Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เที่ยวไม่ถอย 'ลุง 500' จาก Life Style กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ vote ติดต่อทีมงาน

การเดินทางท่องเที่ยวนั้นมีหลายรูปแบบด้วยกัน จะเที่ยวสไตล์ไหนก็ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของนักเดินทางแต่ละคน

แต่สำหรับคุณลุงหัวใจยังหนุ่มคนนี้เลือกที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมกับรถจักรยานยนต์คู่ใจและไปแบบสบายกระเป๋า เพราะใช้งบประมาณเพียงวันละ 500 บาท

แม้จะอยู่ในวัยใกล้เกษียณแต่ยังคงมีแรงกายแรงใจที่ยอดเยี่ยม ทำให้ คิง แซ่จู หรือ ลุงคิง เป็นนักเดินทางต้นแบบของหลายๆ คนที่มีงบประมาณน้อยแต่อยากออกไปท่องเที่ยวเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต เพราะการเดินทางแต่ละครั้งลุงคิงจะกำหนดเป้าหมายไว้ชัดเจนว่าไม่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายที่แพงแต่สามารถท่องโลกกว้างได้เช่นกัน เป็นที่มาของชื่อ ลุง500 ที่โด่งดังในโซเชียลเน็ตเวิร์คเมื่อหลายปีก่อน

จนถึงวันนี้เสน่ห์การเดินทางแบบสบายกระเป๋าสไตล์ลุง500 ยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้นักเดินทางหน้าใหม่ได้เสมอ

การเดินทางท่องเที่ยวสไตล์ลุง500 เริ่มต้นได้อย่างไร

ตั้งแต่กลับจากเมืองนอกมาก็เริ่มเที่ยวเลย ก็ประมาณ 10 ปีแล้วนะ ก็คือว่างๆ เบื่อๆ ก็ออกไปท่องเที่ยว ปีหนึ่งก็หลายครั้งเหมือนกัน เมื่อก่อนลุงเคยเป็นเชฟที่ร้านอาหารในเมืองบอสตัน อเมริกา ทำอยู่ 14 ปี ก็เก็บเงินได้ก้อนใหญ่พอสมควรจึงตัดสินใจกลับกรุงเทพฯ ตอนนั้นอยากทำตามความฝันของตัวเองคืออยากเที่ยวให้ทั่วประเทศเลย ไปด้วยรถมอเตอร์ไซด์ เพราะมันท้าทาย มันน่าสนุก เหมือนเป็นการให้กำไรชีวิตแก่ตัวเอง

ส่วนชื่อที่ใช้ว่า ลุง500 มาจากการที่เราอยากไปเที่ยวแบบประหยัดน่ะ และอยากให้คนอื่นออกมาเที่ยวกันในราคาไม่แพง พอไปเที่ยวไหนก็ถ่ายรูปลงในเน็ต ก็มีคนสนใจเข้ามาถามเยอะว่าต้องเที่ยวยังไง เตรียมตัวยังไง จริงๆ มีเงินนิดหน่อยก็เที่ยวได้นะ แค่ 500 บาทต่อวันเราก็เที่ยวได้ มันไม่ได้ใช้จ่ายอะไรมากมาย ทีนี้ชื่อของเราก็อยากให้มันเป็นจุดขายอย่างหนึ่ง ก็เลยใช้ชื่อว่า ลุง500 มันจะได้สะกิดใจคนว่าอะไรคือห้าร้อย มันทำให้คนสนใจการเที่ยวขึ้นมาได้ แต่จริงๆ ก็คืออยากสื่อสารออกไปว่า ถึงเราจะมีเงินน้อยแต่เราก็เที่ยวได้ ต่อวันเนี่ยมันไม่แพงหรอก ให้โอกาสกับชีวิตได้ออกไปเที่ยวบ้าง

ส่วนใหญ่ไปเที่ยวที่ไหน

ส่วนใหญ่ก็ไปเที่ยวตามอุทยานแห่งชาติหรือวนอุทยานต่างๆ ของไทย เที่ยวแบบนี้จะเที่ยวได้ในราคาถูกเพราะเรารู้รายจ่ายที่แน่นอนว่าอุทยานนี้เสียค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ ค่าสถานที่กางเต็นท์เท่าไหร่ เมื่อก่อนตอนเที่ยวใหม่ๆ ก็เคยไปพักตามรีสอร์ท ตามโรงแรมถูกๆ เหมือนกันนะ แต่พอเราลองมาคิดรายจ่ายดูแล้วเดือนๆ หนึ่งก็ตกสามสี่หมื่นแน่ะ มันแพง เราก็เลยคิดว่าถ้าเที่ยวแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันชักไม่ดีแล้ว พอไปเที่ยวตามอุทยานก็เห็นคนเขากางเต็นท์กันก็คิดว่าน่าจะประหยัดกว่าเยอะ แล้วก็ชอบชีวิตแบบนั้นมากกว่า คือเราได้ประหยัดด้วย ได้เข้าถึงจิตใจคนท้องถิ่นได้มากกว่าด้วย

แล้วต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

อย่างแรกคือลุงเที่ยวด้วยพาหนะขนาดเล็กอย่างรถมอเตอรไซค์ เครื่องยนต์ขนาด 100cc ที่สมบูรณ์ก็ไปได้ทุกที่ น้ำหนักบรรทุกสัมภาระไม่ควรเกิน 40 กก. ผู้ขับขี่ไม่เกิน 80 กก. ถ้ามากกว่านี้ต้องลดน้ำหนักสัมภาระลง แล้วก็ต้องเตรียมเครื่องนุ่งห่ม อาหาร ยารักษาโรค ให้พร้อม แต่ต้องเตือนตัวเองว่าอย่าเอาไปมาก น้ำหนักมาก ก็ต้องจัดให้มันพอดีๆ ส่วนอุปกรณ์เสริมของรถก็แนะนำให้เปลี่ยนสเตอร์ให้ใหญ่ขึ้น ลุงเปลี่ยนจาก 35 เป็น 38 จะทำให้รถมอเตอร์ไซค์ขับบนทางลาดชันได้ดีกว่าเดิม ส่วนเบาะนั้งควรจะกว้าง นุ่ม หนาเพิ่มขึ้น นอกนั้นก็มีเตรียมถังน้ำมันสำรอง เตรียมตะแกรงวางของท้ายรถให้มันแข็งแรงพอที่จะบรรทุกสัมภาระได้

นอกจากประหยัดแล้ว ไปเที่ยวด้วยรถจักรยานยนต์มันสนุกกว่าไหม

มันทำให้เรากลมกลืนไปกับผู้คน เคยมีคนเข้ามาถามด้วยว่ามาขายอะไร แม้แต่ตอนเราขับเข้าไปตรงทางเข้าประตูอุทยานเพื่อเสียค่าธรรมเนียม เจ้าหน้าที่ยังถามเลยว่าขายอะไร เพราะเราไม่เหมือนนักท่องเที่ยว ลุงไปเที่ยวลุงก็แต่งตัวธรรมดาเหมือนชาวบ้านนั่นแหละ บางทีใส่กางเกงขาสั้นเสื้อม่อฮ่อมผูกผ้าขาวม้าอย่างนี้ครับ ไม่มีใครคิดว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว(หัวเราะ) เวลาไปเที่ยวทางใต้ อย่างยะลา นราธิวาส ปัตตานี อะไรพวกนี้ลุงไม่โดนตำรวจตรวจเลย เขานึกว่าเป็นคนในท้องที่(หัวเราะ)

เรื่องที่พักถ้าเป็นโฮมสเตย์ก็น่าจะประหยัดได้เหมือนกัน ?

จริงๆ แล้วโฮมสเตย์นี่แพงนะ เพราะชาวบ้านต้องพาเราเที่ยวมั่ง ต้องทำอาหารให้เรากิน อันนี้ 500 บาทไม่อยู่ครับ เพราะ 500 ของเรานี่คือรวมค่าน้ำมัน ค่าผ่านประตู ค่าธรรมเนียมกางเต็นท์ แล้วก็ค่าอาหาร ซึ่งลุงจะเน้นซื้ออาหารตามตลาดนัดของหมู่บ้าน หรือตลาดประจำอำเภอก็ได้ หรือร้านเพิงข้างทางก็ได้ บางทีเจอร้านอาหารตามสั่งก็สั่งเป็นข้าวผัดกะเพราใส่กล่อง ก็ซื้อของพวกนี้ติดตัวไป ตามทางแวะซื้อน้ำกินก็ซื้อแบบขวดขาวขุ่น ขวดหนึ่งไม่เกิน 5 บาท ถ้ากินอยู่ในลักษณะแบบนี้ก็อยู่แล้ว เน้นไปเที่ยวให้สนุกและสบายใจไม่ได้ผูกติดกับที่พักสวยหรืออาหารต้องจัดเต็ม อะไรแบบนี้ไม่มีเด็ดขาด เพราะยิ่งอร่อยก็ยิ่งแพงเดี๋ยวมันจะเกิน 500 (หัวเราะ) วันหนึ่งค่าน้ำมันก็แค่ร้อยกว่าบาท เต็มที่ล่ะ ไปได้ตั้ง 200 กิโลเมตร ก็ค่อยๆ ขับข้ามไปทีละจังหวัด เรื่อยๆ ไปได้ทุกที่ ได้ดูวิวข้างทาง ได้รู้จักชาวบ้าน

ออกทริปแต่ละครั้ง ไปกี่วันคะ

เกินอาทิตย์หนึ่งตลอด ส่วนใหญ่จะไป 7-10 วัน บางทีก็ 3 อาทิตย์ เป็นการเที่ยวแบบเราไปซึมซับวิถีชีวิตของผู้คนจริงๆ ลุงไม่ได้แพลนว่าต้องมีจุดหมายที่ไหนเป็นพิเศษ หรือว่าต้องเข้าไปถึงไหน หรือไปจังหวัดนี้ต้องมีที่เที่ยวแบบนี้ๆ ไม่เลย ก็ขับไปเรื่อยๆ ผ่านป้ายบอกทางเห็นที่ไหนมีอะไรน่าเที่ยวลุงก็แวะเข้าไป บางทีเห็นป้ายน้ำตกก็แวะ แต่พอไปดูแล้วก็ไม่มีน้ำ เจอแบบนี้ก็เยอะ(หัวเราะ)

แล้วไปเที่ยวอุทยานมากี่แห่งแล้วคะ

โอ้โห น่าจะมากกว่าครึ่งหนึ่งของอุทยานในประเทศไทยนะ ไปเยอะมาก ลุงนับไม่ได้หรอกครับ มีทั้งอุทยานที่ยังไม่ประกาศและอุทยานที่ประกาศแล้วประมาณร้อยกว่าแห่งได้ครับ บางที่เคยไปมาแล้วยังลืมเลย ไปซ้ำที่เดิมก็บ่อยครั้ง ยิ่งรู้ว่าที่ไหนที่ยังไม่ประกาศเป็นอุทยานยิ่งอยากไปเพราะได้เข้าฟรีด้วย ธรรมชาติก็สวยงามด้วย ส่วนอุทยานที่ดังๆ ตอนนี้ก็จะขึ้นราคา รับรองไม่ไปเด็ดขาดเลย อย่างห้วยน้ำดังหรือดอยอินทนนท์ก็จะขึ้นราคา อย่างนี้ไม่ได้เงินลุงอีกแล้ว ลุงก็ต้องรอก่อน อีกปีกว่าๆ ก็จะได้เข้าฟรีแล้วไง เพราะเกษียณพอดี(หัวเราะ)

มองว่าอุทยานในบ้านเราตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

มันก็แล้วแต่ที่นะ อุทยานไหนที่คนไปเที่ยวเยอะการบริหารจัดการข้างในก็ลำบากหน่อย จะไปว่าเขาจัดการไม่ดีก็ไม่ได้ ก็คนมาเยอะร้อยพ่อพันแม่ แล้วนักท่องเที่ยวบางคนก็ใช้ไม่ได้จริงๆ บางคนไปสูบบุหรี่ไม่เกรงใจคนอื่น บางทีหุงหาอาหารกันกลิ่นควันก็รบกวนคนข้างๆ ก็มี พอเจ้าหน้าที่เข้าไปเตือนเขาก็ไม่ยอม เจ้าหน้าที่เขาตัวเล็กๆ ทั้งนั้นล่ะครับ เขาจะไปต่อว่านักท่องเที่ยวมากไม่ได้ เท่าที่เห็นคือบางคนก็จะมาขอความอนุเคราะห์ให้ทำโน่น นั่น นี่ หรือให้พ่อแม่โทรศัพท์มาขอจองที่ทางไว้ให้ พอไปเที่ยวแบบนี้บ่อยๆ ก็ได้เห็นเรื่องพวกนี้มาบ้างเหมือนกัน

การที่เจ้าหน้าที่จะควบคุมให้ได้ทุกอย่างบอกเลยว่ามันลำบาก กับการที่ต้องเจอนักท่องเที่ยวแต่ละคนที่เป็นเศรษฐี ลำบากหน่อยก็ไม่ได้ ต่อว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่รู้หรอกว่างบประมาณในการบำรุงรักษามันมีแค่ไหน จะให้เจ้าหน้าที่มาคอยดูแลเหมือนอยู่โรงแรมหรูๆ ไม่ได้หรอกครับ ไปเที่ยวก็คือไปเที่ยว ลุงรู้สึกว่าแค่ได้มาก็ดีใจแล้ว เวลาเราเที่ยวก็ต้องดูแลจัดการตัวเอง ขยะเราก็ต้องเก็บทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่มากที่เราต้องดูแลรักษาธรรมชาติ

แค่เข้าไปชมความสวยงามเท่านั้นไม่ควรไปทิ้งร่องรอยความเสื่อมโทรมไว้ ต้องปรับที่ตัวนักท่องเที่ยวเอง ต้องคิดไปไกลๆ ว่าเราจะทำยังไงให้อุทยานดีขึ้นและเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมให้มากที่สุด และนานที่สุด ทำยังไงถึงจะไม่เป็นการไปทำลายสิ่งที่เรามีอยู่

Credit   :
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/society/20121201/480260/เที่ยวไม่ถอย-ลุง-500.html

 
 

จากคุณ : bye u
เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 08:47:13




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com