ความคิดเห็นที่ 1 2.1 ข้อมูลเพื่อเตรียมตัวในการเดินทางด้วยรถไฟ เรื่องตั๋วโดยสาร ตั๋วโดยสารนั้นเป็นของสำคัญที่จะขาดเสียมิได้ในการดินทางด้วยรถไฟนะครับ เพราะถ้าไม่มีตั๋ว ก็เดินทางไม่ได้ การซื้อตั๋วนั้น จะมีด้วยกันอยู่ 3 ช่องทาง ดังต่อไปนี้ครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 21:35:52

ความคิดเห็นที่ 2 ช่องทางที่ 1 ซื้อตั๋วที่สถานี ตั๋วรถไฟนั้นสามารถซื้อโดยตรงที่สถานีใดก็ได้ในประเทศ แต่จะสะดวกมากที่สุดคือสถานีนั้นต้องมีระบบออนไลน์ด้วย กล่าวคือ สถานีระดับจังหวัด อำเภอ ตำบลใหญ่ๆ หรือวิธีจำง่ายๆคือ มีรถเร็วจอด นั่นก็ออนไลน์แล้ว ขั้นตอนการซื้อตั๋วที่สถานีนะครับ 1. ตั๋วที่สถานีจะจำหน่ายได้ทุกวัน 24 ชั่วโมง (ยกเว้น 23.30 - 00.30 ของวันนั้นๆ) 2. จำหน่ายได้สูงสุด 60 วัน นับจากวันปัจจุบันที่ไปซื้อ 3. วันแรกที่เปิดจอง จะเริ่มขายพร้อมกันทั่วประเทศ 8.30 น. 4. ให้ตรวจสอบดูขบวน และ วันเดินทางที่ต้องการ จากนั้นติดต่อที่ช่องจำหน่ายตั๋ว 5. เจ้าหน้าที่จะออกตั๋วจากระบบ Star2 และปรินท์ตั๋วออกมาเลย *****6. ขั้นตอนนี้สำคัญมาก ผู้โดยสารต้องตรวจสอบตั๋วก่อนออกจากช่องและรับเงินทอนทุกครั้ง ต้องตรงกับความต้องการของคุณ และเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบตั๋วให้คุณได้ เมื่อมีการประทับตราลงบนตั๋ว หรือ ยืนยันคำว่า "ถูกต้อง" โดยผู้โดยสารแล้ว ตั๋วนั้นจะถือว่าถูกต้อง จะไม่สามารถเปลี่ยนโดยปราศจากค่าธรรมเนียมได้ เพราะถือว่าผู้โดยสารยืนยันความถูกต้องแล้ว (ขั้นตอนกันการโมเมภายหลัง) 7. ใช้ตั๋วโดยสารได้เลยครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 21:51:14

ความคิดเห็นที่ 3 การรับตั๋วรถไฟฟรี ตั๋วรถไฟฟรีนั้นจะต้องรับวันต่อวันเท่านั้น จองล่วงหน้าไม่ได้ โดยมีเงื่อนไขในการรับดังนี้ 1. ใช้บัตรประชาชน หรือ บัตรที่ทางราชการออกให้ ติดต่อรับตั๋วได้ตั้งแต่ 5.30 น.ของวันเดินทาง (กรณีรถเร็ว) และ 1 ชั่วโมงก่อนรถออก (กรณีรถธรรมดาทั่วไป) 2. ใช้ตั๋วโดยสารแนบกับบัตรประชาชนตรวจบนรถ 3. ห้ามมิให้มีการซื้อขายตั๋วฟรีแต่อย่างใด รถไฟฟรี รถไฟฟรีตอนนี้มีเยอะมาก เทียบได้ รถไฟฟรี : รถไฟเสียเงิน คือ 70:30 (โอ้ว เยอะไปไหน) รถไฟฟรีจะมี 2 แบบ คือ รถไฟฟรีที่เป็นรถธรรมดา และรถไฟฟรีที่เป็นรถเร็ว รถไฟฟรีที่เป็นรถธรรมดา จะไม่มีการระบุที่นั่งในตั๋วโดยสาร คือใคร่นั่งไหนนั่งได้เลย แต่รถไฟฟรีที่เป็นรถเร็ว จะมีการระบุที่นั่งในตั๋วด้วย ฉะนั้นมั่วไม่ได้ รถเร็วฟรี มีให้บริการ 8 ขบวน คือ รถเร็วที่ 109/102 กรุงเทพ –เชียงใหม่-กรุงเทพ รถเร็วที่ 133/134 กรุงเทพ – หนองคาย- กรุงเทพ รถเร็วที่ 145/146 กรุงเทพ – อุบลราชธานี – กรุงเทพ รถเร็วที่ 171/172 กรุงเทพ – สุไหงโกลก-กรุงเทพ แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 55 22:01:24 จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 21:53:32

ความคิดเห็นที่ 4 ช่องทางที่ 2 call center การโทรจองนั้นสามารถกดโทรศัพท์ไปที่ 1690 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง (ยกเว้น 23.30 – 00.30 ที่จะจองไม่ได้เพราะมีการ update ข้อมูลระหว่างวันทั้งทางสถานีและ call center) เงื่อนไขการจองมีดังนี้ครับ 1. ติดต่อก่อนวันเดินทาง 5 วันขึ้นไป และไม่นับวันเดินทาง 2. เมื่อทำการจองแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้รหัส 10 หลักเพื่อนำไปรับตั๋วโดยสาร 3. นำรหัสไปขึ้นตั๋วที่สถานี พร้อมจ่ายเงิน ภายในวันรุ่งขึ้นหลังทำการจอง 4. สถานีที่รับตั๋วได้ จะรับได้ทั่วประเทศ(ตั้งแต่ 1 กันยายนนี้เป็นต้นไป) โดยจะรับได้เวลา 8.30 - 22.00 ยกเว้นสถานีที่มีการปิดทำการเร็ว เช่นสายที่ไม่มีรถกลางคืนผ่าน หรือ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะให้รับในเวลาราชการ 5. หลังจากนั้นคุณก็ได้รับตั๋วไปนอนกอดเล่นที่บ้านได้เลย แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 55 20:23:35 จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 21:57:00

ความคิดเห็นที่ 5 ช่องทาง internet วิธีการจองมีดังนี้ 1. ไปที่ www.thairailticket.com 2. สมัครสมาชิก และ login ให้เรียบร้อย 3. สำรองได้ 2 ชั่วโมงก่อนรถออกต้นทาง จนถึง 60 วัน 4. เลือกที่นั่งตามที่ต้องการได้เลย ซึ่งที่นั่งทาง internet จะแบ่งออกจากสถานี 20:80 หากสถานีเต็มให้ลองมาดูใน รnternet หรือถ้า internet เต็มให้ไปดูที่สถานี 5. จอง และหักเงินผ่านบัตรเครดิต Visa MasterCard หรือ JCB ของธนาคารใดก็ได้ 6. ถ้าไม่มีบัตรสร้างหนี้ ก็สามารถใช้ Debit ของธ.กรุงเทพ(บัตรBeFirst) หรือ ธ.กสิกรไทย ได้เช่นเดียวกัน 7. เมื่อทำการจองเรียบร้อย ให้ไปกดดูที่ “ประวัติตั๋ว” ดูสถานการณ์จอง ถ้ามันบอกว่า “การจองสำเร็จ” ให้คลิกเข้าไปดู ตั๋วของคุณที่อยู่ในรูปแบบของ .pdf จะโผล่พรวดขึ้นมา ให้ปรินท์ และนำขึ้นขบวนรถได้เลย ห้ามแสดงใน iPhone iPad หรือ Tablet ต้องเป็นกระดาษเท่านั้น 8. เมื่อขึ้นรถไฟ ต้องแสดงบัตรประชาชน หรือบัตรที่ราชการออกให้ร่วมด้วยครับ 9. ชื่อคนเดินทาง ต้องตรงนะครับ อันนี้สำคัญ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 21:58:11

ความคิดเห็นที่ 6 กฎระเบียบโดยทั่วไป ที่ควรทราบ 1. การเปลี่ยนแปลงการเดินทาง ระเบียบการเปลี่ยนแปลงตั๋ว หรือการคืนตั๋ว หากคุณไม่ประสงค์เดินทาง หรือต้องการเปลี่ยนตั๋ว ก็สามารถทำได้เช่นกัน ขอพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนตั๋วก่อน การเปลี่ยนตั๋วหรือเลื่อนการเดินทางสามารถทำได้สูงสุดจากตั๋วเดิม 60 วัน และในวันเดินทางใหม่นั้นต้องมีที่นั่งว่างเหลือด้วย และนอกจากจะเลื่อนได้แล้วก็จริง แต่จะต้องมีค่าใช้จ่ายตามมา หากตั๋วเดิมของคุณนั้น เป็นรถนั่ง ที่เป็นรถพัดลม คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงใบละ 20 บาท หากตั๋วเดิมของคุณนั้นเป็นรถนอน หรือรถปรับอากาศ คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงใบละ 50 บาท ถ้าตั๋วใหม่ที่คุณจะเปลี่ยนนั้นมีมูลค่ามากกว่าตั๋วเดิม คุณจะต้องจ่ายเพิ่มตามราคาที่ต่างเข้าไป ถ้าตั๋วใบใหม่ที่คุณจะเปลี่ยนนั้น มีมูลค่าถูกกว่าตั๋วเดิม จะไม่ได้รับเงินคืนครับ ถ้าจะให้ดี การเปลี่ยนแปลงใหม่นั้นควรจะคงมาตรฐานเดิมที่เคยซื้อไว้ หรือให้มากกว่าจะดีที่สุดครับผม หรือจะให้ดีที่สุด ก็ควรวางแผนการเดินทางล่วงหน้า หรือ มั่นใจว่าต้องการเดินทางแบบใด จะดีที่สุดเลยครับผม จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 22:07:14

ความคิดเห็นที่ 7 2. การคืนตั๋ว หากไม่ประสงค์จะเดินทางแล้ว ก็สามารถคืนได้ (คงไม่ได้รั้งเอาไว้แน่นอน อิอิ) แต่จะมีเงื่อนไขการคืนเงินดังนี้ครับ 2.1 หากคุณคืนก่อนวันที่ระบุในตั๋ว 3 วันขึ้นไป คุณจะถูกหักอยู่ 20% จากราคาตั๋ว 2.2 หากคุณคืนก่อนวันเดินทางไม่ถึง 3 วัน คุณจะถูกหัก 50% จากราคาตั๋ว หากคุณคืนตั๋ว ก่อนรถออก 1 ชั่วโมงลงมา...คุณไม่ได้รับอะไรคืนแล้วครับ สรุปง่ายๆ สมมติว่า คุณมีตั๋วเดินทางของวันที่ 10 เป็นรถนอนปรับอากาศชั้น 2 ถ้าหากคุณคืนตั๋วในวันที่6 หรือก่อนวันที่ 6 คุณจะโดนหักแค่ 20% แต่ถ้าคุณไปคืนวันที่ 7 8 9คุณโดนหัก 50% เลยครับ และยิ่งกว่านั้น การคืนตั๋วหรือเปลี่ยนแปลงตั๋วนั้นต้องทำก่อนรถออกในตั๋ว 1 ชม.นะครับ 2.3 หากตั๋วใบนั้นมีการเปลี่ยนแปลงมาก่อน เช่น วันนี้วันที่ 3 คุณรู้ตัวว่าจะเดินทางในวันที่ 5 ไม่ได้ คุณก็เลื่อนตั๋วออกไปอีก 1 เดือนแล้วเอาตั๋วนั้นไปคืน ตั๋วนั้นจะถูกหัก 50% เพราะถือว่าตั๋วใบเก่า เหลืออายุน้อยกว่า 3 วันแล้ว (เป็นวิธีแก้เผ็ดคนหัวหมอที่ค่อนข้างได้ผลดีทีเดียว) สำหรับการคืนตั๋วที่จะได้ราคาเต็มเลยโดยไม่หักนั้น เกิดได้จากกรณีดังต่อไปนี้ครับ 1 เหตุภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถทำให้เดินรถได้ตามปกติ 2 อุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบต่อการเดินรถ จนเดินรถไม่ได้หรือไม่ได้ตามปกติ 3 รถไฟล่าช้าจากในตั๋วเกิน 30 นาที (ยึดที่ต้นทางในตั๋วเป็นหลัก) จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 22:11:26

ความคิดเห็นที่ 8 การนำสัมภาระติดไปกับตัว สัมภาระถือได้ว่าเป็นเรื่องปวดหัวอีกอย่างหนึ่งของการนำขึ้นรถไฟ เพราะเราไม่รู้ว่าปริมาณสมบัติของเรานั้นจะมีที่วางไหม หรืออะไรยังไง ผมจะมาเสนอเรื่องสัมภาระให้ทราบกันนะครับ สิ่งของที่มิใช่มนุษย์ จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท 1. ของที่เอาติดตัวไปด้วยพร้อมกับคนโดยสาร เราเรียกว่า “สัมภาระ” 2. ของที่เราส่งไปอย่างเดียว โดยคนไม่ได้ไป เราเรียกว่า “สินค้าระวาง” ตามหลักแล้ว สิ่งของที่เราจะนำติดตัวไปนั้นมักจะเป็นกระเป๋าเดินทางหรือของเล็กๆน้อยๆ ด้วยความจำกัดของพื้นที่ทำให้ต้องมีมาตรการไม่ให้ขนของมากเกินความจำเป็นเพื่อไม่ให้กีดขวางผู้อื่นและขนของไปได้แบบไม่ใช่ “ย้ายบ้าน” สำหรับชั้น 1 สามารถนำติดตัวไปได้ น้ำหนักไม่เกิน 50 กก. สำหรับชั้น 2 สามารถนำติดตัวไปได้ น้ำหนักไม่เกิน 40 กก. สำหรับชั้น 3 สามารถนำติดตัวไปได้ น้ำหนักไม่เกิน 30 กก. และทั้งนี้ขนาดต้องไม่เกิน 50x50x50 การวางสัมภาระต้องไม่กีดขวางการเดินและทางสัญจร ถ้าเกินกว่าที่กล่าวเอาไว้จะต้องจ่ายค่าระวางเพิ่มตามขนาดจริงครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 22:22:49

ความคิดเห็นที่ 9 การขนส่งสินค้า การขนส่งสินค้าโดยที่ผู้โดยสารไม่ได้ติดตามไปด้วยนั้น จะต้องมีการคำนวณระยะทาง น้ำหนัก และตีออกมาเป็นค่าระวาง ซึ่งสินค้าบางอย่างนั้นจะมีราคาขั้นต่ำไม่เท่ากัน ขออนุญาตแจ้งแบบที่พบบ่อยๆ สินค้าประเภทอาหารแห้ง เสื้อผ้า ขั้นต่ำ = 60 บาท สินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์ ขั้นต่ำ = 100 บาท สินค้าประเภทล้อเลื่อนขนาดเล็ก ขั้นต่ำ = 100 บาท สินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า ขั้นต่ำ = 100 บาท คอมพิวเตอร์ ชิ้นละ 150 บาท ถ้าอยากส่งถูก แพ็ครวมลงกล่องสิจ๊ะ...กล่องละ 150 ทั้งนี้การชำระเงินนั้น หากคิดคำนวณแล้วราคาที่ได้ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำ ต้องชำระตามราคาขั้นต่ำนั้น แต่ถ้าเกินจะต้องคิดตามจริง ส่วนค่าธรรมเนียมนั้นจะคิด 50% ของค่าระวางที่ได้ เช่น ค่าระวาง 60 บาท ค่าธรรมเนียม = 30 บาท รวม 90 บาท จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 22:27:02

ความคิดเห็นที่ 10 สุนัข และสัตว์เลี้ยง สุนัข และสัตว์เลี้ยงทุกประเภท...ไม่สามารถนำขึ้นรถปรับอากาศได้ ต้องไปกับรถพัดลมเท่านั้น สำหรับสุนัขตัวเล็ก ถ้าสามารถนั่งกับคุณได้ ก็คิดแค่ตัวละ 90 บาท แต่ถ้าตัวเบิ้มมาก หรือเป็นสุนัขดุร้าย เช่น บางแก้ว พิทบูล ร๊อตไวเลอร์ ต้องใส่ที่คุมขังให้เรียบร้อยและเจ้าหน้าที่จะนำไปไว้ที่ตู้สัมภาระของขบวนนั้นๆ แต่อย่าลืมเตรียมน้ำและอาหารไปด้วยนะครับ เจ้าหน้าที่จะไม่ได้ดูแลให้ได้ตลอดเวลา สัตว์ปีก จะต้องมีใบอนุญาตจากกรมปศุสัตว์ด้วยนะครับ คิดราคาตัวละ 10 บาท ส่งได้ไม่เกิน 5 ตัว จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 22:32:39

ความคิดเห็นที่ 11 สำหรับจักรยานยนต์ รถจักรยานยนต์ อนุญาตให้นำไปกับขบวนรถโดยสาร และรถรวมทุกขบวน โดยเสียค่าระวาง ดังนี้ ขนาดไม่เกิน 125 ซีซี ค่าระวางรวม = ค่าระวาง + ค่าธรรมเนียม 400 บาท + ค่าขนขึ้น 80 บาท + ค่าขนลง 40 บาท ขนาดเกิน 125 ซีซี ค่าระวางรวม = ค่าระวาง + ค่าธรรมเนียม 500 บาท + ค่าขนขึ้น 100 บาท + ค่าขนลง 60 บาท ส่วนหลักฐานที่ต้องนำติดตัวมาด้วย คือ สมุดจดทะเบียนรถ และบัตรประชาชนตัวจริง รวมถึงต้องมีผู้โดยสารเดินทางด้วยอย่างต่ำ 1 ท่านครับ หากยังผ่อนส่งไม่หมด สามารถใช้เอกสารการซื้อขายแทนได้ครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 22:34:00

ความคิดเห็นที่ 12 ขอต่อวันพรุ่งนี้นะครับ ทิ้งข้อความไว้ได้เลย ^^ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 22:37:01

ความคิดเห็นที่ 13 จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 23:36:07

ความคิดเห็นที่ 14 มานอนรอที่สถานีรอพรุ่งนี้นะครับ 555+ จากคุณ : JINBE4029 (fimmaster) เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 23:42:07

ความคิดเห็นที่ 15 เรื่องค่าระวางขนของนี่ ทำผมเซ็งเป็ดมาครั้งนึงครับ พอดีเคยขนของ น้ำหนักรวมประมาณ 40 กิโลกรัม เจอค่าระวาง ค่าขนขึ้น ค่าขนลง ไปๆ มาๆ บวกๆ แล้วซื้อน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโล x 3 คนกลับคุ้มกว่าซะงั้น ไม่ต้องรอไปรับวันรุ่งขึ้นด้วย คิดว่าการจ่ายแยกหลายๆ ทอดยังไงๆ ไม่รู้นะครับ แต่กรณีถ้าขนมอเตอร์ไซด์ อย่างไรก็คงต้องใช้บริการ รฟท. อยู่ดี ปล. มีตั๋วรุ่นที่เป็นกระดาษแข็งเล็กๆ ไหมครับ ผมเคยไปออกตั๋วรถสายพิเศษ กรุงเทพ-น้ำตก ช่วงปี 2548 เป็นตั๋วที่คลาสสิกมากจริงๆ เห็นว่า เป็น limited edition ต้องออกที่หัวลำโพงเท่านั้นด้วย !! จากคุณ : ยุ่งชะมัด..สัตวแพทย์ เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 01:17:47

ความคิดเห็นที่ 16 ผมมีสิ่งที่ Limited Edition มากกว่า ตั๋วแข็งซะอีกครับ พี่หมอยุ่ง เพราะนี่คือ ตั๋วเดือน ชนิด ไป - กลับ ครับ ... นานมาแล้ว ตั๋วใบนี้ก็ยังอยู่ จากคุณ : สัญญาณไฟสี 3 ท่า (Sps-TE') เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 03:55:07

ความคิดเห็นที่ 17 ตั๋วเดือนผมเหลือใบยึงนะ แต่ยุ่ยมากตอนน้ำท่วม ย้ายหนีไม่ทัน ส่วนตั๋วแข็ง 140 ใบครับที่มีอยู่ ถ้าหากขนส่งเนี่ย....รถไฟทำเองมันก็ดีอยู่แล้ว ให้เอกชนมารับสัมปทานทำบ้าอะไรก็ไม่รู้ มีคนร้องเรียนกันให้พรึ่บ โกง แพง แล้วบางทีของหายด้วย จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 06:02:30

ความคิดเห็นที่ 18 ว่าจะไปเชียงใหม่ด้วยรถไฟ  แต่เห็นข้อมูลนี่แล้ว  เอ่ออ จะไปเที่ยวเชียงใหม่ ไม่ได้จะไปนั่งรถไฟไปเชียงใหม่   ขบวน 1 ออกจากลำปางไปตอน 11.20 จากกำหนดเวลาถึงเชียงใหม่ 8.20  คาดว่าถึงเชียงใหม่คงไม่แคล้วเลทไป 6 ชั่วโมง  เอาไว้มีเวลาว่างงงงงงงงงงง แล้วจะไปนั่งเล่น จากคุณ : The Petit garcon เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 11:56:07

ความคิดเห็นที่ 19 ดีมากเลยครับ  ขอบคุณครับ จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 12:07:33

ความคิดเห็นที่ 20 ประสบการณ์กับรถไฟ... ไปสายเหนือ โรงเรียนไปเข้าค่าย เหมาตู้ชั้น 3 ไป 3 ตู้ ให้พวกนร. หญิงนั่งตรงกลาง นร. ชายนั่งหัวท้าย เราก็มัวแต่ช่วยเพื่อนขนของขึ้นทางหน้าต่าง ส่งกระเป๋าของเราเองขึ้นสุดท้าย พอขึ้นไปในขบวน เพื่อนๆ เอาของเราไปวางตรงที่นั่งหน้าห้องน้ำ... แถมโดนครูสั่งอีก "พวกนั่งติดประตูเนี่ย ผลัดกันนอนนะ เป็นยามให้ด้วย" แถมเจอลุงขึ้นมาพร้อมไก่ชน 2 ตัว มาขอนั่งพื้นแถวๆ ที่พวกผมนั่งกัน สักพัก ไก่มันท้องเสียอะ... เหม็นสุดๆ (นอกจากต้องทนกลิ่นห้องน้ำเพื่อนๆ แล้ว) ไปสายเหนือ หน้าฝน เจอรางลื่น รถวิ่งขึ้น 30 นาที แล้วหยุด ไหลกลับ 20 นาที สลับกันไปมา จากกำหนดถึงปลายทางช่วงสายๆ ถึงจริงบ่ายกว่า เที่ยวนี้ สั่งอาหารเช้าไว้กับเจ้าหน้าที่ที่มาเดินจด กว่าจะได้กินเกือบกลายเป็นมื้อเที่ยง เจ้าหน้าที่บอกว่า "เดินเอามาให้กลุ่มพี่ 3 รอบแล้ว แต่ไม่ถึงซะที โดนดักซื้อกลางขบวนหมดเลย ผมต้องลงสถานีแล้ววิ่งเอามาให้เนี่ย" (เชื่อดีไหมเนี่ย แล้วขายเขาทำไมในเมื่อของพวกผมสั่งไว้) ไปสายใต้ เอาอุปกรณ์ทำงานไปส่งทางสินค้าระวาง ตัวนั่งไปด้วย เจอรอหลีกหลายครั้ง รวมๆ แล้ว 3 ชั่วโมงได้ ถึงปลายทาง ขบวนรถยาวกว่าสถานี ของถูกเอาลงมาวางไว้ข้างราง ตรงสันคันดินสูงๆ ของเกือบหล่น ข้างในเป็นพวกขวดแก้วที่จะเก็บตัวอย่างน้ำ ถ้าแตก งานก็ทำไม่ได้แน่ๆ รอบเดีวยกันนี้ ขากลับ จากที่จะกลับรถไฟ ต้องกลับรถทัวร์ เพราะสหภาพหยุดงานประท้วงรัฐบาล สายใต้ อีกครั้งนึง ไปเที่ยว ตู้นอนแอร์ กลับมาถึง ทั้งกลุ่มโดนตัวเรือดกัดทั่วหน้า... แต่ถึงยังไง... ก็ยังชอบการเดินทางด้วยรถไฟ.. อ่าน 2 กระทู้นี้แล้ว คิดเล่นๆ ว่า การรถไฟน่าจะจัดให้พวกสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ประกวดออกแบบปรับปรุงตู้ต่างๆ บ้างนะ...แล้วก็ยึดเอาแบบนั้นๆ มาสร้าง เพราะผมว่าฝีมือคนไทยปัจจุบัน น่าจะสร้างตัวรถได้ แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 55 13:48:21 จากคุณ : Wobbegong เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 13:44:24

ความคิดเห็นที่ 21 สุดยอดกระทู้จริงๆ ค่ะ จากคุณ : nifedipine เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 16:40:42

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณที่นำมาบอกเล่าค่ะ กำลังคิดจะนำมอร์เตอร์ไซส์ขนขึ้นไปทางรถไฟอยู่พอดี จากคุณ : cool ลาวา เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 18:00:05

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณสำหรับนานาประสบการณ์นะครับ ตาม คห. 18 ตอนนี้สายเหนืออยู่ในช่วงการทำทางใหม่เกือบยกสายเลยครับ จากลพบุรี - พิษณุโลก เปลี่ยนสะพานเพื่อรองรับน้ำหนักของรถ และความเร็ว พิษณุโลก - เชียงใหม่ เปลี่ยนหมอน เปลี่ยนราง และมีการแก้แนวทางโค้ง รวมถึงการตัดเขาเพื่อลดโค้งอีกหลายจุด ส่งผลให้สายเหนือ....เป็นอย่างที่เห็น กว่าจะแล้วเสร็จตามสัญญาคือ 3 ปีครับ ผมขอต่อเลยละกันเนาะ ขอนำเสนอเกี่ยวกับปัญหา และสิ่งที่ควรปฏิบัติสำหรับการเดินทางด้วยรถไฟก่อนเลยนะครับ ข้อมูลที่ควรทราบในการเดินทาง 1. เมื่อซื้อตั๋วรถไฟแล้ว ให้ดูในช่องซ้ายสุดของตั๋ว จะระบุเลขขบวนไว้ เนื่องจากรถไฟจะไม่แจ้งตามเวลาออก (คือไม่แจ้งว่า รถเที่ยว 13.00น. อะไรแบบนี้) เพราะรถไฟเวลาขานเรียกกัน หรือ แจ้งขบวนเข้าเทียบ จะบอกเป็นเลขขบวน และต้นทาง-ปลายทางของขบวนนั้น 2. ในตั๋วโดยสารนั้น มุมขวาล่างสุด จะเป็นสถานะของตั๋วว่าซื้อวันไหน กี่โมง และตรงกลางล่างคือสถานีที่ขายตั๋วใบนั้นออกมา 3. ซ้ายมือล่างสุดของตั๋ว เป็นรหัสตั๋ว เปรียบได้กับ Serial No. มีความสำคัญมาก เพราะถ้าตั๋วหาย เราจะใช้รหัสนั้นเป็นรหัสตรวจสอบตั๋วที่สูญหายใบนั้นๆและทำให้คุณสามารถเดินทางต่อในที่นั่งเดิมได้ ถ้าจำไม่ได้ หรือไม่ได้จดไว้ ก็จบเห่ขอรับ 4. เมื่อถึงสถานีแล้ว สามารถสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ได้เลยว่าขบวนรถจะจอดที่ชานชาลาไหน และสามารถรอรถได้เลยครับ 5. เมื่อขึ้นรถไปแล้ว ให้หาเลขที่นั่ง ซึ่งจะมีติดไว้บนข้างฝา หรือติดกับเก้าอี้เลย นั่งตามที่ตั๋วระบุเท่านั้นนะครับ ไม่งั้นแล้วเจ้าที่เจ้าทางเขามี จะมาทวงที่คืน หึหึหึ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:11:00

ความคิดเห็นที่ 24 6. ไม่ควรเอาอวัยวะอะไรก็ตามยื่นออกนอกรถไฟขณะวิ่ง เนื่องจากพวกเสาสัญญาณ สะพาน และต้นไม้ มันโดนแรงลมมันอาจเคลื่อนเข้าใกล้ตัวถังรถได้ กันหน้าแหก แขนขาด เก็บไว้ข้างในเถิดครับ 7. ห้องน้ำรถไฟ ถ้าคุณฉี่ หรือ อึแล้ว ควรกดน้ำราดมันลงไปอย่าให้เซย์ไฮกับใครต่อใครได้ และเมื่อปฏิบัติกิจเสร็จแล้ว ควรแง้มหน้าต่างให้มีลมเข้าด้วยนะครับ เพราะไม่งั้นเมื่อเราไม่ราดน้ำ ฉี่มันจะแห้งติดกับโถส้วมซึ่งเป็นโลหะ เมื่อมันแห้งแล้วจะแปรสภาพกลายเป็นคราบและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ คุณรู้หรือไม่ว่า..กลิ่นไม่พึงประสงค์ทั้งหลายในห้องน้ำ มาจากการที่ไม่แง้มหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทนี่แหละครับ  ใครดื่มเบียร์แล้วเพิ่งฉี่นะ อย่าให้เซด.....คุณจะไม่แตะเบียร์อีกนาน 8. สำหรับรถนอน แนะนำว่า ของใช้มีค่าของคุณควรใส่ไว้ในถุงผ้าห่ม แล้ววางไว้ใต้หมอนนอนหนุนเลยครับ แล้วเอาชายผ้าม่านเหน็บเข้าใต้ฟูก เพราะถ้ามีใครมาเปิดที่นอนเราจะได้ทราบได้ครับผม จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:12:01

ความคิดเห็นที่ 25 หากเกิดเหตุ ต้องติดต่อใคร และสามารถรับมืออย่างไรได้บ้าง เหตุการณ์ >>> หาที่นั่งไม่เจอ??? ลำดับแรกครับ ลองมองกวาดในตั๋วของคุณก่อน ในช่องที่เขียนว่า “คันที่-เลขที่” ให้ดูเลยครับ ตรงนี้ประกาศิต บอกตำแหน่งชัดเจน จากนั้นให้มองหา tag number ที่ติดเอาไว้บนผนังครับ เจอตัวเลขเดียวปั๊บ ก็ประทับองค์ลงไปได้เลย แต่ถ้าหากมีใครนั่งทับที่คุณอยู่(แลดุเหมือนไม่ใช่คน) สามารถให้เขาลุกได้ครับ เพราะนั่นคือสิทธิ์ของคุณครับ หากเขายังไม่ยอมไป...ให้แจ้งพนักงานประจำขบวนรถได้เลย ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า รถชั้น 3 เนี่ยแหละครับ ตัวดีเลยที่มั่วที่นั่งกัน ไม่รู้ใครเค้าเป็นคนริเริ่มความคิด "นั่งตรงไหนก็ได้" ขึ้นมา ในขณะที่ตั๋วของคุณก็มีเลขที่นั่งระบุอยู่ มันเกิดจากความสบาย หรืออย่างไรผมไม่ทราบนะครับ แต่ทุกครั้งเราต้องนั่งตามหมายเลขที่นั่งที่ระบุในตั๋วครับ นอกเสียจากว่า "ตั๋วนั้นเป็นตั๋วไม่ระบุที่นั่ง" จึงจะนั่งตรงไหนก็ได้ในขบวนรถ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:13:38

ความคิดเห็นที่ 26 เหตุการณ์ >>> การก่อความไม่สงบบนขบวนรถ เช่น การเมาอาละวาด(ในชั้น3) หรือ การส่งเสียงดังจากผู้ร่วมเดินทาง ให้ท่านสามารถเรียกพนักงานประจำขบวนรถมาให้จัดการได้เลยครับ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ผมไม่แนะนำให้จัดการกับผู้ก่อเหตุโดยตรงเพราะมันอาจจะบานปลายและปลายบานมากถึงมากที่สุด ควรให้เป็นหน้าที่ของตำรวจรถไฟประจำตู้นะครับ ขออนุญาตยกตัวอย่าง ผมเดินทางไปเชียงใหม่กับเพื่อน แล้วมีคนมานั่งเมาตรงบันได ตอนแรกมันก็สามัคคีกันดี ตอนหลังมันเริ่มจะตีกัน ผมเลยแจ้งตำรวจรถไฟเลย เค้าก็ลากลงไปที่สถานีนครสวรรค์ จัดการกันเดี๋ยวนั้น...แล้วก็เข้าสู่โหมดนิทราอย่างสุขาวดี จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:15:36

ความคิดเห็นที่ 27 ในกรณีที่คุณตกรถไฟ >>>> หมายถึง Falling down from train นะครับ ถ้าหากคุณไม่เป็นอะไรมาก ยังมีสติอยู่ ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ครับ 1. หากสายตายังใช้ได้อยู่ไม่พร่ามัวจากการกระทบกระเทือน ให้กวาดตามองข้างทางรถไฟ จะเห็นเสาสีดำๆปักอยู่ตามแนวทางรถไฟ และมีสายโทรศัพท์โยงไว้ นั่นคือ เสาโทรเลข และลองมองดูตัวเลขที่เขียนบนเสา เช่น 191/1 นั่นหมายถึง คุณอยู่ที่ กม.191 เสาต้นที่ 1 (ใน 1 กม. จะมี 16 ต้นในทางราบ และ 20 ต้นในทางภูเขา) 2. เมื่อคุณรู้พิกัดตัวเองแล้ว และหากโทรศัพท์มือถือยังอยู่กับตัวและใช้การได้ รีบโทรไปที่ 1690 เพื่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่โดยทันที พร้อมแจ้งว่า คุณอยู่ ณ กม.ที่เท่าไหร่ตามที่เห็น และบอกด้วยว่า ตกมาจากขบวนอะไร เจ้าหน้าที่จะ outbound ไปหาสถานีที่ใกล้ที่สุดเพื่อตามคนมาช่วยเหลือคุณ 3. หากไม่มีโทรศัพท์ ให้พยายามเดินตามรางรถไฟเข้าไว้ โดยนึกให้ได้ว่าผ่านสถานีก่อนหน้ามานานมากน้อยเพียงใด หรือ ถ้ามองเห็นเสาสัญญาณไฟเขียวไฟแดง ให้รีบมุ่งหน้าไปยังเสาสัญญาณทันที เพราะเสาสัญญาณไฟนั้นจะมีเฉพาะในเขตสถานีเท่านั้น รัศมีจะไกลสุดคือ 2 กิโลเมตร 4. จากนั้นหากมีบาดแผล ให้ห้ามเลือดตัวเอง และหาผ้าสีที่สะดุดตาที่สุดผูกติดกับไม้ยาว และยกสูงๆเพื่อให้เป็นที่สังเกต 5. ถ้าอยู่ใกล้ชุมชน พยายามมองหาแหล่งชุมชนไว้ครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:22:42

ความคิดเห็นที่ 28 เหตุการณ์ >>> เกิดอุบัติเหตุจนทำให้รถไฟไม่สามารถเดินทางต่อได้ อันนี้ไม่ต้องทำอะไรครับ คุณรอรับการช่วยเหลือจากทางเจ้าหน้าที่เลย เพราะว่าเหตุนี้เป็นเหตุอันตรายและฉุกเฉินมาก ลำดับแรก ทางฝ่ายโยธาจะต้องประเมินก่อนว่า...จะสามารถผ่านจุดเกิดเหตุได้หรือไม่ เช่นน้ำท่วม ต้นไม้ขวางทาง รถไฟตกราง หรือรางหัก หากประเมินแล้วว่า สามารถผ่านได้ ก็จะต้องรอซ่อมหรือเคลียร์ทางให้เรียบร้อยก่อนจึงจะสามารถเคลื่อนขบวนผ่านในจุดเกิดเหตุได้ด้วยความเร็วที่ต่ำพอที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับการโดยสาร ซึ่งแน่นอนครับ คุณไม่ได้รอเป็นขบวนเดียว มีอีกเป็นสิบขบวน และเป็นร้อยชีวิตที่ต้องรอการช่วยเหลือเหมือนกัน หากประเมินแล้วว่า ไม่สามารถผ่านได้แน่นอน เช่นตอนน้ำท่วม หรือรถไฟตกราง ทางการรถไฟจะต้องจัดการขนถ่ายคุณออกจากขบวนเดิม เพื่อไปยังปลายทางอย่างปลอดภัยและเสียเวลาน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาจจะเป็นการขนถ่ายไปกับรถไฟขบวนอื่นที่รออยู่อีกฟากของที่เกิดเหตุ หรือใช้รถบัสขนถ่ายคุณจนถึงปลายทางครับ นี่เป็นวิธีการจัดการที่ถือได้ว่า win win ทั้ง 2 ฝ่ายครับ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเช่ารถมาขนถ่าย การรถไฟเป็นผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:23:36

ความคิดเห็นที่ 29 เหตุการณ์ >>> แอร์เสีย ถ้าจู่ๆ แอร์ที่แช่เย็นมาตลอดทางเกิดดับสนิทไม่ปัดเป่าคุ้มภัย (เอ๊ะ แอร์หรือน้ำมนต์) เพราะเราไม่สามารถเรียกช่างซ่อมแอร์ในตำนานมาซ่อมได้ ฉะนั้นเจ้าหน้าที่รถไฟจะต้องพยายามปลุกปล้ำซ่อมมันให้ได้ แต่ถ้าเกินจะเยียวยา ช่างซ่อมแอร์คนเดิม ก็ไม่ช่วยท่าน.... คุณสามารถให้พนักงานประจำรถเซ็นสลักหลังตั๋ว และนำมารับค่าปรับอากาศคืนได้ที่สถานีปลายทางที่ลงครับ ปล.รูปปลากรอบนี่เอาฮานะจ๊ะ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:24:58

ความคิดเห็นที่ 30 เหตุการณ์ >>> ตั๋วหาย ลำดับแรก ที่คุณต้องนึกได้ มีดังนี้ครับ 1. วันเดินทาง 2. ขบวนที่เดินทาง 3. ตู้ที่โดยสาร และเลขที่นั่ง 4. รหัสตั๋ว (ถ้าจำได้ แต่แนะนำให้จำให้ได้) จากนั้นให้ไปติดต่อแจ้งความที่ สน.ใดก้ได้ และนำใบแจ้งความไปติดต่อที่สถานีรถไฟก่อนรถออก 3 ชม. เพื่อทำการตรวจสอบประวัติตั๋ว และออกตั๋วใบใหม่ทดแทนใบเดิมเพื่อทำการโดยสารครับ นี่เลยครับ กรอบสีแดง สิ่งที่ต้องจำให้ได้ แนะนำว่า ได้ตั๋วมาแล้วควรจะจดรายละเอียดทั้งหมดเก็บไว้ หรือซีร๊อกส์ตั๋วเพื่อเอาไว้ดูข้อมูลสำรอง (แต่ใช้เดินทางไม่ได้นะ) จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:25:44

ความคิดเห็นที่ 31 ความสะอาด >>> เรื่องความสะอาดนั้นเป็นเรื่องที่ถูกติติงมากที่สุดของรถไฟรองลงมาจากเรื่องเสียเวลา ซึ่งความสะอาดนั้นมันเกิดได้จากตัวเราเอง หาได้เกิดจากรถไฟโดยปฐมบทไม่ ขอให้ท่านรักษาความสะอาดบนรถไฟด้วย เรามีพนักงานทำความสะอาดตลอด เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า "ญี่ปุ่นนั้น คนทิ้งขยะน้อยกว่าคนเก็บขยะ แต่บ้านเรา คนทิ้งมีมากกว่าคนเก็บ" ทั้งนี้ ห้องน้ำ หรือตัวรถไฟจะสะอาด หรือไม่สะอาด ไม่ได้อยู่ที่การรถไฟ หรือ ตัวรถไฟ หรือเจ้าหน้าที่นะครับ มันขึ้นอยู่กับพฤติกรรมผู้ใช้ด้วย ถ้าผู้ใช้มีจิตสำนึกที่ดี รักษาความสะอาด ไม่ทิ้งขยะเรี่ยราด เข้าห้องน้ำแล้วเปิดหน้าต่างแง้มให้ลมผ่าน ปัญหารถไฟสกปรก ส้วมเหม็น ก็จะหายไปเลยครับ ส่วนมากส้วมเหม็น เพราะไม่ยอมเปิดหน้าต่างแง้มๆให้อากาศถ่ายเท นี่คือเรื่องจริงครับ อย่างในภาพ นี่รถชั้น 3 ของรถท่องเที่ยว ย้ำ รถท่องเที่ยว คงไม่มีใครอยากเห็นภาพแบบนี้ ดังนั้นต้องช่วยกันครับ แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 55 20:27:28 จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:27:08

ความคิดเห็นที่ 32 เหตุการณ์ >>> ลืมตั๋ว ลำดับแรกเมื่อตั้งสติได้แล้วว่า ลืมไว้บ้าน......อิ๊บอ๋ายแล้ววววว วิธีแรกเลยครับ ให้คุณจำสิ่งที่อยู่บนตั๋วของคุณเอาไว้ 1. วันเดินทาง 2. ขบวนที่เดินทาง 3. ตู้ที่โดยสาร และเลขที่นั่ง จากนั้นให้ไปติดต่อที่สถานี แจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ว่า “ลืมตั๋วค่ะ.....” เจ้าหน้าที่จะต้องออกตั๋วใบใหม่ใช้โดยสารแทน อาจจะเป็นตั๋วชั้นที่ถูกกว่า หรือชั้นเดิม โดยคุณจะต้องจ่ายเงินราคาเต็มไว้ก่อนนะครับ ถ้าหากคุณจำรายละเอียดเดิมได้ก็สามารถนั่งที่เดิมได้ครับ เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพและขุดเจอตั๋วใบที่ลืมเอาไว้แล้ว แม๊กเลยฮะ จับมันคู่กันเหมือนเล่นตุ๊กตาวูดู แล้วไปเอาตังค์คืน (ได้เงินคืนเฉพาะอันที่คุณซื้อใหม่นะ)... จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:28:03

ความคิดเห็นที่ 33 เรื่องตั๋วโดยสารนี่ สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในแต่ละครั้ง ที่จะเดินทางไปไหน ตั๋วโดยสารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ได้รับตั๋วจากช่องขายตั๋วแล้ว เก็บรักษาไว้ให้ดี อย่าทำเปียกน้ำ หรือ ทำหาย และควรที่จะเก็บตั๋วโดยสารไว้กับตนเอง จนกว่าจะสิ้นสุดการเดินทาง เพราะเคยเกิดกรณี ที่ขบวนรถล่าช้ากว่ากำหนดเวลา มากกว่าปกติ จนทำให้ต้องตัดระยะ ตั๋วใบที่คุณถืออยู่นั้น จะเป็นใบต่อรถ สำหรับการต่อระยะ คุ้มครองการโดยสารไปจนถึงจุดหมายปลายทาง จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:28:58

ความคิดเห็นที่ 34 ลักษณะเส้นทาง ที่มีผลกับความล่าช้าของขบวนรถ หลายครั้งเรามักมีคำถามหรือสงสัยว่า...เพราะอะไรทำไมรถไฟมันถึงล่าช้า หลายคนมักอารมณ์เสีย..แต่บางคนอาจจะชอบที่จะได้นอนต่อ.... ผมขอเริ่มจากสายเหนือก่อนเลยครับ สายเหนือนั้น เป็นทางรถไฟที่ยาวเป็นอันดับที่ 2 รองจากสายใต้ เส้นทางนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1. ส่วนทางราบภาคกลาง จะอยู่ในละแวกกรุงเทพ จนถึงอุตรดิตถ์ ซึ่งตรงนี้รถไฟจะสามารถใช้ความเร็วได้ปกติมากๆ เพราะเป็นทางราบที่ไม่ค่อยมีโค้งเท่าไหร่ ผ่านทุ่งนา แม่น้ำ ห้วยหนองคลองบึง และชุมชนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในจังหวัดพิจิตร และพิษณุโลก ที่รถไฟผ่านกลางเมือง ในขณะที่ถนนเส้นหลักนั้นห่างจากตัวเมืองไปโขเลย จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:29:40

ความคิดเห็นที่ 35 2. ส่วนทางภูเขา จะเริ่มตั้งแต่จังหวัดอุตรดิตถ์ ไปจนถึงช่วงก่อนเข้าสถานีลำพูน ทางช่วงนี้จะเป็นเขาโดยแทบตลอด จะมีทางราบเล็กน้อยมากแค่ไม่ถึง 10 กิโลเมตร ด้วยความที่สมัยก่อนนั้นการสร้างทางรถไฟไม่ได้เน้นการเจาะอุโมงค์ หรือทำทางลัด เพื่อลดค่าใช้จ่ายจึงต้องทำเป็นทางรถไฟอ้อมเขาไป และไอ้เพราะอ้อมเข้าเนี่ยแหละทำให้รถไฟจึงใช้เวลามากกว่ารถยนต์โข และเพราะรถไฟนั้นมีข้อจำกัดในการวิ่งทางภูเขายิ่งยืดยาวเข้าไปใหญ่ในเรื่องความเร็ว และในบางทีถ้ายาวมากๆ ก็ขึ้นเขาไม่ไหวอีก ช่วงนี้รถไฟถ้าเสียเวลาแล้วจะทำเวลาคืนได้ค่อนข้างยากจากอุปสรรคทางธรรมชาติ แต่ถ้าลงเขาเมื่อไหร่ ฉลุยโลด!!! 3.ช่วงทางราบก่อนถึงเชียงใหม่ ช่วงนี้จะเริ่มจากช่วงสถานีลำพูน ไปเชียงใหม่ ระยะสั้นๆ 35 กม.ได้ (นับจากดอยติ) จะผ่านที่ชุมชนตลอดทางเลยครับ รถไฟสามารถทำเวลาคืนได้จากช่วงนี้ ส่วนมากแล้วรถไฟไปเชียงใหม่จะผ่านแถวภูเขาช่วงเช้ามืด และดึกๆ เลยไม่ค่อยมีใครสังเกต ยกเว้นขบวน 51 ซึ่งผู้ที่เห็นสภาพทางจะเข้าใจทันทีว่า "เพราะอะไรทำไมรถไฟสายเหนือถึงใช้เวลาเดินทางนาน" จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:35:36

ความคิดเห็นที่ 36 ดังที่เห็นจากข้างต้น อาจจะมองข้อมูลไม่ชัด ลองมาดูสรุปกันง่ายๆกันครับว่าสภาพทางสายเหนือตอนนี้เป็นยังไงกันบ้าง เพราะเหตุนี้ที่เป็นปัจจัยว่าทำไมบางขบวนถึงช้าทุกวัน และทำไมบางขบวนกลับไม่ช้าเลย และที่มันช้า มันช้าเพราะอะไร ข้อมูลอัพเดท.... 1 สิงหาคม 2555 จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:36:29

ความคิดเห็นที่ 37 ถ้านั่งรถไฟสายเหนือช่วงนี้ ก็จะพบภาพแบบนี้ครับ ช่วง ลพบุรี ยัน พิษณุโลก เปลีย่นสะพานแบบสนุกสุดเหวี่ยง ทุกสะพาน กล่าวคือ กระเทาะคอสะพานเดิมออก ทำให้โครงสร้างสะพานอ่อนแอลง และค้ำด้านล่างด้วยโครงเหล็ก จากนั้นประกอบสะพานใหม่ข้างๆกัน ก่อนจะกำหนดวันปิดทาง คือ ขบวนไหนจะผ่านช่วงยกสะพานอันใหม่เข้ามาแทนที่คือซวยมาก จากนั้นจะตัดสะพานอันเก่าออก แล้วยกด้วยรถเครนออกไป ทางรถไฟจะอยู่ในสภาพ "ทางขาด" แล้วรถเครนจะยกอันใหม่ลงมาประกอบ พร้อมตกแต่งให้กลับสู่สภาพเดิม ใช้เวลาประมาณ 4 -5 ชั่วโมง ในการทำแต่ละครั้งครับ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน เรามีภาพปลากรอบ นี่คือสะพานเล็กๆ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:42:12

ความคิดเห็นที่ 38 นี่คือสภาพสะพานขนาดกลาง ที่ยกอันใหม่เข้ามาแล้ว (สังเกตว่าอันใหม่จะเป็นสีเงินวิ้งๆ) แต่ต้องมีโครงค้ำยันอยู่ จนกว่าคอสะพานจะเซตตัวได้ตามมาตรฐาน และต้องวิ่งใช้ความเร็วแค่ 20 จนกว่าสะพานจะอยู่ตัว คิดดู สายเหนือมีเกือบร้อยสะพาน จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:43:19

ความคิดเห็นที่ 39 นี่สะพานขนาดใหญ่บึ้ม .... เห็นไหมครับจะมีการประกอบรอไว้แล้ว รอเพียงเสร็จ กำหนดวันปิดทางเพื่อเอาสะพานใหม่มาแทนที่อันเก่า (ยกหมดทั้งราง ทั้งโครง) จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:45:05

ความคิดเห็นที่ 40 ต่อมาเป็นการเอาหมอนมาวางไว้ข้างรางเดิม และเปลี่ยนหมอนไม้ให้เป็นหมอนคอนกรีต ยังคงใช้รางเดิมอยู่นะครับ รอให้ทุกอย่างเข้าที่ แล้วจึงเปลี่ยนราง จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:47:10

ความคิดเห็นที่ 41 ส่วนทางเหนือ บริเวณตีนดอยขุนตาน ก็มีการแก้แนวรางครับ ที่เป็นดินลูกรังคือ รางรถไฟจะย้ายไปอยู่ตรงนั้นแทน เพื่อลดรัศมีโค้ง และทำให้โค้งน้อยลง จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:49:27

ความคิดเห็นที่ 42 มาดูความชันของทางสายเหนือบ้างครั้ง บางคนอาจไม่เห็นภาพว่าเอ๊ะ มันขึ้นเขาตรงไหนอะไรยังไง นั่งดูไปมันก็เหมือนๆเดิม จุดทางภูเขานั้น บางช่วงที่เป็นทางขึ้น มันจะค่อนข้างทอนกำลังของรถไฟพอสมควร แต่จุดที่เป็นทางลงนั้นกลับทำให้รถวิ่งได้ดีขึ้นเพราะไม่ต้องใช้แรงอะไรมาก ผมได้ทำเป็นภาพตัดขวางคร่าวๆของทางสายเหนือตั้งแต่ อุตรดิตถ์ - เชียงใหม่ เพื่อให้เราเข้าใจว่า ตรงไหนชันมาก และชันน้อย ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาขึ้นเขาไม่ค่อยไหวของรถไฟครับ โซน1 >> เขาพลึง ทางจากปางต้นผึ้ง ขึ้นไปจนถึงอุโมงค์เขาพลึงจะลาดชันกว่าจากฝั่งห้วยไร่ รถเที่ยวไปมักจะมีปัญหากับการไต่เขามากกว่าเที่ยวล่อง โซน 2 >>> เนิน 588 ออกจากสถานีบ้านปินไป ทางจะขึ้นเขาตลอด เป็นการขึ้นที่ไม่ชันมาก แต่กินระยะทางไกลทำให้ทอนกำลังจนถึง กม.588 นี่คือจุดที่โหดที่สุดของตรงนี้ จะวัดเลยว่ารอดไม่รอด เมื่อผ่านเนิน 588 ไปแล้วจะเป็นทางลงตลอดจนถึงลำปาง (มีขึ้นบ้าง) เที่ยวไปจะชันกว่าเที่ยวกลับ โซน3 >>> ขุนตาน โซนนี้สาหัสทั้ง 2 ฝั่ง แต่ฝั่งจากลำปางค่อนข้างชันกว่า ซึ่งโซนนี้ รถไฟต้องใช้หัวรถจักรเพิ่มอีก 1 หัวเพื่อช่วยลากขึ้นดอยขุนตาล จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:51:29

ความคิดเห็นที่ 43 สายอีสาน สำหรับสายอีสานนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 สายหลักๆ ขอแจ้งรายละเอียดเฉพาะก่อนเลยนะครับ สายอุบลราชธานี จาก บ้านภาชี - อุบลราชธานี เส้นทางจะแบ่งออกเป็น 2 โซน โซนที่ 1 >>> ทางราบ ซึ่งจะมีช่วงสั้นๆจากบ้านภาชี - แก่งคอย และช่วงยาวจากคลองไผ่ - อุบลราชธานี สายนี้มีโค้งน้อยมากกกกกกก (ในช่วงทางราบ) และรถสายนี้มักจะไม่ค่อยล่าช้าด้วยครับ โซนที่ 2 >>> ทางภูเขาช่วงแก่งคอย - คลองไผ่ จะแบ่งเป็น 3 จุดโหดด้วยกันคือ 2.1 เนินมาบกะเบา .... ถ้าเทียบกับถนนมิตรภาพจะอยู่ตรงทับกวางครับ ตรงนี้จะเป็นทางตรงดิ่งพุ่งขึ้นเนินไปเลย จะไปสุดตรงสถานีมาบกะเบา...ตรงโรงปูนแรกน่ะครับ ย้ำนะครับ ตรงดิ่ง.....รถไฟจะเร่งเครื่องตั้งแต่ออกแก่งคอยมาเลย ถ้าหากแรงเร่งตก....ก็มักจะติดอยู่กลางเนินแล้วค่อยๆกระดื๊บบบบบบขึ้นไปจนถึงมาบกะเบา 2.2 ผาเสด็จ - หินลับ - มวกเหล็ก """ ทางตรงนี้จะลัดเลาะไปตามเชิงเขา ผ่านหลังโรงปูน TPI ทางจะลาดชันในช่วงผาเสด็จ - หินลับ และจะเริ่มลงเขาตรงช่วงก่อนถึงทางเข้าน้ำตกเจ็ดสาวน้อย พุ่งสู่เมืองมวกเหล็ก 2.3 โค้งมิตรภาพ - บันไดม้า >>> ทางตรงนี้จะตรงเกือบตลอด แต่เป็นทางขึ้นเรื่อยๆๆๆๆๆๆ ดูไม่ชันนะครับ แต่ทางขึ้นโคตรโหด..ขึ้นอย่างเดียว รถเที่ยวไปจะช้าตรงนี้บ่อย แต่รถเที่ยวกลับวิ่งสบ๊ายยยยยเพราะลงเนิน... จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:52:27

ความคิดเห็นที่ 44 สายหนองคาย... ทางส่วนมากเป็นทางราบครับ กำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงทางจากหมอนไม้เป็นหมอนคอนกรีต อีก 2 ปีจะวิ่งฉิวววว เลยครับ ส่วนอีกสายหนึ่งคือ แก่งคอย - บัวใหญ่ ออกจากแก่งคอยไปจนถึงเขื่อนป่าสักจะเป็นที่สลับเนินเล็กน้อย ออกจากเขื่อนป่าสักไปก็มีเนินบ้าง และไปขึ้นเขาแบบไต่ระดับเมามันมากตรงสถานีโคกคลี (อ.ลำสนธิ) จนถึงสถานีบ้านวะตะแบก (อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ) และจะเป็นทางราบจนถึงสถานีบัวใหญ่ครับ นี่คือลักษณะเส้นทางของอีสานครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:53:16

ความคิดเห็นที่ 45 มาดูสภาพโดยรวมของทางสายอีสานบ้าง สายหนองคายจะหนักหน่อยครับ เพราะว่าปรับปรุงทางกันยกเซ็ตเลย เปลี่ยนจากราง 75 ปอนด์ หมอนไม้ ให้เป็นราง 100 ปอนด์ หมอนคอนกรีต จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:54:28

ความคิดเห็นที่ 46 แบบเปรียบเทียบรางที่จะได้รับการปรับปรุงใหม่(ในทางประธาน) 2 ภาพบนคือ รางขนาด 75 ปอนด์ หมอนไม้ หินเบาบาง รถจะวิ่งได้ความเร็วแค่ รถจักร 80 ดีเซลราง 100 (โดยประมาณ) ส่วน 2 ภาพล่างคือ รางขนาด 100 ปอนด์ (สูงประมาณ 1 คืบ) หมอนคอนกรีต หินหนา รถจักรจะวิ่งความเร็ว 100 และดีเซลราง 120 ครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:54:56

ความคิดเห็นที่ 47 ภาพตัดขวางของทางภูเขาช่วง แก่งคอย - ปากช่อง ครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:55:37

ความคิดเห็นที่ 48 ทางรถไฟสายใต้ เป็นทางรถไฟสายที่ยาวที่สุด แทบไม่มีทางภูเขาเลย จะมีก็แค่ 2 ช่วงหลักๆเท่านั้นคือ ช่วงสถานีเขาไชยราช - สถานีชุมพร ซึ่งตรงนี้รถจะใช้ความเร็วได้แค่ 70 กม./ชม. และช่วงสถานีใสใหญ่ - สถานีเขาชุมทอง ซึ่งจะใช้ความเร็วเฉลี่ยเป้นจุดๆอยู่ที่ 45 - 65 กม./ชม. ทางสายใต้ก็ถือได้ว่ามีสภาพทางดีที่สุดในประเทศ (ยกเว้นช่วงพัทลุง ที่กำลังจะปรับปรุงทาง) รางขนาด 100 ปอนด์ จะเริ่มตั้งแต่หัวหิน - ทุ่งสง ซึ่งกินระยะทางเกินครึ่งของเส้นทาง รถไฟซัดได้เต็มที่เลย แต่ส่วนมากแล้วรถที่จะล่าช้า จะเป็นรถที่มีปลายทางต่ำกว่านครศรีธรรมราชลงไป คือ ยะลา โกลก และบัตเตอร์เวอร์ธ.... เพราะว่าเมื่อรถออกจากกรุงเทพไปแล้ว จะมีเวลาพักรถแปปเดียวก็ต้องกลับมากรุงเทพเลย จะแตกต่างกับรถที่ไปนครศรีธรรมราช และตรัง ที่มีเวลาพักรถนานกว่าใครเพื่อน และเข้ากรุงเทพในช่วงต้นๆเลยทำให้แทบไม่ค่อยล่าช้าเลย แต่ยะลา โกลก น่ะหรอ......= =" จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:56:05

ความคิดเห็นที่ 49 ชุดรถของรถไฟ.... รถไฟนั้นจะไม่เหมือนรถทัวร์ กล่าวคือ รถทัวร์ ถ้าไปไหน...เส้นไหน..จะไปสายนั้นตลอด แต่รถไฟจะมีการหมุนไปทั่ว คือง่ายๆ ตู้เดียวเที่ยวทั่วไทย ฉะนั้นแล้ว ถ้าหากรถไฟล่าช้าก็จะมีรถสำรอง หรือถ้าบางจุดที่ไม่ใช่กรุงเทพมันจะไม่มีรถสำรองก็ต้องรอรถชุดเดิม ตัวอย่างเช่น ขบวน 139 กรุงเทพ - อุบลราชธานี เมื่อออกจากกรุงเทพ 18.55 ไปถึงอุบลราชธานี 6.15 และจะพักรถแปปนึง ก็จะตีกลับเป็น ข. 146 ออกอุบลราชธานี 8.45 ถึงกรุงเทพ 21.00 น. ซึ่งถ้าหาก ข. 139 ล่าช้ามาก ข. 146 ก็จะต้องล่าช้าด้วยตามครับ และยิ่งหนักกว่าคือรถดีเซลราง อันนี้หนักกว่าอย่างเห็นได้ชัด ข.11 ออก กรุงเทพ 18.00 น. ถึง เชียงใหม่ 6.15น. >> พักรถ ข.12 ออก เชียงใหม่ 8.45น. ถึงกรุงเทพ 20.30 น. อ๊ะๆ อย่าคิดว่า...มันจะไปเชียงใหม่ต่อนะ เมื่อรถเติมน้ำมันแล้ว ทำความสะอาด เติมน้ำใช้แล้ว 22.30 น. ก็จะมาลงเทียบที่ชานชาลาอีกครั้ง ในคราบของ ข. 41 ออก กรุงเทพ 22.50 ถึงยะลา 14.00 ข. 42 ออก ยะลา 14.30 ถึงกรุงเทพ 5.45 และ ไปเชียงใหม่ต่อ ข. 9 ออกกรุงเทพ 8.30 น. ถึงเชียงใหม่ 20.30 กลับ ข. 10 เชียงใหม่ ออก 21.00 กรุงเทพ 9.10 ถึงจะได้พัก... ถ้ามันพูดได้ คงบอกว่า.....กรูจะตายแล้วครับ มันก็เลยประสบปัญหา รถพัง อยู่เป็นนิจ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:57:01

ความคิดเห็นที่ 50 หลายครั้งที่รถไฟออกหัวลำโพงมาแล้ว ต้องมาหยุดรออะไรก็ไม่รู้แถวๆยมราช เพราะว่าถนนหนทางในกรุงเทพนั้นมันมีเส้นมหาศาล และการจราจรก็มหาศาลเช่นเดียวกัน หลายครั้งหลายหนที่รถไฟมักจะต้องรอให้รถยนต์วิ่งผ่านไปก่อน พอถึงเวลาสมควรแล้วถึงจะได้รับอนุญาตจากตำรวจให้เอาเครื่องกั้นลงได้ (คาดว่าเป็นประเทศเดียวในโลก) และจุดนี้แหละ ที่ทำให้รถไฟเสียเวลาแหลกราญตั้งแต่ต้นทาง แถมเป็นสาเหตุการเสียเวลาที่ "ไม่มีใครรู้" และ "ไม่มีใครพยายาทำความเข้าใจกับมัน" นี่คือแผนที่โดยสังเขปครับผม สังเกตความหนาแน่นตามสีครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 20:58:03

ความคิดเห็นที่ 51 และเมื่อไหร่ที่มีรถตำรวจมาขวางทางรถไฟ แบบนี้... ให้คุณนั่งรอในรถได้เลย อย่าได้สงสัย อย่าได้หงุดหงิด นั่นคือการจราจรพิเศษ หรือ อีนัยนึงคือ "ขบวนของบุคคลสำคัญกำลังจะผ่านถนนตัดกับทางรถไฟ" นั่นเอง จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:00:17

ความคิดเห็นที่ 52 มาถึง Part 2.3 ครับ รถไฟอยากบอกอะไรเรา ให้เรารู้ว่า คุณกำลังเข้าใจอะไรเราผิดอยู่ เราอยากมีโอกาสได้แสดงความจริงออกมาให้คุณได้ทราบ อย่างแรก >>> การจราจรรถไฟ ฟังดูเหมือนอารมณ์รถไฟวิ่งขวักไขว่ แต่ถ้าให้เราลองนึกดูดีดี คำถามเหล่านี้มักจะผุดขึ้นมาจากหัวของเรา 1. เอ๊ะ มันมีรางเดียว มันวิ่งยังไงไม่ชนกันวะ 2. เอ๊ะ...แล้วเค้ารู้ได้ไงว่ารถไฟมันถึงตรงไหน มันมี GPS หรอ 3. เอ๊ะ....แล้วสถานีรู้ได้ไงว่ารถไฟมาแล้ว 4. เอ๊ะ....รถไฟมีไฟเขียวไฟแดง ติดตามสี่แยกปะน้ออออออ 5. เอ๊ะ.....แล้วรถไฟมันสับรางยังไงวะ....ใช้พวงมาลัยป่ะเนี่ย มา ผมจะตอบให้คุณ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:01:47

ความคิดเห็นที่ 53 1. เอ๊ะ มันมีรางเดียว มันวิ่งยังไงไม่ชนกันวะ ทางรถไฟส่วนมากของไทยนั้นจะเป็นระบบรางเดี่ยว ซึ่งในกรณีการจัดการเดินรถเพื่อไม่ให้รถชนกันนั้น จะมีทางรถไฟมากกว่า 1 ทางที่สถานีไว้ให้หลีกรถ ซึ่งขั้นตอนการหลีกนั้น มีดังนี้ครับ สมมติว่า ณ ตอนนี้ มีสถานีอยู่ 3 สถานี คือ เขาทอง  >> นครสวรรค์ >> ปากน้ำโพ ภาพที่ 1 แสดงสถานะสถานีทั้ง 3 ภาพที่ 2 มีขบวนรถมาจากทางสถานีเขาทอง เขาทองต้องทำการประสานงานไปยังสถานีนครสวรรค์ เพื่อถามว่า ทางจาก เขาทอง - นครสวรรค์ ทางโล่งหรือไม่ ถ้าโล่ง นครสวรรค์จะตอบรับกลับ วิธีนี้เราเรียกว่า "ขอทาง" พร้อมกันนั้น นครสวรรค์ ก็ต้องถามไปทางปากน้ำโพด้วยว่าทางโล่งไหม ถ้าโล่งก็ให้สัญญาณผ่านได้เลย ภาพที่ 3 ทางดันไม่โล่งซะงั้น ทางปากน้ำโพมีรถไฟอีกขบวนสวนมา ทางนครสวรรค์จะต้องจัดการเอาขบวนใดขบวนหนึ่งเข้าทางหลีก เพื่อให้อีกขบวนสวนไป ภาพที่ 4 นครสวรรค์จะเป็นผู้จัดสรรเอาขบวนใดขบวนหนึ่งเข้าหลีก แต่ส่วนมากแล้วจะให้ขบวนที่สั้นกว่าเข้าหลีกครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:02:45

ความคิดเห็นที่ 54 2. เอ๊ะ...แล้วเค้ารู้ได้ไงว่ารถไฟมันถึงตรงไหน มันมี GPS หรอ รถไฟไม่มี GPS จ้า เค้าจับตำแหน่งจากระบบๆหนึ่ง ที่อาศัยการทำงานของรีเลย์ เรื่องมันอธิบายยาวเพราะไม่ใช่หว้ากอ ซึี่งในรางรถไฟนั้นจะมีกระแสไฟอ่อนๆไหลอยู่ครับ และเมื่อถึงรอยต่อของรางจะมีฉนวนกั้นเอาไว้เป็นบล๊อกๆ ในแต่ละบล๊อกชุดนั้นเราจะเรียกว่า Track แต่ละ Track ก็จะมีไฟไหลอยู่ ซึ่งเมื่อล้อรถไฟมาเหยียบใน Track นั้น...ไฟฟ้าที่ไหลอยู่จะไม่ครบวงจร.....ทำให้มันไปแสดงที่สถานีเป็นไฟแดงๆแบบเหมือนเออเร่อ ทำให้สถานีรู้ว่า รถอยู่ตรงนั้น จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:05:12

ความคิดเห็นที่ 55 ผมขออนุญาตนายสถานีมาถ่ายรูปเพื่อเป็นข้อมูลองค์ความรู้นะครับ นี่คือ แผงสัญญาณจำลอง จะบอกสถานะรางในสถานีเลยว่าเป็นอย่างไร เสาสัญญาณอยู่ตรงไหนบ้าง จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:07:14

ความคิดเห็นที่ 56 ในภาพนี้คือ มีขบวนรถออกมาจากสถานีโคกสะอาด กำลังจะเข้าสถานีสีคิ้ว สถานะไฟจะขึ้นว่า "มีขบวนรถในตอน" ระหว่างนั้น นายสถานีจะต้องทำการขอทางไปยังสถานีถัดไป คือ สถานีหนองน้ำขุ่น เพื่อสอบถามว่าทางสะดวกหรือไม่ หากทางสะดวก สถานีสีคิ้ว (สถานีที่ผมยืนอยู่นี้) จะให้ทางขบวนรถเข้าเขตสถานีโดยทันที จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:08:55

ความคิดเห็นที่ 57 จากนั้นจะเซ็ตทาง ทางที่เซตไว้จะมีไฟสีส้มขึ้นเป็นแนวเลยครับ และจากนั้นก็ให้เตรียมเซตท่าสัญญาณไฟ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:09:48

ความคิดเห็นที่ 58 หลังจากเมื่อรถเข้ามาในเขตสถานีแล้ว รถไฟอยู่ตำแหน่งใด ไฟจะโชว์เป็นสีแดงครับ รวมถึงสัญญาณไฟที่เซตไว้จากแผงควบคุม ก็จะเป็นไฟสีเดียวกันกับของจริง ของจริงเขียว ในแผงก็เขียว ครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:10:53

ความคิดเห็นที่ 59 ภาพโดยสว่างๆด้วยไฟ ก็จะอารมณ์ประมาณนี้ครับ มีทุกสถานีที่ใช้สัญญาณไฟสี จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:12:30

ความคิดเห็นที่ 60 3. เอ๊ะ....แล้วสถานีรู้ได้ไงว่ารถไฟมาแล้ว สถานีจะรู้ได้จากการแจ้งของ 2 สิ่งครับ 1. วิทยุสื่อสาร หรือที่เรียกว่า ว.นั่นเอง เพราะทุกครั้งที่ขบวนรถผ่านสถานีใดมาแล้ว นายสถานีนั้นๆจะต้อง ว.เพื่อแจ้งว่า ขบวนนี้ ออกสถานีนี้มากี่โมง ช้าเท่าไหร่ และจะต้องปฏิบัติต่อๆกันทุกสถานีจนถึงปลายทาง 2. ผังควบคุมการเดินรถ จะเป็นหน่วยที่ดูแลเกี่ยวกับการจราจรทางรถไฟทั้งหมด แต่จะแบ่งการควบคุมเป็นส่วนๆไว้ ทุกครั้งที่มีการ ว.จากทางสถานี ผังควบคุมการเดินรถจะจดรายละเอียดเวลาที่ผ่าน จอด หลีก ไว้อย่างละเอียด และ ผังควบคุมการเดินรถนี่เองจะเห็นความเคลื่อนไหวของรถทุกขบวนในตอนที่ตนเองรับผิดชอบ...และสามารถรู้ได้ว่ารถไฟจะหลีกกันที่ไหนบ้างครับ ปล. ภาพประกอบมาจาก เกมส์ Train Dispatcher ครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:13:31

ความคิดเห็นที่ 61 4. เอ๊ะ....รถไฟมีไฟเขียวไฟแดง ติดตามสี่แยกปะน้ออออออ รถไฟมีไฟเขียวไฟแดงครับ ลักษณะการทำงานจะเหมือนกับรถยนต์แหละครับ คือ วิ่ง ระวัง หยุด แต่ความหมายมันจริงๆ ลึกซึ้งกว่านั้น เสาไฟของรถไฟ ไม่ได้ตั้งตามสี่แยกเหมือนรถยนต์ แต่ตั้งเอาไว้เป็นระยะๆ ซึ่งระยะๆนั้น จะมีความหมายแสดงสถานะและระยะการหยุดของรถ กล่าวคือ ไฟเขียวไฟแดงที่เห็นนั้น จะเป็นตัวช่วยชะลอความเร็วของรถไฟด้วย เช่น เจอไฟเขียว >> ซัดเต็ม 120 เจอไฟเหลือง ในอีกระยะ 1000 เมตรถัดมา >>> เตรียมชะลอ เพราะอีก 1000 เมตรข้างหน้ามีไฟแดง แบบนี้เป็นต้น อีกอย่างนึงของความหมายคือ ไฟแดง = ทางปิด ด้วยข้างหน้าอาจจะมีขบวนรถอยู่ระหว่าง เสาไฟต้นปัจจุบัน ถึงเสาไฟต้นถัดไป ไฟเหลือง = ระมัดระวัง ด้วยข้างหน้าเจอไฟแดงแน่นอน ต้องลดความเร็วลงรอพร้อมรับสัญญาณไฟต้นหน้า ซึ่งจะเป็นแดงแน่นอน หรืออาจจะเด้งเป็นเขียวได้ ไฟเขียว = ทางสะดวก ข้างหน้าโล่งค่ะคุณ ปล. ไฟรถไฟ เขียวอยู่บน แดงอยู่ล่าง จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:16:48

ความคิดเห็นที่ 62 5. เอ๊ะ.....แล้วรถไฟมันสับรางยังไงวะ....ใช้พวงมาลัยป่ะเนี่ย รถไฟไม่มีพวงมาลัยครับ ล้อจะไปตามทิศทางของรางที่กำหนดเอาไว้ และการสับรางนั้นสถานีจะเป็นผู้สับรางให้ ดูลักษณะของที่สับราง หรือ "ประแจ" นะครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:17:30

ความคิดเห็นที่ 63 ไอ้ที่เค้าขับรถกันอยู่แล้วหยิบห่วงอะไรไปอ่ะ มันคืออะไร มันคือ ห่วงทางสะดวกครับ ห่วงทางสะดวก คืออะไร การเดินรถนั้นตามที่ผมบอกว่า มีทางเดี่ยว เราจะต้องมีการขอทางไปยังสถานีตอนหน้าเพื่อทราบว่าข้างหน้ามีรถหรือไม่ ถ้าสถานีใดที่ใช้ระบบอาณัติสัญญาณสมัยใหม่ล้ำโลก คือการขอทาง และเซ็ตสัญญาณไฟด้วยระบบคอมพิวเตอร์ รถก็จะสามารถผ่านได้เลย แต่สำหรับบางสถานีที่จะใช้ระบบ Manual จะมีอุปกรณ์หนึ่งที่เรียกว่า "เครื่องขอทาง" เครื่องนี้จะเป็นตู้เหล็กสีเขียวแก่ๆ คล้ายๆตู้เพลงโบราณ เมื่อเราทำการขอทาง จะต้องไปเคาะรหัสที่เครื่องนั้น คล้ายๆการส่งโทรเลข เมื่อทำการขอทางแล้ว สถานีถัดไปจะได้รับทราบจากเสียงกระดิ่งที่ดังออกมา แล้วเขาจะตอบกลับมาด้วย code ที่ทราบกันเอง การยืนยันว่า ปลอดภัยนั้นจะถูกตราหลักฐานด้วยแผ่นเหล็ก หรือลูกเหล็กกลมๆ ที่เรียกว่า "ลูกตราทางสะดวก" เมื่อสถานีหน้าคอนเฟิร์มแล้วว่าโล่งแน่ ลูกตราทางสะดวกนั้นจะร่วงลงมาที่สถานีปัจจุบันของเรา เป็นอันว่า.....โล่ง นายสถานีจะนำลูกตรานั้นไปใส่ในห่วงหวายที่ปลายห่วงจะเป็นกระเป๋าทำด้วยหนัง และนำไปแขวนไว้บนเสา เมื่อรถไฟมาถึงก็จะคว้าห่วงนี้ไป อันเปรียบเสมือนกุญแจนำทางในเรื่อง Harry Potter ว่า "ทางข้างหน้าเอ็งสะดวกนะ" และเมื่อถึงสถานีถัดไป ก็จะต้องส่งห่วงนี้คืน พร้อมรับห่วงใหม่มา ตลอดจนถึงปลายทาง ซึ่งการรับห่วงนี้ต้องใช้ความสามารถพิเศษในการคำนวนระยะจับ ความเร็ว และความยาวของแขนที่ออกไปคว้า เพราะรถไฟวิ่งรับห่วงอยู่ด้วยความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. โอากาสพลาดก็มีสูง แต่น้อยมากกกกกก จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:18:26

ความคิดเห็นที่ 64 หน้าตาของเครื่องขอทางสะดวกครับ เสียงที่ดังจากการขอทาง คืนทางนั้น จะเป็นโค้ด เสียงจะดัง กิ๊ง กิ๊ง กิ๊ง เหมือนเอาเหล็กมากระทบกันครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:19:15

ความคิดเห็นที่ 65 หลายคนอาจมองว่า วิธีการรับห่วงส่งห่วงนั้น เป็นวิธีที่ล้าสมัย ไม่พัฒนา หรือไม่ตอบสนองเทคโนโลยี แต่ให้คุณรู้ไว้เถอะว่า ในการเดินรถไฟบางประเทศที่คุณคิดว่าพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน จีน อังกฤษ ก็ยังมีการรับห่วงส่งห่วงเป็น Manual อยู่ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ต้นกำเนิดของระบบนี้ ก็คืออังกฤษ นี่เองแหละครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:19:49

ความคิดเห็นที่ 66 ควรจองตั๋วอย่างไรดี ให้มีที่นั่ง ตามที่เข้าใจกันว่า....รถไฟไทยนั้นเป็นการเดินทางที่เป็นตัวเลือกสุดท้ายของใครหลายๆคน เพราะความล่าช้าและความสกปรกที่ฝังห้วมาตลอดแบบไม่มีการ edit ข้อมูลใหม่ แต่คุณทราบหรือไม่ว่า ในบรรดาการเดินทางทั้งหมดในประเทศไทย รถไฟเต็มก่อนเป็นอันดับแรกนะครับ ในส่วนของรถนอน และรถนั่งแอร์ รวมถึงรถชั้น 2 และ ชั้น 1 เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เป็นวันแรกที่สามารถจองตั๋วสงกรานต์ได้ เวลา 8.30 น. พร้อมกันทั่วประเทศ คุณเชื่อไหมว่า 8.45 น. รถไฟชั้น 2 และรถนอน เต็มหมดทุกขบวนทุกสายครับ ภายใน 15 นาที ซึ่งหลายคนพลาดตั๋วในตอนนั้นด้วยครับ ------------------ การจองตั๋วรถไฟนั้นสามารถจองได้สูงสุดถึง 60 วัน วิธีนับง่ายๆครับ ดูก่อนว่าเราเดินทางวันไหน แล้วนับย้อนไป 60 วัน นั่นคือวันแรกที่จองตั๋็วได้ครับ และบอกไว้ก่อนเลยว่า รถนอน"เต็มเร็วมาก" จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:20:14

ความคิดเห็นที่ 67 การนั่งรถยังไงให้มีความสุข แน่นอนว่าการนั่งรถไฟนั้นไม่ใช่ระยะเวลาที่แปปเดียว การเดินทางนั้นย่อมมีวาระแห่งการทรมานบ้าง สบายบ้าง แต่จะทำยังไงให้เรารู้สึกสบายตลอดการเดินทาง แน่นอนมันไม่ง่ายเลยที่เราจะต้องทนรับสภาพการนั่งตูดแหก 20 กว่าชั่วโมง แต่สิ่งเหล่านั้นมันมีวิธีทำให้เราสบายได้ ดังนี้ เริ่มจากการดูสังขารของตนเองก่อนว่า เหมาะกับรถนั่ง รถนอน หรือว่ารถอย่างไร บางคนอายุอาจจะไม่เอื้อให้นั่งตลอดทางเกรงว่าหมอนรองกระดูกอาจจะมีปัญหาที่ปลายทาง ลำดับถัดมา ให้ศึกษาลักษณะเบาะที่นั่งก่อนว่าแบบนี้จะสามารถนั่งได้ตลอดทางหรือไม่ หรือจะมีปัญหากับกระดูกก้นกบเชิงกรานหรืออะไรหรือไม่ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:21:03

ความคิดเห็นที่ 68 หากคุณเป็นคนไม่ชอบนั่ง แต่อยากจะนอน มันต้องขึ้นอยู่กับ Lifestyle ของคุณ ถ้าคุณชอบการชมวิวทิวทัศน์ และไม่ชอบการอุดอู้ คุณก็ไม่ควรจะซื้อเตียงบน หรือถ้าคุณชอบที่จะออกไปสัมผัสกับอากาศจริงๆ ที่ไม่ใช่การอยู่แต่ในห้องแอร์ บางทีรถพัดลมอาจเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับคุณก็ได้ที่จะเปิดหูเปิดตากับสิ่งรอบข้าง เตียงบนนั้นจะมี belt กันตกเอาไว้ แต่ความห่างของ belt จะอยู่ประมาณ 150 ซม. ซึ่งเป็นขนาดของเด็กตัวย่อมๆ นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมรถนอนจึงไม่อนุญาตให้เด็กนอนเตียงบน จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:21:45

ความคิดเห็นที่ 69 ห้องน้ำ...บันไดทางขึ้นลง....>>> เลือกยังไงให้พอดี คำถามแรก... คุณเป็นคนฉี่บ่อยหรือไม่ หรือคุณมักจะต้องลุกขึ้นมากลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำหรือเปล่า ถ้าใช่...คุณก็ควรจะจองใกล้ๆห้องน้ำเข้าไว้ เพื่อไม่ลำบากในการเดินของคุณ ไม่ต้องเป็นกังวลครับว่าห้องน้ำจะมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ เพราะถ้าหากคุณราดน้ำอย่างดีมันจะไม่มีปัญหานี้แน่ และรถไฟได้ออกแบบให้มีประตูปิดอีก 1 ชั้นก่อนจะมาถึงห้องโดยสาร นั่นหมายความว่าคนที่จะดมกลิ่นไม่พึงประสงค์นั้น คือพนักงานที่ปูเตียงให้คุณนั่นเอง  ไม่ใช่คุณ ถ้าหากคุณรำคาญที่จะต้องสะดุ้งตื่นเพราะมีคนเปิดประตูห้องน้ำบ่อยๆ ควรเลือกนอนกลางตู้ หรือไม่ก็ใกล้ประตูทางขึ้นลง เพราะว่ารถนอนนั้นในเวลากลางคืนจะไม่มีคนขึ้นลงอยู่แล้ว ฉะนั้นคงไม่มีใครเดินขึ้นลงให้รำคาญใจ (ถ้าหากเขาไม่ใช่มนุษย์) จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:22:26

ความคิดเห็นที่ 70 อาหาร เตรียมไป ดีหรือไม่??? บนรถไฟจะมีตู้เสบียงให้บริการอยู่แล้วในรถระยะไกล แต่ถ้าคุณไม่ชอบที่จะทานอาหารราคาสูงๆบนรถเสบียง ก็สามารถนำอาหารขึ้นมารับประทานบนรถไฟได้ ทั้งรถนั่งและรถนอน แต่ก็ไม่ควรจะมีกลิ่นแรงๆมากในรถแอร์ เช่นกะปิ ทุเรียน ปลาร้า หรืออาหารกลิ่นแรงทุกประเภท จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:23:40

ความคิดเห็นที่ 71 ต่อเลยนะครับ นอนอย่างไรให้รู้สึกสบาย??? รถนอนนั้นจะมีทั้งแบบแอร์ และพัดลม ความสบายก็จะต่างกันไป ผมขอเอ่ยถึงรถพัดลมก่อนนะครับ รถพัดลมนั้นช่วงจังหวะที่ยังไม่ได้ทำเตียงนั้น จะค่อนข้างโล่ง และอากาศถ่ายเทตลอด แต่ทำเตียงปั๊บมันจะดูมืดมนไปทันที ซึ่งสิ่งที่จะช่วยให้หายใจสะดวกได้คือหน้าต่าง และช่องระบายอากาศ ทีนี้จะมีปัญหาเรื่องหน้าต่างอีก การปูเตียงนั้น พนักงานมักจะปิดหน้าต่างทั้งกระจกและบานเกล็ดเหล็กหมดเลย นั่นเป็นเพราะความปลอดภัยของคุณเอง เพราะบางทีรถจอดที่สถานีตามชนบทอาจจะมีมิจฉาชีพแอบปีน เหนี่ยว ล้วงเข้ามาในเตียงคุณได้ แต่นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และมันก็ไม่ได้เกิดบ่อยๆ ถ้าหากว่าคุณกลัวจะหายใจไม่ออก บอกพนักงานเลยครับ หรือทำเองก็ได้ ให้ปิดบานเกล็ดลงมาครึ่งนึง และปิดหน้าต่างกระจกทับไปอีกชั้นนีงให้มีขนาดเท่าบานเกล็ด หรือเหลื่อมกันหน่อย หรือว่าแง้มช่องเล็กน้อยให้ลมเข้ามาก็ได้ ส่วนผ้าม่านถ้ากลัวจะปลิวไสวเพราะแรงลม ก็ให้เอาชายนั้นยัดลงไปในขอบฟูก จะเป็นการเซฟตัวคุณเองไปในส่วนหนึ่ง เพราะถ้ามีใครเผลอเปิดม่าน คุณจะรู้ตัว สำหรับรถแอร์ก็เช่นเดียวกันครับ เหน็บชายม่านไว้ใต้ฟูกด้วย ทีนี้สิ่งที่ดูเหมือนขยะ จะเป็นประโยชน์กับคุณมาก นั่นคือ "ถุงใส่ผ้าห่ม" ถ้าคุณนอนกลางคืนแล้วหลับลึก กลัวของหาย ให้นำสิ่งที่มีค่าของคุณทั้งหมด ใส่ลงไปในถุงผ้าห่ม แล้ววางไว้ใต้หมอน นอนทับลงไปเลย นั่นก็จะป้องกันได้อีกชั้นนึงครับ ไม่ใช่ว่ารถไฟดูอันตรายนะครับ แต่พฤติกรรมผู้ร่วมเดินทางก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ทุกคน ก็แค่เป็นการป้องกันตัวเองไปในตัวครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:24:13

ความคิดเห็นที่ 72 ในส่วนของที่นั่งนะครับ เราจะแบ่งเอาไว้ เป็นอัตราส่วนแบบนี้ครับ 20 (อินเตอร์เนท) : 80 (สถานี และ คอลเซนเตอร์) เท่ากับว่า ถ้าสถานีเต็ม ก็เลือกจองทางอินเตอร์เนทได้ หรือถ้า อินเตอร์เนทเต็ม ก็จองทางสถานีได้ แต่ถ้าเต็มทั้งคู่ ก็รอตู้เสริมอย่างเดียวครับ ตู้เสริมนั้นจะเป็นการเปิดขายวันต่อวันหลัง 9.30 จะไม่ทราบได้ว่าขบวนไหนจะเพิ่มบ้าง  เที่ยวไป ตู้เสริม ทราบวันเดินทาง เที่ยวกลับ ตู้เสริม ทราบก่อนวันเดินทาง 1 วัน และถ้าที่นั่งในโควต้าอินเตอร์เนทจำหนายไม่หมด ก็จะถูกส่งเข้าระบบสถานีครับ ก่อนรถออก 1 วัน และ 3 ชั่วโมงก่อนขบวนรถออกในวันเดินทางนั้น จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:25:39

ความคิดเห็นที่ 73 หัวลำโพง....กรุงเทพ....มันที่เดียวกันป่ะ??? คำตอบคือ...ไม่ใช่ครับ รู้หรือไม่ว่า สถานีหัวลำโพง กับสถานีกรุงเทพ คือ “คนละสถานีกัน” บางคนอาจจะชินว่า สถานีกรุงเทพ คือ หัวลำโพง และเป็นที่เดียวกัน ชื่อเดียวกัน แต่ที่แท้จริงแล้ว ทั้งสองสถานีนี้ เป็นคนละสถานีกันอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่เราจะมีรถไฟจากกรุงเทพ – อยุธยา ใช้นั้น เรามีรถไฟเอกชนสายหนึ่งอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว คือสาย หัวลำโพง – ปากน้ำ โดยสถานีต้นทางที่ชื่อหัวลำโพงนั้นจะอยู่บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม เส้นทางรถไฟจะวิ่งไปตามทิศตะวันออก ผ่านสามย่าน ศาลาแดง คลองเตย พระโขนง และไปปลายทางที่สมุทรปราการ ซึ่งก็คือแนวถนนพระราม 4 และถนนทางรถไฟสายเก่าเป็นแนวในปัจจุบัน ส่วนรถไฟหลวงนั้นสถานีต้นทางชื่อว่า “สถานีกรุงเทพ” ตำแหน่งเดิมนั้นอยุ่บริเวณโรงรถดีเซลรางในปัจจุบัน ซึ่งเป็นอาคารชั่วคราวก่อนที่จะสร้างอาคารถาวรทรงโดมเสร็จ เมื่อสร้าเงสร็จแล้วก็ได้มพิธีปล่อยขบวนรถเข้าสู่อาคารสถานีกรุงเทพหลังปัจจุบัน ด้วยความที่สถานีทั้ง 2 อยู่ใกล้กันมาก ชาวบ้านจึงเรียกกันอย่างติดปากว่า “หัวลำโพง” ถึงแม้ว่ารถไฟสายปากน้ำจะยกเลิกกิจการไปนานแล้ว และสถานีหัวลำโพงจะรื้อทิ้งไปนานแล้ว แต่คนก็ยังเรียกสถานีกรุงเทพติดปากว่า “หัวลำโพง” อยู่ ถึงแม้ว่าจะมีป้ายอักษรเขียนว่า “สถานีกรุงเทพ” อยู่ติดหน้าสถานีก็ตาม ตำแหน่งสถานีหัวลำโพง ถ้านึกไม่ออก ก็ให้ดูตำแหน่งของสถานีรถไฟใต้ดินหัวลำโพง นั่นแหละ คือตำแหน่งเดิมของสถานีรถไฟหัวลำโพงนั่นเอง จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:26:27

ความคิดเห็นที่ 74 รางรถไฟ... ร้อยกว่าปี จริงหรือ... คำตอบ "ไม่จริง" ครับ คำว่า รางเก่า สมัย ร.5 นั่นเป็นคำกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก เพราะรางสมัย ร. 5 นั้น ไม่มีเหลืออยู่แล้วครับ โดนแปรสภาพไปเป็นเสาโทรเลขบ้าง โดนแปรไปเป็นเสาหรือป้ายเตือนข้างทางกันหมดแล้ว รางรถไฟนั้นมีอายุการใช้งานที่ยาวนานได้ถึง 30 - 50 ปีได้เลย สำหรับเหล็กในยุคเก่านะครับ สังเกตได้จากรางสายแม่กลอง ขนาดของรางรถไฟนั้นที่ยังมีใช้การอยู่ แบ่งออกได้เป็นดังนี้ครับ รางขนาด 50 ปอนด์ ต่อหลา ใช้ในทางแยก ทางหลีก หรือทางตันเท่านั้น รถจะใช้ความเร็วได้แค่ 30 กม./ชม. เท่านั้น รางขนาด 65 ปอนด์ ต่อหลา ใช้ในทางสายย่อยบางสาย เช่น สายสุพรรณบุรี หรือสายคีรีรัฐนิคม รถจะใช้ความเร็วได้ 50 กม./ชม. รางขนาด 75 ปอนด์ ต่อหลา (ใช้ได้ทั้งหมอนไม้และคอนกรีต) ใช้ในทางประธานบางแห่ง คือ ตั้งแต่พิษณุโลก - เชียงใหม่(กำลังจะถูกเปลี่ยน) / ถนนจิระ - อุดรธานี(กำลังจะถูกเปลี่ยน) / และทางในเขตกรุงเทพทั้งหมด รถจะใช้ความเร็วได้ 70 กม./ชม. ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 90 รางขนาด 80 ปอนด์ ต่อหลา (ใช้กับหมอนคอนกรีต) รางนี้จะรับน้ำหนักรถขนาดใหญ่ได้ ใช้ในทางประธานในหลายๆแห่ง รถจะวิ่งได้ 80-100 กม./ชม. รางขนาด 100 ปอนด์ ต่อหลา (ใช้กับหมอนคอนกรีต) รางนี้เป็นรางชุดปัจจุบันของการรถไฟ และใช้กันมากที่สุดในประเทศ คือ สายเหนือ : รังสิต - พิษณุโลก และกำลังจะเปลี่ยนถึงเชียงใหม่ สายอีสาน : บ้านภาชี - แก่งคอย / คลองไผ่ - อุบลราชธานี (ทั้งสาย) / แก่งคอย - บัวใหญ่ และกำลังจะถูกเปลี่ยนในสายหนองคายทั้งสาย สายใต้ : ตลิ่งชัน - หนองปลาดุก / หัวหิน - ทุ่งสง / กำลังจะเปลี่ยนในสายตรัง และ หนองปลาดุก - หัวหิน สายตะวันออก : หัวหมาก - ฉะเชิงเทรา / ฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย รางขนาด UIC (รางใหญ่เท่า BTS ) ใช้กับรางขอ ARL และ รถไฟสายสีแดง เห็นไหมครับ รางรถไฟในปัจจุบัน ไม่ใช่สมัย ร.5 ซักหน่อย มั่ววววววววว จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:38:00

ความคิดเห็นที่ 75 ทางรถไฟเชื่อมกับต่างประเทศ จะมีอยู่ทั้งหมด 4 จุด 1. เชื่อมกับประเทศมาเลเซีย ที่สถานีปาดังเบซาร์ และสุไหงโกลก 2. เชื่อมกับประเทศกัมพูชา ที่สถานีอรัญประเทศ (ห่างจากชายแดน 5 กม. ไม่มีทางรถไฟแล้ว) 3. เชื่อมกับประเทศลาว ที่สถานีหนองคาย (ทางรถไฟขึ้นสะพานมิตรภาพไทยลาว) สะพานที่รถไฟใช้ร่วมกับรถยนต์ คือ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว เมื่อรถไฟผ่าน จะปิดการจราจรบนถนนทั้งหมด ทั้งฝั่งไทย และฝั่งลาว จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:38:41

ความคิดเห็นที่ 76 อุโมงค์ที่ยาวที่สุดชื่อว่า อุโมงค์ขุนตาน มีความยาว.1 กิโลเมตรเศษๆ คาบเกี่ยวอยู่ 2 จังหวัดคือ อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง และ อ.แม่ทา จ.ลำพูน และเป็นอุโมงค์ที่อยู่สูงที่สุดในประเทศอีกด้วย นอกจากขุนตานแล้ว ยังมีอีก 6 อุโมงค์ในประเทศ แบ่งออกเป็นแต่ละสายดังนี้ สายเหนือ 1. อุโมงค์ปางตูบขอบ อยู่ระหว่างสถานีปางต้นผึ้ง – ห้วยไร่ 2. อุโมงค์เขาพลึง อยู่ระหว่างสถานีปางต้นผึ้ง – ห้วยไร่ 3. อุโมงค์ห้วยแม่ลาน อยู่ระหว่างสถานีบ้านปิน – ผาคัน 4. อุโมงค์ขุนตาน อยู่ระหว่างสถานีแม่ตานน้อย – ขุนตาน สายอีสาน 1. อุโมงค์เขาพังเหย อยุ่ระหว่างสถานีโคกคลี – ช่องสำราญ 2. อุโมงค์พระพุทธฉาย อยู่ระหว่างสถานีวิหารแดง – บุใหญ่ . สายใต้ 1. อุโมงค์ช่องเขา อยู่ระหว่างสถานีช่องเขา – ร่อนพิบูลย์ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:39:29

ความคิดเห็นที่ 77 สถานีรถไฟชุมทาง มีทั้งหมด 14 ที่ ชุมทาง หมายถึงสถานีที่มีทางแยกออกไปสายอื่นๆ 1. ชุมทางบางซื่อ แยกเหนือ / ใต้ 2. ชุมทางบ้านภาชี แยกเหนือ / อีสาน 3. ชุมทางบ้านดารา  ทางสายเหนือแยกไปสถานีสวรรคโลก 4. ชุมทางแก่งคอย ทางสายอีสาน แยกไป ลำนารายณ์ บ้านวะตะแบก ชุมทางบัวใหญ่ และ ชุมทางคลองสิบเก้า (ทางเชื่อมสายอีสาน/ตะวันออก) 5. ชุมทางถนนจิระ ทางสายอีสาน มีทางแยกไปหนองคาย 6. ชุมทางบัวใหญ่ ทางสายอีสาน มีทางแยกไป บ้านวะตะแบก ลำนารายณ์ ชุมทางแก่งคอย 7. ชุมทางตลิ่งชัน ทางสายใต้ แยกเข้าสถานีธนบุรี 8. ชุมทางหนองปลาดุก ทางสายใต้ แยกไปสุพรรณบุรี และกาญจนบุรี น้ำตก 9. ชุมทางบ้านทุ่งโพธิ์ ทางสายใต้ แยกไปคีรีรัฐนิคม 10. ชุมทางทุ่งสง ทางสายใต้ แยกไป ตรัง กันตัง 11. ชุมทางเขาชุมทอง ทางสายใต้ แยกไปนครศรีธรรมราช 12. ชุมทางหาดใหญ่ แยกไปปาดังเบซาร์ และสงขลา (สายสงขลาปิดเดินรถแล้ว) 13. ชุมทางฉะเชิงเทรา สายตะวันออก แยกไปสัตหีบ 14. ชุมทางคลองสิบเก้า สายตะวันออก แยกไปชุมทางแก่งคอย 15. ชุมทางศรีราชา สายสัตหีบ แยกไปท่าเรือแหลมฉบัง 16. ชุมทางเขาชีจรรย์ สายสัตหีบ แยกไปนิคมอุตสาหกรรมาบตาพุด จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:41:42

ความคิดเห็นที่ 78 สถานีรถไฟที่มีชื่อเป็นจังหวัด จะตั้งอยู่ใน อ.เมือง ของจังหวัดนั้นๆ ยกเว้นสถานีดังต่อไปนี้ 1. สถานีกรุงเทพ ตั้งอยู่ที่เขตปทุมวัน 2. สถานีอยุธยา ตั้งอยู่ที่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา 3. สถานีอุบลราชธานี ตั้งอยู่ที่ อำเภอวารินชำราบ 4. สถานีสุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่ที่ อำเภอพุนพิน 5. สถานีปัตตานี ตั้งอยู่ที่ อำเภอโคกโพธิ์ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:42:15

ความคิดเห็นที่ 79 สถานีที่ไม่ได้อยู่อำเภอเมือง แต่เป็นสถานีประจำจังหวัดนั้น ได้แก่ 1. สถานีเด่นชัย ตั้งอยู่ที่ อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ 2. สถานีมหาชัย ตั้งอยู่ที่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร 3. สถานีแม่กลอง ตั้งอยู่ที่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม 4. สถานีรังสิต ตั้งอยู่ที่ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 5. สถานีบ้านวะตะแบก ตั้งอยู่ที่ อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ 6. สถานีบางบำหรุ ตั้งอยู่ที่ เขตบางพลัด จังหวัดกรุงเทพ และ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 7. สถานีสวรรคโลก ตั้งอยู่ที่ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย 8. สถานีชุมทางหาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 9. สถานีตันหยงมัส ตั้งอยู่ที่ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:42:36