ภาพยนตร์บันเทิง

Family Talk

 
‘เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์' กว่าชีวิตคู่จะลงตัวและเข้าใจ
   
เพราะความรักทำให้คนสองคนที่มาจากการเลี้ยงดูและสังคมที่แตกต่างกัน ยอมลดทิฐิและปรับเปลี่ยนวิธีคิด เพื่อให้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและยืนยาว เช่นเดียวกับชีวิตคู่ของนักแสดงและพิธีกรหนุ่มใหญ่ ไทด์ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ กับศรีภรรยา ยุ้ย คนึงนิตย์ ศิริพงศ์ปรีดา กับระยะเวลากว่า 9 ปีของชีวิตคู่ที่ต้องปรับต้องเปลี่ยนจนมาถึงจุดที่ทำให้เขาและเธอเข้าใจกันได้ แต่กว่าจะผ่านมาได้ขอบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าเขาและเธอไม่มีความอดทนและอดกลั้นชีวิตคู่คงขาดสะบั้นไปนานแล้ว
   
ยุ้ย : เพราะเราสองคนต่างครอบครัวต่างการเลี้ยงดูต่างสังคม ความคิดเลยไม่ค่อยตรงกันหลายๆ อย่างเรียกว่าแทบจะไม่เหมือนกันเลย ถามว่าทะเลาะกันก็เยอะนะ ทะเลาะกันบ่อย อาจจะไม่ค่อยเข้าใจกันหลายอย่าง เขาก็จะคิดของเขาอย่างเราก็เป็นอีกแนวหนึ่ง เพราะพ่อเราเป็นนักธุรกิจส่วนเขาเป็นดาราจะอีกแบบหนึ่ง การเลี้ยงดูไม่เหมือนกัน บางทีคุยกันไม่ค่อยคลิก ทำให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่หลายเรื่องมันกลายเป็นอะไรที่จุกจิก แล้วพอมีปัญหาเขาก็ไม่อยากพูดเราก็ไม่อยากพูด พอต่างคนต่างไม่อยากพูดกลายเป็นความห่างเหิน
   
ไทด์ : คือเราก็โตๆ กันแล้วก็ต้องใช้เวลา ให้เวลาอบรมสั่งสอนความคิดของตัวเองว่าปัจจุบันกับอนาคตจะเอายังไง อยู่กับปัจจุบันมีความสุขไหม กับอนาคตต่อไปจะก้าวเดินยังไงกับชีวิต สมมติเราเลิกกันเรากลับมาเป็นโสดอีกครั้งกับการมีครอบครัวต่อไป พอเราชั่งไปชั่งมาครอบครัวก็มีความสุขอยู่แล้ว กะอีแค่เรื่องนิดเดียวถ้าเราคุยกันมันก็ได้อยู่แล้ว ถ้าเราคุยกันมันต้องได้สิ ไม่งั้นคนเราจะอยู่กัน 20-30 ปีจนแก่ตายได้ไง
   
ยุ้ย : เพื่อนยุ้ยยังบอกเลยทำไมทะเลาะกันนาน คู่อื่นทะเลาะกันเรื่องใหญ่ 2-3 วันก็ดีกันแล้วหรืออย่างมากแค่อาทิตย์เดียว แต่คู่ของเรามีแต่คนถามทำไมถึงทะเลาะกันนานขนาดนี้ เพราะเราสองคนนิสัยเหมือนกันไง ตรงที่พอมีเรื่องอะไรขัดใจมีเรื่องไม่ถูกใจเขาหรือเราก็จะไม่พูด ต่างคนต่างไม่พูดก็เลยยิ่งไม่ถูกใจไม่อยากเห็นไม่อยากเจอหน้าไม่อยากคุยแล้ว พอไม่พูดมันก็เหมือนสะสม แล้วเขาเป็นคนหัวโบราณ บางทีเขากลับมาบ้านแต่เรายังไม่กลับเพราะไปทำงานไปธุระ เขาจะไม่ชอบให้ภรรยาไม่อยู่บ้าน เพราะมีความรู้สึกว่าเราไปไหนทำไมไม่อยู่บ้าน แต่เราก็มีธุระหรือต้องไปทำงาน พอเขากลับมาไม่เจอเรามันก็เลยยิ่งสะสมความไม่พอใจเข้าไปอีก
   
ส่วนเราพอกลับมาบ้านไม่เจอเขา เพราะเขาต้องไปช่วยมูลนิธิไปช่วยคนน้ำท่วม เราก็ทำไมไม่อยู่บ้าน เรารู้ว่าเขาไปไหนแต่เหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์ทำไมต้องไป คือมีลูกมีครอบครัวแล้วทำไมไม่อยู่กับเราไม่อยู่กับลูก ทั้งที่เราก็ต้องการความอบอุ่น แต่นี่คุณไปเติมให้คนอื่น แต่ทำไมไม่เติมให้เรา หยุดทำแล้วอยู่กับเราและลูกได้ไหม คือเราก็ไม่อยากให้เขาไป
   
ไทด์ : เราคิดว่าเรามีหน้าที่ของเราคือดูแลลูกและทำงาน เพียงแต่ไม่ได้เจอเขาไม่ได้คุยกับเขา ทั้งที่อยู่บ้านเดียวกันนอนห้องเดียวกันแต่ไม่คุยกัน
   
เคยโกรธกันนานที่สุด
ยุ้ย : ก็นี่ไงจน 7 เดือนไม่คุยกันเลย ทำให้ต่างคนต่างมีเวลามาคิดทบทวนจะเอายังไง เหมือนเขารับไม่ได้เลยส่วนเราก็รับไม่ได้ รู้สึกเหมือนเขาไม่แฟร์กับเรา ทั้งที่เราไม่ได้เป็นผู้หญิงเหลวไหลไม่เที่ยวกลางคืน เขาไม่พยายามจะเข้าใจเรา และลึกๆ เราเสียใจมากเพราะเรารักเขามาก เคยคิดว่าถ้าเราไม่มีเขาแล้วเราจะไม่มีใครอีกจะอยู่กับลูก แต่ตลอดเวลาเหมือนเขาไม่มั่นใจในตัวเรา จนเขาไปออกรายการวันพ่อของ อาต๋อย ไตรภพ เขาก็พูดขึ้นมา อาต๋อยเลยรู้เรื่องว่ามีปัญหา และรู้ว่ายุ้ยจะไม่เอาเขาแล้ว เพราะเขาไปต่างจังหวัดขึ้นเครื่องไปกับผู้หญิง เพื่อนก็ดันไปเจอโทร.มาบอกและส่งรูปมาให้ด้วย เราก็พอแล้วไม่เอาแล้ว ถึงขั้นส่งข้อความไปขอหย่ากับเขาเลย
   
ไทด์ : พอเขาส่งข้อความมาเราก็รู้สึกเฉยๆ ถ้าจะหย่าเราก็พร้อมอยู่แล้วเพราะไม่ได้ทำอะไร เราบริสุทธิ์ใจแต่เขาเข้าใจผิดไปเอง พี่ต๋อย ก็เลยมาช่วยเคลียร์ให้
   
ยุ้ย : พอ อาต๋อย คุยก็รู้ว่าปัญหาคืออะไร อาต๋อยบอกว่าต่างคนต่างสังคมต่างครอบครัวต่างการเลี้ยงดู จริงๆ แล้วเหมือนคนสองคนรักกัน เพียงแต่ต้องเปลี่ยนมุมมองและเปลี่ยนแปลงตัวเอง ต่างคนต่างทำงานของตัวเองให้เต็มที่ไปเลย เขาจะทำอะไรก็ปล่อยเขาไป ส่วนยุ้ยทำอะไรก็ปล่อยยุ้ย แต่เราต้องมีเวลากลาง คือมาแจมกันหรือพาลูกไปเที่ยว มาเจอกันตรงกลาง อยู่กันด้วยความเข้าใจดีกว่าไหม ซึ่งพี่ไทด์ก็เข้าใจ
   
ไทด์ : มันก็ต้องปรับเพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีคำว่าสายเกินไป ถ้าสายเกินไปคือต้องเลิกกัน ซึ่งอาจจะเลวร้าย
กว่าการที่ต้องมาปรับตัวเข้าหากัน ชีวิตคนเราถูกเลี้ยงดูมาอย่างนี้ เขาถูกเลี้ยงดูมาอีกอย่างส่วนเราอีกอย่าง เพราะฉะนั้นจะให้เขาหรือเราเปลี่ยนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราปรับกันได้ อาจจะไม่เหมือนกัน 100 เปอร์เซ็นต์ เอาแค่สัก 
50 เปอร์เซ็นต์ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ก็ปรับเรื่องความคิดจิตใจ ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เราชอบอย่างนี้เขาชอบอย่างนั้นก็ปล่อยเขาทำ เราชอบอย่างนี้เขาปล่อยให้เราทำมันถึงจะเข้าหากันได้ แต่ถ้าไปเปลี่ยนคงไม่ได้
   
ตอนนี้เวลาทะเลาะกันก็จะรีบเคลียร์ไม่เก็บไว้
ยุ้ย : ถ้าทะเลาะกันเราจะคุยกันมากขึ้น เพราะไม่คุยทำให้เกิดช่องว่าง ถ้าไม่พอใจอาจจะพูดเลยไม่เก็บเหมือนก่อน แต่จะพูดตรงๆ เลย
   
ไทด์ : ก็มีบ้างที่ไม่พูดกันแต่น้อยลง จากเป็นเดือนอาจจะเหลือเป็นอาทิตย์ แต่คิดว่าต่อไปไม่น่ามีแล้วนะ ชีวิตคนเราไม่มีอะไรหรอกอยู่ที่การคิด ถ้าคิดให้ดีคิดให้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยน เมื่อก่อนทะเลาะกันจะเสียงดังแต่ตอนนี้ไม่มีแล้วคุยกันด้วยเหตุผล ไม่อยากให้ลูกเก็บเกี่ยวสิ่งไม่ดีของพ่อกับแม่ และถ้าไม่พอใจก็ต่างคนต่างเงียบไปไม่เถียงกัน
เสียงดัง เริ่มปรับวิธีการคิดและการพูดใหม่ ถ้ามีอะไรอย่างน้อยให้เวลา 2-3 วันแล้วค่อยมาคุยกัน
   
และเราต้องให้เกียรติกันและกัน เหนือสิ่งอื่นใดต้องซื่อสัตย์เขาถึงจะไว้ใจเราและเราจะไว้ใจเขา อยู่ที่ความคิดและใช้หลักความเข้าใจ ทุกคู่ต้องมีความเข้าใจ แต่ไม่ได้เข้าใจเฉพาะตัวเราคนเดียวนะต้องเข้าใจเขาด้วย ถ้าเราเข้าใจเขาแต่เขาไม่เข้าใจเรา หรือเขาเข้าใจเราแต่เราไม่เข้าใจเขาก็พังก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ต้องเข้าใจทั้งคู่ให้ตรงกัน และที่ขาดไม่ได้คือความอดทนอดกลั้นต้องมีถ้าไม่มีก็พังเหมือนกันในชีวิตครอบครัว เพราะเราต้องอยู่ด้วยกันไปจนแก่จนเฒ่า
   
เติมความหวานให้ชีวิตคู่ยังไง
ไทด์ : สำหรับผมคิดว่าการเติมความหวานของชีวิตคู่อยู่ที่การเอาอกเอาใจกันและกัน
   
ยุ้ย : แค่เขาเข้าใจยุ้ยก็หวานแล้ว คืออยู่ด้วยกันมาจะ 10 ปีเชื่อมั้ยเหมือนเพิ่งจะเข้าใจกัน ก่อนหน้านี้ทะเลาะกันตลอดเพราะไม่เข้าใจกันไง ทุกวันนี้เพิ่งเข้าใจกันดีกว่า ถามว่าเติมความหวานให้ชีวิตคู่ยังไง แค่เขาเข้าใจยุ้ยก็หวานแล้ว ก่อนหน้านี้มันดูเหมือนขัดใจกันไปหมด เราทำอะไรเหมือนขัดใจเขา ส่วนเขาทำอะไรเหมือนขัดใจเรา มันคุยกันไม่รู้เรื่องเหมือนมีอะไรมากั้นความรู้สึก
   
เพราะฉะนั้นทุกวันนี้แค่เรามีความรู้สึกเข้าใจกันก็รู้สึกดีมากแล้ว ทุกวันนี้เราเข้าใจเขา เขาเข้าใจเรา พออยู่กันแล้วมีความสุขก็อยากอยู่กันต่อ และจะนึกถึง อาต๋อย ตลอด บางครั้งเหมือนเส้นผมบังภูเขา บางสิ่งบางอย่างเราคิดไม่ได้เขาคิดไม่ได้ แต่พอมีคนมาเชื่อมทำให้เราคิดได้ เมื่อก่อนต่างคนเป็นแบบใช้คำว่า ทิฐิ ดีไหม เขาไม่ยอมเรา เราก็ไม่ยอมเขา ทุกวันนี้เหมือนต่างคนต่างลดทิฐิลงมา เขายอมเข้าใจเรา แล้วทำไมบางเรื่องเราจะยอมเขาไม่ได้
   
มาคุยถึงลูกสาวทั้ง 4 คนกันบ้าง น้องมินนี่ ณัฐวรรณ, ลูกสาวฝาแฝด ใบตอง แก้วขวัญ กับ ใบเตย ขวัญแก้ว และลูกสาวคนเล็กน้องมู่หลาน โชษิตา เป็นยังไงบ้าง คุณพ่อคงหวงน่าดูเพราะเป็นคนหัวโบราณด้วย
ไทด์ : ถือว่าเราโชคดีมีลูกที่เชื่อฟังและเป็นเด็กที่น่ารักไม่เกเร 
ถ้าจะมีก็ตัวเล็กแสบนิดหน่อยเพราะความคิดความอ่านยังเด็กอยู่ ส่วนลูกสาวฝาแฝดก็เชื่อฟังดีเพราะอายุ 8 ขวบ ส่วนมินนี่ 16 ไม่ต้องห่วงแล้ว เขามีความรับผิดชอบในตัวเองสูงไม่ต้องพูดอะไรมาก แล้วปัจจุบันไม่มีแล้วไอ้ที่หวงลูกสาว เพราะความคิดความอ่านเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปด้วยสภาพของสิ่งแวดล้อม ด้วยสภาพของวิวัฒนาการ แล้วเราเลี้ยงลูกได้แต่ตัวแต่ใจเขาเลี้ยงไม่ได้หรอก ยิ่งไปห้ามยิ่งไปตีกรอบยิ่งไม่ได้
   
ขนาดภรรยายังหวงแล้วลูกสาวจะไม่หวงเลยหรือ
ไทด์ : เรารู้ว่าชีวิตคนเรายิ่งไปกีดกันไปตีเส้นอะไรให้เขามากคงไม่ได้ เราคิดว่าอายุขนาดไหนการปล่อยหรือไม่ปล่อย ถ้าอะไรที่เป็นตัวของเขาเองหรือเขาดูแลตัวเองได้เราควรปล่อยเขา แต่ช่วงจังหวะอายุหัวเลี้ยวหัวต่อเราคงไม่ปล่อย
   
เลี้ยงดูและสอนลูกให้เขาเป็นแบบไหนที่เราอยากให้เป็น
ไทด์ : เราจะสอนจะบอกสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตว่าต้องเจออะไรบ้าง ให้เขาได้รับรู้และเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าเขาจะเอาตัวรอดยังไงจะอยู่ในสังคมยังไง ลูกผมไม่ต้องเรียนเก่งมากก็ได้ เพราะบางคนมีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอดก็มี ผมไม่สอนให้ลูกเป็นคนเก่งแต่สอนให้ลูกเป็นคนดีมีความคิดบวก เอาจริยธรรมและคุณธรรมมาสอนเขา ให้เขามีเมตตาและอย่าดูถูกคนที่ต่ำกว่า
   
ยุ้ย : เราอยากให้ลูกเป็นคนเก่งและคนดี เพราะสมัยนี้ยุ้ยมองว่าโลกไปถึงไหนแล้ว สอนให้เขามีวิธีคิดยังไง คนเราถ้ามีวิธีคิดสามารถพลิกแพลงได้ ให้เขารู้จักใจเขาใจเรา เพราะสมัยนี้คนเห็นแก่ตัวมาก อยากให้เขามีน้ำใจช่วยเหลือคนและรู้จักพลิกแพลงสถานการณ์ ปลูกฝังให้เขามีวิธีคิดด้วยตัวเอง คิดให้เป็นให้อยู่เป็นและให้รู้อยู่ คนเราไปอยู่ไหนก็อยู่ได้แต่ให้รู้อยู่ จะไปอยู่กับคนกลุ่มไหนถ้าเขาอยู่เป็นและรู้อยู่เขาก็จะอยู่ได้


:: อ่านต่อในฉบับ ::

:: กลับไปหน้าหลัก ::