนี้ นี่แหละครับสถานที่ทานข้าวเที่ยง ทานกันหลังรถนี่เลยครับ คุณวิลสัน โชเฟอร์+ไกด์+พ่อครัวกิตติมศักดิ์ของพวกเราจัดให้!! จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:12:52

ความคิดเห็นที่ 72 หน้าตาโอเคเลยครับ แล้วรสชาติล่ะ? จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:13:14

ความคิดเห็นที่ 73 อร่อยจริงครับ พ่อช้างนายกินรำ (คู่แข่งแม่ช้อยนางรำ) คอนเฟิร์ม! จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:13:33

ความคิดเห็นที่ 74 กินเสร็จแล้วก็ได้เวลาเก็บของครับ เตรียมไปกันต่อ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:13:53

ความคิดเห็นที่ 75 มายังจุดต่อไปกันครับ นั่นก็คือ... จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:14:09

ความคิดเห็นที่ 76 ภูเขาไฟ Ollague ครับ (ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าอ่านว่าอะไร ตัวอีมีจุดสองตัวข้างบนด้วย) เป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่เลย เห็นได้จากควันที่ปล่อยออกมานี่แหละครับ พร้อมที่จะปะทุได้ทุกเมื่อ บรึ๋ยยยย... จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:14:32

ความคิดเห็นที่ 77 หลังจากนี้ก็ยิงยาวววว กันจนถึงโรงแรมในคืนที่สองกลางทะเลเกลือเลยครับ มาถึงกันก่อนพระอาทิตย์ตกดินได้ไม่นาน ก็ขอภาพพระอาทิตย์ตกดินกลางทะเลเกลือซักหน่อยก็แล้วกันนะครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:14:53

ความคิดเห็นที่ 78 เริ่มมืดแล้ว จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:15:13

ความคิดเห็นที่ 79 ไปทานข้าวกับเข้านอนกันดีกว่านะครับ คืนนี้มีน้ำร้อนให้อาบฟรีด้วย ขอซักหน่อยก็แล้วกันครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:15:37

ความคิดเห็นที่ 80 สำหรับข้าวเย็นวันนี้แถมไวน์ที่อภินันทนาการมาจากบริษัททัวร์อีกด้วย เยี่ยมไปเลยครับวันนี้ เป็นอันจบวันที่สองของทัวร์ครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:16:06

ความคิดเห็นที่ 81 และแล้วเช้าวันสุดท้ายของทัวร์ก็มาถึงพร้อมกับแสง “ตะวันยามเช้า” (อันนี้ของจริงครับ ไม่ใช่แก๊สกลิ่นเหม็นๆ เหมือนที่เจอมาตอนวันแรก) ที่ลอดผ่านหมู่เมฆมาครับ สวยงามเหลือเกิน จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:16:27

ความคิดเห็นที่ 82 และนี่แหละครับโรงแรมของเราในคืนที่ผ่านมา ทั้งตึกสร้างมาจากเกลือครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:16:52

ความคิดเห็นที่ 83 ตามชมต่อค่ะ จากคุณ : armearn เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:18:30

ความคิดเห็นที่ 84 สวัสดีครับคุณ armearn ติดตามชมต่อไปได้เลยนะครับ แม้แต่พื้นก็ยังเป็นเกลือเลย จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:26:58

ความคิดเห็นที่ 85 มีแต่เกลือ เกลือ และเกลือครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:27:22

ความคิดเห็นที่ 86 แม้แต่เตียงนอนยังทำจากเกลือเลยล่ะครับ ดีนะที่ผ้าห่ม ผ้าปูเตียง กับฟูกไม่เป็นเกลือกะเขาด้วย จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:27:56

ความคิดเห็นที่ 87 และแน่นอนครับวันนี้วันสุดท้ายของทัวร์แล้ว เราจะปิดท้ายกันด้วยทะเลเกลือ Salar de Uyuni ซึ่งเป็นทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลกกันครับ นี่แหละครับไฮไลท์ของทัวร์นี้ เป้าหมายแรกในทัวร์ทะเลเกลือของเราในวันที่สามคือเกาะ Incahuasi กลางทะเลเกลือนี่เองครับ ค่าเข้า 30 โบลิเวียโน่หรือประมาณ 130 บาทครับ จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:28:34

ความคิดเห็นที่ 88 สันนิษฐานว่าที่นี่เคยเป็นเกาะกลางทะเลมาก่อน แล้วพอน้ำทะเลระเหยออกหมด พร้อมๆ กับที่แผ่นดินยกตัวสูงขึ้น ทำให้รอบๆ มีแต่เกลือและเกาะนี้ยังคงเหลืออยู่รอดไม่มีเกลือมาปกคลุม จากคุณ : KhunWasut เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 08:28:59