ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าตอนวิกฤติดอกเบี้ยจะลงแรงครับ ถ้ายังมีงานทำ ก็ผ่อนไปเรื่อยๆ ครับ แต่ส่วนใหญ่จะตกงาน ทำให้มันเกิดปฏิกริยาคนตกงานเยอะ บ้านหลุดเยอะ เพราะไม่สามารถผ่อนได้ แต่ถ้าช่วงที่เป็นฟองสบู่ ดอกเบี้ยจะแพงครับ หาเงินก้อนมาโป๊ะได้ก็จะดี จากคุณ : MasterK เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 11:08:39

ความคิดเห็นที่ 2 เอ...ถ้าจำไม่ผิด  หลังต้มยำกุ้ง  ดอกเบี้ยขึ้นบานเลยไม่ใช่หรือครับ จากคุณ : marupong เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 11:24:11

ความคิดเห็นที่ 3 ดอกเบี้ยลดลงกระฉูดครับ ผ่อนบ้าน 30 ปี เหลือ 10 ปีหมด แต่ปัญหาคือคนตกงาน กับ สถาบันการเงินเดี้ยง กู้เงินกับสถาบันการเงินรายย่อย อาจหาที่จ่ายไม่ได้ เพราะสถาบันการเงินเดี้ยงไปแล้ว ต่อมาก็เจอฟ้องให้จ่ายหนี้ เพราะมีคนซื้อหนี้จากสถาบันการเงินที่เดี้ยงไป จากคุณ : keab (keab_h) เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 11:39:49

ความคิดเห็นที่ 4 ฟองสบู่ ความหมายคือ ยุคเศรษฐกิจรุ่งเรืองแบบจอมปลอม ทำกิจการอะไรก็มีเงินตอบแทนกลับมา คนเลยกู้เงินมาลงทุน ดอกเบี้ยก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ (กู้ไปก็หาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยได้ง่าย) ฟองสบู่แตก คนไม่กู้เงิน ดอกเบี้ยก็ลดลง เพื่อเชิญชวนคนเอาเงินไปลงทุน จากคุณ : keab (keab_h) เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 11:43:52

ความคิดเห็นที่ 5 เอ ตอนต้มยำกุ้ง ดอกเงินฝากบางแบงค์ขึ้นไปถึง 18% ต่อปี ส่วนดอกเงินกู้ของบางแบงค์ขึ้นไปสูงสุดถึง 24% ต่อปี เลยไม่ใช่หรือครับ ยังจำได้ว่า รัฐร่วมกะธอส. ปล่อยเงินกู้รีไฟแนนท์คงที่ 9% ตลอดชีพ เพื่อช่วยเหลือผู้กู้บ้าน แย่งกันแทบจะเหยียบกันตาย ซึ่งถ้าเป็นสมัยนี้ดอก 9% นับว่าแพงมาก จากคุณ : nat1234 เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 11:48:53

ความคิดเห็นที่ 6 อย่ามาถามเรื่อง "แย่ ๆ" ที่ "ผ่านไปแล้ว" กับมนุษย์ในประเทศไทยเลยครับ "เกือบ" ทุกคนน่ะ ลืมไปหมดแล้ว!!!! เอาแค่น้ำท่วมเมื่อปีก่อน พื้นที่แถวนั้นยังขายบ้านกันได้สบายเลย!! จำไม่ได้แล้ว ว่าน้ำมันท่วมกี่เมตร ... จขกท ถามเรื่องการผ่อนบ้านกับวิกฤต เศรษฐกิจ ผมอยากจะบอกว่า ตอนนี้ ความรู้สึกผมเหมือนกับตอนปี 38-40 ยังไงยังงั้น!! อีกไม่นานฟองสบู่แตกแน่ครับ แต่รอบนี้ พวกซวยคือพวกเศรษฐี กับ ชั้นกลาง ชั้นล่างไม่ต้องพูดถึง เศรษฐกิจยังซวยเลย ส่วนพวก มหาเศรษฐี จะรวยกว่าเดิม .... ส่วนเรื่องผ่อนบ้านเมื่อตอน 40 พรรคพวกผม เจ๊งกับระนาว เพราะตอนนั้นเป็นแฟชั่น (เหมือนตอนนี้เปี๊ยบ!!!!) ผ่อนคอนโดให้พวกต่างชาติ (เกาหลี ญี่ปุ่น) เช่ากัน ผลคือ ผ่อนกันคนละ สี่ห้องห้าห้อง ย่อยยับตามๆ กัน ทุกวันนี้ยังเลียแผลกันอยู่ คนเวลาล้มแล้ว กว่าจะฟื้นได้เนี้ย โคตะระยากเลยนะครับ เล่าให้ฟังเฉย ๆ จากคุณ : ยิ่งยง เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 12:01:52 A:124.121.133.170 X: TicketID:252148

ความคิดเห็นที่ 7 มีเพื่อนมาบอกยกเงินดาวน์ให้เลย  หลายแสนอยู่ แล้วให้ไปผ่อนบ้านต่อเอาเอง  ยังไม่มีคนรับเลยครับ  สุดท้ายทิ้งไปฟรีๆ จากคุณ : Ibeye เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 12:04:12

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าใครมีงานที่ซูเปอร์มั่นคง ก็คงไม่เดือดร้อน พอเศรษกิจทรุด ผ่อนหนี้ได้สบายอยู่แล้ว แต่.....เขาเดือดร้อนกันทั้งประเทศ คงพูดได้ไม่เต็มปากว่า"มันเป็นสิ่งที่ดีแล้ว" แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 55 13:58:07 จากคุณ : baby_naked เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 12:17:23

ความคิดเห็นที่ 9 เอ คห 8 ไม่น่าจะผ่อนหนี้สบายกว่าเดิมนะครับ เพราะสมัยต้มยำกุ้ง ดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้น ซึ่งทำให้ยอดที่ชำระต่อเดือนกลายเป็นดอกเบี้ยทั้งหมด คือถ้าผ่อนโดยไม่โปะ ต้นไม่ลดแต่หนี้จะเพิ่มจากดอกที่สูงกว่ายอดชำระ ทำให้ต้องมีภาระในการผ่อนต่อเดือนสูงขึ้น นอกจากนี้ บางแบงค์ที่เป็นเจ้าหนี้ล้มละลาย ทำให้ลูกหนี้ต้องหยุดผ่อนโดยอัตโนมัติ นึกว่าได้บ้านฟรี ที่ไหนได้ 10ปีต่อมา โดนยึดบ้านไปขายทอดตลาด เพราะ ปรส. เอาหนี้ของสถาบันการเงินไปขายให้ต่างชาติราคาถูกๆ แล้วต่างชาติเอาหนี้ที่ว่ามาขายต่อในราคาแพงๆ เจ้าของบ้านจะไปจ่ายเอาบ้านคืนก้อไม่มีปัญญา เพราะมูลหนี้+ดอกเบี้ย มันท่วมต้นไปหลายเท่า และที่หน้าเศร้าก้อคือ คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันเอง ลูกหนี้สถาบันการเงินบางรายรู้ตัวว่าหนี้ของตัวเองถูกขายไปในราคาถูกเป็นขี้ ไปขอซื้อคืนจาก ปรส. ให้แพงกว่าด้วย แต่ ปรส. ไม่ขายให้ บอกต้องไปซื้อคืนต่อจากต่างชาติเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 55 12:36:47 จากคุณ : nat1234 เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 12:32:50

ความคิดเห็นที่ 10 ดอกเบี้ยขึ้นกระฉูดเลยค่ะ จากคุณ : mama_jaijai (MAMAJAIJAI) เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 13:14:29

ความคิดเห็นที่ 11 อย่าไปพูดถึงปรส.เขาเลย มันแสลงใจคนซื้อบ้านหลายๆคนเมื่อสมัยก่อน จากคุณ : baby_naked เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 13:16:21

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่เกิดอย่างเก่าแน่นอนครับ   เพาะวิกฤติ  มีกาลดค่าเงินบาท  บริษัท ต้องปิดตัวพร้อมๆ กันหลายๆแห่ง คนตกงาน ส่งผลต่อความสามาถในการชำะหนี้  ต่อสถาบันการเงิน   เกิดเป็น NPL  จนสถาบันการเงินล้ม  แบงค์ชาติต้องเข้ามาอุ้ม  ผมมองว่า  npl ยังไม่สูงพอคับในปัจจุบัน ถ้ากลังวิกฤติ  เราเป็นหนี้สถาบันการเงินไหนอยู่  ก็ซื้อหุ้นกู้ หรือตราสารหนี้ที่สถาบันที่เราเป็นหนี้  ในขณะดอกเบี้ยแพงๆ  ถ้ามีข่าวเกี่ยวกับธนาคารจะแย่ เค้าต้องออกตาสารดอกเบี้ยแพงกว่าตลาดอยู่แล้วครับ  เอาเวลาให้พอดีกัน  แล้วขอหักกลบลบหนี้ครับ   แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 55 13:49:53 จากคุณ : นายเชน เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 13:43:41

ความคิดเห็นที่ 13 เข้ามาดู   เอาเงินไปโป๊ะหาปลา    หรือเอาไปโปะบ้าน จากคุณ : รู้ใจไม่รู้หน้า เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 13:47:40

ความคิดเห็นที่ 14 ผมยังแค้นฝังหุ่นอยู่เลย รัฐบาลสมัยนั้น(รัฐบาลไหนไปค้นเอาเอง) มันไปจ้างบริษัทบริหารเงินระหว่างประเทศ ชื่ออะไรไม่ต้องไปจำแม่มมัน ให้มันมาจัดการระบบการเงินของประเทศ ยึดหมดทุกอย่าง ที่ร่อแร่ก็เหยียบให้จมไปเลยอย่าให้ฟื้น เลือกเอาเฉพาะที่มองเห็นปากถ้ำชัดๆ หนี้เสียทั้งหลาย ต้องให้บริษัทต่างประเทศมาประมูล บริษัทคนไทยหรือเจ้าของเดิมห้ามมาประมูลแข่งเด็ดขาด ประมูลกันแบบเหมือนได้ฟรี ( ร้อยนึงขาย 10-20 เปอร์เซ็นเท่านั้น) รัฐบาลบอกว่าจะได้เอาเงินเข้าประเทศ ที่ไหนได้ บริษัทที่เข้ามาประมูลแล้วได้ของไปเยอะแยะ คือบริษัทลูกหรือในเครือบริษัทที่เข้ามาบริหารสินทรัพย์นั่นแหละ ทีนี้มันก็จะขายเอาเงินคืนแล้วหละ ใครที่อยากได้ต้องซื้อในราคา 70-80 % ของราคาทรัพย์ คนไทยหลายคนเสียดายธุรกิจของตนเอง หรือครอบครัว ก็ดิ้นรนทุกวิถีทางหาทางมาเอาคืน ต่อรองกันเอาเอง ฝรั่งมันไม่โง่หรอก เรื่องอะไรจะเอาทรัพย์เอาเงินมาจมอยู่ในประเทศที่กำลังจะล้ม สุดท้ายแทนที่มันจะเอาเงินมาให้ มันมาขนออกไปอีก...นึกแล้วเจ็บใจไม่หาย เหมือนตอนไทยเสียกรุง บ้านเมืองถูกเผาพินาศ ทองคำที่อยู่ตามพระพุทธรูป หรือตามที่ต่างๆถูกหลอมเอากลับไปเมืองมันเกือบหมดสิ้น จากคุณ : dansivilai เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 15:01:38

ความคิดเห็นที่ 15 อีกเรื่อง คือทรัพย์สินที่ผ่อน มีมูลค่า ต่ำกว่า ยอดหนี้ เหมือนที่กำลังเกิดใน อเมริกาตอนนี้ครับ จากคุณ : isamy9009 เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 19:00:16

ความคิดเห็นที่ 16 สิ่งที่เห็นตอนนี้คือ มนุษย์เงินเดือนหน้าใหม่จำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยได้ลิ้มรสวิกฤตและความเจ็บปวด ใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อยสนุกสนาน ยิ่งนโยบายรถคันแรกยิ่งทำให้เห็นภาพชัด ซื้อรถทั้งๆที่ไม่ได้พร้อม   อยากเห็นฟองสบู่แตกมากๆ  กลุ่มคนรุ่นใหม่พวกนี้จะได้มีบทเรียนและเข้าใจคำว่าอยู่อย่างพอเพียงเป็นยังไง จากคุณ : ซาตานกลับใจ เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 20:19:59

ความคิดเห็นที่ 17 ช่วงฟองสบู่ฟ่องฟูใกล้แตก ประมาณปี 37 - 38 ดอกเบี้ย ประมาณ 16% ครับ ปีนั้นทั้งปีจ่ายตามสัญญา แต่หนี้เพิ่มทุกเดือน แล้วดอกค่อยคอ่ยลดลง จนปี 43 ดอกเบี้ยลกเหลือ 6% แต่เงินเดือนเพิ่ม จากปี 38 ไป 3 เท่าตัว บ้านเลยหมดก่อนสัญญา โชคดี ที่ทำงานผม ไม่ได้อยู่กลุ่มไฟแนนซ์ เลยไม่ตกงาน จากคุณ : นายสบายสบาย เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 55 21:36:04

ความคิดเห็นที่ 18 จำได้ว่าต้องขายที่ ขายรถ เอาเงินไปโปะดอกธนาคาร ถึงได้อยู่รอดมาถึงวันนี้ ลูกค้าเบี้ยวกัน เจ๊งตาย หายจาก เราต้องรับใช้หนี้แทน เพราะสมัยก่อนซื้อขายกันเป็นเครดิตเยอะมาก จากคุณ : แคนนอน เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 07:30:34