SMEs PLUS |
Scoop |
|
คุณกำลังเหนื่อยและท้ออยู่หรือเปล่า? มาสร้างฝันจากชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย ของ 3 เถ้าแก่ยุคนี้กันดีกว่า ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย ของ “พยุง กาลดิษฐ์” เถ้าแก่ ป.6 เจ้าของธุรกิจรปภ. เขาคนนี้เป็นลูกชาวนา เรียนจบแค่ป.6 ต้องออกจากบ้านมาหางานทำตั้งแต่อายุ 12 ปี เคยมีโอกาสทำงานในบริษัทเรือน้ำมัน จนทำให้ฐานะครอบครัวดีขึ้น แต่อยู่ดีๆชีวิตก็ต้องตกสวรรค์ เพราะโดนปลดออกจากงาน ทำให้ชีวิตครอบครัวแตกแยก เคยท้อแท้และหมดหวัง แต่ก็มานับหนึ่งใหม่อีกครั้งด้วยอาชีพรปภ. จนในที่สุดได้ก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของบริษัทรปภ. มีลูกค้ากว่า 100 บริษัท จากคนขับวินมอเตอร์ไชค์สู่เซียนหุ้น 100 ล้าน “ทิวา ชินธาดาพงศ์” เถ้าแก่ม.3 ชีวิตของผู้ชายคนนี้ยิ่งกว่านิยาย เขาเรียนจบแค่ม.3 เริ่มต้นอาชีพด้วยการขับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จากนั้นก็หันไปทำอาชีพอื่นๆอีกสารพัดอย่าง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ชีวิตล้มลุกคลุกคลาน เคยติดการพนันจนหมดตัว แต่ก็ไม่เคยท้อ จนวันนี้เขาสามารถยืนได้กลายเป็นเซียนหุ้นร้อยล้าน ขายดิน – ทำนา ก็รวยได้ “ประเสริฐ อัครศิริกาญจนะ” ตัวแบบชาวนายุคใหม่ เถ้าแก่ป.6 เขาคนนี้เป็นคนชนชั้นรากหญ้า ครอบครัวมีฐานะยากจน เรียนจบแค่ป.6 ต้องออกมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ไถนา เคยเข้าไปขายแรงงานในกรุงเทพฯ เพื่อหวังมีชีวิตที่ดีกว่า แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด ต้องกลับมาทำไร่ไถนาเหมือนเดิม ชีวิตล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายปี จนในที่สุดก็ค้นพบวิธีทำดินขาย แล้วต่อยอดไปสู่การซื้อที่นาเพื่อทำนาแบบไม่มีต้นทุน แต่ให้ผลผลิตสูง ทำให้วันนี้เขากลายเป็นเกษตรที่มีรายได้หลักล้าน ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยายของ “พยุง กาลดิษฐ์” เถ้าแก่ ป.6 เจ้าของธุรกิจรปภ. “พยุง กาลดิษฐ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูโนการ์ด เซอร์วิส จำกัด ถือเป็นตัวอย่างผู้ประกอบการอีกคนที่สู้แล้วรวยที่น่าศึกษา เถ้าแก่คนนี้เรียนจบแค่ชั้นป.6 เพราะครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินส่งให้เรียนต่อ จึงต้องออกจากบ้านมาหาเงินช่วยครอบครัวตั้งแต่อายุ 12 แต่วันนี้เขากลายเป็นเจ้าของธุรกิจรักษาความปลอดภัย หรือรปภ. มีพนักงานกว่า 700 คน มีลูกค้ากว่า 100 บริษัท ลองมาย้อนดูเส้นทางการต่อสู้ของพยุงกันดูว่า กว่าจะมีวันนี้เขาต่อสู้มาอย่างไร “ตัวผมเองเกิดที่อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เรียนจบชั้นป.6 ที่โรงเรียนวัดเกษตรชลนที พ่อแม่มีอาชีพทำนา ผมมีพี่น้อง 4 คน ก็เลยมองว่าถ้าผมเรียนต่อน้องคนอื่นๆคงไม่ได้เรียน เพราะสมัยนั้นพ่อแม่ทำนาครั้งเดียว ขายข้าวส่งให้ลูกเรียน ก็เป็นอันว่าผมตัดสินใจไม่เรียนต่อ ตอนผมจบป.6 อายุ 12 ปี เมื่อปี 2522 ก็เข้ามาหางานทำที่อำเภอหาดใหญ่ เพราะไม่อยากอยู่บ้าน อายเพื่อนที่ไม่ได้เรียนต่อ ก็เลยไปอยู่กับน้าที่หาดใหญ่ ไปทำงานก่อสร้าง ช่วยหิ้วปูนบ้าง อะไรบ้าง จากนั้นก็เปลี่ยนไปอยู่รถขนไก่ จับไก่ส่งตามฟาร์มต่างๆ ผมใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นหลายปี จนหลังสุดก็ออกมาทำงานอยู่ที่ร้านซ่อมแอร์ ก็อยู่ที่นี่ค่อนข้างนาน ชีวิตผมพลิกผันอีกครั้ง ประมาณปี 2529 ได้ทำงานในบริษัทเรือน้ำมัน คือตอนนั้นลูกของลุงทำงานอยู่ที่บริษัท ยูเนี่ยน ออยล์ ซึ่งวันนี้ก็คือ บริษัท เชฟรอน พี่ชายทำงานอยู่ฝ่ายวิทยุสื่อสาร และด้วยความที่เขาสงสารพ่อผม เพราะตอนนั้นผมทำงานยังไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง เขาก็เลยฝากให้ผมทำงานบริษัทเรือน้ำมันกลางทะเล อยู่ที่แท่นผลิตสตูลฟิลด์” ต้องบอกว่าการที่พยุงได้มีโอกาสทำงานในบริษัทเรือน้ำมันนั้น ทำให้เขาและครอบครัวสามารถลืมตาอ้าปากได้ เขามีเงินส่งให้น้องๆได้เรียนต่อ มีเงินซื้อบ้านให้ภรรยาและลูกอยู่ที่หาดใหญ่ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเขาต้องถูกเลิกจ้าง “ผมทำงานบริษัทเรือน้ำมันอยู่ 13 ปี จนถึงปี 2540 เป็นยุคฟองสบู่แตก บริษัทเขาก็ต้องการลดคน ผมก็เป็น 1 ใน 100 คนที่ถูกเลิกจ้าง ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนตกสวรรค์เลยนะ เพราะหนึ่ง – ไม่ได้เตรียมใจ และสอง – ไม่มีงานรองรับบนฝั่ง การที่ผมตกงานโดยไม่ทันตั้งตัวมันทำให้เกิดปัญหา เพราะตอนที่ออกจากงานได้เงินเดือน 3 หมื่นกว่าบาท ซึ่งเลี้ยงครอบครัวได้ ทีนี้พอตกงานมันไม่ได้รับกำลังใจจากคนรอบข้าง เขามองว่าผมหาเรื่องใส่ตัว เพราะตอนนั้นผมรับตำแหน่งรองประธานสหภาพแรงงาน ก็ประท้วงกันบ่อย ผู้บริหารก็ไม่พอใจ เมื่อได้โอกาสก็เลยเอาผมออก ตอนนั้นผมแต่งงานแล้ว มีลูกชายอายุ 1 ขวบ พอออกจากงานปัญหามันเกิดมากมาย จนสุดท้ายต้องเลิกกับภรรยา แล้วก็กลับมาอยู่กับพ่อและแม่ แต่ก็อยู่ไม่ได้อีก เพราะมันมีเสียงของชาวบ้านพูดเข้าหูตลอด จนผมทนไม่ไหว ตัดสินใจออกจากบ้านมา มีเงินติดตัว 5,000 บาท” ชีวิตของพยุงในช่วงนี้เหมือนตกนรกทั้งเป็น เพราะเขาไม่สามารถปล่อยวางกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ กระทั่งมีแนวคิดที่จะบวชเพื่อหนีปัญหา “ตั้งแต่ปี 2540 ถึงปี 2542 กว่าๆ ในหัวผมคิดแต่เรื่องเก่าๆ ตอนนั้นคิดที่จะบวช เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร มันไม่เห็นทางที่จะไปต่อแล้ว ก็มีโอกาสได้กราบนมัสการท่านพระพุทธทาส ท่านพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า โยมคนเราจะสุขหรือไม่สุข ไม่ได้อยู่ที่ผ้าเหลืองหรอกนะ แล้วท่านก็เดินผ่านไป ก็ทำให้ผมได้คิด หลังจากนั้นผมก็กลับไปเยี่ยมลูกชายที่หาดใหญ่ แล้วได้ไปเดินเล่นที่ร้านวัตสันที่หาดใหญ่ ก็ได้ไปเจอน้องคนหนึ่งเป็นรปภ.ของบริษัท Guardforce อยู่ที่ร้านวัตสัน น้องคนนี้ถามผมว่าทำอะไรอยู่ ผมบอกตกงานไม่รู้จะทำอะไร เขาก็เลยชวนไปเป็นรปภ.ที่กรุงเทพฯ เพราะตอนนั้นบริษัท Guardforce หมดสัญญากับร้านวัตสันพอดี ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็ไปกับเขา” ใครเลยจะคิดว่าการตัดสินใจเข้ามาทำงานเป็นรปภ.ของพยุงในครั้งนั้น จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาสามารถกลับมาตั้งตัวได้อีกครั้งหนึ่ง และกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พยุงกลายมาเป็นเถ้าแก่ในวันนี้ “ผมไปสมัครเป็นรปภ.บริษัท Guardforce ก็ถูกส่งตัวไปเป็นรปภ.อยู่ที่โรงแรมเฉวง รีเจ้นท์ เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี ที่นี่แหละที่ทำให้ชีวิตผมเริ่มดีขึ้น บังเอิญตอนนั้นบริษัทจะไปเปิดสำนักงานที่เกาะสมุย โดยส่งเจ้านายเป็นคนอังกฤษไปดูแล การเปิดสำนักงานที่นั่นจำเป็นต้องมีสายตรวจดูแล ก็โชคดีนายเขามองว่าผมน่าจะทำได้ ก็เลยเรียกให้ผมไปนั่งออฟฟิศ ไปเป็นสายตรวจ ตอนปี 2545 ซึ่งการมานั่งออฟฟิศตรงนี้มันพลิกผันอีกครั้งหนึ่ง เพราะนายเขาสอนให้เรียนรู้การใช้คอมพิวเตอร์ การส่งอีเมล์ แล้วส่งผมไปอบรมที่สำนักงานใหญ่ทั้งเรื่องประกันสังคม การวางบิลรับเช็ค การออกอินวอยซ์ การเทรนนิ่งเวลาคุยกับลูกค้า ตรงนี้แหละมันทำให้ผมได้ประสบการณ์เยอะ” การทำงานในตำแหน่งสายตรวจอยู่ที่เกาะสมุยของพยุง ดูเหมือนจะไปได้ดี แต่ชีวิตเขาก็ต้องพลิกผันอีกครั้งเมื่อแต่งงานใหม่ แล้วขอย้ายมาประจำอยู่ที่สาขาบางปะอิน อยุธยา ซึ่งมีเหตุให้เขาต้องตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วหันมาเปิดบริษัทรปภ.ของตัวเอง “ประมาณต้นปี 2546 ผมแต่งงานใหม่ ภรรยาผมทำงานอยู่ที่ศูนย์ธรรมศาสตร์รังสิต ก็เลยขอย้ายมาอยู่ที่สาขาบางปะอิน แต่การย้ายเข้ามามันมีขนบธรรมเนียมไม่เหมือนกัน การทำงานเริ่มมีความขัดแย้งในระดับสายงานมากขึ้น ผมมาอยู่ในตำแหน่งครูฝึกและการตรวจสอบคุณภาพ ตอนที่ผมมาใหม่ๆก็ได้รับทราบปัญหาของลูกค้า อย่างบริษัท บุญรอด ที่เป็นลูกค้า ปัญหาที่เจอตอนนั้น ก็คือ เด็กยังไม่รู้หน้าที่ สายตรวจไม่ได้เข้า แล้วสิ่งที่ลูกค้าขอให้ซัพพอร์ตก็ไม่ได้ตามที่ต้องการ ผมก็กลับมารายงานผู้จัดการที่สาขา ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง บังเอิญผมได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมที่สำนักงานใหญ่ ผมก็หยิบเรื่องนี้รายงานต่อ MD ปัญหาของลูกค้าก็ได้รับการแก้ไข แต่หลังจากนั้นผู้จัดการสาขาจ้องเล่นงานผมตลอดเวลา มันก็อยู่ไม่ได้ ในที่สุดปี 2548 ผมขอลาออก” ชีวิตที่ต้องตกอยู่ในสภาพตกงานอีกครั้ง ทำให้พยุงเหมือนต้องถอยหลังกลับมาเริ่มนับหนึ่งอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้โชคดีที่เขามีต้นทุนในเรื่องของประสบการณ์ในการทำอาชีพรปภ. และมีเงินทุนอยู่ก้อนหนึ่ง ทำให้เขาสามารถตั้งหลักได้ไม่ยากนัก “ตอนแรกผมไม่ได้คิดจะเปิดบริษัทนะ แต่คิดว่าจะไปสมัครงานที่อื่นต่อ บังเอิญไปสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในตำแหน่งสายตรวจ แต่สมัครไม่ได้ เพราะเขาต้องการคนที่เรียนจบม.6 แต่ผมจบป.6 เขาก็ไม่รับ กลับมาบ้านก็มาบอกภรรยาว่า ไปสมัครงานมาเขาไม่รับว่ะ ภรรยาก็พูดขึ้นมาว่า เก่งนักไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่เปิดเสียเองล่ะ ผมคิดว่าเขาถากถางผมนะ แต่มันก็จุดประกายผมว่า ก็ดี เปิดบริษัทเองเสียเลยดีกว่า ตอนที่ผมลาออกมีเงินอยู่ 120,000 บาท กลางปี 2548 ก็เลยตัดสินใจเปิดบริษัท ยูโนการ์ด เซอร์วิสขึ้นมา โดยที่ผมไม่รู้เรื่องเลยว่าต้องทำอย่างไร ก็ได้เพื่อนคนหนึ่งมาช่วย นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปิดบริษัท ด้วยเงินทุน 100,000 บาท โดยใช้เงิน 20,000 บาท จ้างเขาในการดำเนินการจัดตั้งบริษัท ก็เหลือ 80,000 บาท เช่าออฟฟิศเดือนละ 5,000 บาท มีโต๊ะ มีคอมพิวเตอร์ เครื่องแฟกซ์ แล้วก็จ้างพนักงาน 1 คน 6,000 บาท เฝ้าบริษัท ส่วนตัวผมจะเป็นคนวิ่งหางาน” อย่างไรก็ดี แม้พยุงจะมีประสบการณ์ในการทำอาชีพรปภ.มาหลายปี แต่การลุกขึ้นมาเปิดบริษัทของตัวเองนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะโจทย์ที่ท้าทาย ก็คือ การสร้างการยอมรับจากลูกค้า เนื่องจากเป็นบริษัทเพิ่งเปิดใหม่ การจะทำให้ลูกค้าไว้วางใจ หันมาใช้บริการของเขานั้น ถือว่าเป็นงานที่หินมาก “ตอนทำบริษัทเก่าเราสามารถพูดได้เลยว่า บริษัทนี้ทุนจดทะเบียนเท่าไหร่ บริษัทแม่อยู่ที่รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา แต่บริษัทของเราไม่รู้จะเอาอะไรไปคุยกับลูกค้า มันยากมาก แล้วการเข้าไปขอพบลูกค้ามันก็ยาก ไม่ใช่อยู่ๆเขาจะให้พบนะ บางที่ที่เขาให้เข้าพบก็จะถามว่า บริษัทคุณตั้งมาเมื่อไหร่ ทุนจดทะเบียนเท่าไหร่ แล้วตอนนี้มีพนักงานอยู่กี่คน ลูกค้าเป็นหน่วยงานไหนบ้างที่ให้เขาสอบถามตรวจสอบได้ ก็ไม่รู้จะตอบเขายังไง เพราะตอนนั้นเรายังไม่มีอะไรเลย บางทีพอกลับออกมาลูกน้องบอกว่า เขาทิ้งโบรชัวร์เราไปแล้ว ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร บังเอิญโชคดีว่าบริษัท บุญรอด เอเชียเบเวอเรจ น้ำดื่มตราสิงห์ ที่จังหวัดสิงห์บุรี เขามีปัญหากับบริษัทรปภ.เดิมที่ผมเคยทำงานอยู่ พอเขารู้ว่าผมออกมาเปิดบริษัทของตัวเอง ก็เลยให้ผมเข้าไปพบ ผมก็เล่าถึงที่มาของการเปิดบริษัทให้เขาฟัง บอกว่ายังไม่มีลูกค้าเลย เงินยังไม่มี เขาก็ถามว่าอยากจะมาลงที่นี่ไหม ผมบอกว่าอยากมาลง เขาก็โอเค ก็เลยมีโอกาสได้ลูกค้ารายแรกเป็นบริษัท บุญรอดฯ” การมีบริษัท บุญรอดฯ เป็นลูกค้ารายแรก ดูเหมือนจะเป็นใบเบิกทางในการทำธุรกิจรักษาความปลอดภัย หรือรปภ.ให้พยุง เพราะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ารายอื่นๆได้เป็นอย่างดี “พอได้ลงที่บริษัท บุญรอดฯ มันทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นเยอะ จากเคยเดิมเวลาไปเสนองานมีลูกค้าถามว่าบริษัทก่อตั้งเมื่อไหร่ ก็ไม่มีแล้ว เพราะเขาเชื่อว่าถ้าบริษัทระดับบุญรอดฯจ้างเนี่ย ต้องมีอะไรดีๆแน่ ก็ทำให้ได้งานที่ใช้คน 3 คนบ้าง 4 คนบ้าง จนปี 2549 ผมกล้าที่จะไปเสนอกับบริษัท ดีเอชแอล สาขาวังน้อย ซึ่งเป็นคลังใหญ่มาก เขาใช้รปภ.70 คน แต่เขาก็ไม่จ้างเรานะ เขาบอกว่าบริษัทเรายังเล็กเกินไป ผมก็ไม่ยอมแพ้ ในปี 2550 ผมไปอีก ผมบอกเขาว่าเดี๋ยวนี้บริษัทเราใหญ่แล้วนะ เขาก็หัวเราะ ปฏิเสธเราเหมือนเดิม ก็บังเอิญในปีนั้น บริษัทเขามีปัญหากับบริษัทรปภ.เดิม ตอนนั้นจำได้ว่าสักประมาณ 1 ทุ่ม เจ้าหน้าที่ที่เป็นฝ่ายดูแลรปภ.ของดีเอชแอลก็โทรมาหาผม ถามว่ามีคนไหม จะให้ลงที่บริษัท ผมก็ตอบตกลง แต่ตอนนั้นผมมีคนอยู่ 40 กว่าคน ซึ่งกระจายกันอยู่ตามบริษัทต่างๆ ก็ลงให้ดีเอชแอลวันแรกได้แค่ 8 คน ผมต้องใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะหาคนได้ครบ 70 คน หลังจากนั้นในเดือนต่อมา ออดิท (ผู้ตรวจสอบภายใน) จากประเทศสิงคโปร์ของดีเอชแอลก็มาตรวจ เขาให้ผมผ่านนะ เพราะทีมงานผมเฝ้าที่นั่นอย่างเดียว เฝ้าเช้า เฝ้าเย็น ทำให้ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เรายังดูแลดีเอชแอล สาขาวังน้อยอยู่ วันนี้ใช้คน 100 คนแล้ว” แม้จะเป็นบริษัทโนเนม แต่จากการที่พยุงใช้หลักในการทำธุรกิจที่ว่า เมื่อรับปากอะไรไว้กับลูกค้าก็ต้องทำให้ได้ บวกกับการให้ความสำคัญกับการฝึกบุคลากรให้มีคุณภาพ เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ทำให้บริษัทรปภ.สัญชาติไทยแห่งนี้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จุดเปลี่ยนอีกครั้งที่สำคัญ ก็คือ การได้มีโอกาสมาออกรายการ SME ตีแตกของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งแม้จะตีไม่แตก แต่ผลจากการออกรายการในครั้งนั้น ก็ทำให้บริษัท ยูโนการ์ด เซอร์วิส ของพยุงสามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น “การที่เราได้ไปเปิดตัวในรายการ SME ตีแตก มันทำให้เราเข้าถึงลูกค้าอีกเกรดหนึ่ง คือจากที่เราดูแลลูกค้าเกรด C อยู่ เราก็ได้ลูกค้าเกรด B และ A เพิ่มขึ้นมา ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้เขาต้องการอะไร เขาต้องการคุณภาพ ราคาไม่เกี่ยง แต่ตราบใดที่บริษัทเราไม่มีชื่อเสียง เขาก็คงจะไม่จ้างเรา เพราะอย่างที่บอกการเดินเข้าไปหาลูกค้าแต่ละที่นั้น มันยากมาก ฉะนั้นเมื่อเราได้ออกรายการทีวีมันทำให้ลูกค้าได้รู้จักเรามากขึ้น วันนี้เรามีทั้งลูกค้าทั้งที่เป็นบริษัทและโรงงาน ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้จะเน้นการควบคุมการเข้า – ออกของพนักงาน และดูแลทรัพย์สินต่างๆของผู้ว่าจ้าง ลูกค้ากลุ่มหมู่บ้านจัดสรร เน้นเรื่องความปลอดภัย ต้องการรปภ.ที่ดูนอบน้อม ยิ้มแย้มแจ่มใส ต้องมีการทักทาย ส่วนลูกค้ากลุ่มโรงแรม เน้นบริการลูกค้า ดูแลลานจอดรถเป็นหลัก” จะว่าไปแล้ว คงไม่มีใครคาดคิดว่าจากอดีตรปภ. วันนี้พยุงจะกลายเป็นเจ้าของบริษัทรปภ.ที่มีพนักงานกว่า 700 คน มีลูกค้าทั้งบริษัทคนไทยและต่างชาติไว้วางใจใช้บริการของเขากว่า 100 บริษัท อาทิ บริษัท ดีเอชแอล, บริษัท นิเด็คอีเล็คโทรนิคส์(ประเทศไทย), บริษัท นิโปร (ประเทศไทย), โรงงานน้ำมันพืชคิง, คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, บริษัท ภิรมย์ แลนด์, โรงเรียนนานาชาตินีวา, หมู่บ้านธารารมณ์ เป็นต้น พยุง บอกถึงคีย์ซัคเซสในการทำธุรกิจรักษาความปลอดภัยว่า อย่างแรกเลย แรงงานต้องมีคุณภาพ ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่สุด แต่การจะมีวัตถุดิบชั้นดีได้นั้น ต้องทำให้เขาอยู่ดี กินดี มีสวัสดิการที่ดีก่อน เขาจึงจะพร้อมทุ่มเทให้กับบริษัท “ผมให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานของเรา เขาต้องอยู่ดีกินดี เงินเดือนเขาต้องได้ทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเขา ดึงให้เขาอยู่กับเรา ส่วนการพัฒนาบุคลากร การฝึกอบรมก็สำคัญ เราไม่ได้พัฒนาแค่ที่ศูนย์ฝึกนะ แต่ทุก 2 อาทิตย์จะมีครูฝึกเข้าไปฝึกในพื้นที่หน้างานต่างๆ ทำไมต้องมีตรงนี้ ก็เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพของพนักงานเรา เมื่อคุณภาพได้แล้ว สิ่งที่ตามมาคือลูกค้าเกิดความเชื่อมั่น แล้วมันทำให้เราสามารถนำเสนอค่าบริการที่อาจจะสูงขึ้น ในราคาที่เหมาะสมได้” สุดท้ายต้องยอมรับว่า เถ้าแก่ความรู้ระดับ ป.6 คนนี้ สามารถก้าวมายืนในจุดนี้ได้ ก็เป็นเพราะพยุงเป็นเถ้าแก่เลือดนักสู้ ไม่ยอมแพ้ต่อปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นนั่นเอง :: อ่านต่อในฉบับ :: |