 |
คุณเจ้าของกระทู้ตอนนี้ทำงานบริษัททัวร์หรือเปล่าครับ หรือว่าไม่เคยมีประสบการณ์การทำทัวร์ 1. เป็นนายหน้าหรือ Agent แบบนี้ซื้อมาขายไปสามารถขายได้ทั้ง Package และกรุ๊ปเหมาสัมมนา ดูงาาน บริษัทที่เป็น Wholesale จะมีซีรี่ส์ส่งให้และหักค่าคอมมิชชั่นให้เอเจ่นนิดหน่อย แบบนี้กำไรต่อหัวไม่เยอะมาก ส่วนกรุ๊ปเหมาก็ต้องขอราคาจากบริษัทที่เป็น Land Operator เนื่องจากบริษัทส่วนมากที่เปิดเป็น agent ไม่สามารถติดต่อกับต่างประเทศได้ โดยตรง แต่ปลอดภัย คือไม่ต้องทำ Operation เอง ไม่เจ็บตัว แต่ข้อเสียถ้าคุณไม่เคยทำทัวร์คุณก็จะไม่รู้ว่า ควรจะเลือกทัวร์ของโฮลเซลล์เจ้าไหน เพราะแต่ละเุจ้าคุณภาพ การให้บริการไม่เหมือนกัน ถูก แพง แตกต่าง ข้อจำกัดของแบบนี้ึืคือ ต้องมีการทำตลาดกับลูกค้าโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเว็ปไซต์ หนังสือพิมพ์ นิตยสารท่องเที่ยว ฯลฯ แล้วแต่ถนัดและงบประมาณ เพราะถ้าเลือกทำตลาดผิดวิธี อาจจะไม่มีสายโทรเข้ามาถามทัวร์เลยก็เป็นได้ 2. เป็น Land Operator คนที่จะเปิดเป็นบริษัทประเภทนี้ " จำเป็น " ต้องมีประสบการณ์การทำงานทัวร์มากมากพอสมควร พอจะรู้ว่า แต่ละประเทศ เราควรติดต่อบริษัททัวร์ไหนที่จะจัดการเรื่องทัวร์ในประเทศให้เราได้ บริษัทประเภทนี้ จะไม่ค่อยเน้นการโฆษณาตามสื่อต่างๆ อาจจะมีบ้างทางอินเทอร์เน็ต แต่วิธีเจาะตลาดโดยตรงยังนิยมใช้วิธีเข้าถึงโดยตรงอยู่ เช่น โทรศัพท์ไปนำเสนอทัวร์, ส่งแฟกซ์หรือเมลล์แนะนำตัว หรือติดต่อเข้าพบโดยตรงกับกลุ่มเป้าหมาย 3. Wholesale คนที่จะเปิดเป็นโฮลเซลล์ได้จะต้องเป็นผู้ที่ีความเชี่ยวชาญในเส้นทางที่ต้องการทำถึงที่สุด เนื่องจาก จะต้องเป็นผู้ที่คิดค้นเส้นทางเพื่อส่งให้เอเจ่นขายมารวมกรุ๊ปกันแล้วออกในชื่อกลาง ดังนั้น คนที่จะทำนอกจากต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในสายงานแล้ว ยังต้องมีคนพอที่จะแบ่งการทำงานเป็นแผนก แยกสัดส่วนที่ชัดเจน เช่น พนักงานขาย แผนกตั๋ว แผนกวีซ่า แผนกบัญชี แผนก Operation และทุกแผนก ต้องมีความสามารถชั้นยอด เช่น พนักงานขาย ต้องมีความรู้ในโปรแกรมและเส้นทางที่ทำขายเป็นอย่างดี แผนกวีซ่าต้องมีความรอบรู้เรื่องเอกสารต่างๆ เป็นต้น ถึงตรงนี้ คงพอจะเป็นแนวทางให้กับเจ้าของกระทู้ได้บ้างนะครับ
| จากคุณ |
:
andy10 (andy10) 
|
| เขียนเมื่อ |
:
18 ธ.ค. 55 11:29:00
|
|
|
|
|
ช่วงนี้เศรษฐกิจบริษัททัวร์เป็นไงบ้าง
