ภาพยนตร์บันเทิง |
'พิศาล อัครเศรณี' ต้นแบบพระเอกตบจูบ |
|
ถ้าจะพูดถึงละครในยุคนี้ที่ได้รับความนิยม คงหนีไม่พ้นละครแนวตบจูบ แม้ใครจะบอกว่าเป็นละครน้ำเน่าน่าเบื่อ แต่คนก็ยังชอบดูกันใช่ไหม เรียกว่าดูไปก็บ่นไป แต่ถ้าเราจะย้อนไปถึงต้นตำรับคนที่ริเริ่มทำละครแนวตบจูบ คือ พิศาล อัครเศรณี หรือที่คนในวงการมักเรียกกันว่า อาเปี๊ยก ซึ่งไม่ได้เป็นความบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของอาเปี๊ยกที่ต้องการทำหนังทำละครแนวตบจูบในนาม บริษัท อัครพล โปรดักชั่น จำกัด ทั้งในฐานะผู้กำกับฯ และแสดงเป็นพระเอกเองเพื่อฉีกแนวและสร้างคาแรกเตอร์ความเป็นพระเอกของตัวเองให้แจ้งเกิด แม้จะโดนแอนตี้อย่างหนักทั้งจากคนดูและองค์กรต่างๆ แต่ก็ประสบความสำเร็จจนได้รับฉายาเป็นผู้กำกับฯ ซาดิสม์และพระเอกตบ จูบ ด้วยผลงาน อาทิ "ไฟรักอสูร", "มนต์รักอสูร", "อุ้งมือมาร", "พายุอารมณ์", "พิศวาสซาตาน", "รักประกาศิต" ฯลฯ พอมายุคนี้แม้ละครไทยจะมีพระเอกหลายคนที่หันมาเล่นละครแนวนี้ แล้วถูกวิพากย์วิจารณ์ถูกเรียกขานว่าเป็น พระเอกซาดิสม์-พระเอกตบจูบ แต่ยังไงอาเปี๊ยกก็ยังครองความเป็นอมตะกับฉายาเจ้าพ่อพระเอกซาดิสม์พระเอกตบจูบมาถึงวันนี้ อาจเป็นเพราะการแสดงที่เล่นได้ถึงอารมณ์ ทั้งการจูบจริงตบจริง ผิดกับสมัยนี้ที่บางทีมีการใช้มุมกล้องแทนซึ่งดูไม่สมจริง แถมยังมีการตั้งกฎเกณฑ์อีกมากมายจนทำให้หลายคนพูดกันว่าละครไทยไม่พัฒนา ในช่วงที่อาเปี๊ยกกำลังมีชื่อเสียงกับการทำหนัง ก็เกิดมีปัญหาจนทำให้ต้องหยุดการทำหนังแล้วหันมาทำละคร แต่ดันมีปัญหาอีกทำให้ต้องหยุดงานละคร อาเปี๊ยกก็เลยไปเรียนหนังสือจนจบ และมีโอกาสได้กลับมาทำละครต่อในเรื่อง "สุดแดนหัวใจ" ต่อเนื่องมาถึงเรื่อง "หัวใจอสูร" เพื่อเป็นการปูทางให้กับลูกชาย ก่อนที่อาเปี๊ยกจะวางมือจากงานตรงนี้อย่างถาวร... "จริงๆ แล้วเป็นความตั้งใจของอาเลยที่อยากทำหนังทำละครแนวนี้ เพราะตอนที่อาขึ้นมาเป็นพระเอก ในตอนนั้นมีพระเอกคนอื่นๆ อย่าง มิตร ชัยบัญชา, สมบัติ เมทะนี, ไชยา สุริยัน ซึ่งเขาเป็นพระเอกที่สมบูรณ์แบบกันหมด หล่อและหุ่นดี แล้วอาจะไปอะไรกับเขาได้ เพราะอาเตี้ยก็เตี้ย ดำก็ดำ บางทียังอ้วนอีก ก็เลยลองคิดฉีกแนวเพื่อให้เราเกิดขึ้นมาให้ได้ ในขณะที่พระเอกคนอื่นเขาจีบนางเอกกันแบบอ่อนหวาน ของเราก็ตบนางเอกจูบนางเอกเลยดีกว่า ในขณะที่งานของเราออกไปเรารู้เลยว่ามีคนดูเรา ก็เลยโอเค.เขาให้เราอย่างนี้เขาดูเราอย่างนี้พร้อมกับให้ฉายา แสดงว่างานของเราเข้าสู่ความรู้สึกของเขาก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรายืนอยู่บนโลกบันเทิงตรงนี้ได้ แต่ก็มีโดนแอนตี้บ้าง เพราะหลังจากเราแจ้งเกิดจากพระเอกซาดิสม์ในหนังเรื่อง "ไฟรักอสูร" เราก็ทำซาดิสม์มาตลอดตบจูบอย่างเดียว จนอาได้รับคำวิพากย์วิจารณ์ว่า "พิศาลรุนแรง แล้วชีวิตของเขาจะอยู่ยังไง" คือเขาไปฝังใจเลยไง และส่วนมากเขาจะมองเราด้านลบหมดเลย ซึ่งเราก็รู้สึกนะ แต่พอดีมันเป็นด้านลบที่ขายได้ อย่างตอนทำ "พิศวาสซาตาน" ก็ไปนั่งทะเลาะกับกรรมการสภาสตรีแห่งชาติ เขาว่าทำไมพิศาลทำหนังแบบนี้ทำไมต้องโหดร้ายแบบนี้ เราก็บอกไปว่าคนที่เล่นเป็นตัวแสดงคนนั้นไม่ใช่พิศาล แต่เป็นนักโทษหนีคุก ก็เถียงกันไปจนสุดท้ายทะเลาะกัน เพราะคนเราแบ่งความรู้สึกไม่ออก ผิดกับสมัยนี้คนดูเขาเจริญขึ้นมาก เขาสามารถแบ่งแยกได้ สมัยก่อนตอนที่อาทำหนังทำละครก็มีทั้งจูบจริงบ้างไม่จริงบ้าง คืออันไหนถ้ามันดูไม่ต้องจริงเราก็ไม่จริง แต่อันไหนดูต้องจริงเราก็จริง แต่เราก็ต้องพูดกับนางเอกเขาก่อน อย่าง "จิ๊ก" เนาวรัตน์ ยุกตะนันทน์ เราก็บอกก่อนว่าจูบจริงนะ เพราะในแง่การสื่อของอารมณ์มันจะถึงกัน จูบจริงได้อารมณ์มากกว่า ทำอารมณ์คล้อยตามได้มากกว่า เพราะหนังของอาจะขายอารมณ์ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าเขาไม่ยอมก็โอเค.ไม่ว่าอะไรแต่ที่ผ่านมาไม่เคยไม่มีใครไม่ยอมก็ยอมหมด เพราะเราจะมีการคุยกันก่อน และเราก็มีลิมิตไม่ได้เลยเถิดเกินไปจนตัดออกอากาศไม่ได้ ทุกอย่างที่ทำต้องออกอากาศได้ถ้าไม่ได้แสดงว่าเราเจตนาไม่ดี อย่าง "กุ๊ก" นาถยา แดงบุหงา สมัยก่อนเล่นด้วยกันจูบจริงหมดเลย อาว่า หากทุกคนมีจิตวิญญาณของความเป็นนักแสดงนะจะจูบจริงหรือจูบปลอมมีค่าเท่ากัน ส่วนการตบก็มีทั้งตบจริงและตบปลอม ถ้าใครรับได้เราก็ตบจริง แต่ถ้าใครรับไม่ได้ก็ตบปลอม กับ "ตุ๋ย" มนฤดี ยมาภัย เราก็ตบจริงด้วยกันทั้งคู่ แต่สมัยนี้ไม่ค่อยมีการจูบจริงถ้าเป็นละครนะ อาจจะเป็นที่ตัวนางเอก หรืออยู่ที่ผู้ใหญ่ อยู่ที่ทาง กบว. ด้วยว่าทำอะไรออกมาจะต้องโอเค. เหมือนมีกฎระเบียบแบบแผนจูบปลอมเด็กดูได้ จูบจริงเด็กดูไม่ได้ ก็เลยต้องมีการใช้มุมกล้อง คือบางอย่างเราก็ทำถ้าทำได้ มันอยู่ที่เรื่องมากกว่า ถ้าเรื่องนี้เน้นถึงกามารมณ์ของผู้ชายคนนี้ว่าเป็นคนที่ต้องการทางด้านนี้เหลือเกิน ก็ต้องเห็นการกระทำหลายรูปแบบ แต่ถ้าเป็นพระเอกธรรมดาก็เป็นการจูบน่ารักไม่มีปัญหา มันอยู่ที่เรื่อง อยู่ที่น้ำหนัก อยู่ที่จุดประสงค์ของผู้กำกับฯ แต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นหนังส่วนใหญ่จะจูบจริง เพราะหนังรุนแรงแค่ไหนก็ได้เนื่องจากเพดานมันมีสูง แต่ทีวีไปได้แค่นี้เอง ถ้าจะมาบอกว่าในทีวีจูบจริงเด็กดูไม่ได้ ไม่จริงหรอกเด็กสมัยนี้รู้ดีกว่าผู้ใหญ่ด้วยซ้ำไป เด็กอายุ 10 กว่าขวบ มีหนังโป๊ติดกระเป๋าแล้ว เราเองต่างหากที่ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาว่าไอ้นี่ไม่ได้ไอ้นั่นไม่ได้ แต่ลูกของคุณมีหนังโป๊เต็มกระเป๋าไปหมด คือเมืองไทยเป็นอะไรที่ชอบโกหกและหลอกตัวเองหน้าอย่างลับหลังทำอีกอย่าง อาไม่ได้บอกว่านี่คือสิ่งดีหรือไม่ดี แต่ถ้าเราสอนความเป็นจริงเอาศีลธรรมมาสอนควบคู่กันไปเขาก็จะแบ่งแยกได้ว่า ทำแบบนี้ไม่ดีนะ ทำแบบนี้ไม่ได้นะแต่ถ้าเรายิ่งปิดกั้นเหมือนยิ่งยุ ฉะนั้นความจริงจังของหนังจึงมีมากกว่าละครเยอะ คนเลยมองว่าละครไทยไม่พัฒนาไปไหน เพราะทำอะไรค่อนข้างลำบาก แต่ถ้าเราปล่อยให้เขาทำโดยไม่เกี่ยวกับ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ปล่อยเขาทำไปเถอะ อยากทำอะไรก็ทำไป เพราะจิตวิญญาณของคนที่ทำเขาก็จะต้องมีเหมือนกัน ทำหนังทำละครออกมาลามกก็อายเขานะ ถ้าเป็นผู้กำกับฯ ที่การันตีมีความรับผิดชอบควรปล่อยเขาเลย แต่ผู้กำกับฯ ที่ไม่ตีตราควรมีกฎเกณฑ์ให้เขา เพราะสังคมยื้อยังไงก็ต้องเดินไปตามครรลองของมัน แล้วตอนนี้โลกไปถึงไหนแต่เรายังอยู่ตรงนี้อยู่เลย จะทำให้เก็บกดทำไม คำว่าพระเอกซาดิสม์ พระเอกตบจูบ ที่อาได้ฉายามา ส่วนหนึ่งก็รู้สึกภูมิใจว่าเราสร้างตรงนี้ขึ้นมาได้และทุกคนให้การยอมรับ เวลามีคนเรียกเราก็ภูมิใจเพราะมันสร้างให้เรามีชื่อ แต่ถามว่าชอบไหมไม่ชอบนะ เพราะมันไม่ใช่ตัวเราแต่มันคือจุดขายของเราต่างหาก และเวลาแสดงเราก็ต้องถอดใจเป็นตรงนี้เป็นตัวซาดิสม์ให้ได้ แต่เวลาอยู่บ้านเราเคยตีลูกสักแปะที่ไหนล่ะ เป็นพ่อที่ใจดีมาก ชีวิตจริงไม่เคยรุนแรงเลยเวลาอยู่กับครอบครัว แต่เวลาเราทำอะไรที่ค้านกับตัวเองแล้วได้รับความสำเร็จก็ต้องเดินต่อไปเท่านั้นเอง แต่พออาทำหนังเรื่องสุดท้ายก็มีความรู้สึกว่าเราเจอกับปัญหาใหญ่ คือเรากับนักข่าวเป็นมิตรกันมีความรู้สึกดีต่อกัน แต่พอเราทำหนังแล้วไปหาก็จะมีนักข่าวบางประเภทที่ต้องใช้เงิน และไม่ได้เงินน้อยๆ ด้วย และเราเริ่มมีปัญหากับโรงภาพยนตร์ สมัยก่อนในอดีตพอเราประกาศจะทำหนังปั๊บโรงจะเอาเงินมาให้เลย เพื่อเอาหนังเราไปเข้าฉาย แต่ตอนหลังโรงเริ่มที่จะแบ่งพรรคแบ่งพวกทำให้หนังเข้าฉายยากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการฉกฉวยของพวกหน้าด้าน เริ่มเอาหนังของเราไปขายเป็นวิดีโอ เพราะตอนนั้นยังไม่มีซีดี อาไปอเมริกาไปเจอหนังเราวางขายเป็นแผงเลย เราก็เอามาได้ยังไง เพราะเราไม่เคยขาย สมัยก่อนจะมีแต่ทีวีซื้อไปเอาไปฉายหรือไม่ก็โรงหนังชั้นสอง คนพวกนี้เลวมากเป็นพวกผีสูบเลือด หน้าด้านมากๆ จนทำให้วงการจะตายทั้งเป็นก็เลยคิดว่าถ้าทำต่อไปเราอาจต้องถึงกับยิงคนแน่ๆ ก็เลิกดีกว่า อย่าทำดีกว่าทำแล้วเจ็บข้างใน อาก็เลยมาทำละครให้กับช่อง 3 ทำมาตลอด จนพี่ชาย (กิตติ อัครเศรณี) ไม่สบายก็เลยไปช่วยงานมากำกับละครช่อง 5 เรื่อง "พันท้ายนรสิงห์" แต่พอทำแล้วปัญหาเกิดขึ้นเลยไปเรียนหนังสือ ด้านกฎหมายอยู่ 3 ปี จนจบ ก็กลับมาทำงานกำกับละครให้ช่อง 3 เรื่อง "สุดแดนหัวใจ" ฟีดแบ็กก็ถือว่าโอเค.ไม่ขี้เหร่ แม้ตอนนี้วงการละครจะเปลี่ยนไปเยอะ หมายถึงละครใกล้จะทำเหมือนหนังแล้ว ในเรื่องความฉับไว เรื่องของการลงทุน ในขณะที่การแข่งขันก็สูงมาก ทุกช่องแข่งกันหมด แม้แต่ช่องเดียวกันก็ต้องแข่งกัน แต่ก็เป็นการดีนะ เพราะการทำงานที่มีคู่แข่งจะทำให้เราขยันทุกอย่างและทำงานให้ออกมาดี อย่างตอนนี้ละครเรื่องใหม่ของอาที่เพิ่งเปิดกล้องไปคือ "ไฟรักอสูร" และที่อากลับมาทำงานต่อเพราะต้องการปูพื้นฐานนำทางให้ลูกชาย (อัครพล อัครเศรณี) ที่จะต้องรับช่วงงานการทำละครต่อจากอา คือ ตอนนี้มีคนเยอะแยะที่จะมาทำงานด้านนี้ แต่งานของผู้กำกับฯ ของเมืองไทยต้องทำได้หมดเลย ต้องทำได้ทุกอย่างรู้ทุกอย่างในกองถ่ายถึงจะไปรอด ถ้าเรารู้ทุกอย่างเราสามารถที่จะกำหนดได้เลยว่าเรื่องนี้เราจะได้เท่าไหร่ เราใช้จ่ายไปเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่รู้อะไรเลยเราจะประสบกับปัญหาขาดทุน ซึ่งลูกชายอามีนิสัยไม่อยากได้ใคร่มี เขาเป็นคนไม่ทะเยอทะยาน เป็นคนใจดีได้เงินมาเท่าไหร่เลี้ยงคนหมด ความไม่ทะเยอทะยานของเขาคือความหนักใจของเราในการสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมามันก็ต้องมีความมานะ ไม่อย่างนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ แล้วเวลาทำงานเขาเลยไม่คำนึงถึงกำไรหรือขาดทุน เมื่อไม่คำนึงก็ต้องขาดทุน เราเลยต้องเป็นต้นแบบให้เขาดู อากะว่าจะเป็นตัวอย่างให้เขาเดินตามรอยเราภายในสองปีเราก็คงจะวางมือจากงานตรงนี้ได้ เพราะมันเหนื่อยไง แล้วตอนนี้ลูกๆ ก็เรียนจบทำงานหมดแล้ว อาก็คิดว่าเราควรจะวางมือได้แล้ว อาอยู่วงการนี้มา 30 กว่าปีแล้ว ก็มีทั้งร้อนและหนาวนะ แต่เราก็ประคองตัวเรามาได้ และถึงเราจะไม่ได้ทำงานด้านนี้แล้วก็คงมีอย่างอื่นให้ทำ เราอาจจะไปเป็นนักเขียนแก่ๆ ก็ได้ เพราะชอบเขียนหนังสือ อย่างบทหนังบทละครก็เขียนเองหมด ก็คงมีสักวันที่เราจะได้เขียนหนังสือแน่นอน" |