more info. from IMDB
แนว : ดราม่า
ความยาว : 87 นาที
กำหนดฉาย : 14 กรกฎาคม 2548
ปี ค.ศ. 1970 ประเทศตุรกีเป็นดินแดนที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ของสังคมและการเมืองอย่างมาก ประเทศเพื่อนบ้านที่ทรงอำนาจของตุรกีอย่าง สหภาพโซเวียต เป็นบ่อเกิดของความหวาดกลัว และวิตกกังวลทั้งมวล พวกคอมมิวนิสต์ในตุรกี หรือใครๆ ที่ถูกหมายหัวว่าเป็น "คนนอก" จะถูกจับตามองจากรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เมื่อคนทรยศคดโกงพากันครองเมือง ความตึงเครียดจึงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของตุรกี รวมไปถึงเมือง Trabzon ริมทะเลดำ ที่ห่างจากชายแดนโซเวียตไม่กี่ร้อยเมตร ณ บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของตุรกี เป็นดินแดนสงบสุขที่สองวัฒนธรรม - กรีกและตุรกี ผสมผสานลงตัวมานาน ก่อนการล่มสลายของอาณาจักรออตโตมาน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ไกลจาก Trabzon คือ Trebolu เมืองประมงชาว Pontic Greek สถานที่ที่ Ayshe อาศัยอยู่ เราจะได้เรียนรู้ถึงช่วงเวลาหนึ่ง ในสงครามที่เกือบจะถูกลบเลือน สัมผัสผลของการกวาดล้างหมู่บ้าน ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย โดยกองทัพออตโตมานในช่วงฤดูหนาวของปี 1916 และการบุกยึด Trabzon ที่ซึ่งประชาชนกรีกลำบากแสนสาหัส จากการกวาดล้างครั้งนั้น ที่ไหนคือบ้านเกิด? ใครคือคนแปลกหน้า? คำถามถึงรูปลักษณ์ และเชื้อชาติ ดำเนินคู่ไปกับชีวิตที่ยาวนาน และหมองเศร้าของ Ayshe ซึ่งเป็นธีมหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ สถานที่อันสวยงามของภูมิภาค จากไอหมอกของทะเลดำ และมวลเมฆที่ลอยเอื่อยเรี่ยยอดเขา สร้างบรรยากาศหมองหม่น ให้กับความลับที่ถูกเก็บไว้ยาวนาน ที่ท้ายสุดแล้ว จะนำเราให้เข้าถึงมุมลับ อีกมุมหนึ่งของประวัติศาสตร์... หลังจาก เยซิม อุสตาโอกลู (Yesim Ustaoglu) กำกับหนังสั้นจนได้รางวัลมากมาย จึงสร้างภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกคือ The Trace ในปี 1994 ซึ่งมีฉากอยู่ในหลายประเทศทั้งมอสโค และโกเต็นเบิร์ก และมาถึงภาพยนตร์เรื่องที่สอง ที่เธอได้รับการกล่าวขวัญถึงเป็นอย่างมากคือ Journey to the Sun ได้รับรางวัล Blue Angel Award และ Peace Film Prize ที่ Berlin International Film Festival เมื่อปี 1999 และยังไปกวาดรางวัล Best Turkish Director of the Year, Best Turkish Film of the Year, FIPRESCI Prize และ People's Choice Award จาก Istanbul International Film Festival ในปีเดียวกัน ผลงานเรื่อง Waiting for the Clouds เป็นผลงานลำดับที่สามของเธอ ซึ่งได้รับทุนบางส่วนและการสนับสนุนจาก Sundance/NHK International Filmmakers Award ในปี 2003 สาขายุโรป ซึ่งรางวัลนี้ถูกตั้งขึ้นในปี 1995 โดย สถานีโทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่น ร่วมกับ สถาบัน Sundance เพื่อเป็นเกียรติและสนับสนุนนักทำหนังที่โดดเด่น ด้วยบทภาพยนตร์เรื่องใหม่ ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัล ต้องมีแบบฉบับของตน ความสามารถ และวิสัยทัศน์ที่ดี ที่ทำให้เราค้นพบอนาคตของภาพยนตร์นานาชาติ โดยเลือกจาก สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, ละตินอเมริกา และยุโรป นักทำหนังแต่ละคน จะถูกเลือกจากบทเรื่องต่อไป และงานชิ้นก่อนๆ (ภาพยนตร์ขนาดยาวภาพยนตร์ขนาดสั้น มิวสิควิดีโอ ภาพยนตร์โฆษณา และ อื่นๆ) รางวัลทั้งหมด 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐ เช่นเดียวกับการรับรองจาก NHK ที่จะซื้อสิทธิการฉายทางทีวี ของภาพยนตร์เมื่อเสร็จสิ้น ผลงานที่ชนะ จะถูกเชิญให้ร่วมเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ที่ Park City ในเมืองยูท่าห์ พื้นหลังทางประวัติศาสตร์ Pontic (เป็นภาษากรีก มีที่มาจากคำว่า euxinos pontos หมายถึง ทะเลดำ) คือ ชุมชนชาวกรีกที่ริเริ่มตั้งถิ่นฐาน บนชายฝั่งทะเลตอนใต้ของทะเลดำ เมื่อ 3000 ปีก่อน และขยายไปยังชายฝั่งตอนเหนือ, ตะวันออก และตะวันตก ซึ่งกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามายังคาบสมุทรเอเชียตะวันตกนี้ มาจาก Militav ในช่วงศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล ได้สร้างเมือง Sinopi ซึ่งต่อมาได้รองรับผู้อพยพจาก Megare และ Athens ด้วย บรรดาเมืองใหม่รอบชายฝั่งทะเล ที่เรียกว่า Pontic Greeks นี้ กลายเป็นจุดควบคุมเส้นทางการค้าที่สำคัญๆ แต่ต่อมาภายหลัง ดินแดนนี้ถูกชาวเปอร์เซียนครอบครอง อย่างไรก็ตาม ชาวกรีกก็กลับมาปกครองตนเองได้อีกครั้ง และใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อำนาจทางเศรษฐกิจของดินแดนนี้รุ่งเรืองถึงขีดสุด ในยุคสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช และหลังการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ Mithridates (ราว 320 ปีก่อนคริสตกาล) ก็ได้ก่อตั้งรัฐ Pontic ยุคนี้ โดยขยายอารยธรรมแบบกรีกไปยังดินแดนรอบข้าง ในช่วง 63 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรนี้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ส่งผลให้ชาว Pontic มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายและสงบสุข ปี 1461 เมือง Trapezount ปราการสุดท้ายของจักรวรรดิ ได้ถูกชาวเติร์กทำลายลง ชาวกรีกหลายพันคนจึงได้อพยพไปยัง Russia, Georgia, Armenia และ Kazakhstan บางส่วนหลบไปยังภูเขา ในดินแดนลึกเข้าไปจากชายฝั่งทะเล พวกเขาก่อสร้างชุมชนขึ้นใหม่ เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม ที่ซึ่งชาวกรีกจะได้รับการต้อนรับอย่างเต็มใจสืบมา จากเหตุการณ์นี้ ชุมชนที่สองของ Ponto-Greek เติบโตขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในรัสเซีย ที่ขยายตัวจนยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง ด้วยจำนวนของผู้อพยพมากมาย ในยุคการปกครองของออตโตมัน เฉพาะใน Russia มีชาว Pontic อาศัยอยู่ราวครึ่งล้านคน และหลังจากการอพยพในปี 1918 ตัวเลขก็เพิ่มขึ้นเป็น 650,000 คน ชาว Pontic Greek หลายคนถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนา ความรุ่งเรืองช่วงสุดท้ายของชาว Pontic Greek เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ของอารยธรรมกรีกชายฝั่งทะเลดำ กลุ่มคนผู้เป็นพ่อค้าเหล่านี้ ได้สร้างโรงเรียน โรงละคร จัดการให้แต่งกายแบบประเพณีนิยม และตีพิมพ์หนังสือพิมพ์เอง การยึดอำนาจโดยกลุ่ม Young Turks ในปี 1908 คือจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของชาวกรีก และชาวคริสต์ทั้งหมดในจักรวรรดิออตโตมัน กลุ่ม Young Turks ตั้งเป้าหมายสูงสุดของตน ไว้ที่การแปลงจักรวรรดิออตโตมันด้วยอารยธรรมเติร์ก ชุมชนคริสต์ถูกทำลาย และบังคับให้เปลี่ยนศาสนา Kemal Attaturk ดำเนินการตามนโยบาย จนสำเร็จตามแผนที่รู้จักกันดีว่า คือการปฏิวัติเพื่ออิสรภาพ โดยที่สนธิสัญญา Lausanne ในปี 1923 คือจุดจบของอารยธรรมกรีกที่สืบทอดในภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นดินแดนสุดท้าย ที่คงอยู่ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา ชาวกรีก 1,250,000 คน ถูกเนรเทศกลับกรีซ ทุกคนที่พยายามเอาตัวรอดจากห่ากระสุน จนมาพบความสงบในดินแดนกรีซ, รัสเซีย, อาร์เมเนีย และอียิปต์ มีเพียงชาว Pontic ที่กลายเป็นมุสลิม ยังคงอาศัยอยู่ที่เดิม ปัจจุบันนี้ พวกเขายังคงพูดภาษา Pontic มีรากฐานมาจากภาษากรีก และในวันที่ 19 พฤษภาคม เป็นวันแห่งการรำลึก ถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกรีก Pontic |