แพทย์วินิจฉัยกลุ่มโรคออทิสติกอย่างไร?
เกณฑ์การวินิจฉัยกลุ่มโรคออทิสติก (4 โรค) ขององค์การอนามัยโลกและสมาคมจิตแพทย์อเมริกา คือ
- โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism)
- มีอาการครบ 6 ข้อ โดยมีอาการจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ และมีอาการจากข้อ (2) และข้อ (3) อย่างน้อยข้อละ 2 อาการ
- ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ ดังต่อไปนี้
- ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น เช่น การสบตา การแสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้า และภาษาท่าทางอื่นๆ เพื่อการสื่อสาร
- ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
- ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
- ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
- ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
- มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
- ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
- พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษา (ภาษาต่างดาว) อย่างไม่เหมาะสม
- ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนา การ
- มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
- มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
- มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้นว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
- มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ เช่น สะบัดมือ เล่นมือ หมุนตัว
- สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ
- พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้านดังต่อไปนี้ (โดยอาการเกิดก่อนอายุ 3 ขวบ)
- ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
- การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
- การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
- ความผิดปกติที่พบไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยของความผิดปกติจากโรคอื่นๆ เช่น โรคกลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome)
- โรค Rett’s disorder
- มีทุกข้อดังต่อไปนี้
- มีประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดผิดปกติ
- ขนาดเส้นรอบศีรษะปกติตอนแรกเกิด
- มีพัฒนาการปกติช่วง 5 เดือนแรก
- หลังจากช่วงพัฒนาการปกติพบความผิดปกติดังนี้
- การเจริญเติบโตของศีรษะหยุดชะงักเมื่ออายุ 5 เดือน - 4 ปี ทำให้มีศีรษะขนาดเล็ก
- สูญเสียความสามารถในการใช้มือและมีการเคลื่อนไหวมือซ้ำๆ ที่มีลักษณะจำเพาะเมื่ออายุ 5 - 30 เดือน
- ทักษะทางสังคมถดถอย
- มีปัญหาการเดินและการทรงตัว
- พบความบกพร่องของพัฒนาการด้านภาษาทั้งการเข้าใจภาษาและการสื่อความหมาย รวมถึงมีความบกพร่องของพัฒนาการด้านอื่นอย่างรุนแรง
- โรค Childhood Disintegrative Disorder (CDD)
- พัฒนาการปกติอย่างน้อยช่วง 2 ขวบปีแรก โดยมีพัฒนาการปกติด้านต่างๆ ดังนี้
- การใช้ภาษาและการสื่อสาร
- ทักษะสังคม
- การเล่น
- และพฤติกรรมการปรับตัว
- ช่วงอายุ 2 - 10 ปี มีการสูญเสียทักษะดังต่อไปนี้อย่างน้อย 2 ด้าน
- ภาษา : การเข้าใจภาษาหรือการสื่อสาร
- ทักษะสังคมหรือพฤติกรรมการปรับตัว
- การควบคุมการขับถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ
- การเล่น
- พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว
- มีความผิดปกติดังต่อไปนี้อย่างน้อย 2 ด้านได้แก่
- ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
- การสื่อสาร
- มีพฤติกรรมหรือความสนใจที่ซ้ำๆ หรือจำกัด
- โรค Asperger’s Disorder
- ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อดังต่อไปนี้
- ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น เช่น การสบตา การแสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้า และภาษาท่าทางอื่นๆ เพื่อการสื่อสาร
- ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
- ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
- ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและอารมณ์กับบุคคลอื่น
- มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
- มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
- มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้นว่ากิจวัตร หรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
- มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ เช่น สะบัดมือ เล่นมือ หมุนตัว
- สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ
- พัฒนาการด้านภาษาและพัฒนาการด้านอื่นๆปกติ ยกเว้นด้านสังคม
ผู้ป่วยมีอาการเหมือนเด็กโรคออทิสติก/Autism ทุกอย่างยกเว้น พัฒนาการภาษา และระดับเชาวน์ปัญญาอยู่ในเกณฑ์ปกติ
มีความผิดปกติหรืออาการที่พบร่วมกับกลุ่มโรคออทิสติกไหม?
มีความผิดปกติหรืออาการที่พบร่วมกับกลุ่มโรคออทิสติกได้ คือ
- ปัญญาอ่อนเด็กกลุ่มโรคออทิสติก 70% มีภาวะปัญญาอ่อนร่วมด้วยยกเว้น โรค Asperger’s disorder จะมีระดับเชาวน์ปัญญาปกติ
- ชักเด็กกลุ่มโรคออทิสติก มีโอกาสชักสูงกว่าประชากรทั่วไป และพบว่าการชักสัมพันธ์กับ IQ ต่ำ โดย 25% ของเด็กกลุ่มที่มี IQ ต่ำจะพบอาการชัก แต่พบอาการชักในกลุ่มมี IQ ปกติเพียง 5% ส่วนใหญ่อาการชักมักเริ่มในวัยรุ่น โดยช่วงอายุที่มีโอกาสชักมากที่สุดคือ 10 -14 ปี
- พฤติกรรมซน/อยู่ไม่นิ่ง/หุนหันพลันแล่น/ขาดสมาธิ พบบ่อย ส่งผลกระทบต่อปัญ หาการเรียน และการทำกิจกรรมอื่นๆ
- พฤติกรรมก้าวร้าวและพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง พบบ่อย มีสาเหตุจากการไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้ และกิจวัตรประจำวันที่ปฏิบัติเป็นประจำไม่สามารถทำได้ตามปกติ พบปัญหานี้บ่อยมากขึ้นในช่วงวัยรุ่น ส่วนพฤติกรรมทำร้ายตัวเองพบบ่อยในโรคกลุ่มที่มี IQ ต่ำ
- ปัญหาการนอน พบปัญหาการนอนได้บ่อยในเด็กกลุ่มโรคออทิสติกโดยเฉพาะปัญหานอนยาก นอนน้อย และนอนไม่เป็นเวลา
- ปัญหาการกิน กินยาก เลือกกิน กินอาหารเพียงบางชนิด กินสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร
- มีการเคลื่อนไหว และการทรงตัวผิดปกติ
- มีปัญหาทางอารมณ์
ในเด็กกลุ่มโรคออทิสติก ควรตรวจอะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง?
เด็กกลุ่มโรคออทิสติก ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม ดังนี้
- ตรวจการได้ยินเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการล่าช้าด้านการพูด และภาษาควรตรวจการได้ยินทุกราย
- ตรวจวัดระดับเชาวน์ปัญญา (IQ) หรือระดับพัฒนาการ ควรตรวจระดับเชาวน์ปัญญาและพัฒนาการด้านอื่นๆด้วย เพื่อบอกการพยากรณ์โรคและวางแผนการรักษาต่อไป
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง ตรวจในกรณีสงสัยอาการชัก ได้แก่ มีอาการเหม่อจ้องมองโดยไร้จุดหมายร่วมกับมีอาการไม่รู้สึกตัว ประวัติพัฒนาการถดถอย หรือตรวจพบความผิดปกติของระบบประสาท
- ตรวจโครโมโซม ส่งตรวจในกรณีพบลักษณะความผิดปกติที่จำเพาะต่อโรคทางพันธุ กรรม หรือมีภาวะปัญญาอ่อนหรือพัฒนาการบกพร่องในครอบครัว
รักษาเด็กกลุ่มโรคออทิสติกอย่างไร?
กลุ่มโรคออทิสติก ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เป้าหมายของการรักษาคือการส่ง เสริมพัฒนาการและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมให้ใกล้เคียงเด็กปกติ มากที่สุด การวินิจฉัยและได้รับการรักษาตั้งแต่อายุยังน้อย และต่อเนื่องทำให้ผลการรักษาดี โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่
กลุ่มโรคออทิสติกมีธรรมชาติของโรคเป็นอย่างไร? อะไรเป็นปัจจัยถึงผลการรักษาที่ดี?
ลักษณะตามธรรมชาติของโรคของเด็กกลุ่มโรคออทิสติก คือ อาการจะครบเกณฑ์การวินิจฉัย ในช่วงอายุ 3 ขวบ (Pre–school age)
เมื่อเข้าวัยเรียนจะมีพัฒนาการด้านภาษาและสังคมดีขึ้น แต่จะพบปัญหาพฤติกรรม และการกระตุ้นตัวเอง (พฤติกรรมซ้ำๆ เช่น เล่นเสียง เล่นมือ) รวมถึงพฤติกรรมทำร้ายตัวเองด้วย
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น จะเป็นช่วงที่มีปัญหามากที่สุด เช่น ชัก อยู่ไม่นิ่ง/กระสับกระส่าย เฉื่อยชา พฤติกรรมก้าวร้าว ปัญหาพฤติกรรมทางเพศ และการสูญเสียทักษะต่างๆที่เคยทำได้ เช่น ทักษะสังคม การสื่อสาร และพัฒนาการด้านอื่นๆ โดยพบได้ประมาณ 10% ซึ่งพัฒนาการที่สูญ เสียไปมักจะไม่กลับคืนมาเหมือนปกติ
กลุ่มโรคออทิสติก เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นตลอดชีวิต เมื่อเป็นผู้ใหญ่มีเพียง 1 ใน 3 ที่สามารถดูแลช่วยเหลือตนเองได้ มีเพียง 1-2% ที่สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนคนปกติ ทั้งนี้
- ปัจจัยที่บอกถึงผลลัพธ์การรักษาที่ดี ได้แก่
- ระดับเชาวน์ปัญญา (IQ) มากกว่า 70 หรือไม่มีภาวะปัญญาอ่อนร่วมด้วย
- สามารถพูดสื่อสารได้ก่อนอายุ 5 ขวบ
- ได้รับการวินิจฉัยและได้รับการรักษาเร็ว และได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
- ไม่มีความผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย เช่น อาการชัก
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
บิดา มารดา ผู้เลี้ยงดูเด็ก ควรสังเกตพฤติกรรม และการพัฒนาของเด็กเสมอตั้งแต่แรกเกิด และเมื่อพบความผิดปกติ ที่ควรรีบนำเด็กพบแพทย์ คือ
- อายุ 1 ขวบแล้ว ยังไม่ส่งเสียงอ้อแอ้ หรือไม่ชี้นิ้วหรือไม่มีภาษาท่าทางเพื่อการสื่อสาร
- อายุ 16 เดือนแล้ว ยังไม่สามารถพูดเป็นคำ 1 พยางค์ได้
- อายุ 2 ขวบ ยังไม่พูด 2 พยางค์ติดกัน (วลี) ได้
- สูญเสียทักษะด้านภาษา หรือสังคมทุกช่วงอายุ ดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ อาการ และการวินิจฉัยโรค