ความคิดเห็นที่ 1 เลยขออนุญาตกันเองแล้วเปิดดู  ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นที่นอน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 15:54:42

ความคิดเห็นที่ 2 สถานี Jaipur  เวลารถไฟเข้าไฟจะสว่าง  แต่เวลาธรรมดาจะหรี่ไฟ  และสถานีนี้ก็เหมือนเดิมต้องหิ้วกระเป๋าขึ้นบันไดอีก จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 15:55:33

ความคิดเห็นที่ 3 รถตุ๊ก ๆ พาหนะของเรา  ซึ่งวันนี้เราจะเริ่มมีการปวดหัวกับคนขับเป็นวันแรก จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 15:56:21

ความคิดเห็นที่ 4 เราเรียกตุ๊ก ๆ ให้ไปส่งที่ Hotel Anuraag Villa  โรงแรมสะอาด  พนักงานดี  เราขอเล่าเกี่ยวกับคนขับตุ๊ก ๆ หน่อย  เราเหมาให้พาเราเที่ยวทั้งวันและส่งเราที่สถานีรถไฟตอนกลางคืนเมื่อตกลงราคาได้ก็ให้มารับตอน 8 โมง  ปรากฏว่าพอมามีเพื่อนนั่งมาด้วยพวกเราเลยถามว่าทำไมต้องมีเพื่อนมาด้วย  คนที่มาด้วยบอกว่าคนนี้พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง  เลยให้เขามาเป็นเพื่อน  พร้อมทั้งไปหาเสื้อสีผ้าแล้วบอกว่าเป็นเครื่องแบบของคนขับ ( พวกเขานั่งเบียดกันตรงด้านหน้าที่คนขับ ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 15:57:05

ความคิดเห็นที่ 5 พวกเราก็รู้สึกแปลก ๆ แต่ก็คงไม่มีอะไรขึ้นรถปกติที่แรกพาไปก็ไม่มีอะไร  แต่ที่สองเราจะไปวัดพระกฤษณะ  เราถามรู้จักมั้ยบอกรู้  เราก็เอาพาไประหว่างทางเจอตำรวจ ๆ เรียกเขาก็ให้เพื่อนขับแทนไปจอดรอในซอยส่วนตัวเองไปคุยกะตำรวจ  พอเสร็จก็มาบอกเราว่าตำรวจนิสัยไม่ได้ชอบเรียกแล้วปรับ  พวกเราเริ่มว่ามันทะ:-) ๆ แล้วคราวนี้ก็พยายามขับเข้าแต่ในซอย  จนพาไปที่วัดแต่ไม่ใช่วัดพระกฤษณะเป็นวัดอื่น  ซึ่งเราเดินขึ้นไปแล้วเลยได้รู้ว่าเป็นวัดลิง  พอเราลงมาเราบอกว่าไม่ใช่พี่แกเถียงว่าที่นี้เวลาใครมาก็ต้องมาที่นี้  เราเริ่มโมโหเลยบอกให้ไปเที่ยวที่อื่น จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 15:57:54

ความคิดเห็นที่ 6 พอเสร็จจะพาเราไปร้านผ้าเย็บด้วยมือ  เราก็เอาอยากพาไปลองดูซิ  พอไปเป็นบ้านตึกแถวประตูปิดไว้แล้วมีคนออกมาบอกว่าร้านอยู่ในนี้เข้าไปดูเลย  เราเลยบอกไม่เข้า  ไม่ดู  จะไปที่อื่น  เขาก็พยายามจะให้เราเข้าไปจนเราเดินขึ้นรถพี่แกเลยตามมาแต่ก็แสดงท่าไม่พอใจ  พวกเราเลยตกตรงพาชั้นกลับโรงแรม  ยังมาถามอีกว่ากลับไปทำมั้ย  พอถึงโรงแรมเราจ่ายเงินให้เขาเต็มจำนวนที่เราตกลงไม่ไหวนะยิ่งวันนี้จะรีบเที่ยวเพราะที่เที่ยวเยอะมาก  อีกทั้งต้องนั่งเกรงว่าขับพาไปไหนเข้าแต่ซอยไม่ใช่ถนนใหญ่  พอเสร็จรู้สึกโล่งมาก  หารถใหม่ดีกว่าบอกโรงแรมหาตุ๊ก ๆ ให้ด้วยคราวนี้ตะลุยเที่ยวได้อย่างสบายใจหล่ะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 15:58:44

ความคิดเห็นที่ 7 ตอนนี้เรามาทำความรู้จักกับเมืองจัยปูร์ดีกว่า “ จัยปูร์ ”  แปลว่า “ เมืองแห่งชัยชนะ ”  เมืองนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1727  ตรงกับสมัยของมหาราชาสะหวายจัย ซิงห์ที่ 2 ( Maharaja Sawai Jai Singh ll )  ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากราชปุตราชวงศ์กาญจวาหา ( Kachchwaha ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 15:59:47

ความคิดเห็นที่ 8 สำหรับกลุ่มราชปุตราชวงศ์นี้ถือเป็นราชวงศ์ฮินดูกลุ่มแรก ๆ ที่ยอมสานสัมพันธ์กับกลุ่มโมกุลของจักรพรรดิอักบาร์  โดยมหาราชามาน ซิงห์ที่ 1 ( Maharaja Man Singh l )  ทรงยกน้องสาวให้อภิเษกกับจักรพรรดิอัคบาร์  เพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ราชวงศ์  ซึ่งความร่ำรวยส่วนหนึ่งของเมืองจัยปูร์ก็มาจากสาเหตุนี้ด้วย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:00:33

ความคิดเห็นที่ 9 ทั้งนี้มหาราชาสะหวายจัย ซิงห์ที่ 2  ทรงเป็นนักปกครองมองการณ์ไกลและฉลาดปราดเปรื่อง  โดยพระองค์ตัดสินพระทัยย้ายราชธานีจากพระราชวังบนป้อมแอมแมร์มายังเมืองจัยปูร์  เพื่องรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าการรบ  ส่วนการออกแบบผังเมืองก็เป็นการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและความเชื่อแบบฮินดู  โดยเมืองจัยปูร์ถูกออกแบบให้มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมเรียงต่อกัน 9 ช่อง  แล้วตัดด้วยถนนกว้างเป็นตารางหมากรุก  และมีพระราชวังซิตี้พาเลซ ( City Palace )  ตั้งอยู่ตรงกลางกินพื้นที่เกือบ 4 ส่วนใน 9 ส่วนของเมือง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:01:27

ความคิดเห็นที่ 10 ปัจจุบันเมืองจัยปูร์เป็นศูนย์กลางทางการค้าซึ่งทันสมัยสุดของรัฐสถาน  แถมยังมีประชากรหนาแน่นเกือบ 3 ล้านคน  อย่างที่มหาราชาสะหวายจัย ซิงห์ที่ 2 ได้คาดการณ์ไว้  แต่ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือผังเมืองเก่าและสิ่งก่อสร้างดั้งเดิม  รวมทั้งประตูเมืองซึ่งยังคงอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์  นอกจากนี้สีชมพูของเมืองก็กลายเป็นเอกลักษณ์  จนทำให้เมืองนี้เป็นจุดหมายของนักเดินทาง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:02:33

ความคิดเห็นที่ 11 สัตว์เลี้ยงของเมืองนี้เป็นน้องแพะค่ะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:03:12

ความคิดเห็นที่ 12 พระราชวังฮาวามาฮาล ( Hawa Mahal )  หรือพระราชวังแห่งสายลม ( Palace of Winds )  ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองจัยปูร์  โดยสร้างขึ้นในสมัยของมหาราชาประธาป ซิงห์ ( Maharaja Pratap Singh )  เมื่อปี ค.ศ. 1799 จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:03:43

ความคิดเห็นที่ 13 ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ราชปุตที่ถอดแบบมาจากรูปทรงของมงกุฎพระนารายณ์  เป็นอาคารขนาด 5 ชั้น  มีหน้าต่างฉลุช่องลมสีชมพูอมส้ม 953 ช่อง  เพื่อให้นางในวังได้มองกิจกรรมภายนอก ( หน้าต่างทั้ง 953 ช่อง  เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกำแพงทางทิศตะวันออก  ในเขตพระราชฐาน  ซึ่งต่อมาจากพื้นที่ของนางในเท่านั้น ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:04:52

ความคิดเห็นที่ 14 จากนั้นเราก็มาที่วัดลิง ( จริง ๆ เราจะไปวัดอื่นไม่ใช่วัดนี้ )  ทางขึ้นจะมีลิงอยู่พอสมควรค่ะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:06:11

ความคิดเห็นที่ 15 วัดลิงในเมื่อมาถึงแล้วเราก็บูชา  แถมพวกเรายังคุยกันว่าสงสัยเขาอยากให้มาไหว้และทำบุญที่นี้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:08:33

ความคิดเห็นที่ 16 ป้อมแอมแมร์ ( Amber Fort )  ตั้งอยู่บนเนินเขา  และด้านล่างของป้อมเป็นทะเลสาบ  ซึ่งทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของราชวงศ์กาญจวาหา  อยู่หลายร้อยปี  ก่อนมหาราชาสะหวายจัย ซิงห์ที่ 2 จะตัดสินใจย้ายลงไปสร้างเมืองใหม่ที่จัยปูร์ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:10:54

ความคิดเห็นที่ 17 และเนื่องจากป้อมแอมแมร์นั้นตั้งอยู่บนเนินเขาสูง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:11:26

ความคิดเห็นที่ 18 ทางขึ้นป้อมจึงเป็นถนนลาดชันสลับกับขั้นบันได จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:11:52

ความคิดเห็นที่ 19 กำแพงเมืองล้อมรอบป้อมไว้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:12:23

ความคิดเห็นที่ 20 ป้อมแอมแมร์สามารถเดินขึ้นก็ได้หรือนั่งช้างขึ้นก็ได้  แต่ก็ใช้ทางร่วมกันเป็นบางส่วน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:12:53

ความคิดเห็นที่ 21 ห้องขายตั๋วพร้อมอัตราค่าเข้าชมค่ะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:13:32

ความคิดเห็นที่ 22 หน้าตาใบผ่านทางของเรา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:13:58

ความคิดเห็นที่ 23 ก่อนทางขึ้นด้านขวาจะมีวัดชิลาเทวี ( Shila Devi Temple ) หรือวัดเจ้าแม่กาลี  โดยมีเรื่องเล่าว่า  เจ้าแม่กาลีได้ไปเข้าฝันมหาราชามาน ซิงห์  ซึ่งขณะนั้นพระองค์กำลังรบอยู่กับเบงกอล  โดยเจ้าแม่กาลีบอกว่าพระองค์จะชนะสงคราม  และยังบอกให้ไปงมเทวรูปขึ้นมาไว้ที่นี่ด้วย  หลังจากพระองค์รบชนะ  จึงสั่งให้คนไปงมเทวรูปขึ้นมา  ภายในวัดห้ามถ่ายรูปรวมถึงห้ามนำกระเป๋าเข้าไปด้านในเด็ดขาดและต้องถอดรองเท้าก่อนเข้า  ก่อนออกมาน้อง ๆ ได้พวงมาลัยและขนมมา  พวกเราลองชิมขนมแล้วทำจากน้ำตาลก็แปลก ๆ ดีค่ะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:14:25

ความคิดเห็นที่ 24 สามีภรรยาคู่นี้เราเจอที่ไจซัลแมร์  แล้ววันนี้ก็มาเจอตามสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองจัยปูร์  เขาบอกเราว่าเสร็จจากอินเดียก็จะไปเที่ยวที่กัมพูชา  และไปต่อยังประเทศไทย ( ภรรยาเขาสวยมาก ๆ ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:14:59

ความคิดเห็นที่ 25 หลังจากที่เราเข้าประตูมาก็จะเป็นเขตพระราชฐาน   โดยจะมีลานกว้างซึ่งจะมีกลุ่มอาคารติดกันอยู่ 2 ส่วน  โดยอาคารสีแดง  คือศาลาว่าราชการหรือดิวันอิอัม ( Diwan-i-am )  สร้างจากหินทรายแดง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:15:37

ความคิดเห็นที่ 26 ซัตไตส์กัตเชอรี่ ( Sattais Katcheri )  เป็นศาลาหลังสีขาว  สำหรับใช้เป็นสถานที่จดบันทึกรายรับของแผ่นดินหรือภาษีจากประชาชน  โดยอาคารดิวันอิอัมและอาคารซัตไตส์กัตเชอรี่มีการออกแบบเสาและโค้งเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานความเป็นราชปุตกับโมกุลเขาด้วยกัน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:17:21

ความคิดเห็นที่ 27 ส่วนตรงกลางคือประตูกาเนชโปล ( Ganesh Pole )  ที่จะนำเราไปยังพระตำหนักด้านใน  โดยประตูนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1640  สูงประมาณตึก 3 ชั้น จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:19:10

ความคิดเห็นที่ 28 พื้นที่ของซุ้มประตูทั้งหมดถูกวาดทับด้วยภาพลายต้นไม้และดอกไม้  ที่นำผงอัญมณีซึ่งเหลือจากการเจียระไนมาผสมกับสีสกัดจากผักผลไม้  แล้ววาดลงบนผูนเปียก ( Fresco )  ภาพที่เห็นเป็นภาพพระพิฆเนศ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:20:42

ความคิดเห็นที่ 29 นอกจากนี้ยังมีหน้าต่างฉลุช่องลม  เพื่อให้นางในวังได้ชมกิจกรรมต่าง ๆ บริเวณลานด้านนอก จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:23:17

ความคิดเห็นที่ 30 พระตำหนักส่วนในมีทั้งหมด 3 พระตำหนัก  โดยเริ่มจากพระตำหนักแห่งความรื่นรมย์ ( Sukh Niwas )  จุดเด่นของตำหนักนี้คือประตูที่ทำจากงาช้าง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:23:57

ความคิดเห็นที่ 31 ส่วนผนังก็ตกแต่งด้วยลวดลายดอกไม้และแจกันสีฟ้า เขียว เหลืองแบบต่าง ๆ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:24:40

ความคิดเห็นที่ 32 ถัดมาจะเป็นตำหนักฤดูหนาวชีชมาฮาล ( Sheesh Mahal )  ซึ่งเป็นห้องส่วนตัวของมหาราชากับพระชายาหรือมหารานี ( Maharanee ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:26:04

ความคิดเห็นที่ 33 โดยด้านในจะตกแต่งผนังที่ฝังเศษกระจกและกระเบื้องเป็นรูปต่าง ๆ ทำให้ภายในห้องเกิดประกายระยิบระยับเวลาจุดเทียน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:27:05

ความคิดเห็นที่ 34 ศิลปะการติดกระจกแบบนี้เจ้าราชปุตยืมมาจากโมกุล จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:28:12

ความคิดเห็นที่ 35 ทางเดินภายใน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:29:59

ความคิดเห็นที่ 36 ซานานากับบาราดารี ( Baradari )  เป็นเขตพระราชฐานชั้นในสำหรับมหารานีและนางในวังของมหาราชาเท่านั้น  ด้านในแบ่งเป็นห้องนอนทั้งหมด 13 ห้อง  โดย 1 ห้องเป็นของมหาราชาส่วน 12 ห้องที่เหลือเป็นของมหารานี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:31:39

ความคิดเห็นที่ 37 และยังมีช่องลับจากห้องมหาราชาไปห้องนอนทั้ง 12 ห้องได้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:32:39

ความคิดเห็นที่ 38 ส่วนบาราดารีคือพื้นที่พักผ่อนซึ่งอยู่ตรงกลางซานานา  สำหรับให้มหารานีและนางในได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:33:15

ความคิดเห็นที่ 39 ด้านทางออกจะมีร้านกาแฟและขนม  รวมถึงของที่ระลึกขายค่ะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:34:00

ความคิดเห็นที่ 40 ขณะกลับเข้าเมืองเราจะผ่านพระราชวังจัลมาฮาล ( Jal Mahal )  พระราชวังกลางทะเลสาบ  ซึ่งสมัยก่อนเคยเป็นที่ประทับของมหาราชาขณะลงมาล่าสัตว์ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:35:11

ความคิดเห็นที่ 41 อาหารมื้อเที่ยงของเรากินง่าย ๆ เพราะไหนทั้งจะเที่ยวและจะช๊อปเดี๋ยวเวลาไม่พอ  ตอนเราเดินเข้าร้านเราเห็นคนพิการนั่งมองอยู่หน้ากระจกร้านเลย  น่าสงสารมากเราเลยซื้อแฮมเบอร์เกอร์ให้เขา  ต้องแอบให้  รีบให้รีบหนีเพราะเดี๋ยวงานเข้า จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:35:58

ความคิดเห็นที่ 42 ขอเวลาช๊อปเครื่องสำอางค์ยอดฮิตหน่อยนะคะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:36:36

ความคิดเห็นที่ 43 จากนั้นต้องทำเวลารีบเข้าที่หอดูดาวจันตาร์มันตาร์ ( Jantar Mantar ) ก่อน  โดยที่นี่ได้รับประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2010 จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:37:25

ความคิดเห็นที่ 44 โดยมหาราชาสะหวายจัย ซิงห์ที่ 2  ทรงมีความสนพระทัยและมีพระปรีชาในเรื่องดาราศาสตร์ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:38:02

ความคิดเห็นที่ 45 จึงได้ทรงรับสั่งให้สร้างหอดูดาวแห่งนี้ขึ้นพร้อม ๆ กับการก่อสร้างพระราชวังซิตี้พาเลซ  เพื่อใช้ดูความเคลื่อนไหวจองพระอาทิตย์  พระจันทร์  และดวงดาว จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:38:48

ความคิดเห็นที่ 46 โดยหอดูดาวถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในสมัยโบราณ  เนื่องจากจะใช้คำนวณฤกษ์เวลาในการออกรบ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:39:47

ความคิดเห็นที่ 47 นอกจากที่นี่แล้วมหาราชาสะหวายจัย ซิงห์ที่ 2 ยังทรงสร้างหอดูดาวลักษณะใกล้เคียงกันขึ้นมาอีก 4 แห่งในอินเดีย  ซึ่งหนึ่งในนั้นตั้งอยู่ใจกลางกรุงเดลี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:40:25

ความคิดเห็นที่ 48 ถัดจากหอดูดาวเดินไปหน่อยก็จะเป็นพระราชวังซิตี้พาเลซ ( City Palace )  พระราชวังซิตี้พาเลซสร้างขึ้น  ในปี ค.ศ. 1797  สมัยมหาราชาสะหวายจัย  ซิงห์ที่ 2  จากนั้นก็ได้รับการดูแลต่อเติมโดยมหาราชาของจัยปูร์รุ่นต่อ ๆ มา  ที่สำคัญตอนเริ่มก่อสร้างพระราชวัง  ยังอยู่ในช่วงที่ราชวงศ์โมกุลเข้ามามีอิทธิพลต่อรัฐราชสถานแล้ว  สถาปัตยกรรมจึงมีการผสมผสานระหว่างแบบราชปุตกับโมกุล  นอกจากนี้การออกแบบพื้นที่ใช้สอยอาคารอย่างลงตัว  ไม่แน่นทึบและมีทางเดินกว้างขวาง  ซึ่งถือเป็นความน่าสนใจอย่างหนึ่งของพระราชวังแห่งนี้  โดยปัจจุบันพระราชวังซิตี้พาเลซได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมในนามพิพิธภัฑ์สะหวายมานซิงห์ ( Sawai Man Singh Museum ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:41:08

ความคิดเห็นที่ 49 จากประตูทริโปเลีย ( Tripolia Gate )  เข้าไปก็จะพบพระตำหนักมูบารักมาฮาล ( Mubarak Mahal )  หรือเวลาคัมพาเลช ( Welcome Palace )  เป็นอาคารแรก  โดยพระตำหนักนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1899  เพื่อรับรองแขกบ้านแขกเมือง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:41:43

ความคิดเห็นที่ 50 มีความโดดเด่นตรงการแกะสลักเสาหินอ่อนและประตูที่ทำแบบเท่ากันทุกสัดส่วน  โดยตัวอาคารเป็นการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมแบบราชปุต  อิสลาม  และอังกฤษ (  ออกไปทางโคโลเนียล )  ปัจจุบันตำหนักนี้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเครื่องแต่งกายของมหาราชาและมหารานีในแต่ละยุค  ส่วนภายในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:43:55

ความคิดเห็นที่ 51 ประตูราเจนดร้าโพล ( Rajendra Pol )  เป็นประตูนำสู่เขตพระราชฐานของพระราชวัง  ซึ่งมีทหารยามสวมหมวกเทอร์บัน ( Turban )  ด้านหลังที่เห็นใส่หมวกสีแดง  พวกเขาจะถามเราว่าจะถ่ายรูปหรือเปล่า  น้องที่ไปด้วยเลยแซวกลับมา 10 รูปีหัวเราะกันใหญ่ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:44:41

ความคิดเห็นที่ 52 ดิวันอิกัส ( Diwan-i-khas )  หรือศาลาว่าราชการที่มหาราชาใช้ปรึกษางานกับข้าราชบริพาร  ตั้งอยู่ตรงกลางของผังพระราชวัง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:45:29

ความคิดเห็นที่ 53 สิ่งที่สะดุดตาในนี้คือเหยือกเงิน ( Silver Urns )  แท้ ๆ 2 ใบ  ของมหาราชามัดโฮ ซิงห์ที่ 2 ( Maharaja Madho Singh ll )  ซึ่งวางอยู่คนละมุมของประตูทางเข้า จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:46:42

ความคิดเห็นที่ 54 เหยือกเงินนี้มีความสูง 160 เซนติเมตรและบรรจุน้ำได้ถึง 900 ลิตร  ทั้งยังเคยถูกใช้บรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์จากแม่น้ำคงคา  เพื่อนำไปใช้ในพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 7 ด้วย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:47:24

ความคิดเห็นที่ 55 ส่วนอาคารด้านขวาจะเป็นดูบาร์ฮอลล์ ( Durbar Hall )  ปัจจุบันใชจัดแสดงภาพวาดมหาราชาแห่งจัยปูร์ไว้เกือบทั้งราชวงศ์  พร้อมกันนี้ยังมีประวัติสำคัญของมหาราชาทุกพระองค์ให้อ่าน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:48:00

ความคิดเห็นที่ 56 อีกทั้งยังมีภาพวาดเก่าแก่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของชาวเมืองจัยปูร์และบันทึกเขียนด้วยมือเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้าของชาวฮินดูจัดแสดงด้วย  ภายในห้ามถ่ายรูปค่ะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:48:34

ความคิดเห็นที่ 57 ปิทัมนิวาสชอว์ก ( Pitam Niwas Chawk )  หรือลานนกยูง ( Peacock Cpirtuard )  สมัยก่อนลานแห่งนี้ถูกใช้เป็นลานแสดงกลางแจ้งของเหล่านางรำ  เพื่อความสำราญของมหาราชา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:49:16

ความคิดเห็นที่ 58 ที่สำคัญลานนี้ยังถูกล้อมรอบด้วยประตูทั้งหมด 4 บาน  โดยแต่ละบานจะแทนฤดูทั้ง 4 ฤดู จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:50:07

ความคิดเห็นที่ 59 ฤดูฝน  ประตูนกยูงที่เราเดินผ่านเข้ามา  ส่วนมากหนังสือท่องเที่ยวต่าง ๆ มักยกย่องให้ประตูนี้เป็นประตูที่งดงามที่สุด  เพราะนกยูงมีสีสันสวยงามจนดูเหมือนมีชีวิตอยู่จริง ๆ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:51:44

ความคิดเห็นที่ 60 และนกยูงยังเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของราชสถานอีกด้วย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:52:28

ความคิดเห็นที่ 61 ฤดูร้อน  ประตูดอกบัว จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:53:19

ความคิดเห็นที่ 62 ฤดูหนาว  ประตูลายดอกไม้ออกสีชมพูปนม่วง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:54:10

ความคิดเห็นที่ 63 ฤดูใบไม้ผลิ  ประตูสีเขียวตองอ่อน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:54:50

ความคิดเห็นที่ 64 โดยแต่ละประประตูออกแบบไม่เหมือนกันและยังมีรูปแกะสลักของเทพเจ้าฮินดูองค์เล็ก ๆ ประดับอยู่เหนือแต่ละประตู จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:55:25

ความคิดเห็นที่ 65 มหาราชาแห่งจัยปูร์จะใช้คำว่า “ สะหวาย ( Sawai ) ”  นำหน้าชื่อเหตุเพราะ  ตั้งแต่มหาราชาหวายจัย ซิงห์ที่ 2 ( Maharaja Sawai Jai Singh ll ) ขึ้นครองราชย์  ชื่อนำหน้าของมหาราชาแห่งจัยปูร์ทุกพระองค์  ก็จถูกนำหน้าอย่างเต็มยศว่า “ สะหวาย ( Sawai ) ”  ซึ่งคำนี้มาจากเมื่อครั้งท่านจัย ซิงห์ที่ 2  ยังไม่ได้ขึ้นสืบทอดตำแหน่งมหาราชาต่อจากพระบิดา  โดยถูกส่งเข้าไปเรียนรู้งานในราชสำนักของจักรพรรดิออรังเซบ ( Emperor Aruangzab )  แห่งราชวงศ์โมกุล จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:55:56

ความคิดเห็นที่ 66 มีอยู่วันหนึ่งจักรพรรดิออรังเซบทรงถามว่า  หากถูกมัดมือมัดเท้าจะปกครองบ้านเมืองอย่างไร  ท่านจึงตอบว่า  ตามธรรมเนียมของราชปุต  เมื่อชายหญิงเข้าวิวาห์กันแล้ว  จะต้องดูแลกันกระทั่งความตายมาแยกจาก  โดยคำตอบนี้หากแปลตามนัยก็คือ  อย่างไรเสียราชวงศ์โมกุลก็ต้องดูแลปกป้องราชปุต  เพราะเกี่ยวดองกันอยู่หลายชั้น จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:56:27

ความคิดเห็นที่ 67 จึงทำให้จักรพรรดิออรังเซบทรงพอพระทัยในความเฉลียวฉลสาดเป็นอย่างยิ่ง  จึงเรียกท่านว่า “ สะหวาย “ ที่มีความหมายว่า “ หนึ่งและอีกหนึ่งส่วนสี่ ( One and a Quarter ) ”  เพราะถึงแม้จะยังเป็นเด็กแต่กลับฉลาดกว่าคนทั่ว ๆ ไปนั่นเอง  และตั้งแต่บัดนั้นมามหาราชาของจัยปูร์ทุกพระองค์จึงมีคำว่า “ สะหวาย ”  เป็นคำนำหน้า จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:56:56

ความคิดเห็นที่ 68 และแล้วเราก็ได้ไปที่วัดพระกฤษณะ  หรือวัดโกวินเดฟจี ( Govind Devji Temple )  เป็นวัดเก่าแก่ของมหาราชา  ราชวงศ์กาญจวาหา ( Kachchwaha )  และยังเป็นวัดคู่กับเมืองจัยปูร์มาตั้งแต่ก่อสร้างเมืองทีเดียว  โดยจะมีเวลาการเปิดให้สักการะเทวรูปพระกฤษณะ ( Lord Khrisna ) เป็นรอบ ๆ ไป  พวกเราเลยคุยกันว่าสงสัยท่านคงอยากให้มาช่วงเวลานี้ก็ได้  เพราะถ้าตอนเช้าเรามาอาจจะไม่ได้เห็นเทวรูปพระองค์ก็ได้  เพราะไม่ใช่เวลาเปิดให้สักการะ  เวลาประกอบพิธีจะแบ่งที่ยืนเป็นชายด้านซ้าย  และหญิงด้านขวา ( หันหน้าเข้าหาเทวรูป )  และจะร้องเพลงสรรเสริญเมื่อใกล้เวลาเปิดผ้าม่าน  ผู้คนศรัทธามาก จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:57:49

ความคิดเห็นที่ 69 เทวรูปพระกฤษณะ ( Lord Khrisna )  ในท่าเป่าขลุ่ย  สวมมงกุฎและเครื่องประดับครบชุด  เป็นที่เคารพสักการะของชาวเมืองเป็นอย่างมาก  ตามประวัติเล่าว่า  หลังจากมหาราชาสะหวายจัย ซิงห์ที่ 2 สถาปนาเมืองจัยปูร์ได้ 3 ปี  พระองค์ก็ฝันว่าพระกฤษณะมาพบพร้อมกับบอกว่าชอบเมืองนี้  และต้องการมาอยู่ที่นี่  มหาราชาก็เลยไปอัญเชิญเทวรูปขององค์พระกฤษณะจากเมืองวรินดาวัน ( Vrindavan )  ใกล้ ๆ กับเมืองอักรามาประดิษฐานยังวัดแห่งนี้  โดยตำแหน่งของวัดก็ตั้งอยู่ด้านหลังของวังจันตรามาฮาล ( Chandra Mahal )  และตรงกับห้องบรรทมพอดี  เพื่อให้พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นเทวรูปได้ตลอดเวลา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 16:59:37

ความคิดเห็นที่ 70 ปิดท้ายวันนี้เราไปช๊อปร้านเสื้อร้านนี้อีก จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 17:00:18

ความคิดเห็นที่ 71 แล้วก็รีบเตรียมตัวเดินทางโดยรถไฟเพื่อไปยังอัครา ( Agra ) ต่อเป็นขบวน  Delhi – Jaisalmer Express 4059 time 02.00 – 06.15  เวลาที่เห็นคือเวลาตี 2  แทบไม่ต้องนอนกันเลยวันนี้  แถมขึ้นไปยังต้องไปปวดจิตกับฝรั่งไร้วัฒนธรรมมาก  เรื่องมีอยู่ว่าที่ของพวกเราบางส่วนมีฝรั่งนอน  ซึ่งพี่แก่ปิดม่านพอเปิดไปเราเรียกดี ๆ พี่แกก็โวยวายว่าคนกำลังนอนให้ไป  พูดง่าย ๆ พี่แกไล่พวกเราแล้วก็นอนต่อ  แถมมีฝรั่งที่นอนเตียงด้านบนแต่อยู่นอกม่านบอกว่าที่อีก 2 ที่ตรงนั้นว่างให้ไปนอนตรงนั้น  พวกเราโมโหมาก  คนตรวจตั๋วเข้ามาพวกเราก็บอกเขาก็ไปดูให้แต่พอเห็นเป็นชาวต่างชาติเขาก็จะให้ลงไปคุยกันที่ห้องตั๋วด้านล่าง  ใครจะไปบ้าลง  ก็เข้าใจเขานะว่าเป็นต่างชาติเหมือนกันก็ไม่ค่อยอยากยุ่ง  ที่นี้ทำไง  พวกเราก็กลัวว่าถ้านั่งแล้วมีเจ้าของที่มาจะทำไง  แต่สุดท้ายเราเลยบอกน้อง ๆ นั่งและนอนไปเถอะเพราะถ้ามีอะไรก็ต้องกลับไปที่หัวเรื่องอยู่ดี  อย่าคิดมากนอนแล้วเก็บแรงไว้เที่ยวดีกว่า -_-“ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 17:01:00

ความคิดเห็นที่ 72 ...ตามมาเที่ยวจัยปูร์นครสีชมพูต่อนะคะ     เมืองในฝันเลยค่ะ สวยมากเลยนะคะ อยากไปเห็นด้วยตาตัวเองจริงๆ เลยค่ะ แต่เห็นรถไฟที่จะไปอัคราแล้ว หนาวเลยทีเดียว     ^-^ จากคุณ : ปลายฟ้าที่ภูตะวัน เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 01:10:06

ความคิดเห็นที่ 73 ตามคุณ อมรปุระ ไปเที่ยว อยากไปอินเดีย ครับ แต่ไม่มีใครจะไปด้วยเลย สงสัยคงจะได้ไปคนเดียว 555 จากคุณ : พริบพลี เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 10:28:13

ความคิดเห็นที่ 74 คุณปลายฟ้าที่ภูตะวันคะ  เมืองจัยปูร์สวยและเจริญมาก  ส่วนรถไฟคงต้องทำใจค่ะ ^^ คุณพริบพลีคะ  ลองไปดูสิคะแล้วจะสนุก ^^ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 15:32:32

ความคิดเห็นที่ 75 เมืองแห่งรักนิรันดร์ Agra ความคิดเห็นนี้ได้แตกไปยังกระทู้ E12868968 จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 15:38:35