PANTIP.COM : E13058463 [CR] โหด มันส์ ฮา ผจญภัยสุดขอบฟ้าในอเมริกาใต้: ตอนที่ 14 - ตามรอยอินคาที่ Cusco และ Sacred Valley [ภาค 1] [บันทึกนักเดินทาง]

[CR] โหด มันส์ ฮา ผจญภัยสุดขอบฟ้าในอเมริกาใต้: ตอนที่ 14 - ตามรอยอินคาที่ Cusco และ Sacred Valley [ภาค 1]

ความเดิมตอนก่อนๆ

ตอนที่ 1: เริ่มออกเดินทางสู่ Santiago de Chile
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12495284/E12495284.html

ตอนที่ 2: Easter Island กับความประทับใจที่ยากจะลืมเลือน
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12498054/E12498054.html

ตอนที่ 3: ในยามทุกข์ ยังมีสุขอยู่ข้างใน ณ Easter Island
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12502040/E12502040.html

ตอนที่ 4: ร่อนเร่ เตร็ดเตร่ไปในทะเลทราย Atacama
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12509710/E12509710.html

ตอนที่ 5: สามวันสองคืนบนทัวร์ทะเลเกลือ Salar de Uyuni อันแสนประทับใจ
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12524495/E12524495.html

ตอนที่ 6: ขื่นขมกับประวัติศาสตร์อันขมขื่น ณ Potosi
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12534218/E12534218.html

ตอนที่ 7: ทอดน่อง เมียงมอง ส่อง Sucre นครสีขาวแห่งโบลิเวีย
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12574836/E12574836.html

ตอนที่ 8: วันดีๆ ที่มีแต่สีสันและชีวิตชีวาที่ La Paz
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12580893/E12580893.html

ตอนที่ 9: สุดโหด แต่โคตรมันส์ ปั่นสองล้อบนถนนที่อันตรายที่สุดในโลก
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12619757/E12619757.html

ตอนที่ 10: ตระการตา Copacabana และทะเลสาบ Titicaca อันแสนสวย
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12748411/E12748411.html

ตอนที่ 11: กำเนิดอาณาจักรสุริยา ณ Isla del Sol
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E13041753/E13041753.html

ตอนที่ 12: สวัสดีเปรู วันแรกบนแผ่นดินอินคา ณ Puno
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E13050443/E13050443.html

ตอนที่ 13: เกาะต้นกกลอยน้ำ ภูมิปัญญาท้องถิ่นแสนมหัศจรรย์ของชาว Uros
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E13053687/E13053687.html

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านอีกครั้งหนึ่งครับ กลับมาพบกันอีกแล้ว ในที่สุดการเดินทางของผมก็มาถึงตอนที่ 14 แล้วครับ ในวันนี้เราจะเดินทางออกจากเมือง Puno ริมทะเลสาบติติกากาที่ผมอยู่มาแล้วเป็นเวลา 2 วัน ไปยังเมืองที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการท่องเที่ยวของเปรูและของอเมริกาใต้เลยก็ว่าได้ นั่นก็คือนคร Cusco นั่นเอง ผมเชื่อได้เลยครับว่าหากเอ่ยถึงเปรู คงมีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก Cusco เพราะสถานที่แห่งนี้คือนครหลวงโบราณของอาณาจักรอินคาอันยิ่งใหญ่นั่นเอง และบริเวณรอบๆ Cusco นี่เองครับที่เป็นสถานที่ตั้งของโบราณสถานอินคาหลายๆ แห่ง ที่ซึ่งความประณีตของงานหิน และความน่าทึ่งทางด้านวิศวกรรม ได้สะกดสายตาของผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกมานักต่อนักแล้ว

ก่อนอื่นผมก็ขอเกริ่นนำประวัติศาสตร์โดยย่อๆ ของอาณาจักรอินคากันซักเล็กน้อยก่อนที่ผมจะพาท่านผู้อ่านไปรับชมรีวิวในตอนนี้ เพราะหากเที่ยวเมือง Cusco โดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอินคาเลย ก็ไม่ต่างอะไรไปกับคนตาบอดที่ไม่ได้ถือไม้เท้า เพราะเราก็จะสักแต่ผ่านมันไปเฉยๆ โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของสถานที่สำคัญต่างๆ นั่นเองครับ เรื่องมันก็มีอยู่ว่า ตามตำนานที่เล่ากันปากต่อปากมาแต่โบราณ เชื่อกันว่า (นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ ความเชื่อเท่านั้น) พระอาทิตย์ได้อวตารลงมาเกิดเป็นอินคา (คำว่า “อินคา” ตามภาษาเกชัวซึ่งชาวอินคาใช้พูดกันแปลว่าจักรพรรดิ) มีพระนามว่า Manco Capac (เอ คุ้นๆ ไหมครับ หากอยากทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับอินคาพระองค์นี้ก็ให้ย้อนกลับไปตอนที่ 11 ได้ครับ smile ) บริเวณเกาะพระอาทิตย์ในทะเลสาบติติกากาฝั่งโบลิเวียในปัจจุบัน และ Manco Capac นี่เองที่ได้รวบรวมผู้คนมาสร้างเมืองใหม่ในบริเวณหุบเขา Cusco ซึ่งก็เป็นพื้นฐานของเมือง Cusco นั่นเองครับ หลังจากนั้นก็มีอินคาพระองค์อื่นๆ ปกครองอาณาจักรนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงยุคของ Pachacuti (หากใครเคยเล่นเกมส์ Civilization ภาค 5 อาจจะคุ้นชื่อนี้ดีครับ) ซึ่งนับเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของอาณาจักรนี้ และนักประวัติศาสตร์เองก็เชื่อกันว่า ในยุคของ Pachacuti นี่เองที่มีการสร้าง Machu Picchu ขึ้นมา และหนึ่งในทฤษฎีที่เชื่อกันก็คือ Machu Picchu เนี่ยถูกสร้างมาเพื่อเป็นพระตำหนักของพระองค์เองเสียด้วยซ้ำไปครับ

แต่ก็นั่นแหละครับ สิ่งใดๆ ก็ตามบนโลกนี้ มีขึ้นก็ต้องมีลง มีรุ่งเรืองก็ต้องมีล่มสลาย กาลเวลาล่วงเลยมาถึงยุคของอินคา Huayna Capac พระองค์เองก็เป็นอินคาที่ขยายอาณาเขตของอาณาจักรได้กว้างใหญ่ไพศาลมาก ทำให้อาณาจักรอินคามีชื่อเรียกในภาษาของตัวเองว่า “Tawantinsuyu” หรืออาณาจักรที่ประกอบไปด้วยสี่ส่วน พอพระองค์สวรรคตลง เค้าลางร้ายของอาณาจักรอินคาก็เริ่มมาเยือน เนื่องด้วยพระองค์เองมีพระโอรสสองพระองค์ที่เกิดต่างมารดากัน คือ Huascar และ Atahualpa ซึ่ง Huascar เป็นองค์รัชทายาท แต่ Atahualpa เป็นโอรสที่คุมทหารฝ่ายเหนือและมีกำลังทางทหารอยู่ในกำมือ พอ Huayna Capac (แฟนเกมส์ Civilization ก็น่าจะคุ้นๆ ชื่อนี้เหมือนกันครับ) สิ้นพระชนม์ อาณาจักรอินคาก็เกิดสงครามกลางเมืองแย่งชิงราชบัลลังก์กันระหว่างโอรสสองพระองค์นี้ ซึ่งผลก็คือ Atahualpa ซึ่งมีกำลังทหารมากกว่าได้รับชัยชนะ และจับตัว Huascar ไปขังเอาไว้ เผอิญในช่วงนั้น Francisco Pizarro จากสเปนได้เดินทางมาขึ้นฝั่งที่เปรู และได้รับรู้เรื่องราวความร่ำรวยของอาณาจักรอินคา จึงได้เดินทางมายัง Cusco และได้ขอให้ Atahualpa นับถือศาสนาคริสต์ แต่ Atahualpa ปฎิเสธ Pizarro จึงได้ทำการจับตัว Atahualpa ไปขังไว้ โดย Atahualpa ได้เสนอที่จะขอไถ่พระองค์เองโดยจะมอบค่าไถ่เป็นทองที่เติมเต็มห้องห้องหนึ่งได้แก่ Pizarro แม้กระนั้นแล้วก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว Pizarro ก็ประหาร Atahualpa นับเป็นจุดสิ้นสุดของอาณาจักรอินคา และเมือง Cusco นครหลวงก็ถูกอาณาจักรสเปนเผาทำลายและนำเอาของมีค่าไปจนหมดสิ้น น่าเศร้าไหมล่ะครับกับการล่าอาณานิคมเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง cry

หากท่านลองใช้ Google Earth ส่องดูเมือง Cusco จะเห็นว่ารูปร่างของเมืองจะคล้ายกับเสือ Puma ซึ่งชาวอินคาโบราณเชื่อกันว่า Puma เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกภูมิ และนกเหยี่ยว Condor คือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรคภูมิ และงูเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งใต้พิภพนั่นเองครับ

เมืองแห่งนี้อยู่ที่ความสูง 3300 เมตรจากน้ำทะเลนะครับ หากท่านที่บินมาจากเมืองระดับน้ำทะเลอย่าง Lima แนะนำให้ปรับร่างกายก่อนวันสองวันก่อนออกเที่ยว เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาจากอาการแพ้ความสูงทำลายความสนุกของท่านได้ครับ smile

(ขอบคุณข้อมูลดีๆ บางส่วนจาก Wikipedia ครับ smile )

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:40:16

ความคิดเห็นที่ 1

นี่แหละครับรูปถ่ายดาวเทียมของเมือง Cusco ที่เขาว่าเหมือนเสือ Puma ก็พอมีเค้านะครับผมว่า smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:41:28

ความคิดเห็นที่ 2

เกริ่นนำกันมาพอหอมปากหอมคอแล้วนะครับ เรามาเข้าเรื่องราวของเรากันดีกว่า ขณะนี้คือเช้าของวันที่ 20 กรกฎาคมแล้วครับ และรถทัวร์ที่ผมจองเอาไว้ตั้งแต่วันแรกที่ผมมาถึง Puno จะออกตอนเจ็ดโมงเช้าของวันนี้ แต่ตอนกลางคืนของวันที่ 19 หลังจากที่ผมอิ่มอร่อย (แต่เสียดายตังค์) กับสเต็กอัลปากาและกลับมาถึงโรงแรม คนของโรงแรมก็บอกกับผมว่าเดี๋ยวผมปลุกคุณตีสี่นะ ผมก็บอกเค้าไป อ้าว คุณจะปลุกผมตีสี่ทำไมกันล่ะ รถของผมออกเจ็ดโมงไม่ใช่เหรอ เขาก็ยืนยันบอกว่า ไม่ใช่ รถคุณออกตีห้า ผมได้ยินแบบนั้นก็งงสิครับ ก็ในตั๋วมันเขียนอยู่ชัดเจนว่าออกเจ็ดโมงๆ ผมก็เลยไม่สนใจแล้วละครับ เข้าไปนอนเลย

ในเวลาตีสี่ของวันที่ 20 กรกฎาคม อยู่ดีๆ ผมก็ตื่นขึ้นมาเฉยๆ พออาบน้ำทำธุระเสร็จเห็นนอกห้องตรงล็อบบี้มีคนอยู่ เขาก็เลยบอกผมว่านี่ตีสี่ครึ่งแล้วนะ เร็วๆ หน่อย ออกไปข้างนอกแล้วรีบหาแท็กซี่ไปสถานีขนส่งเลยนะ ซึ่งทำให้ผมงงหนักไปกว่าเดิมอีก แต่ผมก็เก็บกระเป๋าออกไปเรียกแท็กซี่ตามที่พี่พนักงานโรงแรมแนะนำแต่โดยดีครับ

บรรยากาศด้านหน้าโรงแรมตอนใกล้ๆ จะตีห้าครับ เงียบสงัดดีจริงๆ ครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:42:37

ความคิดเห็นที่ 3

ถึงแม้ผมจะยังคงเชื่อว่ารถออกเจ็ดโมงเช้าตามตั๋วอยู่ก็ตาม แต่เพื่อความไม่ประมาทผมก็ต้องฟังคำแนะนำที่คนของโรงแรมบอกผมตั้งแต่เมื่อคืนด้วย ก็เลยบอกให้แท็กซี่รีบๆ ขับให้ไปถึงสถานีรถบัสครับ และแล้วผมก็มาถึงสถานีในเวลาตีสี่ห้าสิบ พอถึงแล้วผมก็รีบไปถามที่เคาน์เตอร์ของบริษัท Inka Express บริษัทที่ผมจองเอาไว้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาก็บอกผมว่ารถออกตีห้านะวันนี้ รีบไปขึ้นรถได้เลย แสดงว่าที่คนของโรงแรมพูดเมื่อวานมันก็เรื่องจริง สงสัยทางบริษัทโทรไปตามโรงแรมต่างๆ เพื่อแจ้งการเปลี่ยนแปลงนี้แน่ๆ เพราะตอนที่ผมจองตั๋วที่ออฟฟิศของบริษัทนี้ใน Puno ก่อนจ่ายเงินเขาถามผมด้วยว่าพักที่โรงแรมไหนครับ นับได้ว่าเป็นบริษัทที่เอาใจใส่ลูกค้าได้ดีเลยทีเดียวครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:43:29

ความคิดเห็นที่ 4

รถทัวร์ของบริษัท Inka Express มาจอดรอด้านนอกแล้วละครับ บริษัทนี้เป็นบริษัทที่ Lonely Planet แนะนำมาด้วยครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:44:12

ความคิดเห็นที่ 5

สภาพภายในรถดูดี สมกับราคาที่จ่ายไปครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:46:07

ความคิดเห็นที่ 6

หน้าตาของตั๋วครับ สนนราคาค่าเดินทางจาก Puno ไป Cusco โดยวิธีนี้คือ 40 ดอลลาร์สหรัฐครับ ซึ่งจะจ่ายกับบริษัทเป็นดอลลาร์หรือเป็นโซลก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนครับว่าหากจะจ่ายเงินเป็นดอลลาร์เนี่ย แถบอเมริกาใต้เค้ารับกันเฉพาะแบงก์ดอลลาร์ใหม่เอี่ยม จะมีรอยขาดแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้เลยครับ ลองถามบริษัททัวร์ที่ Cusco ที่ผมเลือกไป trek ขึ้น Machu Picchu เขาก็ให้เหตุผลว่าจริงๆ เขาก็รับแบงก์ขาดเหมือนกันนะ แต่ว่าถ้าเอาไปแลกตามธนาคารจะถูกกดอัตราแลกเปลี่ยนแบบสุดๆ เพราะฉะนั้นใครๆ ก็เลยรับแต่แบงก์ใหม่ๆ กันทั้งนั้นครับ ก่อนมานี่ผมถอนเงินจาก ATM ในอเมริกาเพราะผมมีบัญชีเงินฝากที่อเมริกา ปรากฎว่ามันไม่ได้ให้แบงค์ใหม่ผมมายกเซ็ทครับ อาจเป็นเพราะในอเมริกาแบงค์จะเก่าจะใหม่จะขาดนิดหน่อยหรือยังไงก็ตามก็ยังมีค่าเท่าเดิม แต่พอผมจะเอามาใช้ที่อเมริกาใต้นี่ไม่มีใครรับเลย

สำหรับราคา 40 ดอลลาร์นี่ถือว่าแพงนะครับเมื่อเทียบกับรถบัสทั่วๆ ไป ซึ่งราคาน่าจะถูกกว่านี้หลายเท่า แต่การเดินทางโดย Tourist Bus บนเส้นทางนี้จะมีข้อได้เปรียบก็คือ ระหว่างทางเราจะได้แวะชมสถานที่สำคัญต่างๆ ถึงสี่ที่ และมีจุดแวะพักรับประทานอาหารกลางวันแบบบุฟเฟต์ รวมไปถึงบริการเครื่องดื่มบนรถ และไกด์ทัวร์ที่จะคอยอธิบายเรื่องราวความเป็นมาของสถานที่ต่างๆ ที่เราแวะชมกันด้วยครับ ซึ่งทุกๆ อย่าง รวมไปถึงค่าเข้าขมสถานที่ต่างๆ นั้นรวมอยู่ในค่าตั๋วเรียบร้อยแล้วครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:48:17

ความคิดเห็นที่ 7

และยังมีอีกหนึ่งวิธีในการเดินทางจาก Puno ไปยัง Cusco นั่นก็คือ Perurail นั่นเองครับ ใครที่เคยเดินทางไป Machu Picchu มาแล้วน่าจะคุ้นชื่อกับบริษัทรถไฟนี้กันดี รถไฟจาก Puno ไป Cusco จะออกกันวันละเที่ยวครับ ใช้เวลาเดินทาง 8 ชั่วโมง (tourist bus ก็ใช้เวลาประมาณนี้เช่นเดียวกันครับ) และก็จะแวะตามสถานที่ต่างๆ เช่นเดียวกับที่ tourist bus ทำ แต่ว่าสนนราคาก็แพงกว่ามากครับ ประมาณ 150 ดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว อ้าว แล้วถ้าอย่างงั้นมันต่างกับ tourist bus ยังไง ความต่างมันอยู่ที่ความหรูหรานั่นเองครับ มองตามภาพข้างล่างก็คงจะบอกได้ครับ

สำหรับในตอนที่ 12 ผมเคยตั้งคำถามในกระทู้ว่ารถไฟที่วิ่งระหว่าง Puno กับ Cusco น่ะไม่ใช่ของหรอก แต่เป็นทางรถไฟของบริษัทจากประเทศอะไร แต่ปรากฏว่ายังไม่มีใครมาตอบคำถาม ถ้างั้นผมเฉลยเลยตรงนี้ก็แล้วกันครับ (จริงๆ ผมก็เฉลยไปแล้วข้างบนไม่กี่บรรทัดนี่แหละครับ smile ) รางรถไฟนี้เป็นของ Perurail นั่นเอง ท่านผู้อ่านบางท่านเห็นชื่อคงสงสัย อ้าว Perurail ไม่ใช่ของเปรูเองหรอกเหรอ คำตอบคือไม่ใช่ครับ เพราะบริษัทที่เป็นเจ้าของ Perurail อีกทอดหนึ่ง ถ้าผมบอกชื่อหลายๆ คนคงต้องร้องอ๋อ นั่นก็คือ Orient Express ของอังกฤษนี่เองครับ เจ้าของเดียวกับขบวนรถด่วนสุดหรู E&O Express ที่ออกจากหัวลำโพงบ้านเราไปสิงคโปร์นี่แหละครับ มิน่าล่ะทำไมตั๋วมันถึงได้แพงนัก...

ข้อมูลก็จากเว็บไซต์นี่เลยครับ http://www.perurail.com/en/train_photos.php?id=1

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:52:54

ความคิดเห็นที่ 8

ก่อนจะออกมาขึ้นรถก็ต้องเสียค่าใช้อาคารผู้โดยสารราคา 0.50 โซลกันด้วยนะครับ (แต่อ่านๆ ดูแล้วเหมือนกับมันไม่ใช่ค่าใช้อาคารผู้โดยสารนะครับ เหมือนกับเป็นค่าบำรุงห้องน้ำมากกว่า - SS. HH. ในภาษาสเปนย่อมาจาก Servicios Hygienicos ซึ่งก็แปลว่าห้องน้ำนั่นเอง หากอยู่ในอเมริกาใต้แล้วต้องการห้องน้ำ ให้มองหาอักษรสี่ตัวนี้ได้เลยครับ smile )

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:53:57

ความคิดเห็นที่ 9

พอตีห้าปุ๊บก็ถึงเวลาล้อหมุน และแล้วรถบัสของเราก็ออกเดินทางจาก Puno ผ่านไปตามถนนที่คับแคบและคดเคี้ยวเลี้ยวไปตามไหล่เขา พอเริ่มพ้นเขตเมืองคุณไกด์ประจำรถก็ประกาศว่าต้องขออภัยที่ต้องเปลี่ยนเวลาเดินทางกะทันหัน สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนเวลาเดินทางมาเป็นตีห้าเพราะทางเราได้ยินข่าวว่าจะมีการเดินขบวนประท้วงใหญ่ในจังหวัด Puno (คาดว่าคงจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่ผมเจอในตอนที่ 12) และอาจมีการปิดทางหลวงสายหลักที่จะเชื่อมระหว่าง Puno และ Cusco ด้วย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเดินทางจากการปิดถนนที่อาจจะกินเวลานานทางเราเลยเลื่อนเวลาการเดินทางขึ้นมาเป็นตีห้า และต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วย โห... มิน่าล่ะ

แต่ในเรื่องร้ายๆ ก็ยังมีเรื่องดีๆ ครับ เพราะหากรถยังออกเจ็ดโมงเช้าตามเวลาเดิม ผมคงไม่ได้มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ขึ้นริมฝั่งทะเลสาบติติกากาแบบนี้อย่างแน่นอนครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:54:32

ความคิดเห็นที่ 10

บนรถบัสขณะนี้คุณบัสโฮสเทสก็กำลังทำหน้าที่อย่างขะมักเขม้นครับ เครื่องดื่มที่มีให้บริการบนรถนี้ก็มีน้ำเปล่า โค้ก กาแฟ หรือว่าชาใบโคคาครับ เช้าๆ แบบนี้บนที่สูงๆ ผมเลือกรับชาโคคาดีกว่า แหม ตั้งแต่มาอยู่อเมริกาใต้นี่ผมว่าผมดื่มชาใบโคคาซะจนเริ่มติดเลยละครับ ตัวชาเปล่าๆ รสชาติอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่พอเติมน้ำตาลลงไปด้วยหน่อยนะ ผมว่าอร่อยใช้ได้เลยละครับ นี่ขนาดแค่ใบโคคานะครับเนี่ยผมยังรู้สึกติดนิดๆ เลย ไม่ต้องพูดถึงโคเคนซึ่งเป็นสารสกัดมาจากใบโคคาซึ่งมีฤทธิ์แรงกว่าหลายเท่า หากผมฉีดเข้าไปนิดเดียวผมว่าผมไม่เหลือครับ (ยังไงๆ ก็อย่าได้ไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติดกันนะครับท่านผู้ชม โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้องๆ หนูๆ ที่ชมกันอยู่) ส่วนเรื่องที่ว่ามันสามารถป้องกันอาการแพ้ความสูงได้หรือไม่ อันนี้ผมก็ไม่ทราบแน่ชัดครับ ถึงแม้หลายๆ คนจะรู้สึกว่ามันได้ก็ตาม เพราะยังไม่มีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ชัดครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:55:20

ความคิดเห็นที่ 11

ตามกำหนดการจุดแวะพักจุดแรกของเราควรจะเป็นเมือง Pukhara ซึ่งอยู่ห่างจาก Puno ประมาณชั่วโมงกว่า แต่เนื่องจากวันนี้เราออกกันเช้ากว่าปกติ พิพิธภัณฑ์ที่นี่ที่เราจะเข้าไปชมกันยังไม่เปิดครับ - - ทางคุณไกด์ก็เลยบอกว่าเราจะแวะที่ Pukhara เพียงเพื่อซื้อเสบียงเท่านั้น แล้วเราจะไปกันต่อยังจุดที่สองกัน

ระหว่างทางไปยังจุดที่สองจะผ่านจุดที่ความสูงเกิน 4,000 เมตรจากน้ำทะเลกันอีกครั้งครับ ทิวทัศน์ระหว่างทางก็จะเป็นแบบ altiplano ผมบอกตามตรงว่าผมชอบเหลือเกิน!

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:56:52

ความคิดเห็นที่ 12

ประมาณเจ็ดโมงครึ่งเราก็มาถึงจุดที่สองครับ ลา เรยา เอ้ย ลา ราญ่า (La Raya) นับเป็นจุดที่สูงที่สุดระหว่างทางจาก Puno ไป Cusco ที่ความสูง 4335 เมตรจากระดับน้ำทะเล

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:57:56

ความคิดเห็นที่ 13

มองไปยังอีกด้านของถนนก็จะเห็นภูเขาที่มีหิมะปกคลุมอยู่ด้วย นี่ขนาดผมมาหน้าหนาวยังดูไม่ค่อยมีหิมะเลยนะครับเนี่ย ถ้ามาตอนหน้าร้อนไม่ใช่ว่าหิมะจะละลายหมดเลยเหรอครับเนี่ย

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:58:37

ความคิดเห็นที่ 14

รางรถไฟของ Perurail ก็ผ่านมาทางนี้ด้วยเช่นเดียวกันครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:59:19

ความคิดเห็นที่ 15

ถึงแม้ว่าที่ตรงนี้จะดูเป็นที่ที่ไม่น่าจะมีผู้คนอาศัยอยู่ แต่เชื่อไหมครับ บรรดาซุ้มขายของที่ระลึกก็ยังมีมาเปิดที่นี่กะเขาด้วย ธุรกิจท่องเที่ยวในเปรูนี่อะไรก็เป็นเงินเป็นทองจริงๆ ครับท่านผู้ชม smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:59:55

ความคิดเห็นที่ 16

ที่จุดจุดนี้ไม่เพียงแต่เป็นจุดที่สูงที่สุดบนเส้นทางสายนี้เท่านั้น แต่มันยังเป็นจุดแบ่งเขตแดนระหว่างจังหวัด Puno และจังหวัด Cusco อีกด้วย พ้นตรงนี้ไปก็จะเริ่มเข้าเขตจังหวัด Cusco อย่างเป็นทางการแล้วครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:00:21

ความคิดเห็นที่ 17

พอดู La Raya เสร็จกันแล้ว สูดอากาศบางๆ และรับลมหนาวๆ ให้สั่นกันเล่นๆ ก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อครับ เราแวะตรงนี้กันประมาณ 20 นาทีครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:00:57

ความคิดเห็นที่ 18

เพื่อมายังจุดแวะพักรับประทานอาหารระหว่างทางที่เมือง Sicuani นั่นเอง หากเราออกกันเจ็ดโมงเช้านี่ควรจะเป็นจุดแวะทานอาหารเที่ยงครับ แต่วันนี้เราออกกันมาตั้งแต่ตีห้า เลยกลายเป็นจุดแวะทานอาหารเช้าไปซะงั้น

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:01:22

ความคิดเห็นที่ 19

ที่นี่เป็นร้านอาหารแบบบุฟเฟต์ครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:01:55

ความคิดเห็นที่ 20

เพราะฉะนั้นใครใคร่ตักอะไรก็จ้วงเอาโลดครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:02:28

ความคิดเห็นที่ 21

ส่วนผมก็จ้วงเท่าที่จะมีปัญญาจ้วงมาได้แหละครับ (ยังไม่รวมอีกสองรอบ haha ) ก็แหม บุฟเฟต์นี่ครับ เค้ามีให้กินก็เอาให้คุ้มซะหน่อย ผมมันอยู่ในวัยกำลังโต (แต่ด้านข้าง) นี่หน่า

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:02:59

ความคิดเห็นที่ 22

มีวงดนตรีท้องถิ่นมาบรรเลงบทเพลงแห่งเทือกเขาแอนดีสด้วยครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:03:25

ความคิดเห็นที่ 23

พอทานข้าวกันเสร็จแล้วก็ไปต่อกันยังจุดต่อไปของการเดินทาง นั่นก็คือโบราณสถาน Raqchi นั่นเอง และค่าเข้าโบราณสถานแห่งนี้ก็รวมอยู่ในราคารถทัวร์นี้แล้ว ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติมครับ คุณไกด์จะเอาบัตรมาให้เราเอง จุดเด่นของโบราณสถานแห่งนี้ก็คือซากปรักหักพังอันนี้ครับ มันคืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไรกันหนอ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:03:57

ความคิดเห็นที่ 24

คุณไกด์ของเราก็ทำหน้าที่อธิบายเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ครับ แท้ที่จริงแล้ว Raqchi ในอดีตเคยเป็นมหาวิหารขององค์มหาเทพแห่งอินคาผู้ซึ่งชาวอินคาเชื่อกันว่าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ภาพที่เห็นในรูปที่คุณไกด์เอามาโชว์คงบอกได้เป็นอย่างดีครับว่าในอดีตที่นี่เคยยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่หลังจากที่อาณาจักรอินคาล่มสลายจากการบุกรุกของสเปน ชาวสเปนซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะพยายามทำให้คนท้องถิ่นที่ตนไปยึดครองหันมานับถือศาสนาคริสต์ จึงต้องเผาทำลายสัญลักษณ์ทางศาสนาและความเชื่อเดิมของคนท้องถิ่นนั้นๆ เสียให้หมด น่าเศร้าใจครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:04:22

ความคิดเห็นที่ 25

แต่ถึงแม้ส่วนใหญ่ของตัวอาคารจะถูกทำลายลงไป แต่รากฐานและงานหินดั้งเดิมของชาวอินคาก็ยังคงอยู่ให้ผู้คนทั่วไปได้ชื่นชมและยกย่องถึงความสามารถทางงานหินอันยอดเยี่ยมครับ ว่ากันว่างานหินของชาวอินคานี่สุดยอดมาก สามารถประกอบหินหนักๆ หลายๆ ก้อนให้แนบชิดติดกันได้ดีมากๆ โดยที่ไม่ต้องใช้ตัวเชื่อมประสานอย่างปูนเลย และมันก็แนบชิดติดกันดีเสียจนหากเอากระดาษเพียงหนึ่งแผ่นไปพยายามสอดใส่ตรงรอยต่อ ก็ไม่สามารถทำได้ครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:04:52

ความคิดเห็นที่ 26

ในอาณาบริเวณโบราณสถานแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่มหาวิหารเท่านั้นนะครับ แต่ยังมีกลุ่มซากปรักหักพังที่เห็นในภาพนี้ด้วย คุณไกด์เล่าว่าที่เห็นนี้เป็นบ้านพักของบรรดาเสนาบดีหรือบุคคลสำคัญอย่างพระอีกด้วยนะครับ แสดงว่า Raqchi ในสมัยก่อนต้องเป็นที่ที่มีความสำคัญต่ออาณาจักรอินคาอยู่พอสมควร

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:05:27

ความคิดเห็นที่ 27

บ้านเรือนที่เห็นนี่ก็สร้างเป็นแนวตรงแน่วสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่คือเทคโนโลยีของอาณาจักรที่ไม่เคยได้รับอิทธิพลใดๆ จากโลกเก่าที่พวกเราอยู่กันเลย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดขี้นในโลกใหม่ ไม่เคยเป็นที่รับรู้ของใครๆ ในโลกเก่าจนกระทั่งมีการค้นพบทวีปอเมริกา

และแนวถนนที่เห็นนี่ก็ยังตั้งตรงกับตำแหน่งของดวงอาทิตย์ในตอนเที่ยงของวันที่ 21 มิถุนายน ซึ่งนับได้ว่าเป็น Winter Solstice ของซีกโลกใต้ทุกๆ ปีครับ นับเป็นวันกลางฤดูหนาว และเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรอีกด้วยครับ เป็นไงล่ะครับ น่าทึ่งไหมครับกับความสามารถของชาวอินคา

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:05:56

ความคิดเห็นที่ 28

เมื่อตะกี้นี้ผมพูดถึงการเก็บเกี่ยว หากมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรแล้วก็ต้องมีที่เก็บจริงไหมครับ ในภาพนี้ก็คือยุ้งฉางในสมัยโน้นนั่นเอง Raqchi นับได้ว่าเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสายอินคา (Inca Trail) หากพูดถึง Inca Trail แล้วคนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงเส้นทางเดิน trek ยอดฮิตเพื่อขึ้นไปชม Machu Picchu เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน แต่แท้ที่จริงแล้ว Inca Trail มันมีมากกว่านั้นอีกมากครับ เส้นทางชม Machu Picchu ที่ผมพูดถึงเมื่อกี้นั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเครือข่ายถนนของอาณาจักรอินคาที่ตัดผ่านภูเขาที่ราบน้อยใหญ่มากมายนับพันๆ กิโลเมตร กินอาณาบริเวณตั้งแต่ประเทศโคลอมเบียลงมาถึงอาร์เจนตินาเลยทีเดียวครับ และความหมายของ Inca Trail ที่แท้จริงก็คือโครงข่ายถนนทั้งหมดนี้นี่เอง

และอย่างที่ผมกล่าวถึงในตอนก่อนๆ ครับว่าเมืองต่างๆ ของอาณาจักรก็จะอยู่ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลแตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นพืชพรรณธัญญาหารที่สามารถปลูกได้ในแต่ละท้องถิ่นก็จะแตกต่างกันออกไปอย่างมากด้วย อย่างเช่นมันฝรั่งที่สามารถปลูกได้ดีในเขต Puno แต่ไม่สามารถปลูกได้ในเขต Cusco หรือใบโคคาที่ไม่สามารถขึ้นได้ดีในที่ที่ความสูงเกิน 2000 เมตรจากน้ำทะเลเป็นต้น เพราะฉะนั้นเพื่อจะให้อาณาจักรยังคงอยู่ได้โดยไม่ขาดแคลนอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง จึงต้องมียุ้งฉางตามเมืองต่างๆ ตามรายทางเพื่อแลกเปลี่ยนอาหารกันระหว่างดินแดน และเก็บไว้เพื่อรอการขนส่งไปยังจุดหมายต่อไปนั่นเองครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:06:26

ความคิดเห็นที่ 29

จำนวนยุ้งฉางที่มากขนาดนี้ เป็นสัญญาณอย่างดีที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองในอดีตครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:06:51

ความคิดเห็นที่ 30

ได้เห็นกันอย่างจุใจแล้วครับสำหรับ Raqchi แห่งนี้ นับได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีความน่าสนใจในทางประวัติศาสตร์อยู่พอสมควร หากจะมาเองผมเชื่อว่าไม่น่าจะมาได้ง่ายๆ ครับ เพราะเท่าที่ผมสังเกตดูผมยังไม่เคยเห็นนักเดินทางที่มาที่นี่เองแบบโดดๆ เลย ส่วนใหญ่คนที่มาชมที่นี่ก็มีแต่มากับ Tourist bus หลากหลายบริษัทไม่ว่าจะจาก Puno หรือจาก Cusco เท่านั้นครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:07:10

ความคิดเห็นที่ 31

ผนังโบสถ์นี่เองก็ดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:07:48

ความคิดเห็นที่ 32

และแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปกันแล้วครับ แต่ก่อนเราจะจากกันก็ยังอุตส่าห์มีซุ้มขายของที่ระลึกตามมาอีกแล้ว ตกลงนี่กะจะให้ผมเสียเงินให้ได้เลยรึไงครับเนี่ย....

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:08:15

ความคิดเห็นที่ 33

เราออกเดินทางกันต่อพร้อมๆ กับความสูงจากระดับน้ำทะเลที่ค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงจุดแวะจุดสุดท้ายก่อนถึง Cusco ที่ความสูง 3,000 เมตรจากน้ำทะเล นั่นก็คือ Andahuaylillas (อ่านว่า อันดาวายลิยาส) ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของโบสถ์แห่งนี้ ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่หลังจากสมัยที่สเปนบุกยึดอาณาจักรอินคาได้ไม่นานนักครับ ภายในโบสถ์นี้ก็จะมีภาพจิตรกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เพราะโบสถ์นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่ศาสนาคริสต์แก่ชาวอินคานั่นเอง และเนื่องจากชาวอินคาไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง วิธีที่มิชชันนารีชาวสเปนใช้ในการเผยแพร่ศาสนาก็คือภาพเขียนที่พยายามยกเทพเจ้าของศาสนาคริสต์ให้เหนือกว่าเทพเจ้าของอินคา หรือภาพเขียนที่พยายามสร้างจุดเชื่อมต่อระหว่างเทพเจ้าของอินคากับเทพเจ้าของศาสนาคริสต์ ซึ่งตอนนี้โบสถ์นี้กำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงซ่อมแซมอยู่ และห้ามถ่ายภาพภายในครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:09:16

ความคิดเห็นที่ 34

แต่หากสงสัยว่าภาพภายในเป็นอย่างไร อันนี้ผมเอามาจากเว็บนี้ครับ

http://www.wmf.org/project/san-pedro-ap%C3%B3stol-de-andahuaylillas-church

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:10:32

ความคิดเห็นที่ 35

ใกล้ๆ กันนั้นก็มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเล็กๆ ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรมโบราณของชาวอินคา (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พิธีศพ) ก็อย่างที่เห็นในภาพครับ ชาวอินคาเองก็มีธรรมเนียมปฎิบัติในการทำมัมมี่ของตนเองเช่นเดียวกับชาวอียิปต์โบราณเหมือนกันครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:11:15

ความคิดเห็นที่ 36

ส่วนภาพนี้เป็นมัมมี่ของเด็กผู้หญิงชนชั้นสูง แล้วรู้ได้อย่างไรครับว่าเป็นชนชั้นสูง ก็เพราะกะโหลกที่จะยาวกว่าปกติครับ สาเหตุที่กะโหลกดูยาวๆ ผิดรูปผิดร่างแบบนี้ก็เป็นเพราะมีการใช้ไม้เพื่อยืดกะโหลกออกให้ยาวกว่าปกติครับ มัมมี่อันนี้เป็นของเด็กอายุเพียงแค่ 3 ขวบเท่านั้นครับ และที่ต้องฆ่าให้ตายก็เพราะเธอเป็นผู้ที่ถูกเลือกให้นำมาบูชายัญนั่นเอง ส่วนก้อนหินข้างหน้าก็จะมีใบโคคาวางอยู่ ซึ่งสำหรับชาวอินคาแล้ว ใบโคคาคือใบไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่นำมาใช้ในการบูชาเทพเจ้าต่างๆ ครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:11:54

ความคิดเห็นที่ 37

ข้างๆ กันนั้นก็เหมือนจะมีร้านช่างเงินอยู่ด้วยครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:12:37

ความคิดเห็นที่ 38

ส่วนจี้ของสร้อยเส้นนี้ก็เป็นสัญลักษณ์ของ Pachamama หรือพระแม่ธรณีของชาวอินคานั่นเองครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:12:57

ความคิดเห็นที่ 39

และแล้ว พอมาถึงบ่ายสองโมงครึ่ง รถบัสของเราก็พาเรามาถึงเมือง Cusco รวมเวลาทั้งสิ้นตั้งแต่ออกมาจาก Puno คือเก้าชั่วโมงครึ่งครับ (หากไม่แวะระหว่างทางเลยก็จะถึงเร็วกว่านี้แน่นอน) ที่เวลาดูนานกว่าปกติก็เพราะช่วงสุดท้ายของการเดินทางก่อนเข้า Cusco มีรถบรรทุกวิ่งบนถนนเยอะครับ และถนนก็ยังคงเป็น 2 เลน ขึ้นๆ ลงๆ เขา รถบรรทุกซึ่งทำความเร็วได้ช้า แถมจะแซงก็แซงไม่ค่อยได้ เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้รถของเราวิ่งได้ช้ากว่าปกติด้วยครับ รถบัสของ Inka Express พอมาถึงที่ Cusco จะไม่จอดที่สถานีขนส่งอย่างที่ Puno นะครับ แต่จะจอดที่หน้าสำนักงานของตัวเองซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับสนามบินครับ ซึ่งต่อจากนี้หากอยากไปไหนก็เรียกแท็กซี่เอา หากกลัวโดนโขกเหมือนที่ผมกลัวก็บอกพี่ไกด์ให้ช่วยเรียกแท็กซี่ให้ก็ได้ครับ ซึ่งเราก็จะได้แท็กซี่ราคามาตรฐานแบบไม่โดนฟัน

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:13:26

ความคิดเห็นที่ 40

วันนี้ที่ Cusco ผมตัดสินใจที่จะไม่ออกเดินตามหา hostel เหมือนที่ผ่านๆ มาครับ เนื่องจากช่วงอาทิตย์นี้เป็นกึ่งกลางของ high season เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของที่เมืองนี้เลยละครับ อีกทั้งวันขาติของเปรูก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย ผมเองเลยกลัวไปก่อนว่าจะไม่มีที่นอน และแผนที่ผมจะเดินทางไปยังหุบผาศักดิ์สิทธิ์และ Machu Picchu ก็ทำให้ผมมีเหตุต้องกลับมานอนที่ Cusco เป็นช่วงๆ ผมเลยอยากจะอยู่โรงแรมเดิมในทุกๆ ช่วง จะได้ไม่ต้องลำบากแบกเป้ไปมาหลายเที่ยว และสามารถฝากของไว้ได้ในช่วงที่เราไม่อยู่ด้วยครับ
ส่วนโรงแรมนั้นผมก็ทำการจองเอาไว้ผ่านเว็บอย่าง hostelbookers.com และผมก็ได้โรงแรมชื่อว่า El Tuco Hospadaje ซึ่งคิดราคาห้องเดี่ยวพร้อมห้องน้ำในตัวไว้ที่คืนละ 40 โซล (ประมาณ 480 บาท) ครับ ถือว่าเป็นอัตราที่ถูกทีเดียวสำหรับเมืองท่องเที่ยวระดับโลกอย่าง Cusco แบบนี้ครับ ผมเองก็บอกคุณลุงแท็กซี่ให้ไปส่งที่นี่ ซึ่งลุงแกคิดราคา 6 โซล พอผมไปถึงโรงแรมยึ่นเงินจ่ายให้ 6 โซลตามที่ตกลงกันไว้ ลุงแกไม่จบแค่นี้ครับ บอกว่าขอทิปเพิ่มหน่อย โห ลุง เล่นกันงี้เลยเหรอเนี่ย แต่ 6 โซลก็ไม่ได้ถือว่าเป็นราคาที่แพงมาก เพื่อให้จบๆ เรื่องผมเลยให้เพิ่มไปอีกเป็น 7 โซลครับ แล้วลุงแกก็เปลี่ยนจากหน้าหงิกๆ นิดๆ มายิ้มออก แถมบริการยกกระเป๋าไปส่งในโรงแรมให้อีกด้วย เงินมางานเดินจริงๆ นะครับคุณลุง

หลังจากที่เช็คอินเสร็จเรียบร้อยก็ออกมาสำรวจ Cusco อย่างรวดเร็วพอให้ได้ชินกับแผนที่คร่าวๆ ครับ เริ่มกันจาก Plaza de Armas ของที่นี่เลยครับ อาคารทางซ้ายมือคือมหาวิหารแห่งคุซโก ซึ่งประวัติความเป็นมาของมันผมจะเล่าให้ฟังในตอนหน้าครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:14:00

ความคิดเห็นที่ 41

แผนคร่าวๆ ของผมในเขต Cusco และบริเวณโดยรอบก็คือ ผมจะอยู่ที่นี่จนกระทั่งถึงเช้าวันที่ 30 กรกฎาคม และแผนการโดยคร่าวๆ ก็คือ

20 กรกฎาคม - Cusco
21 กรกฎาคม - Moray, Salinas, Ollantaytambo
22 กรกฎาคม - Pisac, Ollantaytambo
23 กรกฎาคม - Cusco, Sacsayhuaman
24 กรกฎาคม ถึง 29 กรกฎาคม - Salkantay trek 5 วันขึ้น Machu Picchu
30 กรกฎาคม - ออกเดินทางไปยัง Lima

ดังนั้นหากจะเที่ยวบริเวณนี้ให้ทั่วและคุ้ม ต้องไปซื้อตั๋วรวมที่เรียกว่า Boleto del Turistico ที่สามารถใช้เข้าชมสถานที่ต่างๆ ได้ภายใน 10 วันครับ ซึ่งสามารถซื้อได้ที่สำนักงานเทศบาลนครคุซโก (Municipalidad del Cusco) บนถนน El Sol ลงมาจาก Plaza de Armas ไม่ถึงห้านาทีทางเท้าครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:14:41

ความคิดเห็นที่ 42

อัตราค่าตั๋วรวมนี้ก็จะมีสองราคาครับ ราคาทั่วไปก็จะอยู่ที่ 130 โซล หรือประมาณ 1,560 บาท แต่... แต่ยังมีอีกราคาหนึ่งครับ ซึ่งอยู่ที่เพียงแค่ 70 โซล (ประมาณ 840 บาท) เท่านั้น และราคานี้เป็นราคาเฉพาะผู้ถือบัตรนักเรียน ISIC เท่านั้นครับ ย้ำ เฉพาะนักเรียนที่ถือบัตร ISIC เท่านั้นนะครับ หากว่าเป็นนักเรียนแต่ไม่ได้ถือบัตร ISIC ใช้เฉพาะบัตรนักเรียนเขาไม่รับนะครับ ซึ่งบัตร ISIC สามารถทำได้ที่ STA Travel ทุกสาขาทั่วโลก ซึ่งผมว่าที่เมืองไทยก็น่าจะมีเหมือนกันนะครับ แต่ไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหนในกรุงเทพ และต้องมีบัตรนักเรียนตัวจริงเพื่อใช้ในการยืนยันสถานภาพนักเรียนเวลาทำบัตร ISIC ด้วยครับ สำหรับผมนับปีนี้ผมเป็นปีสุดท้ายที่มีสิทธิ์ทำบัตรนี้พอดีเลย ฮ่าๆๆ (เขาห้ามนักศึกษาที่อายุเกิน 25 ปีทำบัตรนี้ครับ wink ) หากได้มาเที่ยวแถวนี้และเป็นนักเรียนที่มีสิทธิ์ทำบัตร ISIC ได้ก็แนะนำให้ทำมาด้วยครับ เพราะจะได้ส่วนลดต่างๆ เยอะมากๆ

เวลาซื้อก็ยื่นเงิน พาสปอร์ตของเรา และบัตร ISIC (ถ้ามี) กับเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ได้เลยครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:16:55

ความคิดเห็นที่ 43

และนี่แหละครับหน้าตาของตั๋วรวม Boleto Turistico มีอายุใช้ได้ 10 วันนับจากวันที่ซื้อ และแน่นอนครับของผมเป็นบัตรพิเศษราคานักเรียน 70 โซล สามารถใช้เข้าชมสถานที่ต่างๆ ที่เห็นบนบัตรนี้ได้ทั้งหมดเลยครับ ซึ่งรวมไปถึงสถานที่สำคัญๆ นอกตัวเมือง Cusco อย่าง Moray, Ollantaytamto, Pisac, หรือ Sacsayhuaman ด้วยครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:18:28

ความคิดเห็นที่ 44

หลังจากนั้นไม่นานแดดก็เริ่มร่มลมก็เริ่มตก ผมก็ออกไปเดินเล่นในเมืองฆ่าเวลาและทำตัวเองให้คุ้นกับถนนหนทางของที่นี่ เพราะผมมีแผนจะเที่ยวเมืองนี้จริงๆ ในภายหลังอยู่แล้วครับ วันนี้เลยไม่ต้องรีบร้อนอะไรมาก ชิลๆ แล้วก็มาเจอกับเจ้าสิ่งนี้ นั่นก็คือหิน 12 ด้านนั่นเองครับ ไม่ว่าใครเดินผ่านไปผ่านมาก็ต้องแว้บมาถ่ายรูปเจ้าหินก้อนนี้กันทั้งนั้น ผมก็เลยเอากับเขาบ้าง smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:19:39

ความคิดเห็นที่ 45

เดินไปได้ต่อซักพักท้องผมก็เริ่มร้อง ได้เวลาหาอะไรทานแล้วละครับ วันนี้ยังไม่อยากคิดอะไรมาก เอาร้านแถวๆ Plaza de Armas นั่นแหละ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อ Inka Grill นะครับ อยู่ตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือของ Plaza de Armas เริ่มประเดิมกันด้วยสิ่งนี้เลยครับ (18+) นั่นก็คือ Pisco Sour ซึ่งเป็น Cocktail ประจำชาติของเปรูเลยก็ว่าได้ ทำมาจากเหล้าพื้นเมืองของเปรูนั่นก็คือ Pisco (ทำมาจากองุ่น) ผสมกับน้ำมะนาว ไข่ขาว และสารที่ทำให้รสออกขมๆ ที่ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่ รสชาติก็จะเปรี้ยวนำ (แต่ก็ไม่เปรี้ยวมาก) และขมตาม (ขมนิดเดียวครับ) แก้วนี้ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะราคา 9 โซลมั้งครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:20:10

ความคิดเห็นที่ 46

สำหรับพระเอกของเย็นนี้นับเป็นเมนูเด็ดของเปรูที่มาแรงแซงทางโค้ง เป็นเมนูอาหารเปรูที่ผมชอบที่สุดเลยก็ว่าได้ ชอบถึงขนาดว่าลงทุนดูสูตรและซื้อเครื่องปรุงมาทำทานเองเลยทีเดียวครับ เมนูนี้มีชื่อว่า Aji de Gallina (อ่านว่า อาฮี เด กายินา) รสชาติก็จะออกแนวน้ำซุปไก่ มีรสเค็มนิดหน่อย และมีความมันของชีส บวกกับรสเผ็ดอ่อนๆ ของพริกเหลือง ทานกับเนื้ออกไก่ซึ่งนุ่มกำลังดีหลังจากที่ผ่านการต้มมานาน โดยรวมแล้วผมว่ารสชาติมันสุดยอดมาก จานนี้ราคา 32 โซลครับ นี่ผมมาภัตตาคารหรูๆ อีกแล้วเหรอเนี่ย วันหลังคงต้องเปลี่ยนบรรยากาศเป็นกินแบบลูกทุ่งๆ บ้างซะแล้วมั้งครับเนี่ย

แต่ก็ต้องยอมรับว่าที่นี่เป็นที่แรกที่ผมรู้จักกับเมนูนี้ และประทับใจมากจนต้องหาสั่งทานในร้านอื่นๆ ในเปรูหลังจากวันนี้อีกหลายครั้งเหมือนกันครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:21:33

ความคิดเห็นที่ 47

และตบท้ายแบบจัดเต็มด้วยของหวานจานนี้ครับ มีชื่อเรียกว่า Ponderaciones con Manjar de Yemas ข้างบนเป็นไอศกรีมวานิลลา และมีแป้งกรอบๆ แต่ที่เด็ดกว่าคือครีมข้นๆ ด้านล่างครับ หวานมันกำลังดีเลย จานนี้ราคา 19 โซลครับ รู้สึกเหมือนมื้อเย็นมื้อนี้นี่ดูจัดเต็มดีนะครับ haha

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:22:29

ความคิดเห็นที่ 48

หลังจากกระเป๋าแฟบกับร้านแพงๆ อีกครั้งหนึ่ง (แต่ก็ประทับใจกับเมนูใหม่ที่ได้ลองชิม) ก็ได้เวลากลับที่พักของเราซึ่งอยู่ห่างจาก Plaza de Armas ประมาณ 10 - 15 นาทีทางเท้าครับ เพื่อนอนเอาแรงไปลุยหุบผาศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Valley) ของอาณาจักรอินคาในวันรุ่งขึ้นครับ

เช้าวันถัดมาเป็นเช้าวันที่ 21 กรกฎาคมแล้วครับ หลังจากตื่นมาก็ขอถ่ายรูปห้องนอนของผมที่ El Tuco นี่ไว้ซะหน่อยครับ เป็นห้องนอนที่ดูกว้างและน่ารักดีทีเดียวครับ คุ้มค่ากับราคา 40 โซลที่จ่ายไปมากๆ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:23:28

ความคิดเห็นที่ 49

และในราคา 40 โซลนี่เองก็รวมอาหารเช้าแล้วเช่นเดียวกันครับ อีกทั้งเจ้าของซึ่งเป็นชายวัยกลางคนชาวเปรู ซึ่งชอบให้แขกเรียกเขาว่า “Coco” ก็เป็นคนอัธยาศัยดี มีมุกตลกคุยกับแขกบ้างเป็นบางครั้ง อยู่แล้วไม่เครียด สบายๆ และผ่อนคลายดีครับ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของโรงแรมนี้ที่ผมนึกออก ก็คือไม่ได้อยู่ในย่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ เหมือนอย่างที่อื่นๆ (ราคาเลยไม่แพงมากอย่างที่เห็น) และสภาพย่านรอบๆ โรงแรมก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่สำหรับผมผมว่าไม่อันตรายครับ หากกลัวทางที่ดีก็แค่อย่ากลับมาตอนดึกมากๆ หรือหากจำเป็นต้องกลับดึกมากๆ ก็ใช้บริการแท็กซี่เอา เท่านี้ก็ไม่มีอะไรแล้วครับ

พิกัดของโรงแรมนี้ ตั้งอยู่บนถนน Grau ตัดกับถนน Ejercito นับเป็นโรงแรมที่ผมว่าผมอยู่แล้วประทับใจที่สุดตลอดทริปอเมริกาใต้เลยก็ว่าได้ครับ สมกับรีวิวในเว็บที่ดีมากๆ เช่นเดียวกัน

แต่ก่อนผมออกเดินทางในวันนี้ก็นับได้ว่ามีเรื่องบังเอิญที่แสนจะเหลือเชื่อ นั่นก็คือตอนที่ผมไปทานอาหารเช้าในโรงแรมนี่เอง ผมก็เจอกับผู้ชายฝรั่งคนนึงซึ่งผมว่าผมคุ้นหน้ามาก พอเขาเห็นผมเหมือนกันเขาก็ทักว่า “เฮ้ ยู! ยูใช่คนที่เรียนวิชาxxxกับไอตอนปีสามหรือเปล่า” ผมได้ยินดังนั้นก็ร้อง “อ๋อ! ใช่แล้ว โลกมันกลมเนาะ มาเจอกันได้ไงที่เปรูและที่โรงแรมเดียวกันนี่ด้วย” โลกของเรายังมีเรื่องเหลือเชื่ออีกมากจริงๆ นะครับเนี่ย smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:24:04

ความคิดเห็นที่ 50

จุดหมายแรกของวันนี้ที่เราจะไปคือ Moray และ Salinas ครับ ซึ่งวิธีไปหลักๆ จะมีอยู่สองวิธี คือไปกับทัวร์ หรือว่าไปเอง เท่าที่ผมเห็นส่วนมากเลือกที่จะไปกับทัวร์จาก Cusco กันครับ แต่สำหรับผมในวันนี้ผมตัดสินใจจะไปเอง วิธีไปเองนั้นอาจจะยากสักนิดนึงครับ หากอยากไปเองผมแนะนำว่าต้องศึกษาแผนที่เส้นทางและตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ใน Sacred Valley ให้พร้อมเสียก่อนนะครับ หากไม่รู้นี่ผมว่ามีโอกาสหลงอยู่ไม่รู้เมืองไหนสูงมากๆ เลยทีเดียวครับ

สำหรับนี่คือแผนที่คร่าวๆ ของหุบผาศักดิ์สิทธิ์ครับ สถานที่หลักๆ ที่คนมักจะเยี่ยมชมก็คือ Moray/Salinas ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกัน, Pisac (หรือบางที่อาจสะกด Pisaq ทั้งคู่คือที่เดียวกันครับ), และ Ollantaytambo ครับ สำหรับผู้ที่สนใจจะนั่งรถไปเองแบบที่ผมทำนี่ ให้ดูเมือง Urubamba เอาไว้เป็นหลักครับ เพราะเมืองนี้คือจุดต่อรถเปลี่ยนรถที่สำคัญที่สุดในหุบผาศักดิ์สิทธิ์นี้ครับ (เส้นทางถนนคือเส้นประเล็กๆ ในแผนที่นี้ครับ)

(ข้อมูลแผนที่ขอขอบคุณ Blog ของ Kim McQuarrie ตามนี้เลยครับ)
http://lastdaysoftheincas.com/wordpress/spanish-peruvian-explorers-reach-cliff-with-image-of-incan-rebel-king#.UMjZWJPjkZE

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:25:26

ความคิดเห็นที่ 51

ตามแผนการของผมในวันนี้ผมตั้งใจว่าจะเริ่มต้นจาก Moray และ Salinas ก่อน ซึ่งทั้งสองที่นี้ไม่มีรถวิ่งตรงๆ จาก Cusco นะครับ ถ้าเกิดว่ามากันเป็นกลุ่ม 3-5 คน หากเหมาแท็กซี่จากคุซโกไปเลยก็น่าจะพอไหว (รีวิวเก่าของคุณ pencilcase เพื่อนผมก็ใช้วิธีเหมาแท็กซี่ไปครับ แต่รายนั้นเขามากัน 4 คน) แต่ผมมาคนเดียวนี่สิครับ ขึนเหมาแท็กซี่ไปนี่ผมว่าราคาแพงมหาโหดแน่ๆ หากจะไปกับทัวร์ทั้งๆ ที่อยู่ในวิสัยที่ไปเองได้ก็จะผิดคอนเซ็ปท์โหด มันส์ ฮาของทริปนี้

แต่.. ความหวังยังมีสำหรับผู้เดินทางคนเดียวแบบผมครับ เพราะว่าแถวๆ โรงแรมที่ผมอยู่ นับเป็นจุดขึ้นรถที่สำคัญ ซึ่งอยู่บริเวณถนน Grau ตัดกับซอย Pavitos เดินไม่ถึงสามนาทีจากโรงแรมก็ถึงแล้วครับ จุดนั้นจะมีทั้งรถบัสหวานเย็นที่จะวิ่งจาก Cusco ไปยัง Urubamba (ซึ่งสามารถไปได้สองทางทั้งวนซ้ายและวนขวา เลือกขึ้นอันที่มันผ่าน Chinchero ด้วยนะครับจะได้ไปทาง Moray พอดี) หรือไม่ก็ Micro (อารมณ์รถตู้เมืองไทย) ที่วิ่งระหว่าง Cusco ไปยัง Ollantaytambo ผ่าน Urubamba ตอนนั้นผมยังไม่รู้ครับว่าต้องขึ้นรถบัสหวานเย็นที่ไหน ก็เลยมาลงเอยด้วยการขึ้นเจ้า Micro นี่เสียก่อน หลังจากที่ถามราคาเรียบร้อยซึ่งทางนั้นคิดมา 7 โซล และเห็นรถตู้สภาพดี เห็นว่าไม่แพงมากผมก็เลยตอบตกลงครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:26:20

ความคิดเห็นที่ 52

บรรยากาศเล็กๆ น้อยๆ ในซอย Pavitos ครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:27:10

ความคิดเห็นที่ 53

ออกมาถึงทางหลวงนอกเมืองกันแล้วนะครับ การจราจรดูยุ่งเหยิงใช้ได้เลย อย่าพาผมไปชนก็พอ...
ไปชลฯ นี่อาจพอเลยไประยองได้ แต่ถ้าไป “ชน” นี่ได้ตีตั๋วเที่ยวเดียวไปลงนรกเลยนะครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:27:55

ความคิดเห็นที่ 54

ชนบทแถวนี้ก็สวยดีเหมือนกันนะครับผมว่า smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:28:49

ความคิดเห็นที่ 55

เห็นบรรยากาศแบบนี้นึกว่าตัวเองอยู่สวิสเซอร์แลนด์เลยละครับ ภูเขาข้างหลังอาจจะไม่เด่นมากเหมือน Matterhorn ที่ผมเคยไปมาเมื่อสามปีกว่ามาแล้ว แต่บรรยากาศนี่ก็พอกล้อมแกล้มได้ครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:29:16

ความคิดเห็นที่ 56

และตรงนี้คือสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่เลือกจะมาเที่ยว Moray ด้วยตนเองครับ อย่าลืมบอกคนขับตอนก่อนออกมาจาก Cusco ด้วยว่าเราต้องการจะลงที่สามแยกที่จะเข้าไปยังเมือง Maras แต่ปัญหาก็คือ คนขับไม่เข้าใจภาษาอังกฤษน่ะสิครับ แต่ก็มีวิธีแก้ง่ายๆ ซึ่งเผอิญว่าบนรถผมมีสองแม่ลูกชาวบราซิลที่จะมาเที่ยว Moray ด้วยตัวเองเหมือนกัน และเขาพอพูดอังกฤษสื่อสารกับผมได้ และก็พอพูดสเปนสื่อสารกับคนที่นี่ได้ นั่นก็เลยไม่ใช่ปัญหาครับ แต่ถ้าเกิดผมอยู่ตัวคนเดียวจริงๆ ผมก็คงจะพูดว่า “วอ-ยา บาฮาร์ เอ็น มารัส ปอร์ โมรัย” อาจจะไม่ถูกตามไวยากรณ์ 100% เป๊ะ แต่ผมเชื่อว่าคนขับคงเข้าใจครับ หากไม่เข้าใจจริงๆ ก็ถือแผนที่แล้วจิ้มให้ดูซะเลย เป็นไม้ตายขั้นสุดท้าย smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:29:51

ความคิดเห็นที่ 57

จำสามแยกนี้ไว้ให้ดีนะครับ เพราะตอนเที่ยวเสร็จแล้วเราต้องกลับมาที่นี่กันอีก

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:30:26

ความคิดเห็นที่ 58

และที่สามแยกนี่เองจะมีคิวแท็กซี่ที่จะรับส่งผู้โดยสารจากสามแยกนี้ไปยัง Moray ครับ ซึ่งหากต้องการจะไป Moray เพียงที่เดียวและกลับมา พี่แท็กซี่แกคิด 20 โซล แต่ถ้าเกิดอยากไปทั้ง Moray และ Salinas ด้วย ราคาค่าแท็กซี่จะก้าวกระโดดไปถึง 70 โซลครับ ซึ่งผมอ่านมาแล้วใน Lonely Planet ว่าราคานี้คือราคามาตรฐานแล้ว ผมเลยไม่ต่อรองครับ พอดีกับที่สองแม่ลูกชาวบราซิลก็อยากเที่ยวทั้งสองที่นี้ด้วย เราสามคนเลยตกลงที่จะหารค่าแท็กซี่กันครับ แบบนี้ทำให้ราคาพอรับได้ขึ้นมาบ้าง smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:31:02

ความคิดเห็นที่ 59

จากถนนใหญ่เมื่อครู่ ตอนนี้กลายมาเป็นถนนเล็กๆ ซะแล้ว

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:31:26

ความคิดเห็นที่ 60

ระหว่างทางผ่านเมือง Maras ครับ ดูๆ เป็นเมืองร้างๆ เงียบเหงา ไร้ผู้ไร้คนยังไงก็ไม่รู้นะครับที่นี่

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:32:03

ความคิดเห็นที่ 61

แถมยังได้เจอกับเด็กเลี้ยงแกะอีกด้วย (แต่เขาจะเป็นคนขี้โกหกหรือเปล่าอันนี้ผมไม่ทราบครับ smile )

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:32:56

ความคิดเห็นที่ 62

Moray อยู่ห่างจากสามแยกประมาณซัก 10 กิโลเมตรได้ครับ และพอพ้นจากตัวเมือง Maras ที่อยู่ห่างจากสามแยก 4 กิโลเมตรไปถนนก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นลูกรัง พอมาถึงก็จะพบกับที่ตรวจตั๋วครับ จะมาซื้อเอาที่นี่ก็ได้ หรือไม่ก็ใช้ตั๋วร่วม Boleto Turistico ก็ได้ครับ ซึ่งหากเราได้เข้าชมที่ไหนแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะใช้เครื่องหนีบเจาะตรงรูปนั้นให้เป็นรู แสดงว่าเราได้เข้ามาชมที่นี่แล้วนั่นเอง

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:33:30

ความคิดเห็นที่ 63

ภาพแรกที่ผมเห็นต้องบอกได้เลยว่า ว้าว! ตอนแรกผมก็นึกว่าเอเลี่ยนมาบุกโลกเราตั้งแต่สมัยยุคอินคาแล้วซะอีก haha

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:34:00

ความคิดเห็นที่ 64

แต่แท้ที่จริงแล้วภาพที่เห็นไม่ได้เกิดมาจากเอเลี่ยนบุกโลกหรอกนะครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:34:35

ความคิดเห็นที่ 65

หากแต่ว่าที่เห็นมันเป็นชั้นๆ เป็นขั้นบันไดแบบนี้ ก็เนื่องจากชาวอินคาเองก็ต้องการจะทดลองปลูกพืชต่างๆ ที่ความสูงที่แตกต่างกันนั่นเองครับ หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า นี่คือแปลงสาธิตการเกษตรสมัยโบราณของชาวอินคาก็เป็นได้

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:35:49

ความคิดเห็นที่ 66

หากนี่คือแปลงทดลองการเกษตรจริงก็น่าจะเป็นหนึ่งในแปลงการทดลองที่สูงที่สุดและสวยที่สุดอย่างแน่นอน smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:36:24

ความคิดเห็นที่ 67

กองหินที่เห็นนี้มีความหมายอย่างไรแน่ผมก็ไม่อาจทราบได้ครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:36:52

ความคิดเห็นที่ 68

เห็นขั้นบันไดแล้วรู้สึกหวาดเสียวแทนจริงๆ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:37:28

ความคิดเห็นที่ 69

อีกมุมหนึ่งครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:38:12

ความคิดเห็นที่ 70

ชมกันเสร็จแล้วก็ถึงเวลาต้องบอกลา Moray แล้วละครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:39:32

ความคิดเห็นที่ 71

มองอะไรอยู่หาเรา?

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:40:36

ความคิดเห็นที่ 72

หลังจากนี้เราสามคนก็ไปกันต่อยัง Salinas ครับ บนแท็กซี่คันเดิม ระหว่างทางไปนี่ผมเข้าใจเลยครับว่าทำไมพี่แกจะเรียกเก็บเพิ่มอีกมากเพื่อจะมาที่นี่ เพราะถนนนั้นทั้งแคบทั้งขรุขระทั้งชัน เลยทำให้ไปได้ยากกว่านี่เอง

ที่นี่ไม่สามารถใช้ตั๋วร่วมของเราได้นะครับ ต้องเสียค่าเข้ากันต่างหากคนละ 7 โซล

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:41:10

ความคิดเห็นที่ 73

พอเดินเข้ามาก็ต้องตะลึงงันกับภาพนี้ครับ ชีวิตนี้เคยเห็นแต่นาข้าวขั้นบันได ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นนาเกลือขั้นบันไดแบบนี้

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:41:58

ความคิดเห็นที่ 74

สถานที่แห่งนี้เองยังเป็นนาเกลือโบราณมาตั้งแต่สมัยอินคาแล้วอีกด้วยครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:42:35

ความคิดเห็นที่ 75

แล้วเกลือที่เห็นนี่มันมาจากไหน มันก็มาจากลำธารใต้ดินนี่แหละครับซึ่งไปละลายเอาเกลือจากชั้นหินมา แล้วชาวอินคาโบราณเองก็สร้างหลุมๆ ที่เราเห็นกันในภาพนี้แหละครับ และควบคุมทิศทางการไหลของน้ำที่ออกมาจากลำธารนี้ให้ไหลลงหลุมต่างๆ แล้วปล่อยให้ระเหยก็จะได้เกลือออกมาครับ น่าทึ่งดีไหมครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:43:47

ความคิดเห็นที่ 76

แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ผู้คนแถวนี้ก็ยังผลิตเกลือกันอยู่ครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:44:47

ความคิดเห็นที่ 77

และมานาเกลือทั้งทีของที่ระลึกก็คงจะมีแต่เกลือแหละครับ ผมก็ไม่รู้แฮะว่าเกลือที่นี่กับเกลือที่ Salar de Uyuni ในโบลิเวียที่ไหนจะดีกว่ากัน แต่ที่แน่ๆ ผมมั่นใจว่าเกลือที่นี่แพงกว่าแน่นอน เพราะมียี่ห้ออินคาแปะอยู่ด้วย

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:45:42

ความคิดเห็นที่ 78

ผ่านแหล่งเสียตังค์กันอีกแล้วครับ ตอนนี้ผมชักจะเริ่มชินซะแล้วสิ (แต่ก็ไม่ค่อยได้แอ้มกระเป๋าตังค์ผมเท่าไหร่หรอกครับ haha )

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:46:09

ความคิดเห็นที่ 79

ลืมลงรูปซะอย่างงั้น แหะๆ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:46:41

ความคิดเห็นที่ 80

ชาวบ้านนำเกลือที่ผลิตได้มาบรรจุลงใส่กระสอบ เตรียมนำออกขาย

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:47:08

ความคิดเห็นที่ 81

ขึนผมอยู่นานกว่านี้มีหวังจะกลายเป็นคนเค็มแน่ๆ ครับ เราไปกันต่อดีกว่า smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:47:35

ความคิดเห็นที่ 82

และแล้วเราก็กลับมาถึงสามแยกเดิมอีกครั้ง พร้อมกับบอกลาสองแม่ลูกชาวบราซิลที่มาด้วยกัน เพราะพวกเขาจะกลับไปยัง Cusco ส่วนผมก็จะมุ่งหน้าสู่ Urubamba เพื่อต่อรถไป Ollantaytambo ครับ แต่อ้าว ถนนโล่งซะเหลือเกิน แล้วผมจะไป Urubamba ยังไงกันละครับนี่!?!?!

คำตอบไม่ยากครับ ก็ยืนรอบรรดารถ Micro หรือรถบัสมันตรงสามแยกนั้นแหละครับ คันไหนมาก็โบกถามซะว่าไป Urubamba หรือเปล่า ถ้าใช่ก็ขึ้นกันตรงนั้นแหละครับ จากจุดนี้นั่งรถอีกเพียงแค่ 10 นาทีก็ถึง Urubamba แล้วครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:48:22

ความคิดเห็นที่ 83

พอถึง Urubamba รถก็จะมาจอดที่สถานีขนส่งท้องถิ่น ซึ่งจะมีจุดจอดรถอยู่สองฝั่ง หากมาถึง Urubamba จากทาง Cusco ให้เปลี่ยนมายังลานจอดรถอีกฝั่งเพื่อเปลี่ยนไปขึ้น Micro ไปยัง Ollantaytambo ครับ โดย Micro ที่จะไปยัง Ollantaytambo จะมีค่อนข้างถี่ และค่าโดยสารเองก็ถูกมากๆ ครับ เพียงแค่ 1.50 โซลเท่านั้นเอง

จาก Urubamba ไป Ollantaytambo โดย Micro ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:49:31

ความคิดเห็นที่ 84

เพื่อนร่วมทางของเราจะมีทั้งนักท่องเที่ยวที่เดินทางเที่ยวแถบหุบผาศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วยตัวเองอยู่บ้างประปราย แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นคนท้องถิ่นนี่แหละครับที่นั่งรถประเภทนี้ หากอยากจะลองทำตัวกลมกลืนกับผู้คนท้องถิ่น ยังไงผมก็แนะนำให้เที่ยวเองครับ เป็นประสบการณ์ชีวิต และได้อรรถรสไปอีกแบบดีครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:50:08

ความคิดเห็นที่ 85

ที่นี่ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ผมจองโรงแรมไว้เช่นเดียวกันครับ แต่ว่าในคืนแรกนั้นทางโรงแรมส่งอีเมล์มาบอกว่าโรงแรมเต็ม ไม่สามารถให้พักได้ ผมก็เลยต้องจำเป็นเดินหาโรงแรมในคืนนี้ครับ ก็มาลงเอยกับที่นี่ Hostal Sumac Chaska ซึ่งคิดราคาห้องเดี่ยว 40 โซล พร้อมน้ำอุ่นและ wi-fi คิดว่าไม่แพงมากก็เลยเอาครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:50:57

ความคิดเห็นที่ 86

ห้องนอนมาพร้อมกับผ้าปูสีสันสดใสในโทนอุ่นๆ ดูแล้วทำให้ใจรู้สึกอบอุ่นในอากาศเย็นสบายกลางหน้าหนาวนี้ขึ้นมาเลยครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:51:26

ความคิดเห็นที่ 87

และที่ผมมาเมือง Ollantaytambo (อ่านว่า โอล ยัน ตัย ตัม โบ) นี้ก็เพื่อที่จะมาชมโบราณสถานของชาวอินคาชื่อเดียวกันนี้นี่แหละครับ หากมาถึงเมืองแล้วมองไปทางทิศตะวันตกก็จะเห็นซากโบราณนี้ปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดเลยละครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:52:44

ความคิดเห็นที่ 88

แล้วเราก็ตรงมายังทางเข้า สถานที่แห่งนี้สามารถใช้ Boleto Turistico เข้าชมได้เช่นกันครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:53:29

ความคิดเห็นที่ 89

ก่อนเข้าก็มีคนมาแต่งกายเป็นเหมือนกับ “อินคา” ผมถามว่าคุณแต่งกายเป็นอินคาพระองค์ไหน เขาตอบมาว่า Atahualpa ซึ่งเป็นอินคาพระองค์สุดท้ายก่อนที่อาณาจักรจะล่มสลาย ในมือข้างซ้ายเขาถือแก้วทองคำ(ปลอม) ซึ่งตี๊ต่างว่าเป็นแก้วของ Chicha (น้ำข้าวโพดหมัก เครื่องดื่มพิเศษในอดีตที่เฉพาะชนชั้นสูงดื่มได้เท่านั้น) ขอลองเป็นอินคาดูซักวันพร้อมกับจ่ายค่าถ่ายรูปไปโซลสองโซลตามระเบียบครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:55:00

ความคิดเห็นที่ 90

ตอนนี้เราก็เข้ามาในเขตโบราณสถานกันแล้วครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:56:02

ความคิดเห็นที่ 91

ภาพนี้ลองสังเกตดีๆ จะมีจุดนึงเหมือนมีหน้าคนคอยจ้องมองอยู่นะครับ และกลุ่มซากที่อยู่รอบๆ ก็คือยุ้งฉางหรือไม่ก็คลังอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายนี่แหละครับ ชาวอินคานี่ก็เก่งจังครับ ภูเขาก็ชันๆ ขนาดนั้นไปสร้างบนนั้นได้ยังไงกันก็ไม่รู้

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:56:29

ความคิดเห็นที่ 92

ซูมกันให้เห็นชัดๆ ครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:57:08

ความคิดเห็นที่ 93

ลักษณะพิเศษของแต่ละเมืองก็จะมีนาขั้นบันได (Terrace Farms) ซึ่งชาวอินคาเอาไว้ใช้ปลูกพืชเป็นอาหาร ส่วนตัวเมืองก็จะอยู่ด้านบนๆ ครับ ที่เห็นนี่ก็คือนาขั้นบันไดของชาวอินคาในอดีตนั่นเอง

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:57:38

ความคิดเห็นที่ 94

ปีนกันขึ้นไปครับ บางช่วงอาจจะค่อนข้างชัน ก็ระวังๆ กันให้ดีนะครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:58:11

ความคิดเห็นที่ 95

รูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมูฐานกว้างนี่เป็นอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของชาวอินคามากๆ ครับ เวลาชาวอินคาสร้างอะไรก็มักจะออกมาเป็นทรงแบบนี้ ไม่ว่าจะหน้าต่างหรือประตู หรือสิ่งก่อสร้างรวมๆ ที่ฐานจะกว้างกว่ายอดเสมอ เพราะอะไรน่ะหรือครับ เพราะอาณาจักรอินคาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ตามแนวเทือกเขาแอนดีส ซึ่งเป็นแนวรอยเลื่อนของเปลือกโลก เพราะฉะนั้นแผ่นดินไหวจึงเป็นเรื่องที่ต้องประสบพบเจอ และการที่สร้างฐานกว้างๆ ก็ทำให้จุดศูนย์ถ่วงอยู่ต่ำ ล้มลงยากนั่นเองครับ นี่ขนาดเซอร์ไอแซกนิวตันไม่เคยเดินทางมาโลกใหม่นะครับเนี่ย ของแบบนี้ยังไงก็สามารถศึกษาเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ครับ smile

ส่วนตรงนี้ที่เห็นเป็นเว้าๆ เข้าไป หลายท่านคงคิดว่าเป็นหน้าต่าง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ครับ เพราะไม่ได้เจาะทะลุถึงอีกฝั่ง แค่เว้าเข้าไปแล้วตันข้างใน นักประวัติศาสตร์ก็สันนิษฐานว่าเจ้าสิ่งนี้อาจใข้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เพราะเวลาเราส่งเสียงเข้าไปในรูนี้จะมีเสียงสะท้อนออกมาดังกังวานเลยทีเดียวครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 06:59:33

ความคิดเห็นที่ 96

ส่วนในรูปนี้ก็คือหินก้อนเดียวใหญ่ๆ มาต่อกันทั้งนั้นครับ น่าทึ่งมากๆ ที่ชาวอินคาโบราณตัดได้เรียบซะขนาดนี้ แต่ที่น่าทึ่งยิ่งกว่า คือพวกเขาสามารถเอาหินตันๆ ใหญ่ๆ พวกนี้มาไว้ตรงนี้ได้อย่างไร!!

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 07:00:07

ความคิดเห็นที่ 97

สังเกตดีๆ ในรูปนี้ก็จะมีตราสัญลักษณ์แห่งพระอาทิตย์ของชาวอินคาอยู่ด้วยครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 07:00:35

ความคิดเห็นที่ 98

มองกลับลงมายังตัวเมือง Ollantaytambo จากมุมสูง

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 07:01:22

ความคิดเห็นที่ 99

พอขึ้นมาพ้นจากเขตนาขั้นบันไดก็จะเป็นย่านที่อยู่อาศัยและอาคารบัญชาการต่างๆ ครับ อยู่บนเขาซะขนาดนี้ ถ้าข้าศึกบุกเข้ามาได้ง่ายๆ นี่คงแปลกแล้วละครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 07:02:11

ความคิดเห็นที่ 100

รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้มาเที่ยวมาชมและมารับรู้ถึงความสามารถทางสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่งของชาวอินคาเลยจริงๆ ครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 07:02:48

ความคิดเห็นที่ 101

หลังจากลงมาแล้วก็ขอเดินเล่นชมเมืองซักหน่อยครับ เมืองนี้เป็นเมืองที่เล็กมากๆ มีแค่ 4-5 บล็อกเล็กๆ เท่านั้นเองครับ เดินไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ทั่วแล้ว ตรงนี้คือ Plaza de Armas ของที่นี่ครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 07:03:15

ความคิดเห็นที่ 102

เดินผ่านคุณป้ากำลังขาย Anticucho นับเป็นอาหารที่มีมานานแล้วในพื้นที่แถบนี้ครับ ซึ่งของแท้ต้นตำรับจะต้องเป็นหัวใจวัวย่างเสียบไม้พร้อมมันฝรั่ง ผมเองซึ่งก็เพิ่งรู้ความจริงว่ามันทำจากหัวใจหลังจากที่เผลอกินเข้าไปตอนอยู่ที่ La Paz ซะ 2 ไม้ คราวนี้เลยลองถามคุณป้าดูว่ามีอันที่ไม่ได้ทำมาจากหัวใจหรือเปล่า ซึ่งคุณป้าก็บอกว่ามีครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 07:04:06

ความคิดเห็นที่ 103

Anticucho ไม้นี้ทำมาจากเนื้อวัวครับ มีมันฝรั่งเสียบอยู่ข้างบนเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรต ที่เห็นเขียวๆ นั่นคือซอสเผ็ดของเปรูซึ่งผมว่ารับประกันว่าเผ็ดในระดับที่สะใจคนไทยได้เลยทีเดียว ไม้นี้ราคา 3 โซลครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 07:04:35

ความคิดเห็นที่ 104

พอตกเย็นก็ได้เวลาอาหารกันแล้วครับ มีเพื่อนคนไทยผมคนหนึ่งที่เคยมาแถวนี้แนะนำให้มากินที่ร้านนี้ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับทางเข้าตัวโบราณสถานเลย รสชาติจะเป็นอย่างไรไปติดตามชมกันครับ

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 07:05:07

ความคิดเห็นที่ 105

บรรยากาศภายในร้านก็ดูชิลๆ น่านั่งใช้ได้เลยครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 07:05:33

ความคิดเห็นที่ 106

นี่คืออาหารของเราวันนี้ครับ มีชื่อภาษาสเปนว่า Carne Mechado รสชาติคล้ายๆ สตูว์ เค็มๆ มันๆ หวานนิดๆ น่าจะถูกปากคนไทยครับ ผมเองก็ว่าอร่อยดี ราคาไม่แพงด้วยครับ แค่ 19 โซลเท่านั้นเอง

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 07:05:51

ความคิดเห็นที่ 107

ส่วนเครื่องดื่มของเราในวันนี้คือน้ำกล้วยปั่นนั่นเองครับ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ผมสั่งกินแทบจะเป็นประจำในเปรูเลยก็ว่าได้ อาจดูเหมือนธรรมดาๆ แต่จริงๆ แล้วอร่อยสุดๆ เลยครับ อาจเป็นเพราะที่นี่ใส่นมเยอะกว่าปกติก็ได้มั้งครับ รสชาติเลยออกมันๆ ด้วย ส่วนเหยือกนี้ก็ราคา 12 โซลครับ มีความสุขจริงๆ คืนนี้ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 07:06:13

ความคิดเห็นที่ 108

ในที่สุดสองวันแรกของผมในดินแดนอินคานี้ก็จบลงอย่างแสนสุขครับ ตลอดเวลาสองวันนี้ไม่เพียงแต่ความสามารถทางสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่งของชาวอินคาเท่านั้นที่ติดตาตรึงใจผม แต่รสชาติอาหารที่ผมได้รับประทานมาตลอดสองวันนี้ทำให้ผมรู้สึกชอบอาหารเปรูขึ้นมาในทันที หลังจากนี้ก็ได้เวลาพักผ่อนเอาแรงแล้วครับ วันรุ่งขึ้นเราจะมาลุยหุบผาศักดิ์สิทธิ์นี้กันต่อ และจะเป็นภาคที่ 2 ของซีรีส์ย่อย Cusco และหุบผาศักดิ์สิทธิ์ครับ และในตอนหน้าก็มีเรื่องราวแห่งการผจญภัยตามคอนเซ็ปท์โหด มันส์ ฮารอทุกท่านอยู่อย่างแน่นอนครับ smile

สำหรับตอนต่อจากตอนหน้าก็จะเป็นไฮไลท์สุดท้ายของการเดินทางในครั้งนี้ นั่นก็คือการเดินป่า 5 วันเพื่อขึ้นสู่ Machu Picchu นั่นเองครับ!! ใกล้จะถึงจุดสุดยอดของการเดินทางในครั้งนี้แล้วนะครับท่านผู้ชม ยังไงก็อย่าเพิ่งหนีหายกันไปไหน และติดตามกันต่อไปนะครับ สำหรับตอนนี้ผมขอลาและสวัสดีครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 07:10:08

ความคิดเห็นที่ 109

ตื่นแต่เช้า มาอ่านที่ทำงาน รอชมตอนหน้านะคะ อยากไปอเมริกาใต้มากๆ ^^

จากคุณ : จำมัย จัมไม

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 08:13:05

ความคิดเห็นที่ 110

สวยมากครับ ... อยากไปบ้างจัง...

จากคุณ : tgclub

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 08:33:02

ความคิดเห็นที่ 111

ยังตามชมอยู่ค่ะ

จากคุณ : TanN LaH La

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 10:09:58

ความคิดเห็นที่ 112

Amazing! สุดยอด

เตรียมตัวตลอดทริปได้ดีมากครับ

จากคุณ : WONDERFUL_DAY

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:02:48

ความคิดเห็นที่ 113

ตามชมอยู่ค่ะ แต่ภาพวิวนี่เราจ้องนานไม่ได้ มีลายตา ตาลาย(อาจเป็นอยู่คนเดียว)

จากคุณ : DOUNGDEE

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:14:55

ความคิดเห็นที่ 114

ตามมาเบิ่งมาแหยงต่อ ใครได้ห้อยคอด้วยพี่นิค ส่วนใหญ่จะหน้าตาดี ภาพออกมาดีเด้อ

เว้าแล้วกะอยากไปเด้ 555 wink

จากคุณ : บารอนก๊อง

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 12:26:38

ความคิดเห็นที่ 115

มาตามต่อครับ

จากคุณ : MRBIG173

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 13:21:35

ความคิดเห็นที่ 116

ตามมาชมครับ หายไปหลายตอนเลย เดี๋ยวกลับไปตามอ่านนะครับ smile

จากคุณ : BANBONDOI

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 15:45:28

ความคิดเห็นที่ 117

โบราณสถานอินคานี่สวยมหัศจรรย์จริงๆ

ข้าวสวยที่กินที่นั่น อร่อยมั้ยครับ พันธุ์อะไร เหมือนข้าวไทยละป่าว

จากคุณ : Persimon

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 15:57:10

ความคิดเห็นที่ 118

สวัสดีครับคุณจำมัย จัมไม เกาะติดหนึบมาทุกกระทู้เลยนะครับ smile

ขอบคุณมากครับคุณ tgclub smile

สวัสดีคุณ TanN LaH La คุณ MRBIG173 และคุณ BANBONDOI ด้วยครับ ขอบคุณครับที่ยังติดตามชมอยู่ smile

สวัสดีครับคุณ WONDERFUL_DAY ขอบคุณครับ ตอนก่อนเดินทางมานี่ผมเองก็เฝ้ารอคอยทริปนี้ นั่งนับว่าเมื่อไหร่จะได้ออกเดินทางมาตลอด ประกอบกับได้อ่านเจอเรื่องราวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับภัยอันตรายมาตลอด แต่ในขณะเดียวกันผมก็อยากทำทริปนี้ให้สมบุกสมบันที่สุดเท่าที่ผมเคยเดินทางมา เลยทำให้ผมต้องทำการบ้านมาเยอะหน่อยครับ smile

สวัสดีครับคุณ DUANGDEE ไม่เป็นไรครับ อ่านอย่างเดียวไม่ต้องดูภาพก็ได้ครับ หวังว่าตัวหนังสือที่ผมเขียนลงไปจะถ่ายถอดเรื่องราวออกมาให้คุณได้จินตนาการภาพออกมาทดแทนนะครับ smile

สวัสดีเด้ออ้ายบารอนก๊อง ฮู้ได้จังได๋น้อว่าข่อยหล่อ 5555+++ ขอบใจหลายๆ เด้อที่เข้ามาเบิ่งนำ smile

สวัสดีครับคุณ Persimon ความสามารถทางสถาปัตยกรรมของชาวอินคานี่น่าทึ่งสุดๆ ครับ เป็นอะไรที่แม้กระทั่งเจ้าอาณานิคมอย่างสเปนก็ยังทึ่งเลยด้วยซ้ำไป สำหรับข้าวที่นั่นผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าพันธู์อะไร แต่ไม่มีทางเป็นข้าวท้องถิ่นอย่างแน่นอน เพราะอเมริกาใต้ไม่เคยปลูกข้าวได้เลยก่อนที่สเปนจะเข้ามาครับ พูดถึงความนุ่มก็พอได้ ไม่แข็งมาก แต่ไม่มีความหอมอย่างข้าวหอมมะลิของเราเลยครับ ไม่มีข้าวที่ไหนในโลกสู้ข้าวหอมมะลิของเราได้จริงๆ ครับ smile

จากคุณ : KhunWasut

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 21:26:24

[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่]

[กติกามารยาท] [Help & FAQ]

ความคิดเห็น :

Rich Mode (เฉพาะสมาชิก) | Classic Mode

จัดรูปแบบ :

ไฟล์ประกอบ :

ชื่อ :