ความคิดเห็นที่ 1 เติมพลังเสร็จ  ก็มีแรงไปแว๊นซ์ต่อกันได้แล้วครับ    ที่แรกที่จะไปเที่ยวกันในวันนี้ก็คือ  "วัดเจดีย์หลวง" วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ในเชียงใหม่  ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด  วัดนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ  ได้แก่  ราชกุฏาคาร  วัดโชติการาม เป็นพระอารามธรรมยุติกนิกาย แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 20:54:51 แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 20:54:16 จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 20:53:51

ความคิดเห็นที่ 2 ทันถ่ายทอดสด คริคริ จากคุณ : dae9 (dae9) เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 20:56:53

ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูเข้ามาจะเห็นวิหารหลวงขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง วิหารหลวงของวัดนี้พระพุทธพจนวราภรณ์   (หลวงปู่จันทร์  กุสโล)  และเจ้าแก้วนวรัฐเป็นผู้สร้างขึ้นในปี  พ.ศ.  ๒๔๗๑ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 20:57:04

ความคิดเห็นที่ 4 เชิญครับ  คุณ  dae9  กำลังจะเข้าไปไหว้พระพอดีเลยครับ ภายในวิหารมีพระอัฎฐารสเป็นพระประธาน พระนางติโลกะจุดา  ราชมารดาของพญาติโลกราชโปรด ฯ ให้หล่อขึ้นเมื่อ  พ.ศ.  ๑๙๕๔  และในสมัยรัชกาลที่  ๕  ใช้วิหารหลังนี้เป็นที่ทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัจจา จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:00:45

ความคิดเห็นที่ 5 ตามไปแอ่วด้วยคน ^ ^ จากคุณ : สีขุ่น เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:00:51

ความคิดเห็นที่ 6 หลังจากไหว้พระในพระวิหารเสร็จ  ก็ได้เดินไปข้างหลังก็จะเห็นพระเจดีย์หลวงองค์ใหญ่เด่นตระหง่านอยู่   พระธาตุเจดีย์หลวงนั้นถือว่าเป็นพระธาตุที่มีความสูงที่สุดในภาคเหนือหรือล้านนา  คือ  สูงประมาณ ๘๐  เมตร  ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส  กว้างประมาณด้านละ  ๖๐  เมตร  ถือว่าเป็นเจดีย์ที่มีความสำคัญที่สุดของเมืองเชียงใหม่ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:03:39

ความคิดเห็นที่ 7 ไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยคนค่ะ จากคุณ : ข้าวปุ้นจอมยุ่ง เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:07:11

ความคิดเห็นที่ 8 เชื่อกันว่าวัดเจดีย์หลวงสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา  กษัตริย์ลำดับที่  ๗  แห่งราชวงศ์มังราย  ไม่ปรากฏปีที่สร้างแน่ชัด  สันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้น่าจะสร้างในปี  พ.ศ.  ๑๙๒๘ - พ.ศ.  ๑๙๔๕  ปัจจุบันมีอายุกว่า   ๖๐๐  ปี  โดยสร้างขึ้นเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พญากือนา  พระราชบิดา  แต่สร้างไม่เสร็จ  ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน  ต่อมาพระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวี  พระมเหสีของพญาเมืองมา  ก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จในรัชสมัยพญาสามฝั่งแกน เรียกกันว่า  “กู่หลวง”  ในรัชสมัยพระเจ้าเมืองแก้ว  เมื่อ  พ.ศ.  ๒๐๔๖  ได้โปรดให้สร้างหอพระแก้ว  และอัญเชิญพระแก้วมรกตลงมาประดิษฐาน  ส่วนการบูรณะพระเจดีย์หลวงได้ดำเนินการเพียงเล็กน้อย  ในที่สุดเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี  พ.ศ.  ๒๐๘๘  ในรัชสมัยพระนางเจ้ามหาเทวีจิรประภา  ยอดพระเจดีย์หลวงก็พังทลายลงมาเหลือให้เห็นดังสภาพปัจจุบัน จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:07:31

ความคิดเห็นที่ 9 เชิญครับคุณสีขุ่น  และคุณข้าวปุ้นจอมยุ่ง ด้านหลังของพระธาตุเจดีย์หลวงจะเป็นเจดีย์บูรพาจารย์ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:09:40

ความคิดเห็นที่ 10 สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิธาตุอดีตเจ้าอาวาสและบูรพาอาจารย์ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับวัดเจดีย์หลวง จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:10:20

ความคิดเห็นที่ 11 ถัดออกไปจะเป็นวิหารหลวงปู่มั่น ที่สร้างขึ้นตรงที่เคยเป็นกุฎิหลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต เมื่อครั้งท่านเป็นเจ้าอาวาส  วัดเจดีย์หลวงปี  พ.ศ.  ๒๔๗๕ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:12:00

ความคิดเห็นที่ 12 วิหารหลวงปู่มั่นนี้สร้างเป็นสถาปัตยกรรมสกุลช่างล้านนา  โดยได้จำลองแบบมาจากวิหารวัดต้นเกว๋นที่อำเภอหางดง  นับเป็นศิลปสถาปัตยกรรมแบบล้านนาที่สมบูรณ์แบบและงดงามอีกแห่งหนึ่ง  จนได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น  จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์เมื่อ  พ.ศ.  ๒๕๓๒ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:13:30

ความคิดเห็นที่ 13 ด้านในประดิษฐานรูปเหมือนของหลวงปู่มั่น จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:17:01

ความคิดเห็นที่ 14 ถัดจากวิหารหลวงปู่มั่น  จะเป็นพระวิหารจัตุรมุขบูรพาจารย์ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:17:48

ความคิดเห็นที่ 15 ที่สร้างขึ้นเพื่อรวมรวมอัฐิพระอริยสงฆ์จากทั่วประเทศ เป็นวิหารทรงจตุรมุข  เป็นศิลปะสถาปัตยกรรมแบบพื้นบ้านล้านนาลำปาง จำลองแบบมาจากมณฑปจตุรมุขวัดปงสนุกใต้ที่จังหวัดลำปาง จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:19:23

ความคิดเห็นที่ 16 ภายในประดิษฐานรูปเหมือนของหลวงตามหาบัว จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:20:34

ความคิดเห็นที่ 17 และอัฐิพระอริยสงฆ์จากทั่วประเทศ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:21:16

ความคิดเห็นที่ 18 ไว้ให้คนมากราบไหว้สักการะกัน แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 21:22:40 จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:21:37

ความคิดเห็นที่ 19 มุมกว้าง ๆ อีกซักรูป จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:23:25

ความคิดเห็นที่ 20 ด้านข้างพระวิหารจัตุรมุขจะเป็นพระนอนหรือพระพุทธไสยาสน์  ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่คู่กับพระเจดีย์  แต่ไม่ปรากฏว่าสร้างขึ้นเมื่อใด จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:31:31

ความคิดเห็นที่ 21 ขออนุญาตแอบเข้ามาเก็บข้อมูลครับ เพราะจะไปชิลล์ที่เชียงใหม่คนเดียวเหมือนกัน 7-8-9 ตุลาคมครับ จากคุณ : เอิร์ตโซเซ (Martinique) เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:31:41

ความคิดเห็นที่ 22 ถัดจากพระนอนจะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย  :  ชนะมาร จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:32:49

ความคิดเห็นที่ 23 พุทธลักษณะงดงาม จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:33:39

ความคิดเห็นที่ 24 ยินดีครับ  คุณ เอิร์ต จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:35:30

ความคิดเห็นที่ 25 ถัดออกไปจะเป็นพระกัจจายนะ  เชื่อว่ามีความเก่าแก่พอ ๆ กับพระนอน จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:36:34

ความคิดเห็นที่ 26 ตามไปด้วยค่ะ จากคุณ : Flaminio เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:36:46

ความคิดเห็นที่ 27 ประวัติท่านพระกัจจายนะ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:37:23

ความคิดเห็นที่ 28 อีกฝั่งหนึ่งของพระธาตุเจดีย์หลวง  จะเป็นหอธรรม  ที่สร้างเมื่อปี  พ.ศ.  ๒๐๑๗ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:41:22

ความคิดเห็นที่ 29 ตามมาเลยครับ  คุณ   Flaminio  กำลังจะไปเที่ยวต่อที่วัดพันเตาครับ หลังจากไหว้พระที่วัดเจดีย์หลวงเสร็จ  ผมก็ได้ไปที่วัดพันเตาซึ่งอยู่ติดกัน วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อในสมัยพุทธศตวรรษที่  ๒๑  ตอนต้น  เมื่อประมาณ  ๒๐๔๐  ปัจจุบันจึงมีอายุประมาณ  ๕๑๕  ปี จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:43:44

ความคิดเห็นที่ 30 พอเข้าไปทางขวามือจะเป็นพระวิหารหอคำหลวง จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:44:48

ความคิดเห็นที่ 31 ซึ่งวิหารนี้เป็นวิหารไม้สักขนาดใหญ่  มีลักษณะเป็นอาคารทรงพื้นเมืองล้านนา  เดิมเป็นหอคำหรือคุ้มหลวงของเจ้ามโหตรประเทศ  เจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่ในราชวงศ์กาวิละ  ลำดับที่  ๕  โดยเจ้าอินทวิชยานนท์ได้รื้อและนำมาปลูกสร้างอุทิศถวาย   วัดพันเตาขึ้นทะเบียนโบราณสถาน  และกำหนดขอบเขตของวัด  เมื่อปี  พ.ศ.  ๒๕๒๐  นับเป็นวิหารไม้สักที่สร้างจากหอคำหรือคุ้มหลวงที่เหลืออยู่อย่างสมบูรณ์เพียงหลังเดียวในล้านนา จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:46:02

ความคิดเห็นที่ 32 ประวัติของวัด  มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าได้ใช้เป็นที่ตั้งเตาหลอม  ในการหล่อพระอัฏฐารสในวิหารวัดเจดีย์หลวง  จึงได้ชื่อว่าวัดพันเตา  แต่ก่อนคนเมืองเชียงใหม่จะนิยมเรียกกันว่า  "วัดปันเต้า"  หรือ  "วัดพันเท่า"  ซึ่งหมายถึง  ปริมาณที่เพิ่มพูนขึ้นมากมาย  เป็นร้อยเท่าพันเท่า  เป็นการเขียนตามอักษรล้านนาแต่อ่านออกเสียงว่า  “ปันเต้า”  แล้วจึงกลายมาเป็น  "พันเท่า" จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:47:03

ความคิดเห็นที่ 33 ด้านในจะมีพระเจ้าปันเต้าเป็นพระประธาน จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:49:32

ความคิดเห็นที่ 34 ส่วนฝั่งซ้ายมือของประตูวัดจะเป็นจะมีศาลาเล็ก ๆ อยู่ซ้ายมือ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:50:31

ความคิดเห็นที่ 35 ภายในเป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนหลวงพ่อโต จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:51:18

ความคิดเห็นที่ 36 ... จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:52:33

ความคิดเห็นที่ 38 ... จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:53:09

ความคิดเห็นที่ 39 พระปางลีลาที่อยู่ข้างศาลา แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 21:54:12 จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:53:59

ความคิดเห็นที่ 40 ด้านหลังของพระวิหารหอคำหลวงจะมีพระธาตุชเวดากองจำลองด้วย จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:56:22

ความคิดเห็นที่ 41 เป็นพระธาตุสำหรับคนเกิดปีม้า จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:57:04

ความคิดเห็นที่ 42 ไปด้วย ไปด้วย หอบแฮ่กมาเลย ยังทันใช่เปล่าครับ จากคุณ : nongmalakor เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:59:26

ความคิดเห็นที่ 43 กำลังจะแว๊นไปวัดพระสิงห์เลยครับ  คุณ   nongmalakor วัดนี้เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่  เป็นประดิษฐานพระสิงห์  (พระพุทธสิหิงค์)  พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:04:28

ความคิดเห็นที่ 44 เมื่อเข้าไปในวัดก็จะมีอนุเสาวรีย์ของครูบาศรีวิชัย  อยู่หน้าวิหารให้สักการะ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:06:45

ความคิดเห็นที่ 45 วัดนี้สร้างขึ้นโดยพญาผายู  กษัตริย์ลำดับที่  ๕  แห่งราชวงศ์มังราย  ในปี  พ.ศ.  ๑๘๘๘  ตอนแรกทรงสร้างเจดีย์สูง  ๒๓  วา  เพื่อบรรจุพระอัฐิของพญาคำฟู  พระราชบิดา  ต่อมาอีกสองปีจึงสร้างพระอาราม  เสนาสนวิหารการเปรียญ  และกุฎิสงฆ์เรียบร้อย  ทรงตั้งชื่อว่า  "วัดพระเชียง" ต่อมาบริเวณหน้าวัดมีตลาดเกิดขึ้น  ชาวบ้านเรียกว่า  "ตลาดลีเชียง"   นานเข้าจึงเรียกวัดว่า  "วัดลีเชียง"  ระหว่างปี  พ.ศ.  ๑๙๓๑ - ๑๙๕๔  สมัยพญาแสนเมืองกษัตริย์องค์ที่  ๗  แห่งราชวงศ์เม็งราย  ผู้ครองนครเชียงใหม่  ทรงโปรดให้อัญเชิญ  "พระพุทธสิหิงค์"  มาจากเมืองเชียงรายเพื่อไปประดิษฐานที่วัดสวนดอก  แต่พอราชรถมาถึงวัดลีเชียง  ก็ปรากฎว่าติดขัดไม่สามารถเดินทางต่อไปได้อีก  ดังนั้นพระเจ้าแสนเมืองมาจึงให้ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ไว้ที่วัดลีเชียงนี้ ทางเหนือนิยมเรียกพระพุทธสิหิงค์ว่า  "พระสิงห์"  จึงเป็นที่มาของชื่อ  "วัดพระสิงห์"  ด้วย จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:08:37

ความคิดเห็นที่ 46 ตามมาเที่ยวด้วยครับ วัดเจดีย์หลวงงดงามมาก เห็นแล้วอยากไปชมบ้าง จากคุณ : tiger's nest เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:09:57

ความคิดเห็นที่ 47 ตามไปด้วย อิ่มบุญเลย จากคุณ : บาลี หมีเมรี เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:10:06

ความคิดเห็นที่ 48 วัดพระสิงห์ผ่านยุคสมัยมานานหลายร้อยปี  จนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้ากาวิละ  ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่  ๑  ในยุคกรุงธนบุรีต่อกรุงรัตนโกสินทร์  ได้ทรงโปรดให้สร้างพระวิหารหลวงขึ้น  ต่อมาเจ้าหลวงธัมมลังกา  เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่  ๒  ได้สร้าง  "หลวงพ่อโต"  พระประธานในวิหารหลวงแห่งนี้ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:10:12

ความคิดเห็นที่ 49 เชิญครับ  คุณ   tiger's nest  และ  คุณ  บาลี หมีเมรี  เดี๋ยวไปไหว้พระสิงห์กัน หุ่นขี้ผึ้งของ  พระธรรมสิทธาจารย์  (หนู  ถาวรมหาเถระ)  อดีตเจ้าอาวาสรูปที่  ๑๓ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:13:33

ความคิดเห็นที่ 50 รูปหล่อสำหรับปิดทอง จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:15:11

ความคิดเห็นที่ 51 รูปหล่อของครูบาศรีวิชัย จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:15:41

ความคิดเห็นที่ 52 ออกจากวิหารหลวง  เดินมาทางขวา  ก็จะมีหอไตร  หรือหอธรรม  ที่มีความสวยงาม หอไตรนี้สร้างเป็นครึ่งตึกครึ่งไม้  ที่ตัวผนังตึกด้านนอกประดับด้วยทวยเทพปูนปั้นแต่งองค์ทรงเครื่องสวยงาม  ทำเป็นรูปเทพพนมบ้างยืน  บ้างก็เหาะ ประดับอยู่โดยรอบ  เป็นฝีมือช่างสมัยพระเมืองแก้ว แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 22:19:55 จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:19:10

ความคิดเห็นที่ 53 ด้านข้างของวิหารหลวง  จะมีอนุสาวรีย์พญาเม็งรายมหาราช  ผู้สร้างนครเชียงใหม่ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:22:00

ความคิดเห็นที่ 54 เดินไปทางขวามือของอนุสาวรีย์ก็จะเจอหอจงกรมครูบาศรีวิชัย แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 22:24:33 จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:24:05

ความคิดเห็นที่ 55 ป้ายข้อความชวนให้คิดที่ติดอยู่ตามต้นไม้ภายในวัด จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:27:45

ความคิดเห็นที่ 56 ... จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:28:19

ความคิดเห็นที่ 57 จากนั้นก็เดินต่อไปที่พระอุโบสถ์  ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างวิหารหลวง  วิหารลายคำ  และพระธาตุเจดีย์ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:31:00

ความคิดเห็นที่ 58 พระอุโบสถนี้  พระยาแสนเมืองมา  กษัตริย์องค์ที่ ๑๐ แห่งราชวงศ์มังรายทรงสร้างไว้  ประมาณ  พ.ศ.  ๑๙๓๑ - ๑๙๕๔  ลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  หลังคา  ๓  ชั้น มุงกระเบื้องดินเผา  มีช่อฟ้าใบระกา  ซุ้มประตูและหน้าบัน  มีมุขโถงทั้งทั้งด้านหน้าด้านหลัง  หน้าต่างขนาดใหญ่ตีเป็นช่องแบบไม้ระแนง  แต่ภายในเป็นหน้าต่างจริง จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:32:00

ความคิดเห็นที่ 59 ตามไปแอ่วเหนือด้วยคนค่ะ จากคุณ : *~Mayple Girl~* เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:33:28

ความคิดเห็นที่ 60 ภายในมีมณฑปอยู่ตรงกลาง  มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ทั้ง  ๔  ด้านกลางพระอุโบสถตามแบบลังกา  ภายในมณฑปปราสาท  ประดิษฐานพระเจ้าทองทิพย์จำลอง   เป็นพระประธาน จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:33:56

ความคิดเห็นที่ 61 พระอุโบสถนี้มีลักษณะเป็น  "พระอุโบสถสองสงฆ์" พระอุโบสถสองสงฆ์  เป็นยังไง... พระอุโบสถสองสงฆ์คือพระอุโบสถที่พระภิกษุกับภิกษุณีทำสังฆกรรมร่วมกันได้  โดยด้านเหนือเป็นที่กระทำสังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ์  ด้านใต้เป็นที่กระทำสังฆกรรมของภิกษุณีสงฆ์  พระอุโบสถนี้จึงมีชื่อว่า  "พระอุโบสถสองสงฆ์"  หรืออีกเรื่องราวหนึ่งเชื่อว่าพระอุโบสถนี้สร้างให้เห็นเป็นคติเลียนแบบสมัยพุทธกาล  ซึ่งภิกษุณีสงฆ์ต้องบวชในสงฆ์สองฝ่าย  คือบวชในภิกษุณีสงฆ์ก่อน  แล้วจึงบวชในภิกษุสงฆ์ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:34:57

ความคิดเห็นที่ 62 นอกจากนี้ยังมีหุ่นขี้ผึ้เกจิอาจารย์ต่าง ๆ ไว้ให้สักการะ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:36:31

ความคิดเห็นที่ 63 ตามมาเลยครับ  คุณ  *~Mayple Girl~* จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:37:04

ความคิดเห็นที่ 64 ... จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:38:14

ความคิดเห็นที่ 66 ... จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:39:12

ความคิดเห็นที่ 68 ... จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:40:15

ความคิดเห็นที่ 70 ... จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:43:04

ความคิดเห็นที่ 72 ... จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:43:51

ความคิดเห็นที่ 73 หลังจากไหว้พระในพระอุโบสถเสร็จ  ก็ได้เดินไปทางซ้ายมือเพื่อไปที่วิหารลายคำ  ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:48:09

ความคิดเห็นที่ 74 เหตุที่ชื่อว่าวิหารลายคำ  เป็นเพราะวิหารจะเขียนสีทองทั้งหลังเลยครับ วิหารลายคำสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าเมืองแก้ว  กษัตริย์องค์ที่  ๑๑  แห่งราชวงศ์มังราย  (พ.ศ.  ๒๐๓๘ – พ.ศ.  ๒๐๖๘)  ได้มีการซ่อมแซมกันต่อมาหลายสมัย  อาทิ  สมัยพญากาวิละ  ในปี  พ.ศ. ๒๓๓  พญาธรรมลังกา  ในปี  พ.ศ.  ๒๓๕๙ และมาซ่อมแซมใหม่สมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์  เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่  ๖  ในสมัยรัตนโกสินทร์  (พ.ศ.  ๒๓๙๙ – พ.ศ.  ๒๔๑๓)  เป็นวิหารล้านนาที่มีความงามสมบูรณ์แบบที่สุด จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:49:53

ความคิดเห็นที่ 75 ภายในวิหารลายคำจะมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเขียนขึ้นในราวสมัยรัชกาลที่  ๕  โดยฝีมือของ  "เจ็กเส็ง"  เป็นจิตรกรรมที่มีความสวยงาม  มีอิทธิพลศิลปะจากกรุงเทพ ฯ ผสมผสานกับแบบประเพณีท้องถิ่นล้านนาที่ยังปะปนกับอิทธิพลศิลปะตะวันตกด้วย  โดยเขียนเป็นเรื่องสังข์ทองและสุวรรณหงษ์  โดยเฉพาะเรื่องสังข์ทองพบเพียงแห่งเดียวที่นี่ ลักษณะเด่นของภาพจิตรกรรมที่พบในล้านนา แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 22:56:19 จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:51:33

ความคิดเห็นที่ 76 อาจารย์ศิลป์  พีระศรได้สรุปไว้ว่า "จิตรกรรมในภาคเหนือนิยมเขียนภาพชีวิตประจำวัน  เป็นภาพเหมือนชีวิตจริง  ถ้าเรามองดูภาพที่งดงามเรื่องสังข์ทองในวิหารลายคำ  เราจะรู้สึกคล้ายกับว่า  เราเข้าไปอยู่ในสภาพการณ์ที่เป็นจริงตามความเป็นอยู่เมื่อ  ๑๐๐  ปีก่อน" ใครมาเที่ยวอย่าเปิดแฟลชถ่ายรูปนะครับ  เพราะอาจจะทำลายภาพจิตรกรรมได้ แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 22:55:32 จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:54:43

ความคิดเห็นที่ 77 ด้านหลังวิหารลายคำจะเป็นพระวิหารพระพุทธไสยาสน์  (พระนอน)  สร้างขึ้นประมาณ  พ.ศ.  ๒๐๙  และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาเป็นลำดับ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:57:59

ความคิดเห็นที่ 78 พระพุทธไสยาสน์ที่อยู่ข้างใน จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:58:39

ความคิดเห็นที่ 79 ด้านข้างวิหารลายคำจะเป็นพระธาตุเจดีย์  ถือว่าเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีมะโรง  (งูใหญ่)  เป็นพระเจดีย์เก่าแก่สร้างในสมัยเดียวกับการตั้งวัด  ศิลปแบบล้านนาหริภุญชัยผสมลังกา  ฝีมือช่างหลวงนครเชียงใหม่ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 22:59:17

ความคิดเห็นที่ 80 หลังจากไหว้พระที่วัดพระสิงห์เสร็จ  ผมจะไปสักการะอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ แต่เที่ยวมาหลายที่แล้ว  ท้องเริ่มร้อง  ต้องหาอะไรรองท้องก่อน  เลยแวะไปกินข้าวมันไก่ที่ร้านนี้ครับ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 23:00:33

ความคิดเห็นที่ 81 ... จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 23:01:11

ความคิดเห็นที่ 82 รสชาดใช้ได้ทีเดียว จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 23:01:57

ความคิดเห็นที่ 83 ... จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 23:02:36

ความคิดเห็นที่ 84 ตามไปเที่ยวด้วยคนครับ จากคุณ : สำลีแอลกอฮอล์ เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 23:03:27

ความคิดเห็นที่ 85 กินอิ่มก็ไปต่อที่วัดอินทขีนสะดือเมือง  ซึ่งจะอยู่ใกล้ ๆ กับอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 23:04:01

ความคิดเห็นที่ 86 วัดนี้สร้างขึ้นในรัชสมัย  พญามังราย  เพื่อเป็นที่ประดิษฐานของเสาอินทขิล  (เสาหลักเมืองเชียงใหม่) ซึ่งตามตำนานพื้นเมืองเหนือกล่าวถึงพระอินทร์ได้ประทานเสาอินทขิลให้แก่ชาวลัวะเพื่อบูชา  เมื่อครั้งก่อนสร้างเมืองเชียงใหม่ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 23:05:26

ความคิดเห็นที่ 87 ภายหลังได้รกร้างลงสมัยพม่าเข้าปกครองเมือง  จนกระทั่งปี  พ.ศ.  ๒๓๔๓  พระเจ้ากาวิละ  เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ได้ร่วมกับกองทัพพระเจ้าตาก  ขับไล่พม่าออกจากดินแดนล้านนาสำเร็จ  และได้ฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ขึ้น  โดยย้ายเสาอินทขิล  มาประดิษฐานอยู่  ณ  วัดเจดีย์หลวง  และได้สร้างพระวิหารวัดอินทขีลสะดือเมืองขึ้นใหม่บนฐานเดิม  โดยอัญเชิญพระเจ้าอุ่นเมือง  (หลวงพ่อขาว)  มาประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ภายในพระวิหาร จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 23:06:02

ความคิดเห็นที่ 88 เข้าวัดมา  ทางด้านซ้ายมือก็จะเป็นที่ประดิษฐาน  "หลวงพ่อเงินสมปรารถนาทันใจ" จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 23:09:57

ความคิดเห็นที่ 89 คนเชียงใหม่มาขอเกาะขอบจอคะ. เห็นข้าวมันไก่แล้วหิวววววววว จากคุณ : เจ้าหญิงที่เจ้าชายตายจาก เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 23:11:10

ความคิดเห็นที่ 90 ตามมาเลยครับ  คุณ  สำลีแอลกอฮอล์ ฝั่งตรงข้ามกันก็จะเป็น  "พระวิหารพระเจ้าอุ่นเมือง"  ซึ่งเป็นพระวิหารที่  พระเจ้ากาวิละ  ได้สร้างขึ้น  เมื่อครั้งบูรณะวัด  เมื่อปี  พ.ศ.  ๒๓๘๐  โดยสร้างขึ้นบนฐานเก่า   พร้อมกับการสร้างเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมที่หุ้มเจดีย์องค์ใน จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 23:12:11

ความคิดเห็นที่ 91 ยั่วกระเพราะตอนดึกครับ  คุณเจ้าหญิงที่เจ้าชายตายจาก   ภายในพระวิหารประดิษฐาน  พระเจ้าอุ่นเมือง  (หลวงพ่อขาว)  เป็นพระประธาน จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 23:14:33

ความคิดเห็นที่ 92 ตักบาตรพระประจำวันเกิด จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 23:16:22

ความคิดเห็นที่ 93 นอกจากนี้ภายในวัดยังมี  "พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นจังหวัดเชียงใหม่"  เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงพระราชประวัติ  การขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าติโลกราช  รูปปั้นเกจิอาจารย์  เช่น  ครูบาศรีวิชัย,  หลวงปู่แหวน  สุจิณโณ เรื่องราวความเจริญรุ่งเรืองด้านวัฒนธรรม  ประเพณี  โบราณวัตถุ  ศิลปวัตถุงานฝีมือช่างล้านนา  และแบบจำลองเรื่องราวพื้นบ้าน ที่นี่เปิดให้ชมทุกวันนะครับ  ตั้งแต่เวลา  08.00 - 17.00  น. น่าสนใจดีทีเดียวครับ  แต่น่าเสียดาย  ข้างในห้ามถ่ายภาพ  เลยอดเอาภาพมาฝาก  ^_^ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 23:18:09