สุขเป็น ก็เป็นสุข
มีญาติมิตรไถ่ถามกันเข้ามามากว่า ..ภาวะเศรษฐกิจ "ขาลง"นับจากนี้เป็นต้นไป
ผมและทีมงานนิตยสารLove+Share จะเอาตัวรอดกันได้อย่างไรหนอ
ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงดีครับ การที่หนังสือฉบับนี้ออกล่าช้าไปกว่ากำหนด
ก็คงสะท้อนความจริงให้เห็นบางส่วนแล้ว
เพราะเรามีทุนน้อยก็คงต้องดิ้นกันไป ออกช้าบ้าง หรือลดหน้ากระดาษลงนิดหน่อย
(ถือเป็นคำแถลงขอโทษตรงนี้แล้วกันนะครับ) ก็คงต้องปรับตัวไป
ส่วนคำแนะนำของหลายท่านที่จะให้ปิดหนังสือลงทันทีนั้น
ผมต้องขอบคุณที่ห่วงใย แต่ขอโทษที่คงทำไม่ได้ อย่างน้อยก็จะขอลองสู้กันสักตั้ง
สถานการณ์ของเราตอนนี้ ยอดจำหน่ายที่แผงใช้ได้นะครับ ยอดสมัครสมาชิกก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่ยอดโฆษณา เอ่อ น้อยมากครับ ซึ่งก็กระทบกับเราแน่นอน เพราะต้นทุนการผลิตของเรา
(ค่าพิมพ์+ค่ากระดาษ+ค่าฝากขาย+ค่าผลิต+ค่าบุคลากร+ค่าสำนักงาน+จิปาถะ)
รวมแล้วสูงกว่าราคาที่เราตั้งไว้ฉบับละ 60 บาทตั้งเยอะ หากไม่มีรายได้โฆษณา
(มาชดเชยส่วนทุนและคาดหวังเป็นกำไร)
ตามหลักการของธุรกิจนิตยสารทั่วไปเราก็คงอยู่ยากครับ
แม้จะมั่นใจว่าแนวคิด เนื้อหา และคุณภาพของเราพอไปได้ก็ตาม
สิ่งที่เราคงทำได้ในตอนนี้ก็คือ
1.เมื่อยอดจำหน่ายที่แผงไปได้ ก็เพิ่มยอดพิมพ์ เพื่อขยายฐานผู้อ่าน
2. ลดค่าใช้จ่ายลงในทุกๆด้าน
3.เปิดรับน้ำใจทางการเงินจากญาติมิตรและท่านที่รักนิตยสารเล่มนี้
และอยากจะเห็นมันอยู่ต่อไปได้อีกนานๆ
4. ผนึกกำลังกับพันธมิตรที่มีทุน ซึ่งก็พอมีสัญญานดีๆนะครับ ตอนนี้เราก็กำลังคุยกับบางองค์กรอยู่บ้าง
แต่ผมก็ไม่คาดหวังมาก เพราะหนึ่งปีมานี้ผมคุยกับคนตัวใหญ่ที่มีกำลังและมีเงินมาเป็นร้อยราย
สุดท้ายก็..บัวแล้งน้ำ ผมไม่คิดว่า ปัญหาอยู่ที่ไม่มีเงิน หรือน้ำมันแพงอะไร
หรอก แต่อยู่ที่เขาไม่สนใจส่งเสริมโครงการลักษณะนี้มากกว่า เพราะคุณลงทุนธุรกิจหนังสือประเภท
"ฟุ่มเฟือย - เริงรมย์ - ตัวย่อ- ขอแฉ" กันได้เล่มหนึ่งสิบล้านยี่สิบล้านถึงห้าสิบล้าน
แต่พอเราขอคุยเรื่องเงินไม่กี่ตังค์ทำหนังสือบำรุงสุขภาพใจ อาหารใจ
และสร้างสรรค์สังคม คุณกลับร้องเสียงหลงว่า "ไม่มีตังค์"
เฮ้อ
รวมทั้งเราได้จัดกิจกรรมต่างๆขึ้นเพื่อส่งเสริมการเขียนการการอ่านและกระตุ้นชื่อหนังสือ
เช่น การจัดประกวดงานเขียน Love+Share Award รวมทั้งจัด Love+Share
Trip ครั้งที่ 1 ตอน " ภูเขา เสียงฝน และดนตรี " รายละเอียดติดตามอ่านภายในเล่มได้เลยครับ
ที่ผมเขียนไปข้างต้น ดูเหมือนว่าจะเข้าข่าย "คนขี้บ่น"
เล็กน้อย ซึ่งหลุดคอนเซปท์คนทำหนังสือรุ่นใหม่ที่จำเป็นจะต้อง
"มองโลกในแง่บวก" กันสุดฤทธิ์ แต่ผมคิดว่าผมมีสิทธิ์เล่า
"ความจริง"ให้คุณผู้อ่านที่ผมรักได้ฟังอย่างตรงไปตรงมาไม่ต้องสร้างภาพ
เมื่อคุณควักเงินซื้อหนังสือคุณก็ควรจะได้รับรู้ความเป็นมาเป็นไปของเราได้
บางเรื่องบางมุมเรามองโลกในแง่จริงบ้างก็ดีนะครับ และกรุณาอย่านำผมไปรวมกับพวก
"มองโลกในแง่ร้าย" ผมไม่ยอมเด็ดขาด ที่ยืนหยัดทำงานอยู่ตรงนี้
ก็เพราะยังเชื่อมั่นว่า โลกนี้และผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังงดงาม อ่านดูในเล่มซิครับ
นิตยสารของเรา "ชุมนุมเจ้ายุทธจักร-นักเล่าเรื่อง"
ที่คัดสรรมาแต่เรื่องเล่าที่งดงามและมีประโยชน์
กันทั้งเล่มเลย อ่านแล้วชื่นหัวใจชะมัด
เศรษฐกิจเริ่มดิ่งเหว การเมืองก็ลวงหลอก เหลือแต่พลังทางด้านสังคม
และวัฒนธรรมนี่แหละเป็นทุนสำคัญให้พอหวังได้อยู่
อย่าเพิ่งท้อแท้และหมดหวังกับอุปสรรคชีวิตกันนะครับ เอ้า
ผมขอสวมวิญญานนักเล่าเรื่องกับเขาด้วยคน
มีเรื่องมาฝากแถมท้ายให้
...กรกฏาคม 2548 - ณ เมืองพิตส์เบิร์ก สหรัฐอเมริกา คุณโธมัส เอ.ดอสเวลล์
ต้องติดคุกจากข้อหาข่มขืนอยู่ฟรีๆนานถึง 19 ปี
แต่แล้วหลังจากที่ผลการไต่สวนอันยาวนานโดยมีเครื่องมือสำคัญคือ
กระบวนการตรวจสอบดีเอ็นเอได้แสดงผลออกมาปรากฏว่า เขากลายเป็นผู้บริสุทธิ์
ศาลจึงสั่งปล่อยตัว
อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวระบุว่า ตัวคุณดอสเวลล์ผู้โชคร้ายเองซึ่งถูกจำคุกฟรีถึง
19 ปีนั้นกลับไม่รู้สึกโกรธแค้นเจ้าทุกข์และเจ้าหน้าทีที่ทำงานผิดพลาดไปแต่อย่างใด
เขาได้แปลงความเศร้าหมองคับแค้น ที่ได้รับจากเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปในทางสร้างสรรค์
โดยตลอดระยะเวลาที่อยู่ในคุกนั้น เขาได้อุตสาหะเรียนหนังสือต่อจนจบระดับปริญญาตรี
นอกจากนั้นยังเรียนภาษาสเปน และเรียนรู้การเล่นดนตรีได้ถึง 7 ชนิด
เช่น ทรัมเป็ต แซกโซโฟน กีตาร์ ฟลุต และกลอง เป็นต้น ทั้งหมดนี้ทำในคุกนะครับ
เห็นไหมล่ะครับ มีปัญหาอะไรเราก็ต้องก้าวผ่านไปได้ซิครับ เมื่อเรา
"สุขเป็น - ก็เป็นสุข" เสมอ
ธนาคม พจนาพิทักษ์
otanacom @ yahoo.com