MTF (Modulation Transfer Function)
|
|
สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่นับถือทุกท่าน
ฉบับนี้ผมก็จะนำการตรวจสอบคุณภาพของเลนส์ด้วยวิธีการที่เรียกว่า
MTF มาคุยกันต่อจากฉบับที่แล้ว
ท่านผู้อ่านคงทราบกันดีแล้วนะครับ
การตรวจสอบคุณภาพของเลนส์ด้วยวิธีการนี้เป็นวิธีการตรวจสอบด้วยอุปกรณ์อีเล็คทรอนิกส์
ซึ่งมีเครื่องไม้เครื่องมือที่มีความซับซ้อนพอสมควร
ซึ่งผมเองก็พยายามจะพูดถึงในเรื่องที่เราท่านพอจะเข้าใจกันได้ง่ายๆ
เพราะในบางเรื่องผู้เขียนเองก็ยังไม่มีความเข้าใจดีนักเหมือนกัน
ก็ต้องมาท้าวความเพื่อความเข้าใจกันอีกสักครั้งก็แล้วกันว่า MTF
แท้ที่จริงก็คือการตรวจสอบกำลังแยกขยายของเลนส์
(Resolving Power) นั่นเอง ก็คงต้องถามกันต่อมาอีกว่า กำลังแยกขยายหมายถึงอะไร
ซึ่งผมขออธิบายและยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น
กำลังแยกขยายคือความสามารถของเลนส์ในการแยกรายละเอียดของวัตถุสองสิ่งที่อยู่ใกล้กัน
คงต้องเข้าใจว่า วัตถุสองสิ่งที่ผมพูดถึงนี้ ไม่ใช่วัตถุชิ้นโตๆ ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนหรอกนะครับ
เอาเป็นว่า เป็นจุดเล็กๆ สองจุด หรือเส้นเล็กๆ บางๆ สองเส้นที่อยู่เกือบชิดกัน
ถ้าเรามองจุดสองจุดดังกล่าวนี้ด้วยสายตาเราเอง จะพบว่า ที่ระยะหนึ่ง เราจะสามารถมองเห็นมันได้ว่า
เป็นจุดเล็กๆ สองจุด แต่หากเราเปลี่ยนระยะทางระหว่างตาเรากับวัตถุนั้นๆ จะพบว่า
เราจะเห็นมันเป็นเพียงจุดๆ เดียว ไม่ใช่สองจุดอย่างที่มันเป็น
เพราะฉะนั้น การที่เลนส์ตัวใดตัวหนึ่งมีกำลังแยกขยายสูงก็ถือได้ว่า
เลนส์ตัวนั้นมีคุณภาพทางด้านออพติคดีเยี่ยม
ผมขอยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน เช่นกล้องโทรทรรศน์ หรือที่เราพูดกันติดปากว่า
กล้องดูดาว กำลังขยายของกล้องถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่กำหนดคุณภาพและราคาของเลนส์
แต่สเปคที่สำคัญที่นักดาราศาสตร์ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือ กำลังแยกขยาย
เนื่องจากนักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ใช้กล้องเพื่อการบันทึกภาพ
และอัดขยายเป็นภาพถ่ายมากกว่าการใช้กล้องเพื่อดูด้วยสายตา
และในจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้ ประกอบด้วยดาวนับล้านๆ ดวง ในจำนวนดาวที่มากมายนี้
มีดาวคู่อยู่หลายแห่ง ด้วยระยะทางที่ไกลมหาศาลและขนาดของดาวที่เล็กมาก
ทำให้เรามองเห็นดาวเหล่านี้เป็นดาวดวงเดียวกัน
นอกเสียจากกล้องดูดาวที่มีกำลังขยายสูงเท่านั้นจึงจะเห็นดาวดู่เหล่านี้ได้
แต่แม้ว่าจะเห็นเป็นดาวคู่แล้วก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เห็นมันได้ชัดเจนมากน้อยขนาดไหน
สรุปก็คือ กล้องที่มีคุณภาพสูงต้องสามารถเห็นหรือบันทึกภาพดาวคู่ได้อย่างชัดเจน
ก็คือมีกำลังแยกขยายสูงดีมากนั่นเอง
ซึ่งเมื่อเราพูดถึงเลนส์ถ่ายภาพ และพูดถึงคุณภาพของเลนส์ที่ถ่ายทอดออกมาในภาพถ่าย
ท่านคิดว่า ท่านให้ความสำคัญที่จะระบุถึงคุณภาพของเลนส์ที่ตรงไหน ท่านพิจารณาจากอะไร
เป็นคำถามที่ต้องตอบให้ตัวเองได้ ในภาพถ่ายมีความผันแปรมากมายอันเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ทำให้เราผิดพลาด
โดยทั่วไปก็พอจะสรุปได้อย่างย่อๆ ว่า ภาพที่เกิดจากเลนส์ที่มีคุณภาพ
ไม่ใช่ดีเฉพาะบริเวณใดบริเวณหนึ่งของภาพโดยเฉพาะในบริเวณที่อยู่ในช่วงโฟกัสของเลนส์
แต่ต้องสามารถมองเห็นถึงความชัดเจนได้ดีทั้งภาพ บริเวณขอบภาพมีรายละเอียดที่เห็นได้ชัดเจน
ตัวอย่างหนึ่งก็คือ ในภาพถ่ายมีเส้นเล็กๆ อยู่เส้นหนึ่ง เราพอจะบอกได้หรือไม่ว่า
เส้นๆ นั้น คมชัดมากน้อยอย่างไร สังเกตุได้ถึงความบวมของเส้นหรือไม่
ผมเคยทำภาพขาวดำ 2 ภาพ ให้ผู้เข้ารับการอบรมถ่ายภาพพิจารณา และให้ลงความเห็นว่า
ภาพใดคมชัด ระหว่าง A และ B โดยที่ภาพหนึ่ง มีคอนทราสต์ค่อนข้างสูงแต่ความคมชัดต่ำ
อีกภาพหนึ่งมีคอนทราสต์ต่ำแต่ความคมชัดสูง เชื่อไหมครับว่า
ไม่มีผู้เข้ารับการอบคนใดตอบได้ถูกต้องเลยสักคนเดียว
ทั้งนี้เป็นเพราะทุกคนหลงไปพิจารณาในด้านการตัดกัน
ระหว่างขาวกับดำหรือคอนทราสต์ของภาพมากกว่าพิจารณาถึงรายละเอียดที่แท้จริงของลายเส้นที่อยู่ในภาพถ่าย
หากเป็นการดูในภาพใดภาพหนึ่งเพียงภาพเดียวก็คงไม่ว่ากัน
แต่หากมีภาพเปรียบเทียบซึ่งหากพิจารณาให้ดีแล้วก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่า
ภาพใดลายเส้นมีความคมชัดมากกว่ากัน ซึ่งนี่เองอาจเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ว่า
นักถ่ายภาพในยุคผม ปฏิเสธผลการทดสอบเลนส์แบบ Bench mark โดยบอกว่า มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรทำนองนี้
ก็เลยไม่ค่อยมีใครเชื่อถือผลการทดสอบเลนส์ในห้องทดลองกันสักเท่าไหร่เพราะมันค้านสายตานักถ่ายภาพ
แน่นอนละครับว่า การทดสอบคุณภาพของเลนส์ในหลายๆ วิธีการที่ใช้ตั้งแต่ยุคก่อนถึงปัจจุบัน
ต่างก็มีความคลาดเคลื่อน (error) ซึ่งเกิดจากอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบเช่นกัน
แต่ได้มีการกำหนดค่าความผิดพลาดทั้งหลายแหล่นี้ไว้แล้วว่า ยอมให้คลาดเคลื่อนได้ไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์
เพราะแม้แต่การทดสอบในแบบ MTF ก็เช่นเดียวกันครับ
จากตัวอย่างหลายๆ ตัวอย่างที่ผมได้ยกมากล่าวถึงก็พอจะมองเห็นได้ว่า
สมรรถนะของเลนส์หรือคุณภาพของเลนส์นั้น
ยากมากที่คนเราสามารถบอกได้ว่าคุณภาพของเลนส์ตัวนั้นดีมากน้อยขนาดใด
เพราะคนเราโดยเฉพาะคนเอเซียมีนิสัยชอบปรุงแต่ง
ชอบความฉูดฉาด ความสดใส พูดกันง่ายๆ ก็คือ ความเพี้ยนนั่นเอง นี่มิใช่ความผิดนะครับ
แต่ต้องยกให้เป็นศิลปะและวัฒนธรรมของคนเอเซียก็ได้ ซึ่งเราสามารถดูได้จากหลายสิ่งหลายอย่าง
อาทิ จากภาพเขียนสี การแต่งตัวและสีสันของเสื้อผ้า หรือแม้แต่การฟังดนตรี
เรามักชอบเสียงตูมตามกันมากกว่าเสียงดนตรีที่เป็นธรรมชาติที่แท้จริง
คนฟังมักปรับเสียงทางด้านคลื่นความถี่ต่ำและคลื่นความถี่สูงไว้สูงมาก
(เสียงเบสและเสียงแหลม) จนเสียงที่ยกไว้สูงนั้นกลบคลื่นความถี่เสียงช่วงกลางจนฟังแทบไม่ได้ยิน
เป็นต้น เพราะฉะนั้นเครื่องเสียงชั้นดีส่วนใหญ่แทบจะไม่มีปุ่มปรับเสียงเลย
ที่มีไว้ก็เพื่อเอาใจลูกค้าบางกลุ่มเท่านั้นเอง เครื่องเสียงชั้นเยี่ยมราคาว่ากันที่ล้าน
ให้เสียงในระดับที่สมจริงอย่างที่นักเลงเครื่องเสียงเรียกว่า แฟลท (flat)
นักฟังหลายคนบอกว่า เสียงมันเรียบเกินไป
ในวงการถ่ายภาพโดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา
เลนส์และฟิล์มถ่ายภาพที่ผลิตในกลุ่มประเทศเหล่านี้
ให้ฮาร์มโมนี่ โทนสีและคอนทราสต์ซึ่งเป็นที่ชื่นชมแก่คนถ่ายภาพเหล่านั้น
อย่างฟิล์มถ่ายภาพให้โทนสีผิวของคนได้อย่างถูกต้องและใกล้เคียง
อันที่จริงก็คงใช่แต่มันเหมาะกับสีผิวของคนคอร์เคเซี่ยนอย่างพวกเขา
ไม่ใช่ผิวเหลืองหรือผิวคล้ำของคนเอเซียก็ได้ ฟิล์มของกลุ่มประเทศยุโรปเน้นสีผิว
แต่ฟิล์มถ่ายภาพอย่างฟูจิของญี่ปุ่น ให้สีสันที่สะใจกับนักเลงกล้องในแถบเอเซีย
ผลก็คือ ฟิล์มยุโรปให้โทนสีในภาพถ่ายดูค่อนข้างเรียบ นุ่ม คอนทราสท์ต่ำ ในขณะที่ฟิล์มญี่ปุ่น
สีสันสะใจ คมชัด คอนทราสต์สูง
เลนส์ถ่ายภาพก็เช่นเดียวกัน เลนส์ Zeiss และ Leitz
ซึ่งเป็นเลนส์ถ่ายภาพที่ถือว่าสุดยอดของนักถ่ายภาพทั่วโลกและแฟนพันธุ์แท้ทั้งหลาย
แต่ก็มีนักถ่ายภาพบางกลุ่มมีความเห็นว่า มันไม่คมขาดเหมือนเลนส์ญี่ปุ่น มันดูนุ่มมากไปหน่อย
เรียกว่าไม่เร้าใจทำนองนั้น
ผมไม่ขอออกความเห็นในเรื่องเหล่านี้ แต่ที่ต้องยกมากล่าวถึง ก็เพราะมันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผมเขียนถึงอยู่
คือ รายละเอียดและความเปรียบต่างของเลนส์ ผลที่ได้จากการทดสอบในห้องทดลองด้วยวิธีการต่างๆ
รวมทั้ง MTF ก็ล้วนแล้วแต่ความสำคัญทั้ง 2 ประการนี้ทั้งสิ้น
ที่น่าคิดมากๆ ก็คือ ทำใมบริษัทผลิตเลนส์ทุกบริษัทต่างก็ต้องทดสอบเลนส์ของตัวเองที่ผลิตออกจำหน่าย
และวิธีการในการทดสอบก็เหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน ผลทดสอบที่ได้เป็น Technical
Data หรือข้อมูลทางเทคนิค ซึ่งบริษัททั้งหลายอาจนำมาเผยแพร่หรืออาจไม่เผยแพร่ก็ได้
หรือเผยแพร่บ้างไม่เผยแพร่บ้าง เป็นตัวๆ ไปก็ได้
เพราะเหตุนี้ทำให้นักถ่ายภาพทั้งหลายก็ได้แต่ใช้ประสบการณ์ส่วนตัว
ในการตรวจสอบคุณภาพของเลนส์ที่ใช้หรือเลนส์อื่นๆ
ด้วยตัวเอง ด้วยผลการทดสอบภาคสนามกันทั้งสิ้น ซึ่งไม่สามารถจะบอกข้อเท็จจริงของเลนส์ได้อย่างจริงจัง
เพราะเป็นการทดสอบทางสายตาและความชำนาญกันจริงๆ
เพราะเราไม่มีข้อมูลผลการทดสอบทางด้านเทคนิคจากบริษัทผลิตเลนส์เลย
จำได้ว่า เมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา ผมได้สั่งซื้อแผ่นชาร์จ
สำหรับการทดสอบเลนส์จากห้างเซ็นทรัลมา
1 ชุด และเริ่มทำการทดสอบคุณภาพของเลนส์ร่วมกับเพื่อนๆ ของผมหลายคน แม้ว่าจะตั้งใจทำกันอย่างดีที่สุด
แต่ก็รู้ว่า ผลการทดสอบที่ได้มานั้น ไม่น่าเกิน 50 % ของความเป็นจริง
เนื่องเพราะเกิดค่าความเพี้ยนในการทดสอบเกือบทุกขั้นตอน
ระยะที่ใช้ทดสอบระหว่างกล้องกับแผ่นชาร์จ เราใช้ระยะมาตราฐานที่นิยมกันคือ
4 เมตร แผ่นชาร์จต้องขนานกันกับระนาบฟิล์ม ฟิล์มใช้ฟิล์มขาวดำและฟิล์มสไลด์สี
แสงใช้ไฟสตูดิโอเพื่อให้เป็นมาตราฐานเดียวกันทุกครั้งที่ทดสอบ หลังจากที่ได้ฟิล์มมาแล้ว
เราตรวจสอบฟิล์มด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่ออ่านรายละเอียดที่ได้ออกมาเป็นค่า
lp/m ทั้งบริเวณขอบภาพและกลางภาพ
แม้ว่าจะพยายามเซ็ททุกอย่างอย่างระมัดระวังแล้วก็ตามแต่ก็รู้ว่า
มีความผิดพลาดเกิดขึ้นในทุกๆ ขั้นตอนในการทดสอบ
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความพยายามของนักถ่ายภาพ
ที่อยากรู้อยากทั้งที่มิใช่นักวิชาการและไม่มีอุปกรณ์ที่มีมาตราฐานเลยสักอย่างเดียว
การทดสอบที่ผมและเพื่อนๆ ได้ช่วยกันทำครั้งนั้น ผมมาทราบในภายหลังเมื่อเวลาผ่านมาร่วม
10 ปีว่ามันเหลวไหลสิ้นดี เอาเพียงแค่ การตั้งค่าที่เรียกว่า Optical axis
คือบริเวณแกนกลางเลนส์จะต้องเป็นแกนเดียวกันกับแกนกลางของแผ่นชาร์จทดสอบ
ค่าความผิดพลาดที่ยอมรับได้ว่ากันที่ จุดทศนิยมของ มิลลิเมตรทีเดียว แล้วที่ผมทดสอบล่ะ
ไม่ทราบว่ามันผิดพลาดไปกี่มิลลิเมตร เพียงอย่างเดียวเท่านี้ก็จบสิ้นไปแล้ว
ในห้องทดสอบเลนส์จะใช้อุปกรณ์ชนิดหนึ่งเรียกว่า Collimator
มีลักษณะคล้ายกล้องซึ่งสามารถปรับให้ลำแสงเป็นเส้นตรง
คอลลิเมเตอร์นี้ก็เป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่ประกอบอยู่ในเครื่องมือที่ใช้ทดสอบแบบ
MTF
การตรวจสอบคุณภาพเลนส์โดยวิธีการ MTF ถูกนำมาใช้มาครั้งแรกเมื่อสงครามโลกครั้งที่
2 แต่ในระยะนั้น อุปกรณ์ที่นำมาใช้ยังค่อนข้างล้าหลัง แต่ในปัจจุบันอุปกรณ์ต่างๆ
ที่นำมาใช้ถูกพัฒนาและผลิตขึ้นใหม่มีความแม่นยำและมีคุณภาพสูงมาก ระบบ MTF
ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แล้วแต่บริษัทแต่ละรายที่จะคิดและพัฒนามันขึ้นมาใช้
ไม่เฉพาะแต่อุปกรณ์เท่านั้น การแสดงผลการทดสอบในรูปของกราฟ ก็มีความแตกต่างออกไปหลายแบบ
แต่ในที่นี้ผมจะขอนำ MTF ของบริษัทแคนนอนที่ทดสอบคุณภาพของเลนส์ของแคนนอนเอง
รวมถึงวิธีการอ่านค่ากราฟ ซึ่งพอจะหาข้อมูลและภาพมาประกอบเรื่องได้ง่ายกว่า
ดังที่ผมได้กล่าวถึงมาแล้วในตอนที่แล้วว่า การทดสอบเลนส์ในระบบ MTF
ก็เหมือนการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องเสียง
โดยการป้อนคลื่นความถี่เสียงผ่านอุปกรณ์ในระบบ MTF แต่
การทดสอบเลนส์จะป้อนคลื่นความถี่ของแสงแทน
และแน่นอนที่ว่าการตรวจคลื่นความถี่แสงของเลนส์นั้น
มีความยุ่งยากและซับซ้อนกว่าการทดสอบคุณภาพของเสียงมาก
เนื่องจากแสงต้องเดินทางผ่านชิ้นเลนส์หลายชิ้นที่ประกอบกันขึ้น
นอกจากการผ่านชิ้นเลนส์หลายชิ้นในตัวเลนส์เองแล้ว
แสงยังเกิดการเบี่ยงเบนและการอ้อมอันเกิดจากการเดินทางผ่านไดอะแฟรมภายในตัวเลนส์อีกด้วย
ซึ่งนอกจากจะทำให้ภาพที่เกิดจากการรวมตัวในจุดใดจุดหนึ่งของแสงเกิดความเพี้ยนในรูปแบบต่างๆ
แล้ว ยังเป็นปัจจัยที่สร้างผลในด้านความเปรียบต่างและรายละเอียดของภาพด้วย
ในทางเทคนิคเรียกผลที่เกิดขึ้นนี้ว่า Spread Function คลื่นความถี่แสงที่ผ่านเลนส์เกิดจากแผ่นทดสอบ
หรือที่เรียกว่าชาร์จซึ่งประกอบด้วยเส้นสีดำและขาวทั้งเส้นขนาดใหญ่จนถึงเล็กมาก
จากผลดังกล่าวทำให้ช่องว่างระหว่างรายละเอียดที่อยู่ชิดกันเข้ามาซ้อนกัน
(Overlap) เป็นผลให้คอนทราสท์ลดลงทั้งในรายละเอียดที่อยู่ชิดกันแต่ยังมีผลไปถึงช่องว่างระหว่างวัตถุอีกด้วย
สัญญาณ sine wave ในระบบตรวจสอบเลนส์จะมีช่องว่างระหว่างสัญญาณที่เท่ากันและมียอดเท่ากัน
เรียกว่า Spatial frequency และหน่วยวัดของ Spatial frequency คือ lines
per/mm
:: อ่านต่อในฉบับ ::
:: กลับไปหน้าหลัก ::
|