การครองแชมป์ปีที่ 5 ประจำเทศกาลนี้ เป็นฝีมือของหนังอนิเมชั่นจากผลงานการสร้างร่วมกันอีกครั้งหนึ่งระหว่าง Disney/Pixar  A Bug's Life จากเสียงพากย์ของ Dave Foley, Kevin Spacey, Julia Louis-Dreyfus, David Hyde Pierce, และ Denis Leary ที่เปิดฉายทำเงินแบบมโหฬาร $33.3M ในช่วงสุดสัปดาห์ 3 วัน จากวันศุกร์ถึงอาทิตย์ และเมื่อรวมรายได้ย้อนไปถึงวันพุธซึ่งเป็นวันเปิดฉาย รวมทั้งหมด 5 วันก็จะเป็นตัวเลขถึง $45.7M ถ้ารวมตัวเลขรอบพิเศษที่ El Capitan ใน in Los Angeles เมื่อ 20 พฤศจิกายน ก็จะเป็นยอดรวมทั้งสิ้น $46.1M ทำรายได้นำห่างจากหนังใหม่ที่เพิ่งเปิดฉายสัปดาห์เดียวกันอย่างขาดลอย สร้างสถิติใหม่หนังที่เปิดตัวแรงที่สุดในเทศกาลนี้ ชนะ 101 Dalmatians หนังจากค่ายเดียวกันเมื่อปี 1996 ที่ทำสถิติไว้ $33.5M จาก 3 วันและ $45.1M จาก 5 วันแค่ปลายจมูก (ชนะเฉพาะสถิติรวมห้าวันตลอดเทศกาล ส่วนสามวัน จากศุกร์ถึงอาทิตย์ยังเข่นไม่ลง) แต่ถ้านับเฉพาะหนังการ์ตูน/อนิเมชั่นด้วยกัน ก็นับเป็นสถิติหนังการ์ตูนค่ายดิสนีย์รองจากThe Lion King ที่ทำตัวเลขไว้ $40.9M เมื่อปี 1994 เท่านั้นยังไม่พอ ตัวเลขสามวันแรก $33.6M นี้ยังเป็นหนังเปิดตัวแรงเป็นอันดับ 6 ของปีนี้ด้วย

นับเป็นการร่วมมือของทีมงานที่สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจบนจอเงินมาแล้วจากToy Story เมื่อปี 1995 มาคราวนี้ Disney/Pixar ต้องเผชิญกับความยากลำบากเป็นสองเท่า เพราะนี่เป็นหนังอนิเมชั่นเกี่ยวกับแมลงที่ลงโรงฉายเป็นเรื่องที่ 2 ในรอบสองเดือน เพราะโดนคู่แข่ง Antz ของค่าย DreamWorks ออกฉายตัดหน้าไปก่อนถึง 2 เดือนเต็มๆตั้งแต่ 2 ตุลาคม และทำรายได้แบบถล่มทลายไปแล้วถึง $85.7M ในขณะนี้ และยังยืนโรงฉายท้าทายอยู่ด้วยซ้ำ ผู้คนในวงการยังคงคลางแคลงใจกันอยู่ว่า คนดูจะยอมควักกระเป๋าหยิบเงินออกมา เพื่อจ่ายค่าตั๋วสำหรับหนังการ์ตูนแนวใกล้เคียงกันอีกหรือเปล่า แต่ในวันนี้คงไม่ต้องสงสัยคำตอบกันแล้ว ในเมื่อ A Bug's Life ได้สร้างผลงานอย่างน่าประทับใจขนาดนี้ เล่นเอาดีสนีย์ยิ้มแก้มปริ ในขณะเดียวกัน ก็ยังเอาชนะหนังที่จับตลาดกลุ่มเดียวกันอย่าง The Rugrats Movie และBabe in the City แบบไม่เห็นฝุ่น  และเมื่อเปรียบกับผลงานชิ้นแรกของผู้สร้างคู่นี้Toy Story ก็ยังสามารถเอาชนะไปถึง 17% (Toy Story เปิดตัวด้วยรายได้ $39.1M จากวันพุธถึงอาทิตย์รวม 5 วัน)

จากการเปิดฉายใน 2,686 โรง A Bug's Life ทำเงินเฉลี่ยต่อโรงได้ถึง $12,382 เรียกว่าโรงโป่งเลยทีเดียว ตัวเลขนี้เกือบเป็นสองเท่าตัวของค่าเฉลี่ยรายได้เปิดตัวที่คู่แข่ง Antz เคยทำไว้เมื่อต้นเดือนตุลาคม (เปิดตัว 3 วันแรกได้ $17.2M) มีแนวโน้มอันสดใสว่าจะทำรายได้ไปเทียบไหล่รุ่นพี่อย่างToy Story ที่ทำไว้ถึง $191.8M เมื่อสิ้นสุดโปรแกรมฉาย, เทศกาล Thanksgiving ปีหน้า Disney/Pixar ยังมีหนังภาคต่อ Toy Story 2 ที่จะกลับมาโกยเงินอีกครั้ง

The Rugrats Movie ของค่าย Paramount ที่เปิดตัวแบบถล่มทลายเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว โดนแมลงเขี่ยหล่นมาอยู่อันดับ 2 แต่รายได้ก็ยังสวยอยู่คือได้ไปอีก $21.0M จาก 3 วัน และตลอดห้าวันได้ไป $27.4M ลดลงแค่ 23% จากสัปดาห์ก่อน รวมสิบวันกวาดรายได้ไปแล้ว $57.9M นับว่ายังแรงไม่ตก แนวโน้มไปได้สวยถึงหลัก $100M อย่างสบายๆ เรียกว่ากำไรแบบเนื้อๆเพราะลงทุนสร้างไปแค่ $25M เท่านั้นเอง มีหวังได้เห็นภาคต่อในอนาคตอันใกล้แน่นอน

ส่วนหนังแอ็คชั่น-ทริลเลอร์เรื่องล่าสุดของ Will Smith ผลงานสร้างของ Jerry Bruckheimer ในนามค่าย Buena Vista (อีกแล้ว),Enemy of the State ก็ยังไปได้สวย รายได้สามวัน $18.1M และรวมห้าวัน $25.9M ลดลงไปแค่ 10% เท่านั้น รายได้รวม 10 วันเก็บเงินไปแล้ว $49.3M คงเป็นเพราะเป็นหนังแอ็คชั่นเพียงเรื่องเดียวที่เปิดฉายในช่วงนี้ ประสมกับจากปากต่อปาก และคำวิจารณ์ในแง่บวกถึงคุณภาพ รวมกับสูตรสำเร็จระหว่างผู้สร้าง Bruckheimer + ผู้กำกับ Tony Scott + Buena Vista และพลังดาราระดับแม่เหล็กของ Gene Hackman ที่เคยประสบความสำเร็จมาอย่างเรื่องที่แล้วคือCrimson Tide ทำให้น่าจะไปได้ถึงหลัก $100M อย่างไม่ยากเย็นนัก

เท่านั้นยังไม่พอ ค่าย Buena Vista ยังมีหนังเรื่องที่สามที่ติดอันดับ top-5 บนตาราง Box Office อีกเรื่อง นั่นก็คืออันดับ 4  The Waterboy  ของพระเอก Adam Sandler อดีตแช็มป์สองสัปดาห์ที่โดนThe Rugrats Movie ของค่าย Paramount เขี่ยตกจากอันดับหนึ่งเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์ที่สี่ของThe Waterboy ก็ทำเงินไปได้อีก $13.6M เฉพาะวันศุกร์ถึงอาทิตย์ และเมื่อนับรวมย้อนไปถึงวันพุธรวม 5 วันก็เป็นตัวเลข $19.6M ลดลงแค่ 13% รวม 24 วันฟันไปแล้ว $122.2M เป็นหนังที่ทำรายได้เป็นอันดับ 10 ของปีนี้ และกำลังไต่อันดับขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่อ่อนแรง รวมผลงานจากหนังทั้งหมดในเครือประจำสุดสัปดาห์นี้ ค่ายดิสนีย์ทำเงินไปได้ $67.7M จากวันศุกร์ถึงอาทิตย์ และได้ทั้งหมด $95.2M จากเวลา 5 วันของเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า เล่นเอายิ้มแก้มปริกันทั่วหน้า

อันดับ 5 เป็นหนังภาคต่อลงทุนสูงของค่าย Universal ที่ทำเงินอย่างน่าผิดหวัง Babe in the City เปิดตัวด้วยตัวเลขเพียง $6.2M จากสุดสัปดาห์สามวัน และได้ไปทั้งหมด $8.2M จากห้าวันเทศกาล จากทุนสร้างถึง $80M เปิดฉายใน 2,384 โรง ได้ตัวเลขเฉลี่ยต่อโรงแค่ $2,585 เท่านั้น (ภาคแรก Babe เปิดตัวสุดสัปดาห์แรก $8.7M เมื่อเดือนสิงหาคม 1995 รายได้สุดท้ายโปรแกรม $63.7M กวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า $240M แถมยังได้เข้าชิงรางวัล Oscar สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกด้วย) งานนี้เป็นการเสียฟอร์มอย่างหมดรูปของหมูน้อยกับผองเพื่อน ต้องถูกเชือดเพราะดันเข้ามาอยู่กลางสงครามชิงคนดูระหว่าง A Bug's Life และ The Rugrats Movie เข้าพอดี แถมยังเป็นการอกหักซ้ำสองของ Universal หลังจากผิดหวังมาแล้วกับMeet Joe Black เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

อันดับ 6 เป็นหนังของค่าย Universal ที่ทำให้อกหักมาแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ก่อน หนังโรแมนติกนำโดยพระเอก Brad Pitt, Anthony Hopkins และดาราสาวหน้าใหม่ Claire Forlani Meet Joe Black รายได้ลดลง 27% ได้ไปอีก $5.8M รวมแล้วเก็บเงินไปได้ $35.8M ส่วนอันดับ 7 เป็นหนังสยองขวัญภาคต่อของ Sony, I Still Know What You Did Last Summer เก็บไปได้อีก $4.5M ตัวเลขรวมขณะนี้ $33.5M

ส่วนหนัง top-10 อันดับที่เหลือก็ทำเงินกันไปอย่างกระจุ๋มกระจิ๋มHome Fries หนัง romantic comedy แบบนุ่มๆ ของค่าย Warner Bros. นำโดย Drew Barrymore เปิดตัวเป็นสัปดาห์แรกอยู่อันดับ 8 ด้วยรายได้ $3.8M จาก 3 วันสุดสัปดาห์ และได้ $5.3M จากห้าวันเทศกาล เฉลี่ยต่อโรง $1,966 นับว่าผิดความคาดหมายไปหน่อย หลังจากได้รับคำวิจารณ์ออกมาในทางลบ หนังของเธอเรื่องที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างมหัศจรรย์ คือEver After (เปิดตัว $8.5M, รายได้รวม $65M) และ The Wedding Singer (เปิดตัว $18.9M, รายได้รวม $80.2M)

อันดับ 9 ขึ้นมาจากอันดับ 13 เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว หนังพีเรียดของสังกัด GramercyElizabeth ฉายเป็นสัปดาห์ที่ 4 ได้ไป $3.4M ตอนนี้ได้โรงฉาย 516 โรง เฉลี่ยต่อโรง $6,572 ตอนนี้เก็บไปแล้ว $7M

อันดับ 10 จากรายการทอล์คโชว์ของ Jerry Springer มาเป็นหนังโรงของค่าย Artisan, Ringmaster เปิดฉายใน 1,312 โรง ได้ไปแค่ $3.3M จากสามวัน และได้ไป $5.0M จากห้าวัน เฉลี่ยต่อโรง $2,549 เมื่อเทียบกับทุนที่ลงไปไม่มาก ก็นับว่ายังใช้ได้

หนัง black comedy ของ Polygram นำโดย Christian Slater, Jon Favreau, และ Cameron Diaz, Very Bad Things ได้ไป $3.2M จาก 3 วันของการเปิดฉายสัปดาห์แรก และได้ $4.7M จากห้าวัน จากจำนวน 1,260 โรง เฉลี่ย $2,576 ต่อโรง เป็นเรื่องเกี่ยวกับความวุ่นวายหลังจากการตายของสาวนางระบำเปลื้องผ้าในงานปาร์ตี้สละโสด กำกับโดย Peter Berg

สรุปแล้ว หนังที่ถูกอกถูกใจคอหนังในเทศกาลวันหยุด Thanksgiving นี่ก็คือหนังเบาๆ แต่สุดสัปดาห์หน้า จะถึงคิวเชือดจากการถูกสร้างใหม่ของPsycho