สัปดาห์ที่ 4 ของ Analyze This จาก Warner Bros. ที่นำโดย Robert De Niro ประกบกับ Billy Crystal ก็ยังฮิตอยู่ รายได้สัปดาห์นี้ $8.7M ลดลงไปแค่ 26% เท่านั้น (นับว่าน้อยมากสำหรับหนังที่ฉายมาแล้วเกือบเดือน) รายได้รวมอยู่ที่ $69.3M จาก 24 วัน เป้าหมายอยู่ที่ $100M อย่างไม่เหลือบ่ากว่าแรงAnalyze This เลยขึ้นแป้นหนังทำเงินอันดับสองของปีนี้จนได้ รองจาก Payback ที่ยอดรายได้ตอนนี้อยู่ที่ $78.8M และมีแนวโน้มว่าจะแซงได้ในราว 2 สัปดาห์ข้างหน้า แถมตอนนี้ยังโกยเงินอย่างน่ากลัวในออสเตรเลีย ขึ้นอันดับหนึ่งมาแล้วเป็นสัปดาห์ที่สอง

อันดับสามเป็นหนัง comedy เข้าใหม่ Ed TV จากผลงานกำกับของ Ron Howard ในนามค่าย Universal ทำเงินไป $8.3M นำแสดงโดย Matthew McConaughey, Jenna Elfman, Woody Harrelson, Ellen Degeneres, Martin Landau, และ Elizabeth Hurley ได้โรงฉายจำนวนถึง 2,627 โรง รายได้เฉลี่ยงั้นๆแค่ $3,164 เป็นเรื่องของกระทาชายนาย Ed ที่ถูกเลือกให้ออกอากาศชีวิตประจำวันทางเคเบิ้ลทีวีตลอด 24 ชั่วโมง หนังออกมาในแนวใกล้เคียงกับ The Truman Show จึงเป็นการช่วยไม่ได้ที่จะถูกนำไปเปรียบเทียบกัน คงจะต้องหวังพึ่งปากต่อปากจากคนที่ดูแล้วถึงจะไปรอด เพราะยังขาดพลังส่งจากดาราดังๆเหมือนหนังเรื่องก่อนๆของผู้กำกับ Ron Howard เช่น Mel Gibson ใน Ransom, Tom Hanks ใน Apollo 13, หรือ Tom Cruise ใน Far and Away

อันดับ 4 เป็นหนังแอ็คชั่นเข้าใหม่ที่สร้างจากซีรี่ส์ทางโทรทัศน์เมื่อสามสิบปีก่อน,The Mod Squad จากค่าย MGM/UA นำแสดงโดย Claire Danes, Omar Epps, และ Giovanni Ribisi (ตั้งใจจับตลาดผู้ชมวัยต่ำกว่า 25 โดยเฉพาะ) รายได้สัปดาห์แรกได้ไป $6.1M รายได้เฉลี่ยแค่ $2,648 ต่อโรง จากจำนวนที่ทุ่มไป 2,290 โรง

หนังใหม่อีกเรื่องที่เข้า top-10 คือ Doug's First Movie อยู่อันดับ 5 หนังเด็กจากค่าย Disney ที่ถูกดัดแปลงมาจากซีรี่ส์ทางโทรทัศน์ ABC ทำเงินสัปดาห์แรกไปแค่ $4.5M จากจำนวน 2,268 โรง รายได้ต่อโรงเฉลี่ยแค่ $1,971 เท่านั้นเอง แนวโน้มการทำเงินของหนังก็ไม่ต่างไปจากหนังจับตลาดเดียวกันที่เข้าฉายก่อนหน้าอย่างBaby Geniuses และ The King & I ที่เปิดตัวด้วยรายรับ $5.6M และ $4M ตามลำดับ

หลังจากที่โกยรางวัลออสการ์ไปถึง 7 ตัว (ซึ่งรวมทั้งรางวัลหนังยอดเยี่ยม และผู้แสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม) ก็ถึงเวลาที่ Shakespeare in Love ของ Miramax จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างเต็มที่เสียที รายได้สัปดาห์นี้ซึ่งเป็นสุดสัปดาห์แรกหลังจากประกาศผลรางวัล Oscar ก็เลยทำเงินเพิ่มขึ้นถึง 44% จากสัปดาห์ที่แล้ว ทำเงินไปได้อีก $4.3M โดยได้โรงเพิ่มอีก 665 โรง รวมเป็น 1,931 โรง รายได้รวมตอนนี้ $79.3M มีแนวโน้มที่สดใสเช่นเดียวกับหนังออสการ์เรื่องที่แล้วของ Miramax คือ The English Patient ที่รายได้พุ่งกระฉูดถึง 50% ในช่วงเวลาเดียวกัน (ได้เพิ่มโรงฉายอีก 407 โรงเป็น 1,409 โรง) เป้าหมายต่อไปของ Shakespeare in Love คือผ่านหลักร้อยล้านให้ได้ ตอนนี้รายได้รวมทั่วโลกอยู่ที่ $141M

หนังเรื่องล่าสุดของปู่คลิ้นต์ Clint Eastwood,True Crime จากค่าย Warner Bros. ร่วงจากอันดับ 3 ลงมาอันดับ 7 ในสัปดาห์ที่สอง ทำรายได้อีก $3.4M ลดลง 37%, รวมสิบวันทำเงินไปแค่ $10.5M คงไปได้ไกลสุดแค่ราวๆ $17-19M

อันดับ 8 หนังสามรางวัล Oscar จากค่าย Miramax จากฝีมือของ Roberto Benigni, Life is Beautiful ดีดกลับจากอันดับ 12 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วขึ้นมาติด top-10 เสียที หลังจากที่ฉายแบบเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านมานาน 5 เดือน สัปดาห์นี้เลยได้โรงเพิ่มอีก 474 โรงรวมเป็น 1,121 โรง เลยทำเงินไปได้อีก $3.2M พุ่งขึ้นอีก 45% รายได้รวมตอนนี้อยู่ที่ $40.7M (ส่วนในบ้านเกิดก็กวาดไปแล้ว $40M) เป็นหนังภาษาต่างประเทศที่ทำเงินสูงสุดในอเมริกา ชนะแชมป์เก่าจากชาติเดียวกัน Il Postino ที่ทำเงินไว้ $21.8M

อันดับ 9 และ 10 เป็นหนังจากสังกัด Sony, Baby Geniuses และ Cruel Intentions รายได้สัปดาห์นี้ $2.7M และ $2.3M ตามลำดับ

ส่วน The King & I รายได้วูบลงไป 50% ในสัปดาห์ที่สองเท่านั้น (สงสัยจะโดนคนไทยสาปแช่ง) รายได้รวม $7.0M จาก 10 วัน คงไปได้แค่ $11-13M (ทุนสร้าง $24M), The Corruptor จาก New Line รายได้รวม $13.5M คงจะปิดบัญชีที่ตัวเลขราวๆ $15-17M, The Rage : Carrie 2 รายรับรวมได้ $15.2M คงจะปิดบัญชีที่ตัวเลขราวๆ $16-18M เหมือนกัน ส่วนหนังของ Michelle Pfeiffer,The Deep End of the Ocean คงไปได้แค่ $14-16M

Saving Private Ryan ที่กวาดออสการ์ไป 5 รางวัล รายได้ไม่หวือหวานัก ได้ไปอีก $1.06M ลดลงไป 8.5 % จากสัปดาห์ที่แล้ว คงเป็นเพราะหนังผ่านตาผู้ชมกันไปทั่วแล้ว เป็นหนังเรื่องแรกในรอบ 9 ปีที่ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม แต่พลาดรางวัลหนังยอดเยี่ยม รายได้รวมตอนนี้ $211.7M คาดว่าคงจะลาโรงที่ตัวเลขประมาณ $215M ส่วนรายได้ตลาดโลกนอกทวีปอเมริกาเหนืออยู่ที่ $256M ใกล้ถึงจุดอิ่มตัวเหมือนกัน คาดว่ารายได้รวมทั่วโลกคงอยู่ระหว่าง $475-500M มีแผนจะบุกตลาดวิดีโอในวันที่ 25 พฤษภาคม.. สิบเดือนหลังจากการเปิดฉายในโรง 

ส่วน Box Office ตลาดโลก, Armageddon ครองอันดับหนึ่งในญี่ปุ่นแล้ว 13 สัปดาห์ และกำลังจะผ่านหลักร้อยล้านที่นั่น ส่วนหนังเรื่องก่อนหน้าของคนอึด Bruce Willis ที่สร้างผลงานไว้ Die Hard With A Vengeance และThe Fifth Element ก็ประสบความสำเร็จอย่างมโหฬารที่ญี่ปุ่นมาแล้วเช่นกัน รายได้รวมทั่วโลกของArmageddonตอนนี้อยู่ที่ $542M เกือบติด top-10 หนังทำเงินตลอดกาลแล้ว ตอนนี้อยู่อันดับ 11 รายได้รวมทั่วโลกของหนังเรื่องอื่นๆได้แก่A Bug's Life ($322M ตามหลังToy Story ที่ทำไว้ $358M), You've Got Mail ($227M), Enemy of the State ($225M), The Prince of Egypt ($208M), Stepmom ($142M), Meet Joe Black ($135M), และ Star Trek: Insurrection($107M)

หนังใหม่สัปดาห์หน้า The Matrix หนังเอฟเฟคเพียบจาก Warner Bros. แสดงโดย Keanu Reeves กับ Laurence Fishburne และ 10 Things I Hate About You จาก Buena Vista