ณ โลกอนาคตสุดทันสมัยปี 2054 ที่การเดินทางข้ามเวลาเป็นเรื่องจริง มหาเศรษฐีบางคนจึงมีวิธีหย่อนใจแบบใหม่ นั่นคือการเดินทางย้อนเวลาไปล่าไดโนเสาร์ ในโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์

มีกฎในการเดินทางอยู่เพียง 3 ข้อ นั่นคือ ห้ามทิ้งอะไรเอาไว้, ห้ามนำอะไรกลับมา และที่สำคัญที่สุดคือ ห้ามเปลี่ยนสิ่งใดในอดีตเด็ดขาด เพราะการเปลี่ยนแปลงเพียงนิดเดียว ก็อาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ต่อวิวัฒนาการเกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการถึง

Time Safari Inc. คือบริษัทจัดทัวร์ย้อนอดีตที่ดังที่สุด โดยที่ในแต่ละครั้ง จะมีเจ้าหน้าที่ของเอเจนซี่ ออกตระเวนหาเหล่าไดโนเสาร์ ที่กำลังจะล้มตายลง และพาลูกทัวร์มายังที่นั่น ในช่วงเสี้ยววินาทีก่อนหน้านั้น และเริ่มต้นการไล่ล่ามัน เพื่อที่ว่าเมื่อไดโนเสาร์ล้มตายลง จะไม่ทำให้เกิดความผิดปกติ ของประวัติศาสตร์แห่งกาลเวลา

แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อทีมนักล่าคนหนึ่งละเมิดกฎ เผลอก้าวออกไปจากทางเดินที่บริษัทกำหนดไว้ และเหยียบลงบนพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ และได้เหยียบผีเสื้อตัวหนึ่งตายลง ซึ่งผลลัพธ์แห่งความตาย ของสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเพียงเล็กน้อยนี้ กลับส่งผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างมหาศาล...

ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ที่ส่งผลต่อบรรยากาศ และสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ กระทั่งลุกลามอย่างรวดเร็ว สู่ห่วงโซ่อาหารและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพียง 24 ชั่วโมงการเปลี่ยนแปลง ก็เกิดขึ้นอย่างรุนแรงทั่วทั้งเมือง จนความสงสัยใคร่รู้ของผู้คน กลายเป็นความผวากลัว ที่อ่าวมิชิแกน ปลาทะเลพากันเกยตื้น พืชพันธุ์ก็เติบโตรวดเร็วผิดปกติ ราวกับดินแดนเขตร้อนเมื่อล้านปีก่อน มันแตกหน่อตามทางเท้า พร้อมรากยักษ์ที่ชอนไชไปทั่วบริเวณ พังรถราจนยับเยิน และปกคลุมตึกรามบ้านช่องจนมืดมิด ตามมาด้วยเหล่าแมลง และสัตว์ที่เคลื่อนไหวรวดเร็วเกรี้ยวกราดอย่างแมลงสาบ และตั๊กแตนที่บินว่อนเป็นฝูงจำนวนมหาศาล สิ่งมีชีวิตนักล่าที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ปรากฎตัวขึ้นในรูปลักษณ์เลื้อยคลานที่ดุร้าย และฉลาดจนน่าขนลุก พวกมันเคลื่อนไหวคืบคลานบนดินแดนชวนน่าสะพรึง

มีเพียง 2 คนเท่านั้น ที่เดาออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นคือ แทรวิส ไรย์เออร์ (เอ็ดเวิร์ด เบิร์นส) ผู้ดูแลการเดินทางย้อนเวลาแห่งบริษัท Time Safari และ ซอนย่า แรนด์ (แคทเธอลีน แม็คคอแม็ค) นักวิทยาศาสตร์มากพรสวรรค์ ผู้คิดค้นเทคโนโลยีการเดินทางข้ามเวลา ส่วน ชาร์ลส แฮทตัน (เบน คิงสลี่ย์) ผู้บริหารแห่ง Time Safari คือคนที่ขโมยสูตรที่ยังไม่ได้ทดลอง ไปทำธุรกิจโดยไม่สนใจคำเตือนใดๆ

ขณะที่ทุกฝ่ายต่างหวาดผวา และเวลาก็เหลือน้อยเต็มที ไรเออร์และแรนด์ ต้องหาทางกลับไปแก้ไขสาเหตุของหายนะ เพื่อเอาตัวรอด และกู้ชีวิตมนุษยชาติไม่ให้สูญพันธุ์ แต่เมื่อความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเป็นระลอก ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โลกปัจจุบันของเขา จึงพังทลายลงตรงหน้า อย่างไม่มีทีท่าจะหยุด..!

A Sound of Thunder ภาพยนตร์ไซไฟ ที่ทุ่มทุนสร้างกว่า 3,200 ล้านบาท ที่เนรมิตฉากแห่งโลกอนาคต และอดีตกาลขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ รวมถึงเทคนิคของคอมพิวเตอร์กราฟฟิคตระการตา ที่เนรมิตสิ่งมีชีวิตประหลาดขึ้นมาอย่างอลังการ นี่คือภาพยนตร์ที่ตั้งคำถาม ให้คนดูเกิดความอยากรู้ว่า จริงหรือ? ที่ว่ามหาวิปโยคเกิดขึ้นได้ ด้วยการตายของผีเสื้อเพียงตัวเดียว!! นี่จะเป็นการทดสอบทฤษฎี Butterfly Effect บนโลกแผ่นฟิล์ม ที่เหมือนจริงที่สุด

A Sound of Thunder เป็นการผสมผสานภาพยนตร์ 2 ประเภท ที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วโลก มาหลายยุคหลายสมัย ทั้งแนวสัตว์ประหลาดสุดตื่นตา (Creature Feature) แนวภาพยนตร์ที่มีจูราสสิคปาร์ค อาทิเช่น Gremlins, Alien, E.T. the Extra-Terrestrial ฯลฯ และประเภทการย้อนเวลาสู่อดีต สนองความอยากรู้ของมนุษย์ที่ไม่มีวันจบสิ้น (Time Travel) ได้แก่ Back to the Future อีกทั้งยังเป็นการกลับมา ของภาพยนตร์สไตล์ผจญภัยสู่โลกไดโนเสาร์ โปรดักชั่นไดโนเสาร์ฟอร์มยักษ์ในรอบหลายๆ ปี หลังจากที่ Jurassic Park ทั้ง 3 ภาค เคยนำร่องความสำเร็จมาแล้ว

A Sound of Thunder ดัดแปลงจากเรื่องสั้นชื่อเดียวกันของ เรย์ แบร็ดบิวรี่ (Ray Bradbury) ที่ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1952 หลังจากนั้นเป็นต้นมา เรื่องราววิกฤตการสูญพันธุ์ของมนุษยชาติ จากความเลินเล่อของคนๆ เดียว ก็ปรากฎในหนังสือรวมงานเขียนกว่า 80 เล่มทั่วโลก และยังคงเป็นอมตะอยู่ในแบบเรียน และเป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียน และนักทำหนังหลายคน

ภาพยนตร์เรื่อง A Sound of Thunder กำกับโดย ปีเตอร์ ไอแฮม (End of Days, The Musketeer, The Relic, Outland, Capricorn One) นำแสดงโดย เอ๊ดเวิร์ด เบิร์นส (Confidence, 15 Minutes, Saving Private Ryan, She's the One, The Brothers McMullen), เบน คิงส์ลี่ย์ (House of Sand and Fog, Sexy Beast, Bugsy, Schindler's List, The Assignment, Gandhi), แคเธอลีน แมคคอแม็ค (Spy Game, The Tailor of Panama, Braveheart)