EWORLD

SHOWCASE : RFID IN SPM FARM
ระบบขุนหมูไฮเทค ด้วย RFID

 

ถึงเป็น “สุกร” ก็ต้องรักษาหุ่นเหมือนกันนะ !!! เปิดเรื่องอย่างนี้ หลายคนที่ถนัดแต่เป็นผู้บริโภค ไม่เคยเป็นคนเลี้ยง (เหมือนอย่างผู้เขียน) คงเกิดอาการสงสัยว่า ทำไมหมูต้องรักษาหุ่น? เป็นหมูก็ต้องขุนให้อ้วนๆ ถึงจะถูก แล้วหมูจะขุนหมูให้หุ่นดีได้อย่างไร? และถ้าบอกว่าที่ฟาร์ม เอส พี เอ็ม ที่จังหวัดราชบุรี ได้นำเทคโนโลยี RFID (Radio Frequency Identification) มาใช้ในการเลี้ยงสุกร เพื่อให้ได้มาตรฐาน ไม่อ้วนหรือผอมเกินไป คุณจะเชื่อหรือไม่?

เส้นทาง RFID สู่ฟาร์มเลี้ยงสุกร
คุณสมชาย นิติกาญจนา เจ้าของฟาร์มเอส พี เอ็ม ที่ถือเป็นฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของเมืองไทย ผู้ซึ่งคลุกคลีในอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูมานานกว่า 30 ปี ได้ให้เกียรติเล่าถึงการเลี้ยงหมูของที่ฟาร์ม รวมถึงเหตุผลในการนำเทคโนโลยี RFID มาใช้ในการเลี้ยงหมูว่า

“การเลี้ยงหมูของที่นี่ เราทำเป็นแบบอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ ไม่ใช่การเลี้ยงแบบชาวบ้านแบบเดิม โดยปัจจุบันมีหมูอยู่ประมาณ 8,800 แม่ ถือเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ของเมืองไทย และยังมีโรงงานผลิตอาหารสัตว์ด้วย ซึ่งเราถือเป็นผู้เลี้ยงรายใหญ่และมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ค่อนข้างมาก เพราะเราถือว่าเราไม่สามารถกำหนดราคาขายของสินค้าได้ แต่ที่เราทำได้คือ ต้นทุน ที่กำหนดได้แน่นอน เพราะฉะนั้นทำยังไงให้ต้นทุนต่ำได้มากที่สุด นั่นคือสิ่งที่เราคิดอยู่เสมอ และการเอาระบบไอทีนี้มาใช้ ทำให้ต้นทุนต่ำลงได้ เราจึงสามารถพัฒนาจากธุรกิจเล็กๆ มาเป็นธุรกิจที่โตขึ้นเรื่อยๆ ได้”

ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมู หมูที่เลี้ยงจะมีอยู่สองประเภท คือ หมูขุน และ หมูพันธุ์ ซึ่งมีวิธีการเลี้ยงที่แตกต่างกัน สำหรับการเลี้ยงหมูขุนนั้น จะเน้นการทำน้ำหนักเพื่อขาย จึงสามารถกินได้เต็มที่และเลี้ยงรวมในคอกขนาดใหญ่ได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณอาหารที่ได้รับ แต่สำหรับหมูพันธุ์แล้ว สุขภาพของแม่หมูเป็นเรื่องสำคัญ คือ แม่หมูต้องสุขภาพดี ไม่อ้วนหรือผอมเกินไป ซึ่งจะทำให้มีปัญหาน้อย สามารถผสมติดได้ดี ทำให้โอกาสมีลูกและคลอดดกขึ้น ถ้าแม่หมูอ้วนเกินไป กินเยอะ การผสมติดก็จะยาก และลูกหมูที่ได้มาก็จะไม่แข็งแรง ทำให้การเลี้ยงหมูพันธุ์ต้องมีการควบคุมน้ำหนัก เพื่อรักษารูปร่างให้ได้มาตรฐานนั่นเอง

จะสังเกตเห็นว่า โดยทั่วไปผู้เลี้ยงมักจะเลี้ยงหมูพันธุ์แบบกรงตับ (กรงขังเดี่ยว) เพื่อสามารถควบคุมการตักอาหารให้แม่หมูกินทีละตัวๆ ตามปริมาณที่แต่ละตัวต้องกินได้ เช่น แม่หมูปกติให้กิน 2 กิโลกรัม ส่วนแม่หมูที่อ้วนจะต้งลดปริมาณอาหารลงเหลือ 1.5 กิโลกรัม เป็นต้น แต่ปัญหาก็คือ แม่หมูที่อยู่กรงตับจะไม่แข็งแรง เพราะไม่ได้ออกกำลังกาย มีแต่กินกับนอนอยู่ในที่แคบๆ ดังนั้น ทางฟาร์มเอส พี เอ็ม จึงได้เปลี่ยนวิธีการเลี้ยงมาเป็นระบบปล่อยแบบคอกรวมขนาดใหญ่ ที่แม่หมูสามารถเดินออกกำลังกายได้ ส่วนปัญหาการควบคุมปริมาณอาหารนั้น ทางฟาร์มได้นำซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า Porcode Management System ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ มาใช้ง่านร่วมกับเทคโนโลยี RFID เพื่อควบคุมเครื่องให้อาหารแม่หมู ซึ่งระบบจะควบคุมให้เครื่องให้อาหารปล่อยอาหารมาตามปริมาณที่เหมาะสมกับแม่หมูแต่ละตัว ซึ่งระบบนี้ได้ถูกนำมาใช้เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว

คุณสมชายกล่าวว่า “ผมเป็นเจ้าของฟาร์มที่พยายามนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้ ระบบอะไรดี อะไรทันสมัย หากคุ้มค่า ผมก็กล้าลงทุน สำหรับระบบนี้ การเลือกว่าจะใช้ระบบของที่ไหนนั้น ผมดูที่ความเป็นไปได้ว่ามีมากน้อยแค่ไหน และดูระบบของประเทศอื่นๆ ด้วยว่า แต่ละประเทศ เค้าใช้ระบบอะไรบ้าง เพื่อเปรียบเทียบว่าระบบไหนดีกว่ากัน ซึ่งการนำระบบนี้มาใช้จะมีส่วนช่วยให้เราสามารถพัฒนาหมูโดยมีต้นทุนที่ต่ำลงได้ โดยเฉพาะการกินอาหารของแม่หมู เพราะแม่หมูตัวใหญ่จะกินอาหารมาก ทำให้กำไรลดลง และแม้ว่าค่าใช้จ่ายของระบบที่เลี้ยงแบบปล่อยนี้จะแพงกว่าการเลี้ยงแบบกรงตับ แต่ก็คุ้มค่ากว่า เพราะแม่หมูจะมีสุขภาพแข็งแรง ได้ลูกดก และลูกที่ออกมาก็แข็งแรง นอกจากนี้ยังช่วยให้รอบการเปลี่ยนแม่หมูยาวขึ้น คือ วิธีนี้เราจะเปลี่ยนแม่หมูหลังจากมีลูกได้ 6 ท้อง แต่ถ้าเราเลี้ยงแบบกรงตับ รอบการเปลี่ยนแม่หมูเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3-4 ท้อง เพราะแม่หมูแข็งแรงไม่เท่ากัน หมูที่แข็งแรงกว่าจะอยู่ได้ทนกว่า ช่วยให้เราประหยัดต้นทุนในส่วนนี้ได้ด้วย เราจึงนำระบบนี้มาใช้เพราะคุ้มค่ากว่า”

ระบบขุนหมูไฮเทค
ระบบให้อาหารหมูอัตโนมัตินี้ ประกอบไปด้วย แท็ก RFID สำหรับระบุหมายเลขประจำตัวของแม่หมูแต่ละตัว ซึ่งจะติดไว้ที่หูของแม่หมู, เครื่องอ่าน RFID ซึ่งจะติดอยู่ที่ผนังบริเวณจุดให้อาหาร ทำหน้าที่รับสัญญาณจากแท็ก RFID ทำให้รู้ว่าแม่หมูที่เข้ามากินอาหารเป็นหมูหมายเลขใด, โปรแกรม Porcode Management System สำหรับตั้งโปรแกรมปริมาณอาหาร แผงควบคุมและชุดอุปกรณ์ปล่อยอาหาร

โดยการทำงานของระบบนี้ จะเริ่มต้นด้วยการตั้งโปรแกรมการให้อาหารแม่หมู (Feed Curve) ซึ่งตั้งครั้งเดียวในตอนแรก โดยจะกำหนดปริมาณอาหารเริ่มต้นและปริมาณอาหารที่เพิ่มขึ้นในแต่ละสัปดาห์ แบ่งตามช่วงอายุและรูปร่างของแม่หมู รวมถึงสถานะการตั้งท้อง เช่น ถ้าอายุปกติเริ่มเข้าโปรแกรมหมูแม่พันธุ์ 0-2 สัปดาห์ หมูรูปร่างปกติให้กินอาหาร 2.4 กิโลกรัมต่อวัน หมูผอม 2.7 กิโลกรัมต่อวัน หมูอ้วน 2.3 กิโลกรัมต่อวัน และเมื่ออายุ 2-4 สัปดาห์ ให้เพิ่มอีก 0.6 กิโลกรัม เมื่อหมูเริ่มท้องก็ให้อาหารน้อยลง และเมื่อท้องแก่ก็คอยเพิ่มอาหารขึ้นเรื่อยๆ

จากนั้นจึงติดแท็ก RFID ที่หูของแม่หมูแต่ละตัว พร้อมบันทึกหมายเลขประจำตัวและป้อนข้อมูลส่วนตัว เช่น น้ำหนัก อายุ การเป็นสัด การท้อง การคลอด ฯลฯ ของแม่หมูแต่ละตัวไว้ในระบบ ซึ่งโปรแกรม Porcode จะประมวลผลปริมาณอาหารที่เหมาะสมกับน้ำหนักและอายุของแม่หมูตัวนั้นๆ ให้โดยอัตโนมัติ เมื่อแม่หมูเดินเข้าไปกินอาหารในบริเวณเครื่องปล่อยอาหาร (Feed Station) ซึ่งสามารถเข้าได้ทีละตัว เครื่องอ่าน RFID ที่ติดอยู่ที่ผนังบริเวณจุดปล่อยอาหารจะอ่านแท็ก RFID ที่หูของแม่หมูแล้วส่งหมายเลขประจำตัวแม่หมู ไปตรวจสอบปริมาณโควต้าอาหารที่เหลืออยู่ของแม่หมูตัวนั้นๆ ถ้าโควต้ายังเหลืออยู่ ระบบจะควบคุมประตูทางเข้าโซนกินอาหารให้ล็อก เพื่อไม่ให้แม่หมูตัวอื่นเข้ามารบกวน

จากนั้นเครื่องปล่อยอาหารจะปล่อยอาหารออกมาตามปริมาณโควต้าของแม่หมูตัวนั้นๆ หากโควต้าอาหารในวันนั้นของแม่หมูหมดแล้วหรือแม่หมูกินอิ่มแล้ว (ดูจากการที่แม่หมูเอาหูออกห่างจากบริเวณปล่อยอาหาร ทำให้ไม่สามารถรับสัญญาณแท็ก RFID ได้) เครื่องปล่อยอาหารจะหยุดปล่อยอาหาร และประตูทางเข้าจะเปิดให้แม่หมูตัวใหม่เข้ามากินอาหารต่อได้ กรณีโควต้ายังเหลืออยู่ แม่หมูสามารถเข้ามากินรอบสองได้

:: อ่านต่อในฉบับ ::

:: กลับไปหน้าหลัก ::