Eyes Wide Shut หนังเรื่องล่าสุดแนวทริลเลอร์จิตวิทยาทางเพศ และเป็นหนังเรื่องสุดท้ายก่อนเสียชีวิตของผู้กำกับ Stanley Kubrick (The Shining , 2001: A Space Odyssey) เข้าฉายเป็นสัปดาห์แรกก็ทำเงินขึ้นครองอันดับหนึ่งของตาราง box office ตามความคาดหมาย หลังจากที่ได้รับความฮือฮาจากหนังตัวอย่างความยาว 90 วินาทีที่เปิดฉายโชว์ยั่วน้ำลายคอหนังมาแล้ว หนังนำแสดงโดยสองดาราสามี-ภรรยาในชีวิตจริง Tom Cruise (ที่หายหน้าหายตาไปกว่าสองปี) และ Nicole Kidman ทำรายได้สามวันแรกไป $21.7M นับเป็นหนังเรื่องที่ 6 ติดต่อกันของ Tom Cruise ที่เปิดตัวครองอันดับหนึ่ง box office หนังทำรายได้เฉลี่ยต่อโรง $9,003 จากการเข้าฉายในจำนวน 2,411 โรง

Warner Bros. ผู้จัดจำหน่ายแจ้งว่า ผู้ชมส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นอายุระหว่าง 18-25 ปี และมีอัตราส่วนผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเล็กน้อย แต่ก็ขาดผู้ชมไปกลุ่มหนึ่งซึ่งเปลี่ยนใจมานั่งเฝ้าอยู่หน้าจอทีวีเพื่อติดตามข่าวเครื่องบินส่วนตัวของ John F. Kennedy Jr. ตก แต่อย่างไรก็ตาม Eyes Wide Shut ก็ยังเปิดตัวได้สวยแม้ว่าจะติดเรต R แถมยังมีความยาวถึง 160 นาที รายได้หนังในรอบสิบปีย้อนหลังของ Tom Cruise มีดังนี้ (ตัวเอียงคือรายได้จากการเปิดฉาย 4 วัน)
 

และถ้า Eyes Wide Shut ยังทำเงินในระดับนี้ต่อไปอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า หนังเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นหนังระดับร้อยล้านของ Tom Cruise เรื่องที่ 6 ติดต่อกัน ตามหลัง A Few Good Men,The Firm,Interview with the Vampire, Mission: Impossible, และล่าสุด Jerry Maguire ซึ่งเขาได้ครองรางวัลลูกโลกทองคำหรือ Golden Globe ในสาขาดารานำชายยอดเยี่ยม และเมื่อตามติดด้วยหนังที่เขาแสดงนำอีก 2 เรื่องถัดไปที่คาดว่าจะทำเงินมหาศาลคือ Mission: Impossible 2 (กำหนดฉาย 17 ธันวาคม 1999) และ Minority Report หนังฟอร์มยักษ์เกี่ยวกับอาชญากรในโลกอนาคตที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของ Philip K.Dick นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดัง และกำกับโดย Steven Spielberg (กำหนดฉาย 30 มิถุนายน 2000 ต้อนรับโปรแกรมทอง Independence Day) ก็คงจะไม่ต้องพูดถึงความยิ่งใหญ่ใน box office ของเขาอีกต่อไป

อันดับสองเป็นของหนังตลกสัปดนของวัยรุ่น American Pie จาก Universal Pictures ที่ตกจากอันดับหนึ่งโดยปริยาย ทำรายได้สัปดาห์ที่สองไป $13.6M ลดลงเพียง 27% รวม 10 วันกวาดไปแล้ว $45.5M คาดว่าอาจทำรายได้ผ่านหลักร้อยล้านได้ ซึ่งจะกลายเป็นหนังร้อยล้านเรื่องที่ 3 ในปี 1999 ของค่ายนี้ต่อจาก The Mummy และ Notting Hill

อันดับ 3 เป็นหนังแนว suspense thriller จากค่าย Fox, Lake Placid ที่เปิดตัวเป็นสัปดาห์แรก ทำรายได้ไป $11M จากจำนวน 2,096 โรง รายได้เฉลี่ยนับว่าไม่เลวคือได้ไป $5,236 ต่อโรง เขียนบทโดย David E. Kelley (Ally McBeal,The Practice) กำกับโดย Steve Miner (Halloween: H20,Forever Young,My Father the Hero) นำแสดงโดย Bill Pullman, Bridget Fonda และ Oliver Platt (ดาราทั้งหมดไม่ค่อยได้รับการโปรโมทถึงเท่าไหร่นัก แม้กระทั่งในหนังตัวอย่าง) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตามล่าจรเข้โหดในเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในรัฐ Maine นับเป็นความชาญฉลาดฉลาดของค่าย Fox ที่เอาหนังเข้าฉายล่วงหน้าหนังแนวใกล้เคียงกันอีก 2 เรื่องที่จะติดตามมาคือThe Haunting และ Deep Blue Sea

Adam Sandler กับหนังเรื่องล่าสุดของเขาตกลงมาอยู่อันดับ 4, Big Daddy ทำรายได้ไปอีก $10.4M ลดลง 35% จากการฉายเป็นสัปดาห์ที่ 4 รวมรายได้ที่โกยไปแล้วถึง $134.5M จากทุนสร้าง $32M นับเป็นหนังเล็กๆที่กำไรเละเทะหลังจากที่There's Something About Mary,Rush Hour,The Waterboy,Austin Powers 2 และ American Pie คาดว่า Big Daddy จะทำรายได้รวมให้ Sony ประมาณ $160-170M เฉพาะในอเมริกาเหนือ

Will Smith กับหนังที่คาดว่าจะฮิตประจำซัมเมอร์นี้,Wild Wild West ตกรูดจากอันดับ 2 ลงมาอยู่อันดับ 5 จากการฉายเป็นสัปดาห์ที่ 3 ทำรายได้ไปอีก $10.06M ลดลงจากสัปดาห์ที่แล้วถึง 40% (หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้ววูบลง 39%) ทำเงินให้ Warner Bros. ไปแล้ว $94M จาก 19 วันของการฉาย คาดว่าจะผ่านหลักร้อยล้านแบบหืดขึ้นคอในสัปดาห์หน้า และคงจะจบโปรแกรมที่ตัวเลขแค่ประมาณ $125M เท่านั้น นับเป็นหนังเทศกาล Independence Day หรือวันชาติของอเมริกา ที่น่าผิดหวังอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ (รายได้เมื่อสัปดาห์ที่ 3 ของหนังซัมเมอร์ช่วงเดียวกันปีก่อนๆคือArmageddon ทำได้ $129.1M ปี 1998, Men in Black ทำได้ $172.1M ปี 1997, Independence Day ทำได้ $199M ปี 1996, และ Apollo 13 ทำได้ $90.9M ปี 1995)

อันดับ 6 เป็นหนังใหม่แนว comedy-drama จาก MTV/Paramount Pictures, The Wood หนังเปิดฉายใน 1,191 โรงเท่านั้น แต่กลับทำรายได้ไปถึง $8.5M รายได้เฉลี่ยต่อโรง $7,150 (เป็นอันดับสองใน top ten) หนังนำแสดงโดย Omar Epps (The Mod Squad), Taye Diggs (How Stella Got Her Groove Back), และ Sean Nelson (Fresh) กำกับโดย Rick Famuyiwa ผู้กำกับหน้าใหม่ชาว Nigerian-American จากทุนสร้างแค่ $6M เป็นเรื่องของการรำลึกถึงวัยเยาว์ใน Inglewood, California ในช่วงทศวรรษที่ 80's

หนังอนิเมชั่นเรื่องล่าสุดจาก Disney, Tarzan ฉายเป็นสัปดาห์ที่ 5 ก็ยังเหนียวแน่นอยู่บนตาราง box office สัปดาห์นี้อยู่อันดับ 7 (ตกจากอันดับ 4 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว) ทำรายได้ไป $7.5M รายได้รวมขณะนี้อยู่ที่ $143M แซงหน้าตัวเลขรายได้รวม $141.6M ของหนังอนิเมชั่นอีกเรื่องจากค่ายเดียวกันเมื่อปี 1995, Pocahontas ไปนิดหน่อย

Star Wars: Episode I ตกลงมาอยู่อันดับ 8 ทำเงินไปอีก $5.65M จากการฉายเป็นสัปดาห์ที่ 9 หรือ 61 วัน และคงจะเป็นสัปดาห์สุดท้ายที่ติด top-10 บนตาราง box office รายได้รวมตอนนี้กวาดไปแล้ว $395.2M รายได้ลดลงเพียง 29% จากสัปดาห์ที่แล้วถึงแม้ว่าจะเหลือโรงที่ยังฉายอยู่เพียง 1,850 โรง (โดนลดไป 597 โรงจากสัปดาห์ที่แล้ว) คาดว่าจะผ่านหลักสี่ร้อยล้านได้ในสัปดาห์หน้า หรือประมาณวันที่ 66-68 ของการฉาย (Titanic ผ่านหลัก $400M ได้ในวันที่ 66 ของการฉาย) และเมื่อถึงจุดนั้น Star Wars: Episode I ก็จะขึ้นแป้นอันดับ 3 ของหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลในอเมริกาเหนือ แซงหน้า E.T. ($399.8M) ไปได้เรียบร้อย

The General's Daughter ของ John Travolta ตกจากอันดับ 5 มาอยู่อันดับ 9 ทำรายได้ไปอีก $5.2M หลังจากที่โกยให้ Paramount ไปแล้ว $87.9M ส่วนอันดับ 10 เป็นหนังเข้าใหม่จับตลาดครอบครัว Muppets From Space จากค่าย Sony โดยทีมงานของ Jim Henson นำทีมโดยเจ้าเก่า Kermit, Miss Piggy, Gonzo และผองเพื่อน เปิดตัวสัปดาห์แรกทำเงินไปแค่ $4.8M จากการเข้าฉายใน 2,265 โรง ทำรายได้เฉลี่ยต่อโรงไปเพียง $2,131 เท่านั้น (คงจะสู้ทาร์ซานเจ้าป่าไม่ไหว แถมยังต้องรับมือกับคู่ต่อสู้หน้าใหม่ที่กำลังครองใจเด็กๆอเมริกัน,The Teletubbies จากอังกฤษและ Pokemon จากญี่ปุ่น) เมื่อรวมรายรับตั้งแต่วันพุธซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดตัว หนังทำรายได้รวมไปแล้ว $6.68M รวมห้าวัน หนังเรื่องก่อนหน้าในชุดนี้คือ Muppet Treasure Island (1996 - สัปดาห์แรก $7.9M / รายได้รวม $34.3M) และ The Muppet Christmas Carol (1992 - สัปดาห์แรก $5M / รายได้รวม $27.3M) - ทั้งสองเรื่องจัดจำหน่ายโดย Disney

หนังทริลเลอร์จากค่ายอินดี้ Artisan, The Blair Witch Project เปิดฉายแบบชิมลางแค่ 27 โรง กวาดรายได้ไป $1.51M ในห้าวัน อยู่อันดับ 16 รายได้เฉลี่ยต่อโรงได้ไปถึง $56,002 ก่อนจะเปิดฉายแบบเต็มที่ในวันที่ 30 กรกฎาคม เป็นเรื่องของนักเรียนหนังสามคนที่หายสาบสูญไปในป่าลึกในรัฐ Maryland เมื่อเดือนตุลาคม 1994 หลังจากที่เข้าไปทำสารคดีเกี่ยวกับแม่มด Blair Witch ทิ้งไว้แต่เพียงฟุตเตจของหนังที่พวกเขาถ่ายเอาไว้ซึ่งถูกพบในปีถัดมา

หนังที่ตกจาก top-10 ไปก็คือ Austin Powers : The Spy Who Shagged Me ตกจากอันดับ 9 มาอยู่อันดับ 11 ทำรายได้ไปอีก $4.37M จากการฉายเป็นสัปดาห์ที่ 6 รวมรายได้ตอนนี้ $190.7M จากทุนสร้างแค่ $33M (กำไรเละ) คาดว่าคงปิดบัญชีที่รายรับประมาณ $200-210M ส่วน South Park ตกจากอันดับ 8 มาอยู่ 13 โกยไปอีก $4.32M รายได้รวม $43.4M จากทุนสร้างแค่ $21M (นี่ก็กำไรเละอีกราย) คาดว่ารายได้รวมคงไปจบที่ตัวเลขราวๆ $52-57M

Arlington Road หนังทริลเลอร์จาก Sony ที่นำแสดงโดย Jeff Bridges และ Tim Robbins ตกมาอยู่อันดับ 13 โดยร่วงลงมาจากอันดับ 6 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วซึ่งเป็นการเปิดฉาย ทำรายได้ไปอีก $4.18M รวมรายได้ 10 วันทำได้เพียง $14.7M คาดว่าไปได้ไกลที่สุดแค่ตัวเลขประมาณ $25-28M

Summer of Sam ของผู้กำกับ Spike Lee จัดจำหน่ายโดย Buena Vista อยู่ใน top-10 ได้สองสัปดาห์ก็ตกลงมาอยู่อันดับ 17 ทำรายได้รวมไปแล้ว $17.2M คงจะถึงหลัก $20M ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

และแล้วหนังออสการ์ Shakespeare in Love จาก Miramax ก็ผ่านหลัก $100M ได้ในที่สุด หลังจากฉายมา 7 เดือนหรือ 32 สัปดาห์ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ Miramax โหมโปรโมทอีกครั้ง แถมยังเพิ่มโรงให้อีกตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม Shakespeare in Love จึงกลายเป็นหนังเรื่องที่ 5 ของสังกัดนี้ที่ทำเงินผ่านหลักร้อยล้านได้สำเร็จ ตามหลังรุ่นพี่อย่างGood Will Hunting,Pulp Fiction และสองภาคของScream โดยผ่านหลักร้อยล้านได้เมื่อวันจันทร์ หรือวันที่ 221 ของการฉาย รายได้รวมทั่วโลกขณะนี้ได้ไปกว่า $275M แล้ว

หนังเข้าใหม่สัปดาห์หน้า The Haunting หนังสยองขวัญบ้านผีสิงจาก Dreamworks,Inspector Gadget จากดิสนี่ย์ และ Drop Dead Gorgeous จาก New Line ที่นำแสดงโดย Denise Richards, Kirstie Ally, Kirsten Dunst และ Ellen Barkin