ชีวิตลำบากของหญิงตาบอดกับสามีแขนไม่สมประกอบและลูกชายที่ยังเด็ก
|
|
หากเปรียบโลกใบนี้คือ โรงละครขนาดมหึมาที่มีพวกเราเป็นนักแสดง
บทบาทที่เราหลายๆ ท่านได้รับและกำลังแสดงอยู่ในขณะนี้ ล้วนเกิดขึ้นมาเพราะ
"กรรมเก่า" ด้วยกันแทบทั้งสิ้น
เราไม่อาจทราบได้เลยว่า กรรมเก่าซึ่งก็คืออดีตชาตินั้น เราได้ทำสิ่งใดอย่างไรไว้บ้าง
จึงได้ดลบันดาลและเป็นผลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ทำให้เราต้องดำเนินชีวิตแบบนี้
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า ปัจจุบันนี้หรือชาตินี้ เราได้ประพฤติปฏิบัติตัวเช่นไรต่างหาก
หนึ่งในนักแสดงของโลกนี้ที่ได้รับบทบาทที่ค่อนข้างลำบากคือครอบครัว กุลศิริ
ซึ่งมีอยู่ด้วยกันสามชีวิต คือพ่อแม่และลูก
ครอบครัวนี้อยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่บ้านเลขที่ 5 หมู่ที่ 4 ตำบลปลายกลัด
อำเภอบางซ้าย หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้ชายอายุ 64 ปี ชื่อ คุณลุงมานิต กุลศิริ
ภรรยาชื่อ คุณป้ามณฑา กุลศิริ อายุ 53 ปี และลูกชายคนเดียวคือ เด็กชาย มาโนช
กุลศิริ อายุ 9 ขวบ
หากมองเพียงผิวเผิน อาจจะเห็นว่า ครอบครัวนี้ไม่น่าจะลำบากสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเราได้นั่งคุย
ถึงได้รู้สภาพที่แท้จริงจากปากของครอบครัวนี้ว่าคุณลุงมานิต กับ คุณป้ามณฑา
แต่งงานกันเมื่ออายุที่ค่อนข้างมากแล้ว และการแต่งงานนั้นก็เกิดขึ้นมาจากความสงสาร
เนื่องจาก ดวงตาทั้งสองข้างของคุณป้ามณฑาบอดมาตั้งแต่เกิด จนเมื่อโตเป็นสาว
ก็ไม่มีหนุ่มคนไหนสนใจอยากจะแต่งงานด้วยเพราะกลัวจะต้องเลี้ยงดูผู้หญิงตาบอด
มีเพียงคุณลุงมานิตคนเดียวเท่านั้นที่เกิดความสงสารยอมแต่งงานด้วย
เมื่อทั้งสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ชีวิตที่น่าจะมีความสุขก็มีอันต้องพบอุปสรรค
เพราะเมื่อหลายปีก่อน คุณลุงได้ไปทำงานที่ฉะเชิงเทรา แล้ว เกิดอุบัติเหตุโดนระเบิด
ทำให้แขนข้างซ้ายหัก กระดูกแขนหักเป็นท่อนๆ ทำการรักษาตัวอยู่นาน ทำให้ มือข้างซ้ายไม่สมประกอบ
ไม่ค่อยมีแรง และมือก็แปหรืองอ ด้วย ทำให้รายได้ที่มาจากหัวหน้าครอบครัวคนนี้มี
อันหยุดชะงักในช่วงที่รักษาแขนของคุณลุง
แม้คุณป้ามณฑา จะมีญาติพี่น้องซึ่งอยู่ในละแวกบ้านใกล้เคียงกันให้ความช่วยเหลืออยู่บ้าง
แต่ก็เป็นแบบกระท่อนกระแท่น เพราะต่างคนต่างก็มีภาระหน้าที่และค่าใช้จ่ายของตัวเองแทบทั้งสิ้น
จะมีดีหน่อยก็ตรงที่อยู่มานาน
ทำให้เกิดความเคยชินว่าอะไรอยู่ตรงไหนแม้ว่าดวงตาจะมองไม่เห็นก็ตาม
แต่ก็ไม่สามารถจะไปทำงานที่ไหนนอกบ้านได้เลย
ปัจจุบันคุณลุงมานิตมีอาชีพรับจ้างทำทุกอย่างที่ทำได้ไม่เคยเลี่ยง
ไม่เคยเกี่ยงแม้ว่างานจะหนักหนาสาหัสสักเพียงใด
ไม่ว่าจะเป็นรับจ้างทำไร่ทำสวน ถางหญ้า หรือทุกๆ อย่างที่มีคนจ้าง ซึ่งบางครั้ง
อาการปวดที่แขนซ้ายเพราะโดนระเบิด จะกำเริบจนปวดอยู่บ่อยๆ ก็ตามที
สภาพบ้านที่อยู่ก็เป็นบ้านไม้สองชั้น เป็นไม้เก่าปุปะ หลังคามุงสังกะสี ใต้ถุนสูง
ซึ่งก็เก่าเต็มที แม้แต่บันไดที่หัก ก็ยังไม่มีเงินพอที่จะซื้อไม้ดีๆ มาซ่อมแซม
ดีหน่อยก็ตรงที่ไม่ต้องเช่าที่ดินเขาอยู่ เนื่องจากที่ดินที่ปลูกอยู่ปัจจุบัน
คุณป้ามณฑาอยู่มาตั้งแต่เกิด และไม่ใช่ที่ดินของคุณป้าหรือพ่อแม่ของคุณป้าแต่อย่างใด
แต่เป็นที่ดินของคนใจบุญท่านหนึ่ง ซึ่งท่านเมตตาให้อยู่โดยไม่คิดค่าเช่าแม้แต่บาทเดียวมานานมากแล้ว
นานตั้งแต่สมัยพ่อแม่ของป้ามณฑาเลยทีเดียว
คนใจบุญท่านนี้เป็นคุณหมอผ่าตัดอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งคุณหมอถ้ามีเวลา
ก็จะมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็นานๆ จะมาสักทีเพราะติดขัดในเรื่องของ
ระยะทาง การเดินทาง เวลา และการทำงานของคุณหมอที่กรุงเทพฯ และคุณหมอท่านนี้
ท่านก็อายุค่อนข้างมากแล้ว คุณลุงมานิตและคุณป้ามณฑาเคยนึกกลัวว่าเมื่อไหร่ที่คุณหมอจะมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินผืนนี้
เมื่อนั้น ครอบครัวกุลศิริ ก็คงต้องลำบากมากขึ้นเป็นหลายเท่าทวีคูณ
ลูกชายคนเดียวของครอบครัวคือเด็กชายมาโนช กุลศิริ ตอนนี้เรียนหนังสืออยู่โรงเรียนวัดใกล้บ้านคือ
โรงเรียนวัดทางหลวง ชั้นป. 4 โดยที่เสื้อผ้าหรืออุปกรณ์การเรียนก็เก่าขาดวิ่นส่วนเงินค่าขนมไม่ต้องพูดถึง
มีบ้างไม่มีบ้าง แล้วแต่ว่าจะมีคนจ้างพ่อของเขาไปทำงาน ซึ่งถ้าจ้างเขาก็พลอยมีเงินค่าขนม
แต่ถ้าไม่มีคนจ้าง ทั้งครอบครัวรวมทั้งค่าขนมของหนูน้อยก็ต้องอด
" อยากเป็นทหารครับ " คำพูดแฝงความหวังของหนูน้อยซึ่งเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มละไมบนใบหน้า
ด้วยวัยที่ไร้เดียงสาเช่นนี้ ความหวังที่มีคือสิ่งที่ช่วยให้จิตใจสดชื่นกระชุ่มกระชวย
จนแสดงออกมาทางใบหน้าที่เราสัมผัสได้
ความหวังเพียงอย่างเดียวที่เหมือนกันของคุณลุงมานิตและ คุณป้ามณฑา ก็คือ
อนาคตของเด็กชายมาโนช ลูกชายของพวกเขา ยามนี้ แม้คุณลุงจะยังพอมีแรงทำงานได้บ้าง
แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่คุณลุงจะหมดแรงหมดลมหายใจก่อนที่ลูกชายจะได้เติบโตและได้เป็นทหารสมใจดั่งที่ตั้งความหวังไว้
เนื่องจากตอนนี้ แขนก็เริ่มปวดและไม่มีแรงมากขึ้นมากขึ้น จนบางครั้งเคยนึกกลัวว่าแขนจะเสียจนไม่สามารถใช้งานได้อีก
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
แม้จะหวังว่าไม่อยากให้เป็นแบบนั้นก็ตาม และทั้งอายุก็มากแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีแรงทำงานได้อีกสักกี่ปี
ซึ่งถ้าคุณลุงเป็นอะไรไปสักคน ครอบครัวกุลศิริ คงเหมือนตกอยู่ในห้วงทุกข์เลยทีเดียว
แต่ละชีวิตที่ดำรงอยู่ ก็เหมือนน้ำที่อยู่ในแก้ว แก้วใดมีน้ำอยู่เต็มเปี่ยมจนล้นออกมานองข้างนอกไร้ค่า
เราขอแบ่งปันน้ำที่ล้นของท่าน ซึ่งนั่นก็คือความสมบูรณ์เพียบพร้อมที่ล้นเหลือของท่าน
มาเติบเต็มแก้วน้ำบางแก้วที่แห้งขอดจนแทบไม่พอหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยเถอะ
:: กลับไปหน้าหลัก ::
|