อันดับ 2 The Siege เป็นหนัง action thriller ของค่าย Fox นำโดย Denzel Washington, Annette Bening, และ Bruce Willis  เปิดตัวเป็นสัปดาห์แรกเช่นกัน ได้ไป $13.9M เปิดฉาย 2,541 โรง เฉลี่ย $5,483 ต่อโรง เป็นหนังเกี่ยวกับการโจมตี New York ของผู้ก่อการร้าย นับเป็นการร่วมงานครั้งที่ 3 ระหว่าง Denzel Washington กับผู้กำกับ Edward Zwick หลังจากที่เรื่องแรก Glory ในปี 1989 ที่ทำให้เขาได้รับรางวัล Oscar ในฐานะ best actor มาแล้ว และเรื่องที่สองCourage Under Fire ในปี 1996 สำหรับ Denzel Washington แล้ว The Siege นับเป็นหนังที่เปิดตัวรายได้สูงที่สุดอันดับสามของเขา รองจากCrimson Tide (เปิดตัว $18.6M) และ The Pelican Brief (รายได้สุดสัปดาห์แรก $16.6M) ผลงานที่ผ่านมาของเขามีทั้งล้มเหลวอย่าง He Got Game ($21.6M),Fallen ($24.3M), Virtuosity ($24M), และ Devil in a Blue Dress ($16M). และที่ประสบความสำเร็จอย่าง Courage Under Fire ($59M), Crimson Tide ($91.4M), The Pelican Brief ($100.8M), และ Philadelphia ($77.3M)

อันดับ 3 ตกมาจากอันดับ 2 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Pleasantville ของ New Line กำกับโดย Gary Ross ฉายเป็นสัปดาห์ที่ 3 รับไปอีก $5.6M ร่วงลงมาแค่ 19% เท่านั้น ตอนนี้ได้ไปแล้ว $26.2M

อันดับ 4 หนังอนิเมชั่นมดๆของค่าย DreamWorks Antzทำเงินเพิ่มจากสุดสัปดาห์ที่แล้วอีก 23% ทั้งที่มีคู่แข่งตลาดเดียวกันอย่าง The Wizard of Oz  มาแชร์ส่วนแบ่งก็ยังทำเงินได้ไปอีก $5.56M รวมแล้วโกยเงินไปทั้งสิ้น $75.0M เป้าหมายอยู่ที่หลัก $100M

หนังคลาสสิกจากการฉายครั้งแรกเมื่อปี 1939 ที่นำกลับมาฉายใหม่แบบดิจิตอลของ Warner Bros. The Wizard of Oz: Special Edition ทำเงินมาเป็นอันดับ 5 ได้ไป $5.35M จากจำนวน 1,879 โรง เฉลี่ยถึง $2,850 ต่อโรง นับว่าสูงเอาการ ทั้งๆที่ถูกนำไปฉายในเคเบิ้ลทีวี แถมยังออกเป็นวิดีโอเทปแล้วด้วยซ้ำ ส่วนอันดับหกLiving Out Loud ของค่าย New Line ที่มีดารายอดฝีมืออย่าง Holly Hunter, Danny DeVito สมทบด้วย Queen Latifah เปิดฉายแบบเต็มตัว ได้ไป $4.31M จากการฉายใน 1,086 โรง เฉลี่ย $3,978 ต่อโรง รวมจากการฉายแบบชิมลางตั้งแต่ 30 ตุลาคมได้ไปแล้วทั้งสิ้น $4.57M.

อันดับ 7 เป็นของสองแม่มดสาวPractical Magic ได้ไปอีก $4.07M ฉายมาแล้วเป็นสัปดาห์ที่ 4 ได้ไปแล้วทั้งสิ้น $39.65M อันดับ 8 ร่วงลงมาจากอันดับหนึ่งเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วVampires กำกับโดย John Carpenter ร่วงลงมาถึง 57% ได้ไปแค่ $3.9M ตัวเลขรวม 10 วันได้ไป $15.57M คาดกันว่าคงไปได้ไกลสุดแค่หลัก $20-25M. 

อันดับ 9 Belly เป็นหนัง action drama ของค่าย Artisan ได้ไป $3.45M จากการฉายแค่ 600 โรง เฉลี่ยสูงถึง $5,758 หนังเรื่องนี้กำกับโดย Hype Williams ผู้กำกับมิวสิควิดีโอ นำแสดงโดยศิลปินฮิปฮ็อป DMX, Nas. และ Method Man หลังจากเปิดฉายตั้งแต่วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน ได้ไปแล้วทั้งสิ้น $4.8M

Rush Hour ในสัปดาห์ที่ 8 ยังติดอยู่อันดับ 10 ด้วยรายได้ที่ลดลงแค่ 13% ได้ไปอีก $3.32M รวมแล้วโกยเงินไปทั้งสิ้น $127.0M แซงหน้า Dumb and Dumber ขึ้นไปยืนเป็นอันดับสองหนังทำเงินตลอดกาลของค่าย New Line เป็นรองแค่ Teenage Mutant Ninja Turtles ในปี 1990 ที่ทำเงินไป $133M

หนังที่เปิดฉายแบบชิมลาง Elisabeth ของค่าย Gramercy นำโดย Cate Blanchett และ Geoffrey Rush ที่โด่งดังมาแล้วในอังกฤษ, เยอรมัน และออสเตรเลีย เปิดฉายแค่ 9 โรงใน New York และ Los Angeles ได้ไป $275,131 เฉลี่ยสูงถึง $30,570 ดีกว่าการกลับมาฉายใหม่ครบรอบ 15 ปีของ The Big Chill ที่ได้ไป $56,968 จากจำนวน 50 โรง เฉลี่ย $1,139 ต่อโรง ส่วนVelvet Goldmine ของค่าย Miramax ฉาย 85 โรง กวาดไปถึง $301,787 เฉลี่ย $3,550 ต่อโรง, Gods and Monsters จากค่าย Lions Gate ฉายแค่ 6 โรง ได้ไป $75,508 เฉลี่ยสูงถึง $12,585 ต่อโรงเลยทีเดียว

ส่วนหนังเกี่ยวกับ neo-nazi American History X ที่ฉายแบบชิมลางเป็นสัปดาห์ที่สอง รายได้ลดลงแค่ 2% ได้ไปอีก $153,225 จากการฉาย 19 โรง เฉลี่ย $8,064 ต่อโรง, หนังรางวัลตุ๊กตาทองจากอิตาลีLife is Beautiful ฉาย 110 โรง ได้ไป $837,093 เฉลี่ยสูงถึง $7,610

ส่วนหนังที่ตกจาก top ten ก็คือ Bride of Chucky ร่วงลงมาครึ่งหนึ่ง ลงมาอยู่อันดับ 11 (รายได้รวมแล้ว $29.7M),Belovedลงมาอยู่อันดับ 12 (รวมแล้ว $21.1M),Soldier ร่วงอีก 68% ลงมาอยู่อันดับ 14 (รวมแล้ว $13.28M), What Dreams May Come ลงมาอยู่อันดับ 13 ($53M) และ Apt Pupil ลงมาอยู่อันดับ 17 ($7.96M)

สัปดาห์หน้า I Still Know What You Did Last Summer และMeet Joe Black เป็นผู้ท้าชิงแชมป์จาก The Waterboy โดยมี I'll Be Home For Christmas เป็นตัวแทรก