เท้าความถึงที่มาของค่า F-Stop ก่อนเลยนะครับ
F มาจากคำว่า Fraction ซึ่งแปลว่าเศษส่วนครับ
มันเป็นตัวบอกขนาดของช่องรูรับแสงของม่านชัตเตอร์ของเลนส์ที่ใช้นั่นเอง ที่ F/4 ของเลนส์ 50 มม จึงหมายถึงม่านชัตเตอร์ของเลนส์เปิดออกด้วยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ 12.5 มม (50 x 1/4) หรือเลนส์ 1000 มม เปิดที่ F/22 ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของรูรับแสงที่เปิดจะเท่ากับ 45 มม (1000 x 1/22)
เลนส์ทั่วไปจะสามารถปรับระดับ Stop ได้จากเมื่อก่อนทีละ 1/2 Stop
ปัจจุบันก็พัฒนาขึ้นมาเป็นย 1/3 Stop เช่น f/4 ก็จะไม่กระโดดไปเป็น f/5.6 แต่จะมี f/4.5 มาคั่นเป็นต้น
แล้วค่า F มาได้ยังไง
F Stop = A / FL
A คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของรูรับแสง
FL คือทางยาวโฟกัสของเลนส์ที่เลือกใช้
ฉะนั้นใครที่ถามว่ามีเลนส์ f/0 ไหม บอกได้เลยครับ ไม่มีวันเป็นไปได้
โดยทั่วไปเลนส์จะปรับระดับได้ทั้งหมด 8 Stop ครับเป็นมาตรฐานของเค้า
เช่นเลนส์ที่ f/1.8 ก็ไล่ไปเลยครับ
1.8 - 2 - 2.2 - 2.5 - 2.8 - 3.2 - 3.5 - 4 - 4.5 -5.0 -5.6 - 6.3 - 7.1 - 8 - 9 - 10 - 11 - 13 - 14 - 16 - 18 - 20 - 22
เลขระหว่างนั้นคือ 1/3 Stop และ 1/2 Stop ตามลำดับครับ
สันนิษฐานข้อแรกของผมคือ ยังไงก็ต้องทำให้ครบ 8 Stop แหละครับ
ซึ่งถามว่า อ้าวแล้วมันจะมีมาให้ทำไม ในเมื่อมันไม่ชัดถ้าใช้ค่า F ที่สูงขนาดนั้น
ประโยชน์มันมีครับ คือ ถ้าคุณใช้ ISO 100 แล้ว Shutter Speed ไม่สามารถใช้สูงมากได้ในกรณีที่คุณอยากถ่ายภาพน้ำตกฟุ้งๆ ก็ต้องมาเล่นค่า F-Stop ใช่ไหมครับ หรือถ้ามีตังค์หน่อยก็เล่น ND Filter ไป ซึ่ง F แคบๆลดแสงได้ แต่มันก็เป็นประโยชน์ทางอ้อม เพราะผมคิดว่า คนผลิตอาจจะมองว่า ได้ภาพก็ยังดีกว่าไม่ได้เลยมั้งครับ ซึ่งเอาจริงๆแล้วน้อยมากครับ ถ้าดู Exif ของพวกโปรที่เค้าถ่ายกัน f/16 ก็ยังพอเห็นบ้าง แต่ f/22 นี่แทบไม่ได้เห็นเลยครับ