ความคิดเห็นที่ 1 เราไม่แน่ใจว่ามันทำให้เติบโตขึ้นหรือถอยหลังเข้าคลอง การอ่านหนังสือจากกระดาษที่ยืมมาจากห้องสมุดนั้นเราว่ามันช่วยให้เราอ่านได้เร็วขึ้น จุดแรกที่เพิ่งรู้สึกได้เมื่อวานคือ เราจะยืมหนังสือเล่มที่เราสนใจอ่านในเวลา ปัจจุบัน ต่างจากหนังสือที่ซื้อมา ตอนซื้ออ่ะอยากอ่าน แต่ตอนจะอ่านดันไม่อยากอ่าน ทำให้อ่านช้าลง (สำคัญสุดสำหรับเรา) จุดที่สอง เนื่องจากหนังสือจากห้องสมุดพวกนี้มีกำหนดเวลาเพียงแค่เจ็ดวัน ซึ่งสั้นมาก จำเป็นต้องอ่านอย่างรวดเร็ว ฝึกวินัยในการอ่าน แต่ก็เราแอบหวังเล็กๆว่าห้องสมุดจะให้ยืมสองอาทิตย์ เมื่อวานเจอหนังสือที่อยากอ่านอยู่เล่มหนึ่ง หนาตั้งพันกว่าหน้า อาทิตย์เดียวนี่ไม่ไหวจริงๆ ต่อให้เป็นภาษาไทยก็เถอะ จุดที่สาม เนื่องจากการทำหนังสือดูเหมือนจะง่ายขึ้นเรื่อยๆ จนงานเขียนมีคุณภาพลดลง หลายๆคนได้บ่นในห้องนี้ งานแปลที่เแปลอย่างชุ่ยๆจนทำให้หลายคนที่อ่านภาษาต่างประเทศออกหันไปอ่านหนังสือภาษาต่างประเทศแทน จุดที่สี่ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์จะถูกเก็บไว้ในเครื่อง ให้ยืมอ่านกันลำบาก โดยเฉพาะคนที่ไม่มีเงินจะซื้อเครื่องมาอ่าน เครื่องพวกนี้ก็เสียง่าย ใช้ไม่กี่ปีก็ต้องเปลี่ยนแล้ว ค่าใช้จ่ายก็ค่อนข้างสูง ใช้ได้ไม่กี่คน ชาวบ้านธรรมดา เด็กนักเรียนไม่มีปัญญาใช้หรอกค่ะ แต่มองอีกแง่คือ สามารถแจกฟรีได้ง่าย พวกสำนักพิมพ์ก็ไม่ยอมอีกนั่นแหละ จุดที่ห้า หนังสือไม่จำเป็นต้องเขียนออกมาให้เร็วนัก เพราะมันไม่ใช่ข่าว ส่วนมากมันจะเสนอข้อมูล เชิงลึก ถ้าเป็นสื่ออย่างอื่นที่มีอายุค่อนข้างสั้นก็น่าสนใจ เช่น นสพ. หุ้น นิตยสาร ผ่านสามจีอะไรประมาณนั้น จุดที่หก จะควบคุมหนังสือได้ยากขึ้น คราวนี้จะได้อ่านอะไรที่ไม่ควรกันเยอะละ ในความรู้สึกเรา อีบุ๊คก็ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่ สื่อเสนอข่าวดูเกินจริงไปหน่อย เราไม่เคยเห็นคนอ่านหนังสืออีบุ๊คเลย น่าเสียดายเราไม่เคยไปเมกาต้นกำเนิดเทคฯ จะได้เห็นกันจริงๆว่าอีบุ๊คนี่เป็นที่นิยมอย่างที่เขาว่าไหม ไม่ใช่วัดแต่ยอดขายไม่ได้ดูเลยว่าผู้ซื้อซื้อไปแล้วอ่านหรือไม่หรือเก็บไว้รกเครื่อง รอเจ้าสิ่งนี้มาเขย่าวงการคงนานพอดูอ่ะ จากคุณ : ขวัญ (khumchalong) เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 14:02:54

ความคิดเห็นที่ 2 ผมเห็นด้วยกับ คห ของคุร ขวัญ ในบางประเด็นนะครับ แต่ลองมาคิด ๆ ดู หากว่า  Ebook มาเฟื่องฟูใน บ้านเราจริง ๆ ผมว่า นะ มันมีข้อดีอยุ่พอสมควรนะครับ 1. เป็นการลดปริมาณกระดาษ และการจัดเก็บหนังสือของใครหลายคน ที่ตอนนี้ บ้านเต็มไปด้วยหนังสือ ไปหมด ทำให้ เราไม่ต้องไปรบกวน กระดาษจากธรรมชาติ 2. เป็นการขยายฐานคนอ่าน ( หรือป่าว ) ไม่แน่ใจ แต่ผมว่าจะค่อย ๆ ทำให้คนที่หลงไหล เทคโนโลยีแบบ hardcore  ค่อย ๆ มารักการอ่านมากขึ้น จากเดิมที่ อ่านแต่ social Networking หรือ อ่านบนเวบ มามีรสนยิมอ่านหนังสือ แบบเป็นเล่ม มากขึ้น แหมจะเป็นในรูปแบบ Digital ก้เหอะ เพราะอย่างน้อย ก็อาจจะทำให้คนนั้น อยากซืื้อเป็นเล่มเก็บไว้ก้ได้ หากว่ารัก และชื่นชอบจริง ๆ 3. เรื่องสำนวน ภาษา และการเขียน ก็ยอมรับครับว่า มันเกิดง่าย และผลิตเนื้อหากันง่ายกว่าเดิม ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน ทำให้ หนังสือออกมาง่ายขึ้น และมากมายจนอ่านกันไม่ทัน แต่ก็ทำให้ เกิดการเรียนรู้ในวงกว้างมิใช่หรือครับ  มองได้สองมุมครับ อาจจะเรียกว่าเป็น ขยะวรรณกรรมบนชั้นหนังสือ ก็ได้ 4. เกิดโมเดลธุรกิจมากมายเกิดขึ้น ช่วยสร้างเม็ดเงิน และสร้างกิจกรรมทางธุรกิจ ซึ่งหมายถึง GDP ที่ให้ประเทศเติบโต แต่นั้นหมายความว่า ต้องเจรจาตกลงผลประโยชน์กันให้ลงตัวทั้ง สนพ และคนเขียน และคนทำ Content ด้วย ซึ่งเท่าที่ทราบตอนนี้ นิตยสารหัวไทยบางชื่อเริ่มต้นทำแล้ว แต่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ด้วยประเด็นว่า การขายโฆษณาใน E Magazine ยังมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์บางอย่างครับ เป็นเรื่องที่ทราบมาจากวงในอีกที 5. และสุดท้ายที่ผมคิดออกก็คือ ทำให้คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับ คลื่นเทคโนโลยี Gadget ทั้งหลายสนใจสื่อการเรียนรุ้ การอ่านที่ Active และสร้างนิสัยการอ่านไปในตัวด้วย ทำให้เด็กไทยยุคใหม่ สนใจการอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ก็คือ เนื้อหาทีไร้สาระ และ เรื่องราวที่ไม่เหมาสม ก็พร้อมจะฉวยโอกาสนี้ เข้ามาเบียดพื้นที่ด้วยเช่นกัน ก็ขึ้นอยู่กับมาตรการของหน่วยงานที่จะคัดกรอง เนื้อหา และควบคุมครับ ท้ายที่สุด ขอบคุณ ความคิดเห็นของคุณ ขวัญครับ ที่ช่วยมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ปล. สุดท้าย งานหนังสือปีนี้ ไปซื้อหนังสือกันเหอะ ... อิอิ จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 14:23:42

ความคิดเห็นที่ 3 ในต่างประเทศ ยอดขายอีบุ๊ค เพิ่มขึ้นทุกปี บางปก อีบุ๊ค ยอดขายสูงกว่า หนังสือเล่มเสียอีก นักเขียน บางคน ก็ขายผ่านอีบุ๊ค โดยไมต้องส่งโรงพิมพ์ ทำให้ราคาลดลงถึงครึ่งหนึ่ง เป็นไปได้ที่อีบุ๊ค จะตีตลาดเมืองไทย ก็เพราะราคานี่แหละ สมมติพ็อคเก็ทบุ๊คเล่มละ 200  แต่ อีบุ๊ค 80 เนื้อหาเหมือนกันทุกอย่างจะเลือกแบบไหน ถ้านักเขียน เขียนลงอีบุ๊ค จะประหยัดค่าสายส่งไปได้ 40 เปอร์เซ็นต์ ค่าพิมพ์ 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตอนนี้นักเขียนดังๆ ในต่างประเทศ เริ่มเขียนลงอีบุ๊คแล้ว หนังสือเล่มนึ่งปก 200 บาท จะเหลือไม่ถึง 50 บาท แล้วยังช่วยลดโลกร้อน ไม่ต้องใช้กระดาษด้วย เดี๋ยวนี้โปรแกรมอีบุ๊ค ทำได้เหมือนหนังสือจริงมาก ขณะเปิดอ่าน จะพลิกเป็นหน้าๆไป คิดว่า อีกไม่เกินห้าปี อีบุ๊ค น่าจะมีสัดส่วนการขายพอๆ กับหนังสือเล่ม แต่ด้วยราคาที่ถูกว่าหลายเท่า หนังสือเล่มจะแพ้ จากคุณ : รักหลอกจึงบอกให้ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 14:56:10

ความคิดเห็นที่ 4 คห 2 ลดการใช้กระดาษ แต่ก็อาจจะต้องเปลืองไฟมากขึ้น อีกอย่างคือชิ้นส่วนต่างๆ ที่ใช้ผลิตเครื่อง i-pad หรือ kindle ก็ต้องรบกวนทรัพยากรธรรมชาติอยู่ดี เรื่องราคาก็น่าคิดครับ ถ้ามองในแง่ของเงินที่จ่ายตรงกับค่าหนังสือ คิดว่า e-book น่าจะถูกกว่า เพราะลดเรื่องค่าพิมพ์-ค่าจัดจำหน่าย สามารถขายตรงจาก สนพ.ถึงลูกค้าได้เลย แต่ถ้ามองรวมกับค่าไฟและค่าเสื่อมราคาของเครื่องจากการอ่านแต่ละครั้ง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะลดค่าหนังสือลงได้มากน้อยแค่ไหน (ขณะที่หนังสือ ซื้อแล้วค่าใช้จ่ายก็จบแค่นั้น) อีกปัญหาหนึ่งก็คือเรื่องของลิขสิทธิ์ เพราะปกติหนังสือที่เป็นเล่ม เวลาทำสัญญาจะมีจำกัดระยะเวลาอยู่ เช่น ให้พิมพ์ขายภายในเวลา 3 ปี 5 ปี ถ้าหมดสัญญาแล้ว ลิขสิทธิ์ก็กลับคืนสู่ผู้เขียน สามารถเอาไปให้ สนพ. อื่นพิมพ์ขายได้ แต่ถ้าหนังสือเก่ายังเหลือ สนพ. เก่าก็ยังขายได้อยู่จนกว่าจะหมด ซึ่งในงานหนังสือก็มีหนังสือบางเล่มที่มีขายทั้งฉบับพิมพ์เก่าและพิมพ์ใหม่ของคนละ สนพ. แต่ถ้าเป็น e-book ถ้าเป็นแบบให้โหลด (ไม่ใช่ขาย CD) สนพ. ก็อาจจะคิดหนักเหมือนกันกับหนังสือที่ไม่แน่ใจว่าจะขายดีหรือเปล่า เพราะถ้าจ่ายลิขสิทธิ์ไปแล้วเกิดหนังสือขายไม่ดี ภายในระยะเวลาสัญญายังไม่คืนทุน ก็ขาดทุนแน่นอน เพราะจะต้องหยุดขายทันที จะทำเป็นไขสือขายไปเรื่อยๆ ไม่หมดไม่เลิกแบบหนังสือเล่มคงไม่ได้แน่ เนื่องจากมันไม่มีวัน "ขายหมด" แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า e-book ไม่มีประโยชน์นะครับ ตรงข้ามมีประโยชน์มากเหมือนกัน เช่น 1. หนังสือเก่า หนังสือหายาก จะหาได้ง่ายขึ้น เพราะหนังสือเป็นเล่ม ถ้าไม่ใช่หนังสือที่ขายดีจริงๆ จะไม่พิมพ์บ่อยครั้งแน่ เนื่องจากการพิมพ์แต่ละครั้งจะต้องมีต้นทุนจมมาก ถ้าเป็นการพิมพ์ครั้งที่สามสี่หลังจากออกครั้งแรกไปซัก 2-3 ปีแล้ว ไม่รู้ว่าจะขายได้มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าทำเป็น e-book ก็เก็บไว้ขายให้กับลูกค้าที่สนใจจริงๆ ไม่กี่รายก็พอได้ 2. นักเขียนรุ่นใหม่ๆ ที่ไม่มีเงินทุนมาก แต่มีลูกค้าประจำและรู้ช่องทางขายทาง e-commerce ได้ ก็ไม่ต้องง้อ สนพ. เพราะสามารถทำเป็น e-book ขายเองได้ บางทีรูปแบบที่เป็นไปได้ของ e-book ในปัจจุบัน อาจจะคล้ายกับภาพยนต์ก็ได้ คือลองพิมพ์ในรูปหนังสือเล่มขายก่อน จากนั้นพอพิมพ์ซัก 2-3 ครั้ง ก็หยุด หันไปขายแบบ e-book อย่างเดียว อะไรแบบนี้ แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 54 15:14:17 แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 54 15:11:05 แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 54 15:08:04 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 15:03:01

ความคิดเห็นที่ 5 หรือว่ามันจะกำลังค่อยเดินตามรอย ธุรกิจเพลงหรือป่าว ที่เพลงสมัยนี้ ดาวโหลดกันแบบ Digital และแบ่งปันสัดส่วนกันกับ นักร้อง และค่ายเพลงกันไป โดยที่กลายเป็นสินค้าที่ขายกันแบบ CD น้อยลงไปเยอะมาก จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 15:10:40

ความคิดเห็นที่ 6 เพิ่มอีกนิดเกี่ยวกับเรื่องลิขสิทธิ์ ดูแล้วช่องทางที่เป็นไปได้โดยเฉพาะหนังสือเก่าที่จะลงเป็น e-book ก็คือ สนพ. ต้องซื้อขาดจ่ายเป็นเงินก้อนเดียวให้ผู้เขียนไปเลย (เพราะจะซื้อชั่วคราวแบบหนังสือใหม่ก็คงไม่คุ้ม หรือจะจ่ายตามยอดขายก็ยุ่งยาก เนื่องจากขายได้ไม่มาก ดีไม่ดีปีสองปีขายได้ไม่ถึงสิบเล่ม ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ปีละไม่ถึงร้อย ยุ่งตาย) แล้วเก็บกินไปเรื่อย ถ้าบังเอิญขายได้มากกว่าที่คิดก็โชคดีไป แต่วิธีนี้ใช้กับหนังสือใหม่ไม่ได้ โดยเฉพาะหนังสือของนักเขียนที่ "ฮิต" แล้ว หรือมั่นใจว่างานของตัวเองขายได้ คงไม่มีใครยอมขายขาดให้ สนพ. แน่ แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 54 15:36:57 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 15:36:26

ความคิดเห็นที่ 7 เปิดตัว “อีบุ๊ก สโตร์” ร้านหนังสือดิจิทัลภาษาอังกฤษแห่งแรกในไทย อ่านผ่าน โน้ตบุ๊ก-แท็บเล็ต-สมาร์ทโฟน “เอเชียบุ๊คส” ขน 5 แสนเล่ม ครบทุกหมวดสิ้นปีเพิ่มเป็น 1 ล้านเล่ม ตั้งเป้ามีลูกค้าวันละ 100 ราย นายสิโรจตม์  จิระประยูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชียบุ๊คส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวบริการ “อีบุ๊ก สโตร์” หรือร้านหนังสือดิจิทัลภาษาอังกฤษแห่งแรกในไทย เพื่อขายหนังสือดิจิทัลกว่า 500,000 เล่มผ่านเว็บไซต์ ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านเล่มภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ปัจจุบันสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น แท็บเล็ต หรือ สมาร์ทโฟน กำลังเป็นที่นิยมเพราะช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า และร้านไม่ต้องสต๊อกหนังสือช่วยลดพื้นที่การจัดเก็บ ส่วนการพัฒนาแอพพลิเคชั่นในแพลตฟอร์มต่าง ๆ คาดว่าจะเสร็จภายในเดือน ส.ค. ใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท และมีแผนเพิ่มนิตยสารออนไลน์ของต่างประเทศด้วย สำหรับราคาอีบุ๊กนี้ไม่ต่างจากหนังสือจัดพิมพ์รูปเล่มทั่วไป การทำตลาดจะอาศัยช่องทางจากสาขา 70 แห่งทั่วประเทศ และจำนวนสมาชิก 1.5 แสนราย ตั้งเป้ามีลูกค้าวันละ 100 ราย ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว เพราะปัจจุบันตลาดอีบุ๊กยังไม่ได้รับความนิยมในเมืองไทยมากเหมือนในต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีมูลค่าไม่ถึง 1% ของตลาดรวมหนังสือในไทย ส่วนการชำระเงินมีหลายช่องทางทั้ง ผ่านเว็บไซต์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัย บัตรเครดิต หรือชำระผ่านร้านเอเชียบุ๊คสทุกสาขา ล่าสุดทางร้านได้ร่วมกับ บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด  ในการสร้างอีบุ๊ก คีออส (eBook Kiosk) โดยนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางไอที มาใช้และติดตั้งผ่านทางผลิตภัณฑ์เดลล์โน้ตบุ๊กพีซี และเดลล์ สตรีค มินิแท็บเล็ตรุ่นล่าสุด เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งาน อีบุ๊ก สโตร์ และเข้าถึงหนังสือผ่านโลกออนไลน์อย่างง่ายดาย. http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=316&contentID=128073 จากคุณ : หมาป่าดำ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 18:45:42

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณ สำหรับข้อมูล ครับ เรื่่องของ AsiaBook คงเป็นอีกก้าวของการขายหนังสือบนโลกดิจิตอล ที่สอดรับกับพฤติกรรมของคนต่างชาติ และคนไทยอีกกลุ่ม ที่งานแถลงข่าวผมก็ไปมา เค้าจัดกันที่ หน้าร้าน Asia Book ตรง สยามพารากอน เมื่ออาทิตย์ก่อน ก็เค้าจับมือกับ DELL Steak  แทบเลต ตัวใหม่ของเดลล์ ที่ต้องการให้คนที่อยากซื้อหนังสืออดิจิตอล มีช่องทางเพิ่มขึ้น ก็เห็นว่าดีนะครับ มีช่องทางการจ่ายเงินหลากหลายดี และมีหนังสือเยอะ แต่เป็นหนังสือต่างประเทศซะส่วนใหญ่  เรื่องนี้คงต้องรอดูต่อไปอีกระยะยาว ๆ ที่สำคัญผมว่าเรื่องลิขสิทธิ์ จะเป็นประเด็นสำคัญที่จะทำให้ อีบุ๊ค ก้าวหน้าต่อไปได้หรือไม่สำหรับประเทศไทย จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 23:50:41

ความคิดเห็นที่ 9 เห็นด้วยบางข้อกับ คห.1     น่าจะอยู่ที่เรื่องราคาเป็นสำคัญ    และก็เรื่องของการดูแลรักษาซ่อมแซมด้วย     เราเองยังไม่เคยใช้      เคยใช้แต่โน้ตบุค...ตั้งใจเอาไว้ใช้อ่านหนังสือจริงๆ...เลยสแกนเอาเองบ้าง...โหลดมาบ้างก็เยอะ...กะเก็บไว้อ่านหลายๆเล่มเลย       ว่างๆก็หิ้วเอาไปอ่านข้างนอกเหมือนพกไปได้หลายเล่มสะดวกดี       แต่ใช้ได้แค่ประมาณ 3 ชม.เอง...บางทีไม่ถึงด้วยซ้ำ     ก็ยังกังวลเรื่องแบต  ซ่อมทีก็หลายงิน     เผลอๆกู่ไม่กลับก็ต้องซื้อใหม่      เพ่งมากๆก็กลัวเสียสายตาเหมือนกัน    วางทิ้งก็ไม่ได้     ไปๆมาๆก็ยังชินกับการอ่านหนังสือรูปแบบเก่าๆอยู่ดี     วางทิ้งเอาไว้ไปเข้าห้องน้ำ...ไม่เคยหายเลย แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 54 14:15:23 จากคุณ : toytoytoy เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 54 14:14:01

ความคิดเห็นที่ 10 เราเองมีบางวูบอยากได้ e-book นะคะ เพราะว่าเริ่มจะไม่มีที่เก็บหนังสือแล้ว แต่ใจยังหลงรักการที่ได้กรีดนิ้วผ่านกระดาษแต่ละหน้าอยู่ค่ะ แบบตัวอักษรที่ใช้ในเล่ม การจัดวางย่อหน้า ภาพปก ขนาดของหนังสือ หรือแม้แต่กลิ่นกระดาษ ทุกอย่างล้วนมีสเน่ห์ของมันเอง เรายังมีความสุขที่ได้ไปเดินงานหนังสือ ถ้าเรามีบ้านที่ใหญ่พอ แล้วไม่มีวันจะต้องย้ายไปไหนอีกแล้ว e-book ไม่ได้แอ้มเงินเราแน่ค่ะ จากคุณ : เทเลทับขี้ เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 54 15:05:55

ความคิดเห็นที่ 11 ผมก็เห็นด้วยกับคุณ เทเลทับขี้ ( ชื่อนี้ กลิ่นลอยมาก่อนเลย อะ ) ..  ว่า อารมณ์ของการจับหนังสือ การได้เห็นเป็นรูปเล่ม มันมีเสน่ห์ของมันอย่างที่ Ebook หรือว่า E ไหน ๆ ก็ให้ไม่ได้ ไม่งั้น เราจะมีแสดงหนังสือ ถึงปีละ 2 ครั้งกันเลยหรือ แล้วแต่ละปี หนอนหนังสือ ก็เต็มพืนที่ทุกปี ผมว่า มันก็ยังแทนที่หนังสือจริง ๆ ไม่ได้หรอก เพราะมันคือ หนังสือ ที่เติบโตมากับมนุษย์เรา จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 54 18:27:45

ความคิดเห็นที่ 12 e book น่าเหมาะกับคนเดินทาง ยิ่งพวก guide book อย่าง lonely planet เล่มละกิโล เราพกไปสองเล่ม ยังอยากจะทิ้งกลางทางเลย จากคุณ : aeroflex เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 54 19:00:18