|  | 
“กระดูกของความลวง”...มองโลกจากดวงตาแห่งชายขอบ...
 
 แก่นเรื่องของกระดูกของความลวงนั้นคือคำถามที่ว่า “โลกเราจะสงบสุขเพียงใดหากไม่ตัดสินชีวิตผู้อื่นด้วยอคติและอวิชชาทั้งหลาย ทั้งปวง”
 
 ใช่แล้ว โลกเราจะมีสงคราม ไม่มีความยากจน  และไม่มีความทุกข์หากเราทำเช่นนั้นได้  หากเราลองมองโลกผ่านสายตาของผู้อื่นดูสักครั้ง  หากเรารู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา  เมื่อนั้นเราก็ไม่ด่วนตัดสินผู้อื่น และเราจะไม่มีวันปล่อยให้อวิชชามาครอบงำความคิด
 
 อวิชชา หมายถึง ความไม่รู้ความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ โดยถูกต้องแจ่มแจ้ง อวิชชาหมายถึงความไม่รู้ในอริยสัจ 4    ไม่รู้ในทุกข์ ได้แก่ไม่รู้ว่าอะไรบ้างที่เป็นตัวทุกข์ ไม่รู้ในเหตุเกิดทุกข์   ไม่รู้ในความดับทุกข์  ไม่รู้ในข้อปฏิบัติสำหรับดับทุกข์  แต่คนส่วนใหญ่จะนำคำว่า อวิชชา ไปใช้เฉพาะกับวิชาในทางไสยศาสตร์เท่านั้น โดยเข้าใจกันว่า อวิชชาเป็นวิชาที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือหาประโยชน์เข้ามาใส่ตนเองโดยไม่สนใจผู้อื่น
 
 เรื่องเล่าถึงชะตากรรมของเหยื่อที่ถูกกระทำโดยผู้มีอวิชชา  ผู้ที่ถูกหลอกลวงโดยความเชื่อที่โง่เขลาผ่านเรื่องราวของก่อเกียรติ  ตัวละครเอกในมุมมองของผู้รู้แจ้ง (All knowing) โดยทำให้เรารับรู้พฤติกรรม ความคิด ความรู้สึกของตัวละคร และยังอยู่เหนือเงื่อนไขของเวลา คือสามารถย้อนกลับไปมาได้ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต
 
 ก่อเกียรติ คือชายผู้มีขนดกรุงรังราวกับลิง และนอกจากนั้นเขายังสามารถเคลื่อนไหวป่ายปีนได้คล่องแคล่วอย่างลิงเช่นกัน  ตอนเด็กเขาอยู่ในกระท่อมริมลำธารของพ่อกับแม่ผู้ขยันขันแข็งและมีความสุข  จนกระทั่งเขาเกิดมาด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่ต่างจากลิงแสม  เมื่อเกิดความแห้งแล้งขึ้น  ทำให้ชาวบ้านโทษว่าเป็นความผิดของเขาและด่าว่าเขาเป็นตัวกาลี  ในที่สุดครอบครัวเล็กๆนั้นก็ถูกขับไล่ออกไปกลายเป็นครอบครัวเร่รอน  พ่อกับแม่ไม่เคยโทษเขาเลยแต่กลับมอบความรักให้เขาอย่างเต็มเปี่ยม จนวันหนึ่งเมื่อเขาช่วยหยิบลูกโป่งที่ติดอยู่บนกิ่งไม้ด้วยท่าทีของลิงที่แคล่วคล่องว่องไว  เขาก็ได้รับเสียงปรบมือและเงินจำนวนมากมาย และนี่คือจุดเริ่มของการตระเวนทัวร์การแสดงกายกรรมลิงที่พลิกผันชีวิตของเขา  ปัจจุบันการแสดงของเขากลายเป็นธุรกิจใหญ่โต และวันนี้ เขากลับมาที่หมู่บ้านเดิมอีกครั้งท่ามกลางสายตาประจบประแจงกระหายอยากได้  เขาอโหสิกรรมให้ชาวบ้านที่ขับไล่ให้เขาต้องร่อนเร่ และทิ้งคำถามไว้ว่า “โลกเราจะสงบสุขเพียงใดหากไม่ตัดสินชีวิตผู้อื่นด้วยอคติและอวิชชาทั้งหลาย ทั้งปวง”
 
 
 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือมุมมองของพระเจ้านี้ คือมุมมองที่ทำให้เรารู้สึกและนึกคิดในฐานะคนชายขอบ  คนแปลกประหลาดที่สังคมไม่ยอมรับ  ผู้มีรูปร่างอัปลักษณ์จนเป็นที่น่ารังเกียจของสังคม  มันเป็นความผิดของเขาจริงเหรอ หรือเป็นความผิดของพวกเราเองที่ไม่รู้และจมอยู่กับความเขลาจนเชื่อว่ามันเป็นความจริง
 
 กระดูกของความลวงสะท้อนความคิดของคนที่ถูกทำให้แปลกแยก  ซึ่งมีมากมายเหลือเกินในสังคม  ไม่ว่าจะเป็นชนกลุ่มน้อย  ผู้อพยพ คนที่มีความผิดปกติทางร่างกาย  คนที่เบี่ยงเบนทางเพศ  คนอ้วน  คนที่มีรูปลักษณ์ที่ไม่เป็นที่ต้องการ  คนเหล่านี้ถูกผลักออกไปจากจุดศูนย์กลางให้ไปอยู่ในชายขอบที่ต้องหลบซ่อนตัวตนของพวกเขา
 
 วาทกรรมเหล่านี้ครอบงำสังคม  จนความคิดเหล่านั้นกลายเป็นกระดูกแห่งความลวงขึ้นมา  ความคิดที่บอกว่าตนดีกว่าผู้อื่น  ความคิดที่โยนความผิดให้กับผู้อื่น   ความคิดที่จมและวนซ้ำๆอยู่กับอคติหลากหลาย  วาทกรรมเหล่านี้ผลักคนผู้มีความเป็นมนุษย์อันเต็มเปี่ยมให้กลายเป็นคนชายขอบ  ที่ต้องมีชีวิตอยู่กับความคิดของสังคม และความคิดของตนเอง
 
 หลายครั้งที่เราเห็นสังคมล้อเลียนดูถูกเหยียดหยามความต่างของผู้อื่น  เราชี้นิ้วกล่าวโทษเขาและใช้ความเป็นคนหมู่มากตัดสินชีวิตของคนอื่น  และในขณะเดียวกันเราก็เห็นสังคมที่สงสารผู้คนเหล่านั้น และต้องการที่จะสงเคราะห์เขาให้พ้นจากสภาพที่แสนจะน่าเวทนา  โดยที่เราไม่อาจคิดเลยว่า เขาเองก็มีความสามารถ เขาเองก็มีสมอง มีสติปัญญาเทียบเท่ากับเราเช่นกัน  เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปมองเขาในฐานะก้อนเนื้อหายใจได้ที่ไร้ประโยชน์ ก้อนเนื้อหายใจได้ที่น่าเกลียด  และไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจแทนเขาว่าเขาจะต้องได้รับความช่วยเหลือ
 
 กระดูกแห่งความลวง คือคำถามที่ท้าทายปรัชญามนุษยนิยมที่เชื่อในความดีงาม และเปี่ยมจริยธรรมของมนุษย์  มนุษย์เป็นสิ่งหนึ่งในธรรมชาติ มีศักดิ์ศรี มีค่า และมีความสามารถที่จะพัฒนาตนเอง โดยอาศัยเหตุผลและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องอาศัยอำนาจเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด  วิกิพีเดีย ให้ความหมายของมนุษยนิยมว่า หมายถึง ประเภทกว้างๆ ของปรัชญาเชิงจริยศาสตร์ ที่ยืนยันถึงความสง่างามและคุณค่าของมนุษย์ทุกคน โดยอาศัยหลักความสามารถของบุคคลนั้นในการบ่งชี้ได้ด้วยตนเองว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด โดยได้การยอมรับโดยมนุษย์ทั่วไปที่มีคุณภาพ
 
 แต่ ณ ขณะนี้เรวัตร์ได้แสดงให้เราได้เห็นด้านมืด และอวิชชาที่ฝังลึกอยู่ในตัวมนุษย์  อวิชชานี้ทำให้เราไม่รู้ว่าตนเองกำลังเกลือกกลั้วอยู่กับสิ่งสกปรก และพร้อมกันนั้นก็เอามือปาดป้ายสิ่งโสมมนั้นไปให้กับผู้อื่น  เราเป็นทั้งผู้ทำ และผู้ถูกกระทำต่อๆกันไปเป็นลูกโซ่จนกลายเป็นระบบสังคม  จนกลายเป็นความคิดของสังคม
 
 
 Michel Foucault เป็นนักคิดอีกคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นศัตรูกับการสร้างระบบ และแนวโน้มต่างๆที่กันเอาความแตกต่างออกไปของความคิดโครงสร้างนิยม. อีกครั้ง มันเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความแตกต่าง(Difference)ที่ได้ถูกนำมาเน้น ในกรณีของ Foucault มีความสนใจโดยเฉพาะอันหนึ่งในกลุ่มๆต่างที่ถูกทำให้เป็นชายขอบ(Marginalized groups) ความแตกต่างของพวกเขาได้ทำให้พวกเขาถูกกีดกันออกไปจากพลังอำนาจทางการเมือง; กลุ่มต่างๆที่ถูกทำให้เป็นชายขอบเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น คนวิกลจริต, คนคุก, และพวกรักร่วมเพศ ฯลฯ (สมเกียรติ ตั้งนโม (2545, บทความ) แนวคิดของ Lyotard และคนดังหลังสมัยใหม่)
 แนวคิดหลังสมัยใหม่ทำให้เราฉุกคิดเพื่อมองดูความลวงและความจริงที่อาจจะแยกกันแทบไม่ออก  เมื่อเส้นแบ่งระหว่างความลวงกับความจริงหายไป  เราจะยังยืนหยัดอยู่ในจุดยืนของเราได้ไหม  และสังคมจะมีที่ให้จุดยืนของเราหรือไม่ ?
 แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 54 12:54:37
				 
				 
				
					| จากคุณ | : 
Bear Waldorf       |  
					| เขียนเมื่อ | : 
10 ส.ค. 54 12:54:17   |  
					|  |  |  |  |