 |
ความคิดเห็นที่ 460 |
|
#455 ที่บอกว่ามันแปลก เพราะดูจากบริบทของประโยคนั้นๆ ครับ ในเมื่อคุณบอกว่า "แว้นซ์" เป็นการกระทำผิด และในอีกมิติหนึ่งคุณก็บอกว่า "ฆ่าคนตาย" เป็นการกระทำผิด แต่ในกรณีนี้ การฆ่า "แว้นซ์" ถือเป็นการกระทำที่สมควร ? มันสมควรยังไง ในเมื่อมันก็คือ "การฆ่าคนตาย" เช่นเดียวกัน ? กรณีนี้ใช่ใช้ตรรกะแปลกหรือไม่ ? ลองคิดเอาเอง
-----------------
#453 แนวคิดนี้ ไม่ใช่ "มนุษย์นิยม" ครับ แต่เป็น "ประโยชน์นิยม" ที่มองเห็นแต่ "ดำ" กับ "ขาว", มองเห็นแต่ "สิ่งไม่มีประโยชน์" และ "สิ่งที่มีประโยชน์", และแนวคิดแบบ "ประโยชน์นิยม" แบบสุดโต่ง (ไม่ใช่ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ถ้าสุดโต่งไป มันก็ไม่ดีใช่หรือไม่? พุทธศาสนาสอนให้ "อย่าคิดอะไรสุดโต่ง" ใช่หรือไม่?) การเหมารวมว่า "ผิดทั้งหมด ผิดทุกคน" โดยไม่แบ่งแยกเป็นกรณีที่ชัดเจน (ผิดทุกคนหรือเปล่ายังไม่ทราบ?) และไม่แยกผู้กระทำความผิดเป็นกลุ่มๆ เป็นเคสๆ เป็นรายๆ ไป เช่นนี้มันก็ไม่ต่างอะไรไปกับการที่ฮิตเลอร์เหมารวมกระทำผิดเข้าใส่ชาวยิวเลยแม้แต่น้อย (เพราะชาวยิวไม่มีประโยชน์!)
คำถามต่อมาคือ "แล้วมนุษย์อย่างไหนที่เรียกว่าประโยชน์" คำถามนี้เป็นคำถามที่นักปรัชญาถามอย่างต่อเนื่อง และยาวนานคำถามหนึ่ง (และคำตอบที่ได้รับก็คลุมเคลือดสุดๆ คำถามหนึ่ง) แล้วมันยังต่อยอดมาถึงคำถามที่เป็นหลักการของศาสนาเกือบทุกศาสนา คือ "แล้วมนุษย์ (ผู้โอหัง) มันเกิดมา (ทำซาก..หาพระแสงหาของ้าว) อะไร (ว่ะ) ?" คำตอบที่ได้รับไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม (ก็ลองให้คนที่ตายสัก 10 - 20 ปี ลุกขึ้นจากหลุมมาตอบสิ ว่าตายแล้วไปไหน? เกิดมาทำไม? มันทำได้ไหม?) คำถามนี้เป็นคำถามปัญหาโลกแตก (ประมาณ "ไก่ กับ ไข่ อะไรเกิดก่อนกัน?" ประมาณนั้นเป๊ะ!)
พูดในเชิงอาชญาวิทยา (ว่าจะไม่พูดแล้วเชียว) มันไม่ได้เป็นที่ "ผู้กระทำความผิด" เพียงฝ่ายเดียว, ไม่ได้เป็นที่ "สังคม" เพียงฝ่ายเดียว, ไม่ได้เป็นที่ "พ่อแม่" เพียงฝ่ายเดียว, ไม่ได้เป็นที่ "การเลี้ยงดู" เพียงฝ่ายเดียว, ไม่ได้เป็นที่ "สภาพแวดล้อม" เพียงฝ่ายเดียว, และไม่ได้เป็นที่ "เหยื่อ" เพียงฝ่ายเดียว (อ่านถูกแล้วครับ ผมพูดถึง "เหยื่อ" นั่นล่ะ) แต่มันเกิดจากการผสมผสานกันเป็นระลอกคลื่นอันสลับซับซ้อน จนเกิดเป็นความผิดปกติของสังคมเกิดขึ้น ไม่มีนักอาชญาวิทยาคนไหนอยากให้สังคมเ้กิดความผิดปกตินี้ แต่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมนุษย์ไม่ใช่เป็น "พระอรหันต์" มันเป็นเพียง "สัตว์กึ่งสังคม"[1] มันไม่มีหรอกที่มนุษย์จะเป็นผ้าขาวใส หรือ ดำหม่นหมองอยู่ตลอดกาลนาน (มีใครบ้างบอกว่าตัวเองดีสุดขีดได้บ้าง มีใครบ้างบอกว่าตัวเองชั่วสุดขีดได้บ้าง ?) มนุษย์เป็นสัตว์ที่เปลี่ยนแปลงตนเองได้ และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เพียงชั่วข้ามคืน หรือเพียงชั่ววินาทีเท่านั้น (ดังนั้นใครบอกว่า ผู้หญิงลืมยาก หรือผู้ชายลืมยาก ผมคงต้องคิดในใจว่า "มิงบ้าไปแล้วเหรอ? มนุษย์น่ะมันเปลี่ยนแปลงง่ายจะตายไป!") ...นี่พล่ามแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหลงเหลงอะไรไป กลับฝั่งก่อนนะครับ
"ผู้กระทำผิด" ภาวะในสภาพจิตใจของผู้กระทำผิดเป็นประการสำคัญในปัจจัยหนึ่งในการกระทำความผิด ภาวะเช่นนี้มีหลายทฤษฎีที่อธิบายถึง ไม่ว่าจะเป็น ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ และท่านอื่นๆ ฯลฯ หากจะให้อธิบายผมคงอธิบายได้เพียงแต่ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมันด์ ฟรอยด์ เพราะค่อนข้างจะจำได้นิดๆ (ด้วยขมองน้อยๆ) ทฤษฎีวิเคราะห์กล่าวถึงสภาพของจิตใจที่สมมติขึ้นเป็นนามธรรม มีสามประการด้วยกัน คือ ID, Ego, Super Ego ซึ่งมันเป็นการกดดันกันทีละขั้น ทีละตอนและมีความสลับซับซ้อนกันประการหนึ่ง (ซึ่งผมก็จำไม่ได้ ฮาฮา) โดยหลักสำคัญของทฤษฎีของซิกมันด์ จะกล่าวถึงความกดดันทางเพศ ที่กระตุ้นให้เกิดการกระทำความผิดเป็นหลัก (ไม่รู้แกหื่น หรือผมหื่นนะ ฮาฮา)
"ด้านสังคม" (ผมถนัดมากกว่า) ทฤษฎีที่ผมจะยก (ความจริงมีเยอะกว่านั้นมาก เช่นเดียวกับในทางจิตวิทยา) คือ ทฤษฎีสภาพไร้บรรทัดฐาน (Anomie Theory) ของเดอร์ไคม์ ที่ผมพูดถึงในตอนที่คุยกับเพื่อนของผมเอง สภาพของการไร้บรรทัดฐาน คือ การไม่ยอมรับค่านิยมของสังคม ซึ่งมักจะเกิดกับสังคมอุตสาหกรรม สังคมเมืองใหม่ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว (คุ้นๆ ไหม เหมือนประเทศสารขัณฑ์หรือเปล่า? คิดเอาเอง) ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เกิดการแบ่งแยกทางสังคมอย่างรุนแรง เกิดการไม่ยอมรับกันในสังคม ตรงนี้ผมขออธิบายเพิ่มว่า จากนั้นจะเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า "สังคมรอง" เกิดขึ้น (เป็นอีกทฤษฎีหนึ่งที่เกิดขึ้นมารองรับในภายหลัง) คนในสังคมหลักจะกล่าวประนาณคนที่อยู่ในสังคมรอง (เหมือนกับกระทู้นี้ไหม?) ในขณะที่สังคมรองจะเข้าใจว่าตัวเองนั้นถูกต้อง ฯลฯ (ผมไม่อยากอธิบายมาก หาอ่านทฤษฎีอาญา และทฤษฎีอื่นๆ ประกอบเอาเอง มันอธิบายสังคมได้เกือบจะครอบคลุมเกือบทั้งหมดนั่นล่ะ (ยกเว้นอาชญากรรมทางธุรกิจ อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่มีข้อสรุปในวงการอาชญาวิทยา และนิติศาสตร์) เขาศึกษากันเป็นชาติแล้วพี่น้อง!) เดอร์ไคม์กล่าวว่า สังคมใดมีปริมาณอาชญากรรมสูงเกินไป แสดงให้เห็นว่า สังคมนั้นมีความผิดปกติในสังคม และความไร้สมรรถภาพของกลไกควบคุมสังคม (รัฐบาลเสื่อม มัวแต่ไปตามจับ "เหลี่ยม" ไม่ยอมหันมาจัดการปัญหาสังคม เบื่ออออออออออออ!)
ผมขอวกข้ามมาที่ "เหยื่อ" เลยแล้วกัน (เพราะนอกนั้นไม่ค่อยจะจำเป็นเท่าไหร่ เพราะมันไปกระจุกอยู่ที่ "สังคม" เกือบหมดแล้ว) เหยื่อตรงนี้ก็มีส่วนสำคัญในคดีต่างๆ มากมาย ไม่น้อยไปกว่า "ผู้กระทำความผิด" เลย หลายต่อหลายคดีมาจากความสามารถที่อ่อนด้อยของ "เหยื่อ" ด้วยกันทั้งสิ้น ผู้กระทำควา่มผิดส่วนใหญ่จะเห็นความอ่อนแอ และโอกาสในการกระทำความผิดจากตัว "เหยื่อ" แทบทั้งหมด (ถ้ามันมองไม่เห็น แล้วมันเข้าไปกระทำความผิด มันก็ฉลาดน้อย ถึงขั้นโง่สุดขีดแล้วล่ะ!) แน่นอนหากมองจี้ไปที่ปัญหาการข่มขืนเพียงอย่างเดียว จะมองเห็นภาพชัดขึ้น ปัญหาการข่มขืน นอกจากเหยื่อจะเป็นผู้อ่อนแอแล้ว เหยื่อยังกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของผู้กระทำความผิดไม่มากก็น้อย ปัญหามันจึงเกิดขึ้นมาจาก "แฟชั่น" ด้วยเช่นกัน
ตรงนี้ ผมเคยบอกแฟนเก่าผมแล้วว่า "ทำไมผมถึงไม่อยากให้เขานุ่งสั้น โชว์หวาบหวิวให้มากนัก" แต่คำตอบที่ได้มา คือ "ไม่เลิก!" เพราะมันเป็นแฟชั่น เ้พราะมันไม่สวย เพราะมันไม่นั่นไม่นี่ นี่คือเหตุผลที่ยกมาอ้าง (ข้างๆ คูๆ) คิดในใจ "ขออย่าให้ปัญหาเกิดขึ้น แล้วคิดถึงคำพูดผมนะ"
แฟชั่นตัวนี้มันมาจากไหน ?
คำตอบก็คือ "สื่อ" ทั้งนั้น! ทั้งเรื่องการลอกเลียนแบบ (ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำผิดและเหยื่อ ต่างได้รับแรงกระตุ้นจากสื่อทั้งนั้น) ทั้งการโปรโมท ทั้งการโมษณา พอตำรวจจับผู้ต้องหามาได้ สื่อก็วิ่งแจ้นมาขอถ่ายผู้เสียหาย (รู้ไหม ว่า มันเป็นเสื่อมเสียหน้าเขาขนาดไหน ไอ่พวกสื่อบ้า! ค่านิยมไทยมันเหมือนต่างประเทศที่ไหน ?) ทั้งออกข่าวอาชญากรรมออกมาทุกวี่ทุกวัน (เพราะมันขายได้ เพราะมันเป็นสิ่งผิดปกติของสังคม ชุ่ยจริงๆ) นี่เป็นปัญหาหนึ่งประการในร้อยแปดพันเก้าของปัญหาเรื่องอาชญากรรม ซึ่งอยู่ในรายวิชา "เหยื่อวิทยา" (Victimology) หนึ่งในรายวิชาที่ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทย
หวังว่าชาตินี้ ผมคงจะได้เห็นประเทศสารขัณฑ์มี "สำนักงานศึกษาอาชญากรรม" อย่างเป็นทางการสักครั้งในชีวิต และหวังว่า ภาครัฐจะเข้ามาสนใจปัญหาอาชญากรรมอย่างจริงจัง ไม่ใช่สักแต่กินงบประมาณ ผลาญมันไปวันๆ หันสนใจวิทยานิพนธ์ในทาง Social-Science บ้างสักนิดก็ยังดี แม้ว่าในสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีสถิติอยู่ แต่ก็เพียงเก็บสถิติอาชญากรรม เคยคิดจะหยิบขึ้นมาศึกษาบ้างไหม ?
มัวแต่ไปไล่จับ "เหลี่ยม" อยู่นั่นล่ะ รู้ไหมว่า "กุเบื่ออออออออออออ" มิน่า งานด้านอาชญากรรม พวกท่านถึงต่ำติดดินขนาดนี้ !!
ปล. ขออภัยที่พล่ามยาว น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงเช่นนี้ ครับ
[1] มนุษย์เป็น "สัตว์กึ่งสังคม" (semi-social animal) ยังไง ผมขออธิบายว่า หากมนุษย์เป็นสัตว์สังคมจริง มนุษย์สมควรจะทำเพื่อสังคมอย่างแท้จริง และสังคมก็จะเข้าสู่วิวัฒน์ขั้นสุดท้าย คือ "สังคมคอมมิวนิสต์" ที่อ่านนี่ไม่ผิดหรอกนะครับ "คอมมิวนิสต์" นั่นล่ะ ที่ทุกคนว่าเลวนักเลวหนา ลองไปอ่านแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ บทที่ 2 ตอนท้ายสุด เอาเอง! (ผมไม่อยากอธิบายอีก เบื่อ พวกที่หาว่าเพ้อฝันพอแระ)....แต่นี่มนุษย์เป็นสัตว์ที่เห็นแก่ตัวบ้าง เห็นแก่ประโยชน์บ้าง จึงมีอาจารย์บางท่านในห้องปรัชญาบอกกล่าวเลยว่า มนุษย์ไม่ใช่สัตว์สังคม แต่เป็น "สัตว์กึ่งสังคม" ....ตรงนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์ขามเรียงที่มาเพิ่มหยักขมองน้อยๆ ของผม
จากคุณ |
:
กระบี่เก้าเดียวดาย
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ต.ค. 52 09:52:47
|
|
|
|
 |