นิตยสาร แก้จน |
จารุณี ' มาบอกวิธีแก้จน จาก จับกัง-ดาวค้างฟ้า ' สู่ ไทยธรรม อัลไลแอนซ์ ' ขายตรงมาแรงของคนรักสุขภาพ |
เปลือกนอกที่ผู้คนที่ชื่นชมเธอมองเห็นนั้น แสนสวยงาม นางเอกสาวราชินีนักบู๊ ผู้ครองหัวใจแฟนภาพยนตร์และละครโทรทัศน์นับล้าน เธอดูโดดเด่น คล่องแคล่ว ยิ้มแย้ม และดูมีความสุขตลอดเวลา หลายคนอาจยังไม่รู้ ครั้งหนึ่งเธอเคยทำธุรกิจผิดพลาด มีปัญหาเรื่องเงิน... เป็นหนี้หลายล้าน ต้องขายบ้านราคา 11 ล้านบาท ที่ซื้อมาจากน้ำพักน้ำแรงในการแสดงไปในราคา 6 ล้านบาท ไม่มีบ้านอยู่ โดนเพื่อนหักหลัง ต้องระเห็จตัวเอง ไปนอนที่ปั๊มน้ำมัน สุดท้ายเธอคิดสั้น ฆ่าตัวตาย... ชีวิตเปิ้ลตื่นเต้นตลอด ตอนเด็ก ๆ เราไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก รู้สึกแต่ว่าทำไมไม่ได้อยู่กับแม่ ต้องมาอยู่บ้านใครก็ไม่รู้ เราถูกตีถูกแกล้งหรืออะไรที่ ยิ่งคิดถึงแม่ เราฟังแต่จน ๆ ต้องหางานทำ คำว่า จน ' อยู่ในหัว จนกระทั่งวันหนึ่ง แม่บอกให้เลิกเรียน ไม่มีสตางค์ส่งแล้ว... พอไม่มีเงินเรียน สมัยก่อนเราตัวโต ต้องไปโกหกเขาว่าอายุ 15 ปี และเริ่มทำงานแรกคือแบกปูน เป็นจับกังแบกปูน... ตอนนั้นเราก็ยังคงหางานอยู่เรื่อย ๆ โดยถามจากรุ่นพี่ที่เขาจะมีงานพิเศษ ไปได้งานที่สวนสนุกแฮปปี้แลนด์ เราก็ไป เขาก็ไม่รับหรอก ก็ไปตื๊อเรื่อย ๆ กับเพื่อนที่ไปด้วยกัน จนได้เป็นพนักงานชั่วคราว คือวันไหนคนขาด เราก็ไปแทนเขาตามซุ้มต่าง ๆ รถโกคาร์ท หรือเครื่องเล่นต่าง ๆ เป็นคนเก็บบัตร บางวันก็หมุนไปขายโค้ก สำหรับจารุณีนั้น การทำงานตั้งแต่วัยเด็กไม่ใช่เรื่องที่เธอหนักใจเลย แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกรุนแรงก็คือ ทำเท่าไร ได้มาก็ไม่เคยพอ หนักใจที่สุดคือเงินไม่พอ เรารู้เรื่องความจนมาตั้งแต่เด็ก มันเลยหลอมให้เราต้องช่วยครอบครัว เราฟังแต่เรื่องแบบว่า ค้างค่าร้านของชำ ไปเชื่อเขา ก็ถูกทวง เราอยู่แต่บรรยากาศอย่างนี้ แต่ว่าเด็กมันจะไม่ค่อยทุกข์อะไร สิ่งที่ถูกกระทำมันจะหล่อหลอม จนเป็นธรรมชาติ และแปรเปลี่ยนคนไป ใช่เพียงจารุณีจะเคยทำงานในฐานะลูกจ้างเท่านั้น เมื่อเข้าวงการบันเทิง พอมีชื่อเสียงและเงินทองเก็บบ้าง เธอก็เริ่มมองหาธุรกิจที่จะต่อยอดเงินทองที่ได้มา ธุรกิจแรกที่ทำ เนื่องจากตอนนั้นมีทุนไม่เยอะ ทำคนเดียวไม่ได้ ก็เลยหุ้นกับเพื่อน ทำธุรกิจเกี่ยวกับชุดวิวาห์ เริ่มทำไปสักพัก รู้ตัวอีกทีทุกอย่างก็อยู่ในมือเพื่อนหมดแล้ว ก็มีปัญหากับหุ้นส่วน หาว่าเราไม่ค่อยทำงาน เพราะเรามีละครเข้ามา ก็เลยทำให้ต้องจบกันไป หลังจากนั้นก็มาทำกันเป็นกลุ่มอีกล่ะ ร่วมกับเพื่อนนักแสดง ตอนนั้นมีเพื่อนบางคนทำร้านอาหาร ขายดีเชียว กับข้าวอร่อย พอดีเขาเปิดหุ้นเพิ่ม ก็เลยซื้อหุ้น ก็มันเป็นโอกาสด้วย เพราะเราไม่สามารถจะเปิดเองคนเดียวได้ พอลงหุ้นเสร็จแล้ว เราหุ้นกับเขา เราก็ไปผัดกับเขาด้วย ไปบริการ ผ่านไปสักพัก เขาบอกจะปิดปรับปรุงร้าน ไม่ค่อยบอกรายละเอียดอะไรมากนัก เราก็ทำงานไป ถ่ายละครไป แวะไปที่ร้านเท่าไรก็ไม่เปิดทุกที โทรหาเท่าไรก็ไม่ติด กว่าจะพอรู้เรื่องรู้ราวกัน เขาก็ขายบ้านไปแล้ว ถึงได้รู้ว่าที่มันปิดก็เพื่อขาย (หัวเราะ) สุดท้ายก็ต้องจบลงไปอีกเหมือนเดิม ช่วงหลัง ๆ มีปัญหาเรื่องหนี้ ตั้งแต่ช่วงธุรกิจผิดพลาดก็มีปัญหาเรื่องเงินอยู่ตลอด ทุกอย่างเป็นเงินกู้หมดเลย เป็นคนยืมเงินคนไม่เป็น มันก็ต้องกู้ มีผู้แนะนำให้เอาบ้านเข้า โอ้โห ! มันค่อย ๆ ขึ้นไปจากล้านห้าเป็นห้าล้าน... ตอนนั้นบ้านก็ยังติดจำนองอยู่ เราต้องรับผิดชอบครอบครัวด้วย เงินก็ไม่พอส่ง บ้านจะถูกยึด ช่วงนั้นมันมีโชค เป็นช่วงที่เขานิยมไปปรากฏตัวเมืองนอก แล้วจะได้เงินก้อนมา เรียกว่าไปขุดทอง รุ่นนั้นมันค่อนข้างลำบาก ไปตระเวนทุกเมือง เหนื่อยมาก เป็นหนี้ตั้งแต่อายุ 28 ทำงานประมาณ 14 ปี กว่าจะใช้หนี้หมด พอเจอเรื่องจน ๆ โกง ๆ มามาก ในชีวิตก็มีที่มองในมุมกลับเหมือนกัน ถ้าเราเป็นคนรวย สิ่งเหล่านั้นก็เป็นบทเรียนให้เราเหมือนกันค่ะ แต่มันเป็นแง่ที่เราต้องทำดีและรู้จักเพียงพอกับเขา แล้วคนที่เพียงพอจริง ๆ จะไม่ค่อยมีความคิดที่จะทำตัวไม่ดี เรารู้สึกอย่างนั้น เราต้องมีความวางใจในมนุษย์ด้วยกัน แม้มันจะมีเผ่าพันธุ์พิเศษเกิดขึ้น ตรงนั้นเราก็ต้องยอมรับได้ เริ่มต้นธุรกิจใหม่อีกครั้ง และในครั้งนี้เอง ที่เหมือนกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของจารุณี เมื่อเธอได้รู้จักกับ ยุ้ย-อารยา สาริกะภูติ ยุ้ยเคยเป็น M.D. รับจ้างให้กับหลายบริษัท ทำมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งสุดท้ายได้มาตั้งบริษัทกับคนกลุ่มหนึ่ง แล้วก็มีโปรดักต์อยู่ตัวหนึ่ง ชื่อ สมอไทย ' ยุ้ยชอบมันมาก ๆ แต่ไม่อยากขาย ไม่อยากให้มันอยู่ในมือใคร ก็เลยเก็บเอาไว้คนเดียว จนกระทั่งวันหนึ่ง ยุ้ยหลังหัก เป็นเหตุให้ต้องนอนอยู่กับที่ประมาณ 2 ปี ยุ้ยนอนอยู่บนเตียง ยุ้ยนึกไปนึกมา รู้สึกอยากได้พี่เปิ้ลมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของ สมอไทย ' เลยให้หุ้นส่วนคนหนึ่งซึ่งทำงานในวงการโทรทัศน์ติดต่อพี่เปิ้ล พอลองคุยกันแล้วพี่เขาโอเค ก่อนหน้านี้ประมาณ 4 ปี เคยเอาไปเทสต์กับคนอื่น น้ำหนักลดลงหมดเลย แต่ความที่เราชอบมาก เลยเก็บไว้เอง จนให้พี่เปิ้ลไปลองเดือนหนึ่ง น้ำหนักลดไป 4-5 กิโลฯ พอเห็นผลก็เริ่มคุยกันใหม่ว่าจะเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ไหม เป็นหนึ่งปี ต้องออกต่างจังหวัด ต้องไปงานสัมมนา คนดูจะได้เห็นว่าเขาทานแล้วได้ผล :: อ่านต่อในฉบับ :: |