ภาพยนตร์บันเทิง

Guest Talk

 
จุดยืนในงานเขียนที่ไม่เคยเปลี่ยนของ 'กนกวลี พจนปกรณ์'


กว่า 30 ปี ชื่อของนักเขียนคุณภาพอย่าง กนกวลี พจนปกรณ์ ย่อมเป็นที่รู้จักกันดีในวงการน้ำหมึกบ้านเรา ด้วยการสร้างสรรค์ผลงานกว่า 100 เรื่อง ทั้งเรื่องสั้น วรรณกรรม สารคดี และนวนิยาย

กนกวลี เริ่มต้นงานเขียนจากการอ่านในวัยเด็ก จนกลายเป็นแรงผลักดันทำให้เธอเดินเข้าสู่แวดวงน้ำหมึก เริ่มจากเรื่องสั้น "ทางไปสู่ดวงดาว" จากนั้นก็มาเขียนวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง "เมฆสีเงิน" ตามมาด้วยนวนิยายเรื่อง "ลูกสาวนายพล", "สายใยรัก", "ตะวันสีทอง", "ร้อยรักพันชั่ง" "เส้นสีขาว", "ไม้เปลี่ยนดิน" งานเขียนของกนกวลีส่วนใหญ่จะสะท้อนปัญหาสังคมในทุกรูปแบบ ก็เลยไม่ค่อยเป็นที่โดนใจ ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดละครในบ้านเรา จึงถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์เพียงไม่กี่เรื่อง คือ "ไฟต่างสี", "ตกกระไดหัวใจพลอยโจน", "คนละวัยหัวใจเดียวกัน", "ซอย 3 สยามสแควร์", "ดอกฟ้ากับเทวดาเดินดิน", "อภิมหึมามหาเศรษฐี", "กาษา นาคา", "พ่อตัวจริงของแท้", "ผ้าขี้ริ้วห่อดิน"

แต่ถ้าพูดถึงคุณค่าในงานเขียน เธอเป็นนักเขียนที่กวาดรางวัลมาแล้วมากมาย ทั้งรางวัลชมเชยและหนังสือดีเด่น จากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ อาทิ "เมฆสีเงิน", "ซอย 3 สยามสแควร์", "จะเก็บรักไว้มิให้หลุดลอย", "กาษา นาคา", "ยิ่งฟ้ามหานที"

จนถึงวันนี้บนเส้นทางนักเขียนที่ยาวนานมากว่า 30 ปี กนกวลี ก็ยังคงยึดมั่นและอยู่บนจุดยืนของการทำงานที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหรือท้อถอย

"จริงๆ พี่เขียนนิยายไม่ได้มีเป้าประสงค์หรือความมุ่งหมายจะให้เป็นละคร อันนี้คือความจริง เหมือนกับที่พี่ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนนิยายเพื่อกวาดรางวัล แต่พอทำมาแล้วเรามีความภูมิใจที่เขาเห็นคุณค่า แสดงว่างานของเรามีคุณค่าอยู่ ไม่ใช่อ่านแล้วก็จบไป และยิ่งช่วงหลังเขียนหนังสือยิ่งมองเห็นปัญหาของสังคม เราเลยอยากสะท้อนอยากดึงภาพหรือมีอะไรอยู่ข้างใน เราอยากจะเชิดชูผู้หญิงอยากจะอะไร

ซึ่งบางทีอาจจะสวนทางกับละครก็ได้ เพราะฉะนั้นเราก็จะไม่มีความรู้สึกว่าฉันจะเขียนเพื่อให้เป็นละคร ฉันเขียนเพราะฉันอยากเขียนอย่างนี้ ฉันนำเสนออย่างนี้ ถ้าใครชอบจะเอาไปเป็นละครก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าไม่ชอบไม่เอาไปทำละครก็ไม่เป็นไร แต่ฉันจะไม่เขียนนิยายตามใจใคร จะเขียนตามใจตัวเอง แต่ในการเขียนตามใจตัวเองก็ต้องนึกถึงคนอื่นเสมอ
ซึ่งตรงนี้เราเข้าใจ เนื่องจากว่าละครมีเรื่องของธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ แต่เราเขียนหนังสือเราไม่มีธุรกิจ เราเขียนเพราะอยากเขียน อย่างพี่จะสะท้อนเรื่องราวของการถูกทำร้ายจากคนในครอบครัวในเรื่อง "หลังเงา"  ที่เพิ่งเขียนจบไป ไม่ใช่ละครแนวตบจูบ แต่มันเป็นปัญหาสังคม มันสะท้อน มันมีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งพอเราไปบอกใครว่าพล็อตเรื่องของเราเป็นอย่างนี้ละครคงไม่ทำ เพราะมันไม่ใช่ตบจูบนี่"

อะไรเป็นแรงบันดาลใจทำให้อยากถ่ายทอดนิยายแนวสะท้อนสังคม
"พี่จะสะท้อนปัญหาของครอบครัวเพราะว่าอาจจะเป็นเพราะพี่เรียนสังคมมาก็เลยมีความรู้สึกว่า สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่เล็กที่สุดในหน่วยของสังคม แต่เป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดที่จะหล่อหลอมให้คนเป็นยังไงต่อไป คนจะดีจะเลวอยู่ตรงพื้นฐานตรงนี้ แล้วพี่เป็นผู้หญิงด้วยซึ่งเราเคยเป็นลูกมาก่อน แล้วมาเป็นภรรยาและเป็นแม่ด้วย เพราะฉะนั้นตรงนี้เราก็จะเห็นความสำคัญ เมื่อนั้นอะไรที่มันจะถ่ายทอดหรือบอกเล่าเรื่องราวของความผูกพันสายใยรักระหว่างคนในครอบครัวพี่จะทำ อันนี้เป็นความตั้งใจตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว"

ปัญหาสังคมในบ้านเราก็มีเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่จะสะท้อนออกมาในงานเขียน ไม่ค่อยสะท้อนออกมาในรูปแบบของละครหรือภาพยนตร์
"ถึงจะสะท้อนออกมาทางงานเขียนแต่จะสะท้อนยังไง และสะท้อนออกมาแล้วผู้อ่านได้อะไรจากงานเขียนบ้าง ไม่ใช่เล่าแล้วก็ผ่านไปหรือสนุกอย่างเดียว หรือแฮปปี้เอนดิ้ง ผลสุดท้ายตบแล้วก็จูบลากไปข่มขืนตรงไหนหรือไปอะไรยังไงก็ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น

อย่างเรื่อง "ยิ่งฟ้ามหานที" อันนี้ก็สะท้อนให้เห็นภาพของผู้หญิงในสังคมปัจจุบันที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับการทำมาหาเลี้ยงชีพตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันมีแม่ที่ป่วยหนักอยู่กับบ้าน โอ้โห...มันเป็นเรื่องใหญ่เลยนะที่เราจะจัดสรรปันส่วนจัดการกับชีวิตยังไง แม่ใครใครก็รัก ลูกก็รักแม่ แม่ก็รักลูก แต่บางทีการกระทบกระทั่งทางอารมณ์มันมี เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะสะท้อนและถ่ายภาพความเป็นมนุษย์ออกมาชัดเจนเลย
แต่พอผู้จัดละครรู้ว่าเรื่องย่อแบบนี้จะบอกว่ามันไม่สนุก มันเศร้าและหดหู่ที่มีผู้ป่วยอยู่ข้างหลังแบบนี้ แต่เรามานึกว่าถ้าคุณจะทำอะไรที่แบบให้เห็นว่าชีวิตจริงไม่ใช่สิ่งเพ้อฝันนะ แต่มันคือความจริงที่เราเห็นอยู่นะ บางครั้งเราดูละครเกาหลี เขาก็ทำดีนะ เขาสะท้อนปัญหาครอบครัวในแบบสมัยใหม่ ทำไมเขาถึงทำได้แต่ของไทยเราก็ยังอยู่อย่างนั้น ซึ่งเขาคงมีเหตุผลของเขามั้ง และเหตุผลของเขาเท่าที่เราได้ฟังมาเป็นเรื่องของธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง"

มีไหมที่นักเขียนบางคนยอมเปลี่ยนแนวการเขียนเพื่อตอบรับกระแสตลาด
"ประเด็นนี้ช่วงหลัง เวลาที่พี่ไปถ่ายทอดประสบการณ์งานเขียนของตัวเองให้เยาวชนรุ่นหลัง และพี่เป็นกรรมการสมาคมนักเขียนด้วย ซึ่งกิจกรรมของสมาคมนักเขียนส่วนหนึ่งคือการไปให้ความรู้เรื่องการเขียน ก็จะเจอเหมือนกันที่เด็กหรือคนที่อยากจะเขียนหนังสือจะมาด้วยความรู้สึกแบบนี้คือ อยากดัง อยากเขียนเป็นละคร อยากเขียนแล้วได้เงินเยอะๆ ในฐานะที่พี่ผ่านประสบการณ์ตรงนี้มา 30 ปีแล้ว พี่ก็จะตั้งคำถามย้อนถามเขากลับไปว่า คุณต้องการเป็นนักเขียนเพื่ออะไร เพื่อที่จะดังหรือ

คือการเขียนหนังสือในทรรศนะของพี่ที่เป็นนักเขียนอาชีพ ที่อยู่ตรงนี้มาและคงจะอยู่ตลอดไปอีกนานจนกว่าคนจะไม่อ่านและไม่ยอมรับ เพราะฉะนั้นคุณภาพของเราต้องมี เราต้องให้อะไรกับสังคม ไม่ใช่ว่าเขียนๆ ไปเพื่อให้ได้พิมพ์ พิมพ์แล้วกระแสเขาเห่ออะไร เขาเห่อเกาหลีเราก็เขียนๆ แล้วก็จบไป ทีนี้เล่มต่อไปล่ะ คุณจะเขียนได้กี่เล่มล่ะ เกิดกระแสเกาหลีหรือญี่ปุ่นจางไป กระแสอื่นมาคุณก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ แล้วจุดยืนของคุณอยู่ตรงไหน

คนอื่นเป็นยังไงพี่ไม่รู้แต่สำหรับตัวพี่จะถามตัวเองอยู่เสมอ การที่เราจะยืนอยู่ตรงที่เราเป็นนักเขียนอาชีพเราต้องมีความมั่นคงและตั้งใจพัฒนางานของเราใช่ได้ตามกระแส เราจะดูว่าเราอยากนำเสนออะไรที่ให้อะไรกับผู้อ่านบ้าง นอกเหนือจากสาระและความบันเทิง"

การจะเขียนนวนิยายสักเรื่องต้องเริ่มจากอะไรเป็นอันดับแรก
"เวลามีแรงบันดาลใจมากระทบจะถามตัวเองก่อนว่าจะนำเสนอเรื่องอะไรและนำเสนอเพื่ออะไร ธีมของเรื่องจะมาก่อน แล้วพล็อตนี้จะไปทางไหน เราก็ค่อยๆ คิดพล็อต ขณะที่คิดพล็อตเราก็ต้องหาข้อมูลว่าจะใช้ข้อมูลอะไรบ้าง จากนั้นมากลั่นกรองเรื่องอีกที สร้างคาแรกเตอร์ตัวละครแล้วก็เขียน ซึ่งบางทีได้พล็อตได้อะไรไม่ใช่ว่าจะเขียนได้ถ้าข้อมูลไม่พร้อมก็เขียนไม่ได้ ยกตัวอย่าง "กาษา นาคา" พี่ได้พล็อตได้ตัวละครมาก็จริงแต่ 6-7 ปีนะพี่ถึงได้เขียนเพราะข้อมูลไม่ครบ"

ข้อมูลสำคัญที่สุดในงานเขียน
"ข้อมูลสำคัญที่สุดและต้องหาอยู่ตลอดเวลาหยุดไม่ได้ เพราะข้อมูลประกอบไปด้วยคาแรกเตอร์ของตัวละคร อุปนิสัยใจคอของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์แต่ละคนที่เราพบเห็นแตกต่างกันแล้ว เรื่องของฉาก สถานที่ ปมประเด็นปัญหาต่างๆ เพราะฉะนั้นเวลามีอะไรมากระทบใจนิดหน่อย สิ่งที่เราเก็บสะสมไว้ข้างในจะกระจ่างออกมาแล้วมันจะเห็นทันทีจะแล่นออกมาเลย แต่ลักษณะของพี่จะจับประเด็นเล็กๆที่คนมองข้ามไป แต่พอพี่ดึงเอามาแล้ว คนก็จะจริงสิ ตรงนี้สำคัญนะ"

นักเขียนที่ชื่นชม
"ที่ชื่นชมทั้งชีวิตส่วนตัวของเขาและส่วนผลงาน มี ศรีบูรพา, รพีพร, อาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช, เสนีย์ เสาวพงศ์, จิต ภูมิศักดิ์ ฯลฯ เพราะงานของเขามีคุณค่ามีพลังสามารถพลิกเปลี่ยนชีวิตผู้คนเปลี่ยนสังคมได้"

คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเป็นนักเขียน
"อันดับแรกคุณต้องอ่านก่อน อ่านเยอะๆ คุณอยากเขียนเรื่องสั้นก็อ่านเรื่องสั้นเยอะๆ อยากเขียนนิยายก็อ่านนิยายเยอะๆ ก็จะเห็นทางว่าถ้าเขียนจะเป็นยังไง เพราะการอ่านเป็นพื้นฐานสำคัญของการเขียน การอ่านจะทำให้เราซึมซับเรื่องของการใช้ภาษาได้เป็นอย่างดี แล้วภาษาไทยจะมีพลังของมัน คำคำเดียวความหมายใช้ในสถานการณ์ที่ต่างกันความหมายมันก็เปลี่ยน ถ้าเราอ่านเยอะๆ ก็จะซึมซับสิ่งเหล่านี้ไปโดยที่พอถึงวันหนึ่งที่เราเอามาใช้เราก็จะใช้ไม่ผิด

และการอ่านคือการเก็บข้อมูล แต่ก็ไม่ได้จะเอามาจากการอ่านอย่างเดียว บางทีชีวิตหรือสิ่งแวดล้อมที่เราเห็นนำมาใช้เป็นข้อมูลในการเขียนได้หมด แต่การอ่านจะช่วยในเรื่องการถ่ายทอดภาษาเวลาที่เราเขียนลงไป นอกจากอ่านเยอะๆ แล้วต้องเป็นคนช่างคิดช่างจินตนาการด้วย"

คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยังบนเส้นทางนักเขียน
"พี่มีความสุข ซึ่งความสุขมันคือสุดยอดของทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ตราบใดที่เรามีความสุขจะทำให้เราพอใจ เราจะไม่ทะเยอทะยาน เราจะไม่ไขว่คว้าจนเกินตัว เวลาที่เราเขียนหนังสือเราจะมีความสุขมาก พี่มีอะไรอยู่ข้างในพี่จะถ่ายทอดให้คนอ่านรู้สึกยังไง พี่จะสนุกกับการเล่นกับคนอ่าน มีการลวงคนอ่าน ตรงนี้คือความสุข ส่วนผลอะไรต่างๆ ที่จะตามมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะได้เงินดีหรือไม่ได้เงิน จะเป็นละครหรือจะได้รางวัลช่างมัน แต่เวลาที่พี่เขียนพี่มีความสุขและพอใจ"

สิ่งที่อยากฝากถึงวงการนักเขียน
"คงไม่มีอะไรบอกเพราะทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด นักเขียนเป็นผู้ที่มองโลกมองสังคมด้วยสายตาที่ละเอียดอ่อนอยู่แล้ว พี่เชื่อว่าทุกคนมีความมุ่งมาดปรารถนาดีต่อสังคมอยู่แล้ว"


:: อ่านต่อในฉบับ ::

:: กลับไปหน้าหลัก ::