Box Office สุดสัปดาห์ที่ 2 - 5 กรกฎาคม 2542
สุดสัปดาห์แห่งความคึกคักของวันหยุดเทศกาล Independence Day ที่มีหนังเต็งเข้าฉายชนกันหลายเรื่อง และมีหนังที่เปิดฉายมากกว่า 3,000 โรงถึง 4 เรื่อง ตัวเลขรายได้ในตาราง box office จึงดูหวือหวาเป็นพิเศษ มีหนังทำเงินเกินกว่าสิบล้านถึง 7 เรื่อง (คิดเฉพาะสุดสัปดาห์จากวันศุกร์ถึงวันจันทร์) Will Smith ร่วมด้วย Kevin Kline, Salma Hayek, และ Kenneth Branagh นำหนังแอ็คชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องล่าสุดของเขาWild, Wild, West จัดจำหน่ายโดย Warner Bros. ขึ้นครองแชมป์ box office อย่างสบายตามความคาดหมาย ทั้งที่ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบอย่างหนัก โดยกวาดรายได้สุดสัปดาห์ 4 วันไปได้ถึง $36.4M จากวันศุกร์ถึงวันจันทร์ จากจำนวน 3,342 โรง รายได้เฉลี่ยต่อโรงก็น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กันคือทำได้ถึง $10,902 ต่อโรง และเมื่อรวมรายได้ตั้งแต่วันพุธที่ 30 มิถุนายนซึ่งเป็นวันเปิดฉายวันแรก หนังทำเงินไปแล้ว $49.7M และเมื่อคิดรายได้แค่ 3 วันตามมาตรฐาน box office ก็พบว่าทำเงินไปได้ $27.7M ผู้ชมส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ตรงตามกลุ่มเป้าหมายที่สตูดิโอวางแผนไว้ รายได้หนังซัมเมอร์ช่วง Independence Day ปีที่ผ่านมา
แต่ถึงกระนั้น Wild, Wild, West ก็ยังทำเงินไม่ได้ตามเป้าหมายที่ได้คาดการณ์ไว้ ทั้งที่หนังอุดมไปด้วย special effects ตระการตามากมาย, มีทั้งดาราระดับแม่เหล็กที่อยู่ในระดับวางใจได้อย่าง Will Smith, แถมยังอัดโปรโมทอย่างหนัก, มี soundtrack ที่ขายดิบขายดี, มีการส่งดาราออกเดินสายรายการ talk show และขึ้นปกแมกกาซีนมากมาย สอดคล้องกับแผนการตลาดที่เปิดฉายในเทศกาลโกยเงินอย่างวันชาติ, การเปิดฉายในโรงที่มากเป็นประวัติการณ์ถึง 3,342 โรง แต่หนังก็ยังทำเงินน้อยกว่าหนังเรื่องอื่นๆในเทศกาลเดียวกันเมื่อปีก่อนๆที่ผ่านมา เช่น Armageddon ($36.1M), Men in Black ($51.1M), และ Independence Day ($50.2M) แถมยังสู้หนังซัมเมอร์เรื่องก่อนหน้าที่สร้างปรากฏการณ์ไปแล้วอย่างเช่นBig Daddy, Tarzan, และ Austin Powers เมื่อวิเคราะห์ดูจากตาราง box office จะพบว่า รายได้ของหนังที่สูงกว่า 10 ล้านนั้นมีอีกถึง 6 เรื่องด้วยกัน (ในขณะที่ Armageddon เจอแค่ 2 เมื่อปี 1998, ส่วน Men in Black เจอไปแค่ 3 เรื่องเมื่อปี 1997) นั่นก็หมายความว่า คนดูกระจายกันดูหนังเรื่องอื่นๆอย่างถ้วนทั่ว ไม่ได้แออัดกันมาดูหนังอันดับหนึ่งเพียงเรื่องเดียวเหมือนตอนที่ Star Wars: Episode I - The Phantom Menace เปิดฉาย (สุดสัปดาห์นั้น Episode I กวาดรายได้ไปถึง 65% ของรายได้หนังทั้งหมดใน top-10 เลยทีเดียว ในขณะที่ Wild, Wild, West กวาดส่วนแบ่งการตลาดไปแค่ประมาณ 24% เท่านั้น) Adam Sandler กับหนังตลกเรื่องล่าสุดของเขา Big Daddy ตกมาอยู่อันดับ 2 ทำรายได้ไป $26.8M จากช่วง 4 วันจากวันศุกร์ถึงวันจันทร์เช่นกัน เมื่อคิดเฉพาะช่วง 3 วันตามมาตรฐานการเปรียบเทียบของ box office ก็ทำเงินลดลงไป 52% รายได้รวมของหนังกวาดไปแล้ว $90.5M จาก 11 วัน (ตอนฉายได้ 10 วัน The Waterboy โกยเงินไป $79.1M เมื่อปีที่แล้ว) คาดว่าจะทำเงินได้ถึงหลัก $150-160M เมื่อรวมกับรายได้หนังฮิตเรื่องที่แล้วของ Adam Sandler คือ The Waterboy ก็หมายความว่าเขาทำเงินไปแล้วถึงกว่าสามร้อยล้านเลยทีเดียว (คิดเฉพาะในอเมริกาเหนือ) อันดับสามคือหนังอนิเมชั่นเรื่องล่าสุดจาก Disney,Tarzan ทำรายได้สัปดาห์นี้ $19.3M รวมรายได้ 18 วันกวาดไปแล้ว $111.1M โดยผ่านหลักร้อยล้านได้เมื่อวันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคมนี่เอง หรืออีกนัยหนึ่ง,ใช้เวลา 16 วัน คาดว่าจะทำรายได้ไปถึงประมาณ $170-180M ซึ่งจะทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดอันดับต้นๆของดิสนีย์ไปได้ในที่สุด อันดับ 4 เป็นหนังเข้าฉายสัปดาห์แรกจาก Paramount,South Park: Bigger, Longer & Uncut หนังการ์ตูนเรต R ทุนสร้าง $21M จากแคนาดาที่มีแต่เรื่องตลกหยาบคายและทะลึ่งตึงตังเรื่องนี้ทำรายได้ไป $14.8M จากสี่วัน ในจำนวนโรงที่เปิดฉาย 2,128 โรง ทำรายได้เฉลี่ย $6,943 ต่อโรง นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว หลังจากที่ฝ่าฟันให้พ้นเรต NC-17 มาจนได้ ไม่งั้นคงขาดรายได้จากวัยรุ่นไปไม่น้อยแน่นอน รายได้ของ South Park เมื่อคิดจากวันแรกที่เข้าฉายตั้งแต่พุธที่ 30 มิถุนายน คือพร้อมกับWild, Wild, West ก็ทำรายได้รวมไปทั้งสิ้น $23.1M นักวิจารณ์ต่างพอใจกับตัวหนังทั้งๆที่ถูกผู้ปกครองต่อต้าน นับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการ์ตูนโทรทัศน์จาก Viacom เรื่องนี้อย่างได้ผล หลังจากที่รุ่นพี่อย่าง Beavis and Butthead Do America ทำเงินมาแล้ง $63M เมื่อปี 1996 และThe Rugrats Movie ที่กวาดไปกว่าร้อยล้านเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วนี่เอง คาดว่าSouth Park จะทำเงินเป็นกอบเป็นกำในช่วง 2 สัปดาห์แรกนี้ เท่านั้นก่อนที่จะแผ่วไปอย่างรวดเร็ว อันดับ 5 เป็นหนังฆาตกรรมปริศนานำโดย John Travolta,The General's Daughter ทำรายได้สัปดาห์นี้ $14.2M หนังได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบพอสมควร แต่เนื่องจากไม่ค่อยมีหนังที่จับตลาดกลุ่มผู้ใหญ่ในช่วงซัมเมอร์ หนังเลยทำเงินเป็นกอบเป็นกำจากกลุ่มเป้าหมายนี้อย่างสบายๆ รายได้รวมตอนนี้ $67.4M จาก 18 วัน นับเป็นหนังฮิตที่สุดของ John Travolta นับแต่ Face/Off ดีไม่ดีอาจทำเงินไปถึงเลข 9 หลักก็เป็นได้ Star Wars: Episode I - The Phantom Menace หลุดจาก top-5 เป็นสัปดาห์แรก ทำรายได้ไปอีก $13.3M จากจำนวน 2,631 โรง ลดลง 495 โรง รวมรายได้ $373.2M จาก 48 วัน ไต่ขึ้นไปอยู่อันดับ 4 ของหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลในอเมริกาเหนือ แซงหน้าอันดับ 4, Jurassic Park ($357M) ไปแล้วเรียบร้อย เป็นรองแค่อันดับ 1 Titanic ($600.8M), อันดับ 2 Star Wars: Episode IV ($461.0M เมื่อรวมรายได้จากการฉาย Special Edition อีก $138.3M แล้ว), และอันดับ 3 E.T. ($399.8M) และคาดว่าจะแซงอีทีเพื่อนรักของ Steven Spielberg ได้ประมาณปลายเดือนกรกฎาคมนี้ เมื่อเทียบกันแล้ว ณ จำนวนวันเท่านี้ Titanic ทำรายได้เพียงแค่ $308.1M หรือน้อยกว่า Star Wars: Episode I ราว 21% ต่างกันตรงที่สัปดาห์นั้นTitanic ทำรายได้ไปถึง $25.9M แรงยังดีไปได้เรื่อยๆอยู่ จะเห็นได้ว่าทำรายได้เป็นเท่าตัวเลยทีเดียว สัปดาห์หน้าหนังมหากาพย์ตำนานสงครามแห่งดวงดาวคงจะเสียโรงให้กับหนังฟอร์มยักษ์เรื่องอื่นๆอีก คาดว่ารายได้สุดท้ายคงจะอยู่ในเกณฑ์ $420-440M ขณะนี้ก็เริ่มโกยเงินในบราซิล, เกาหลีใต้, และชิลี และจะเริ่มฉายในฮ่องกงกับเมกซิโกสุดสัปดาห์หน้า ก่อนที่จะตลุยญี่ปุ่น, อิสราเอล และอาร์เจนติน่าในสุดสัปดาห์ถัดไป หลังจากฉายมา 25 วัน Austin Powers : The Spy Who Shagged Me ที่เคยเขี่ยStar Wars: Episode I ตกจากอันดับหนึ่ง ก็ตกวูบจากอันดับ 3 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วลงมาอยู่อันดับ 7 อย่างรวดเร็ว โดน Star Wars: Episode I แซงคืนไปจนได้ สัปดาห์นี้ทำรายได้ไป $12.1M รวมรายได้ $171.4M เป็นหนังทำเงินสูงสุดของค่าย New Line และเป้าหมายรายได้คงจะอยู่ที่ประมาณ $190-200M อันดับ 8 เป็นหนังใหม่แนวดราม่าทริลเลอร์ผลงานการกำกับของ Spike Lee, Summer of Sam จากสังกัด Buena Vista นำแสดงโดย John Leguizamo และ Mira Sorvino ทำรายได้สัปดาห์แรกไป $8M จากสี่วัน หรือ $6M จากสามวันมาตรฐาน box office หนังเปิดฉายในจำนวน 1,536 โรง รายได้เฉลี่ยต่อโรง $5,203 อยู่ในระดับพอใช้ได้Summer of Sam กล่าวถึงเหตุการณ์ใน New York กลางฤดูร้อนปี 1977 ที่ร้อนจัดพร้อมกับการฆาตกรรมต่อเนื่องแบบ serial killer ผลงานหนังเรื่องก่อนหน้าของผู้กำกับหนุ่มคนนี้คือ He Got Game ที่เปิดฉายในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ทำรายได้สัปดาห์แรกไป $7.6M และ Malcolm X เมื่อปี 1992 ที่เป็นหนังเปิดตัวสูงสุดของเขาคือ $9.9M จากสัปดาห์แรก นับว่าแฟนประจำของเขามีไม่น้อยเลยทีเดียว อันดับ 9 Notting Hill ตกลงมาจากอันดับ 6 ทำรายได้สัปดาห์นี้ $5.5M รายได้รวมไปอยู่ที่ $98.3M แซงหน้าตัวเลข $91M จากหนังเรื่องที่แล้วของ Julia Roberts, Stepmom คาดว่าจะผ่านหลักร้อยล้านได้ในปลายสัปดาห์หน้า อันดับ 10 เป็นหนังม้ามืดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจาก Miramax นำโดย Rupert Everett Cate Blanchett, Minnie Driver, และ Julianne Moore, An Ideal Husband สัปดาห์นี้ได้โรงเพิ่มจาก 122 เป็น 602 โรง เลยทำเงินไปได้อีก $3.6M รายได้เฉลี่ยต่อโรง $6,043 รายได้รวมอยู่ที่ $5.7M เก็บเงินไปเรื่อยๆแบบที่Tea With Mussolini เคยทำมาแล้ว ทำไปทำมา หนังที่แรงยังดีในสัปดาห์นี้กลับกลายเป็นหนังที่จับตลาดผู้ใหญ่อย่างThe General's Daughter,Notting Hill, และ An Ideal Husband ที่รายได้ลดลงไม่มาก ในขณะที่หนังที่พุ่งเป้าไปยังวัยรุ่นอย่างAustin Powers และ Big Daddy รายได้สัปดาห์นี้กลับวูบลงอย่างเห็นได้ชัด สุดสัปดาห์แห่ง Independence Day ทำให้หนังทำเงินอึดอย่างThe Mummy จาก Universal ตกจาก top-10 จนได้ สัปดาห์ที่ 9 ของหนังเรื่องนี้ถึงแม้จะทำเงินไปได้อีก $1.3M ก็ยังเอาไม่อยู่ แต่อย่างไรก็ตาม รายได้รวมก็ไปอยู่ที่ $148.3M คาดว่าจะปิดบัญชีรายรับในอเมริกาเหนือที่ตัวเลขประมาณ $155M จากทุนสร้าง $80M ตอนนี้ก็เริ่มโกยเงินในตลาดโลกแล้ว โดยทำรายได้รวมไปแล้วราว $83M จากการโกยเงินอย่างเป็นกอบเป็นกำในเยอรมัน, ญี่ปุ่น, และออสเตรเลีย ส่วนInstinct จาก Buena Vista ที่ทุ่มทุนสร้างไป $57M ก็เพิ่งจะทำเงินในอเมริกาเหนือได้เพียง $32.2M คาดว่าจะจบโปรแกรมที่ตัวเลขประมาณ $35M หลังจากอยู่ใน top-10 มา 13 สัปดาห์ The Matrix ที่กำกับโดยสองพี่น้อง Wachowski ตอนนี้โกยเงินไปแล้ว $166.8M จากทุนสร้างที่ทุ่มไป $60M รวมรายได้ทั่วโลกก็เก็บเงินไปแล้วเกือบ $300M และยังคงโกยเงินจากตลาดโลกต่อไปเรื่อยๆ หนังใหม่สัปดาห์หน้า American Pie หนังสัปดนแบบวัยรุ่นและ Arlington Road หนังทริลเลอร์นำโดย Jeff Bridges ประกบกับ Tim Robbins เข้าฉาย ตารางรายได้ 20 อันดับหนังทำเงินสุดสัปดาห์ที่ 2 - 5 กรกฎาคม 2542
|
เรียบเรียงจาก : Weekend Box Office โดย Box Office Guru
ข้อมูลเพิ่มเติม :