 |
ความคิดเห็นที่ 7 |
|
คนทั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รู้ว่า เหตุผลเดียวที่จะไม่เห็นเขากับกระบะถั่ว คือต้องไม่สบายหรือเป็นอะไรสักอย่าง ไม่อย่างงั้นอาบังคนนี้ไม่มีทางหยุดงานเป็นแน่
"เบอนาร์ด ยาโด" คนขายถั่วเก่าแก่แห่งท่าพระจันทร์ บอกกับเราว่า ถ้าไม่ทำงานทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ ย่อมไม่มีทางหาเงินได้พอใช้ เพราะตัวเองมีลูก 4-5 คน แถมด้วยหลานอีก 12
ไม่ว่าอดีตของเขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนปัจจุบันเครื่องหมายคำถามต่อชายชราคนนี้จะจางหายไปจากความคิดเด็ก ธรรมศาสตร์รุ่นหลัง เพราะต้องห่างไกลจากบ้านอย่างท่าพระจันทร์มากขึ้น อย่างไรก็ดี ลูกแม่โดมตั้งแต่รหัส 11 ลงมาถึงรหัส 45 ซึ่งมีโอกาสเรียนที่ท่าพระจันทร์ ย่อมรู้ดีถึงตำนานความตื๊อขายถั่วของอาบัง
หลายครั้งสมัยเรียน เราพบเขาขณะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ริมสนามบอลแบบไม่ทันตั้งตัว เพราะกระบะถั่วจะลอยมาวางโครมข้างโต๊ะ พร้อมคำถาม "จะกินอะไร" เล่นเอาเผ่นแทบไม่ทัน เจอหลายคน จนมีคำขวัญรู้กันทั่วว่า สิ่งที่หนีไม่ได้ในธรรมศาสตร์คือเบอนาร์ดขายถั่ว
อาบังหลอกหลอนผู้คนในธรรมศาสตร์ได้ดี เพราะใครล่ะจะมีเงินซื้อถั่วแกทุกวัน แต่แกก็ยืนยัน นั่งยัน และนอนยันว่า การกินถั่วมีประโยชน์ต่อร่างกาย (เพราะขายของได้)
สำหรับคนธรรมศาสตร์รุ่นเก่า เบอนาร์ดเหมือนคนกันเอง เหมือนสมาชิกครอบครัวเก่าแก่ ที่หนีมาจากแดนไกลเพื่อพึ่งไออุ่นจากชายคาแม่โดม เช่นเดียวกับผู้ทุกข์ยากคนอื่นๆ ที่เดินเข้ามาในอดีต
11 มีนาคม 2548 สายของวันอากาศอบอ้าวกลางเดือนมีนาคม
วันปิดเทอมปกติก็เงียบเหงาอยู่แล้ว แต่ 3 ปีให้หลังนี้ ยิ่งเงียบเหงาเป็นพิเศษ เมื่อคนส่วนหนึ่งไปเรียนที่รังสิต อาบังชราร่างตุ้ยนุ้ยคนนั้นยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
"กินไรเปล่า" เสียงทักทายที่คุ้นหูดังขึ้น รอยยิ้มผสมสายตาเชิงวิงวอนถูกส่งมาที่เรา
"ทำไม ขายไม่ดีอีกแล้วเหรอ"
"ไม่มีคน" เป็นคำตอบจากหลังกระบะถั่ว
หน้าตาอย่างเบอนาร์ด คนในสังคมไทยมักเรียกว่า "แขก" และเขาก็ขายถั่ว จึงเป็นแขกตามมุมมองคนไทยโดยสมบูรณ์พร้อม
เป็นที่รู้กันว่าที่คนต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มคนอินเดียที่เข้ามาหางานทำและ ตั้งรกรากในบ้านเรา มีอาชีพยอดฮิตไม่ขายโรตี ก็ขายถั่ว จนหลายคนคิดว่าเป็นอาชีพผูกขาดของชาวภารตะในประเทศไทยไปเรียบร้อย
ทำให้นึกถึงคำพูดของผู้รู้เรื่อง "แขก" อย่าง ธีรนันท์ ช่วงพิชิต เขาเคยเล่าในงานเสวนาเรื่อง "ฝรั่ง แขก จีน มอญ หลายชาติหลายภาษาในสังคมสยาม" (จัดโดยร้านหนังสือริมขอบฟ้าร่วมกับสำนักพิมพ์สารคดี) ถึงบทบาท "แขก" ในความหมายชี้เฉพาะไปที่กลุ่มคนจากอินเดียซึ่งเข้ามาในเมืองไทยและไม่ได้ นับถือถือศาสนาอิสลามเอาไว้ว่า
"...คนอินเดียที่ไม่ใช่ชาวมุสลิมที่เข้ามา จะทำอย่างแรกคือขายถั่วก่อน เพราะขายถั่วจะรู้จักเศษสตางค์ รู้จักคน โดยเฉพาะประเภทที่มาขอกินฟรีก็มี แล้วยังมีประเภทที่มาเป็นแขกยาม แขกส่งหนังสือพิมพ์ พัฒนามาขายสินค้าเงินผ่อนพร้อมดอกเบี้ย พัฒนาสูงสุดคือเงินกู้ ซึ่งเป็นระบบการต่อรองที่ง่ายกว่าในสังคมปัจจุบัน ซึ่งบางแห่งมีการจัดคนไปข่มขู่คนไม่จ่ายเงิน ซึ่งเป็นวัฒนธรรมใหม่หลังไอเอ็มเอฟเข้ามาบ้านเรา..." เบอนาร์ดเป็นแขกไม่ กี่คนในปัจจุบัน ที่ยัง "ขายถั่ว" ในธรรมศาสตร์และย่านท่าพระจันทร์มา 37 ปีเต็ม โดยสืบทอดอาชีพจากพ่อของเขาซึ่งเคยขายถั่วแถบวิทยาลัยนาฏศิลป์มาก่อน
วันที่เรานั่งสนทนากับเบอนาร์ด เขาหยิบเอกสารชิ้นหนึ่งให้ดูแทนการอธิบายว่ามาจากไหน เพราะเอาเข้าจริงเบอนาร์ดก็ยังสื่อสารกับคนรอบข้างได้อย่างตะกุกตะกัก สำหรับประโยคภาษาไทยยากๆ
"สัญชาติอินเดีย เชื้อชาติฮินดู เกิดที่ตำบลโกลักปูร์ จังหวัดบิสตี้ (อินเดียเหนือ)" ในเอกสารระบุ
"โฮ้ย 37-38 ปีแล้ว" ภาษาไทยเปื้อนสำเนียงฮินดีหลุดมาอย่างอารมณ์ดี และด้วยช่วงเวลาประกอบกับสถานที่ที่เขาเลือกแอบอิง เบอนาร์ดเลยกลายเป็นพยานในเหตุการณ์สำคัญหลายครั้งโดยปริยาย...ไม่ว่าจะ 14 ตุลา หรือ 6 ตุลา เขามีส่วนร่วมทั้งสิ้น แต่ในฐานะกองเสบียงทางอ้อม เพราะเขาขายถั่ว
"ตอนแรกขายของแถวสนามหลวง บางทีก็เดินไปแถวกระทรวงกลาโหม วันไหนเขาเรียนรักษาดินแดน วันนั้นขายดี ตอนนั้นขายถุงละ 50 สตางค์ ถ้าบาทนึงตักได้ตั้ง 12 ช้อน" (ปัจจุบันเบอร์นาร์ดขายถุงละ 10 บาท คิดเป็นถั่ว 5 ช้อนต่อหนึ่งถุง)
จนเขาเดินมาเจอเด็กคนหนึ่งถามว่าทำไมไม่เข้าไปขายในมหาวิทยาลัย เขาเลยเล่าให้หนุ่มผมน้อยคนนั้นฟังว่า ที่ถอยออกมาเพราะยามไม่ให้เข้า เด็กหนุ่มใจดีจึงพาอาบังไปพบอาจารย์ ในที่สุดเบอนาร์ดจึงได้รับอนุญาตให้ทำมาหากินในธรรมศาสตร์ โดยเสียค่าที่เดือนละ 50 บาท (หมายเหตุ -ปัจจุบันเดือนละ 200 บาท ปีหนึ่ง 2,400 บาทสำหรับคนแบกของขาย อย่างเบอนาร์ด) แล้วโชคชะตาของเขา ก็ผูกพันกับสถานที่แห่งนี้นับแต่นั้นเป็นต้นมา
จากคุณ |
:
lovelypinky
|
เขียนเมื่อ |
:
31 ต.ค. 52 15:52:33
|
|
|
|
 |