ความคิดเห็นที่ 1 How to win friends and influence people เปลี่ยนเรามากเรื่องวิธีการเข้าหาคน กฎแห่งความโชคดี  เปลี่ยนเรามากเรื่องพฤติกรรมการทำงาน ทำสิ่งที่รักยังไงก็รุ่ง รู้สึกว่าจะเปลี่ยนงานนะถ้าจำไม่ผิด แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 01:47:22 จากคุณ : PakaPaka เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 01:40:54

ความคิดเห็นที่ 2 คุณ PakaPaka     พอดีไป search มา  ใช่หน้าปกนี้รึเปล่าคะที่คุณมี?  แล้วหาซื้อได้ที่ไหนบ้างคะ? จากคุณ : Fairy_Engine เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 01:50:21

ความคิดเห็นที่ 3 จะเล่าเรื่องแปลกๆเกี่ยวกับ The Secret ให้ฟัง Rhonda Byrne ทำการบ้านมาดีมากๆก่อนที่จะเขียน The Secret หนึ่งในหนังสือหลายๆเล่มที่ดลใจเธอคือหนังสือเรื่อง As A Man Thinketh โดย James Allen ทีนี้มาเข้าเรื่องมหัศจรรย์แล้วนะ ตอนเด็กๆเราป่วยเป็นโรคจิต แล้วมี iq ต่ำกว่ามนุษย์ทั่วๆไป เราป่วยเป็น ocd (ย้ำคิดย้ำทำ) จนเรามีจิตที่สับสนมากๆเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง แล้วก็เรียนไม่จบด้วย ตอนช่วงวัยรุ่นพ่อแม่เราส่งไปเรียนที่อังกฤษ เราเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง แต่โชคดีที่รัฐบาลอังกฤษรับเลี้ยงดูเราไว้ตั้งหลายปี ให้เงินสวัสดิการเรา และเราไปห้องสมุดขอให้เขาซื้อหนังสือมาให้เราอ่านฟรี   กาลเวลาผ่านไปหลายปี ทุกอย่างมาจาก wuxia (นิยายเกี่ยวกับนักวรยุทธ์ = นิยายกำลังภายใน) ของจีนที่เราเคยอ่านฉบับแปลเป็นไทยโดยท่าน ว. ณ เมืองลุงนั่นแหละ มันมีอิทธิพลต่อชีวิตเรามากๆ มันทำให้อยู่ดีๆเราบ้าคัมภีร์โบราณ แล้วก็เลยไปหามันมาได้จริงๆตั้งหลายเล่มแปลจากจีนเป็นอังกฤษ ตอนนั้นที่เราทุเลาจากอาการป่วย มันเป็นเพราะเราฝึก Zen Macrobiotics คือเรากินอาหารปลอดสารพิษ พวกข้าวกับผัก organic เคร่งมากๆมาหลายสิบปี แต่มันก็แค่ระงับอาการป่วยเราไม่ให้กำเริบ แต่รักษาไม่หายขาดสักที ยกตัวอย่างเช่นถ้าวันไหนเราไปกินอาหารนอกบ้านติดๆกันหลายๆวัน เราจะประสาทอ่อนไหว วิตกจริตมากๆ แม่เราซึ่งป่วยเหมือนๆกับเราโดนหมอรักษาด้วยยาแรงๆและศัลยกรรม ตั้งแต่แม่อายุ 30 กว่าๆ จนร่างกายแม่ค่อยๆทรุดไปเรื่อย (ทรุดเพราะหมอไม่ได้รักษาที่ต้นตอ แต่มุ่งแต่จะทำลายอาการ) แล้วในที่สุดแม่ก็ตายอย่างทรมาณเมื่ออายุ 83 แต่เราซึ่งป่วยเหมือนแม่เราทุกประการ (น่าจะเป็นกรรมพันธ์) ค้นพบวิธีรักษาตัวเองได้สำเร็จก็เพราะ The Secret นี่แหละ จะเล่าให้ฟังว่าทำไง จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 05:15:04

ความคิดเห็นที่ 4 ตอนช่วงที่เราอายุประมาณ 54- 55 เราเพิ่งเลิกกับแฟนเก่าเรามาได้ไม่นาน เรากลับจากเชียงใหม่ มา กทม แล้วก็เลยพยายามทำสิ่งที่แฟนเก่าระแวงให้เป็นจริง นั่นก็คือ คุยกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นสมาชิก pantip นี่แหละ ที่รู้จักกันมาหลายปี แต่ไม่เคยเห็นหน้ากัน เรา 2 คนคุยกันถูกคอมากๆเรื่อง esoteric arts (ศาสตร์เร้นลับ) คุยกันเกือบทุกคืนนานๆหลายๆ ชม. เราเคยชวนเธอออก date แต่เธอไม่กล้ามาเจอเราเพราะกลัวโดนแฟนเก่าเราคามมาแหกอกเอา พวกเราแลกหนังสือแนว esoteric arts กันอ่าน แล้วอยู่ดีๆวันหนึ่งเธอส่ง As A Man Thinketh โดย James Allen ฉบับแปลเป็นไทยมาให้เราอ่าน เราก็เลยไป download ต้นฉบับภาษาอังกฤษมาอ่าน แล้วนั่งคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่หลายเดือน จากนั้นเราไปเห็น The Secret ฉบับภาษาไทย ในร้านนายอินทร์ แปลโดยจิรนันท์ เพราะพลิกๆอ่าน 2-3 หน้าพอรู้ว่า Rhonda Byrne ได้แรงดลใจจาก As A Man Thinketh โดย James Allen เราเลยไป download The Secret ต้นฉบับภาษาอังกฤษมาอ่าน (ไม่อ่านภาษาไทย ไม่อยากอุดหนุนจิรนันท์เพราะเธอรวยแล้ว และมีอภิสิทธิ์ได้ค่าแปลมากกว่านักแปลทั่วๆไป) แต่พออ่านภาษาอังกฤษไป ยังอ่านไม่จบเลย แต่เราไปเจอ The Secret Movie เป็นภาษาอังกฤษ เราเลย download มันมา แล้วดูหนังซะหลายสิบรอบ ขี้เกียจอ่านหนังสือแล้วหละ ดูหนังเร็วกว่า เราใจร้อนน่ะ ตกลงเราเรียนรู้เรื่อง The Secret กับ the law of attraction จากหนังฝรั่งมากกว่าเรียนจากหนังสืออะนะ หลังจากนั้นเรากลับไปฝึกคัมภีร์โบราณ ซึ่งคิดตาม plot เรื่องในนิยาย wuxia ทั่วๆไปอะนะ ยอดฝีมือต้องเร้นกายไปฝึกคัมภีร์ตั้งหลายสิบปี บางที 50 ปี เราเคยสิ้นหวัง เพราะคิดว่าชีวิตนี้คงไม่ยาวนานขนาดฝึกคัมภีร์จนบรรลุได้ในชาตินี้หรอกนะ แต่อยู่ดีๆ "หนังสือ The Secret ทำให้เราเข้าใจ "พลังเร้นลับอะไรบางอย่าง" " ^ ทำให้สิ่งที่เราพยายามทำ แล้วทำไม่สำเร็จมาหลายสิบปี คือการเดินกำลังภายในทะลวงผ่านจุดชีพจรสำคัญๆ นั่นเอง แต่อยู่ดีๆ เราทำได้สำเร็จ มันส่งผลให้เรารักษาขาขวาเราที่ใกล้จะพิการได้สำเร็จ พร้อมๆกับเวลาที่ขาซ้ายแม่เราโดนหมอรักษาจนพิการไปแล้ว ที่มันกลับทิศทางกันก็เพราะแม่เรากับเราเกิดมามีปัญหา spinal misalignment (กระดูกสันหลังเบี้ยวผิดแนวธรรมชาติ) กันคนละทิศทาง และที่เราฝึกวิชาชั้นสูงจากคัมภีร์โบราณไม่สำเร็จมาตั้งหลายสิบปี นั่นก็เพราะว่า "เราไม่ได้มีร่างกายซึ่งเหมาะที่จะฝึกวรยุทธ์ชั้นสูง ไม่เหมือนพระเอกใน wuxia" มหัศจรรย์มากๆ the law of attraction ทำให้ปลายนิ้วมือเรามีแรงดึงดูดอย่างประหลาด วันหนึ่งเราหลงเข้าไปที่ websites ของชาวฮินดู แล้วเห็นแผนผังทางเดินเลือดลมของปราชญ์ฮินดู ที่คล้ายๆกับของที่นักพรตเต๋าเขียนไว้ "แต่มันมีข้อความอะไรบางอย่างที่ทำให้เรา "มีสัมผัสพิเศษ" พอที่จะรู้วิธีนั่งสมาธิเดินลมปราณ ให้กระดูกทั้งร่างลั่นเกรียว เหมือนที่พระเอกนางเอกใน wuxia และพวกยอดฝีมือรายอื่นๆทำได้" ^ การทำอะไรแบบนี้ได้ ในขณะนั่งเดินลมปราณ มันทำให้ เรากระดูกสันหลังเราค่อยๆกลับเข้าแนวธรรมชาติ จนขาขวาของเรารอดจากความพิการได้อย่างหวุดหวิด ตอนนั้นเราอายุปาเข้าไปตั้ง 57 เกือบๆ จะ 58 แล้ว จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 05:21:03

ความคิดเห็นที่ 5 หลังจากนั้นเราทำลายอาถรรพ์จากการกินเนื้อวัวได้สำเร็จ ก็เพราะ The Secret นี่แหละ เมื่อก่อนเรากินเจแบบญุี่ปุ่นทุกวัน ไม่กินเนื้อสัตว์ไม่ใช่เพราะสงสารสัตว์ แต่เราพลาดท่าไปคบกับคนไทยเชื้อสายจีนที่ไม่กินเนื้อวัว แล้วเอาความเชื่อพวกเขาเรื่องเจ้าแม่กวนอิม มาฝังหัว จนเราเคยกินเนื้อวัวแล้วทำธุรกิจล้มละลายไปครั้งหนึ่ง โดนไล่ออกจากงานซ้ำๆกัน 7 ครั้งเพราะกินเนื้อวัว และมีคดีขึ้นศาล 2-3 ครั้งเพราะกินเนื้อวัว และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จะค่อยๆพังทีละอย่างเพราะกินเนื้อวัว แต่หลังจากที่เราใช้ the law of attraction เปลี่ยนแนวกระดูกสันหลังเราได้ เราเริ่มทำซ่านั่นก็คือ "ไม่กินอาหาร macrobiotic แต่กินพวกเนื้อสัตว์ที่โดนเลี้ยงด้วยสารเคมี แล้วพยายามเดินกำลังภายในสลายพิษเนื้อสัตว์พวกนี้ แล้วเปลี่ยนม้นให้กลายเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย" เราพยายามเพ่งกระแสจิตว่า "กินเนื้อวัวแล้วจะรวยเหมือนเศรษฐีฝรั่งทีมันก็กินเนื้อวัวเหมือนกัน" ตอนแรกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เราพังไปหลายอย่างเหมือนกัน ทำให้ใจไม่ดีแฮะ! แต่พอเพ่งกระแสจิตไปเรื่อยๆ ตอนนี้เราเป็นเหมือนที่ George Ohsawa (ผู้นำ Zen Macrobiotics จากญี่ปุ่นไปเผยแพร่ในโลกตะวันตก) พูดว่า A free man can eat anything. (คนที่เป็นอิสระแล้วจะกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น) ^ หลายๆคนที่ฝึก Zen Macrobiotics ตีความว่าคนที่กินอาหาร macrobiotic แล้วทำสมาธิดีๆ จะมีแต่อาหาร (ปลอดสารพิษ) ดีๆ เข้ามาในชีวิต แต่เราตีความจากข้อความที่เราเห็น George Ohsawa เขียนว่า "ถ้าหาอาหารดีๆไม่ได้แล้วต้องกินอาหารที่มีสารพิษเราเคี้ยวมันให้ละเอียดมากๆ (เคี้ยวแม้กระทั่งน้ำ) น้ำลาย + สมาธิอันแก่กล้า สามารถเปลี่ยนอาหารและเครื่องดื่มที่มีสารพิษให้กลายเป็นสารอาหารที่บำรุงร่างกายได้" เพ่งแต่ the law of attraction ไปเรื่อยๆ แล้ว think positive (คิดในเชิงบวก) ไปเรื่อย จนในที่สุด "ตอนนี้เรากินเนื้อวัวได้อย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่มีโชคร้ายแต่อย่างใด!" เราดีใจมากๆที่เราเอาชนะอาถรรพ์เนื้อวัวได้ หลังจากกินเนื้อวัวไม่ได้มาตั้งแต่อายุ 28 จนถึง 56 เราก็เลยทำอะไรเพื่อเพิ่มพลังจิตและสลายความเชื่อ นั่นก็คือ เราแค่พยายามกินเนื้อวัวเพื่อพิสูจน์ได้ในเรื่อง  A free man can eat anything. จากนั้นเราก็กลับไปกินเจของเราตามปกติ กินเกือบทุกวัน แต่พอถึงเทศกาลกินเจ เราจะกินเนื้อวัวเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่า "อาถรรพ์เนื้อวัวทำอันตรายเราไม่ได้อีกต่อไป!" ซึ่งเราก็ปลอดภัยและแคล้วคลาดมาโดยตลอด ถึงจะกินเนื้อวัวก็ตาม ทุกอย่างมันอยู่ที่ the law of attraction ต่างหากล่ะ! นั่นก็หมายความว่า "ที่เรากินเนื้อวัวแล้วซวยในอดีต มันไม่ใช่เพราะเจ้าแม่กวนอิมหรือเง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษเรา แต่มันเป็นเพราะ "จิตใต้สำนึก" เรา เล่นกลกับเราต่างหากล่ะ!" ดังนั้นเพื่อพิสูจน์ว่าเรามีดุลพินิจที่ถูกต้องในเรื่องนี้ "เราจะกินเจโดยส่วนใหญ่เพราะเราชอบอาหารเจ แต่เราจะกินเนื้อวัวในเทศกาลกินเจของคนไทยเชื้อสายจีน" แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 05:33:33 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 05:30:49 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 05:25:13

ความคิดเห็นที่ 6 หนังสือเล่มไหนสำคัญที่สุดกับชีวิตคุณ? มันเป็นอัตวิสัย ถามร้อยคนก็คำตอบร้อยเรื่อง ผมว่า จขกท คงสรุปลำบาก ในมุมมองของผม หนังสือทุกเล่มเปลี่ยนคนทั้งนั้นแหละครับ ขอให้อ่านและซึมซับ การซึมซับนั้นสะสมเปลี่ยนคนเราไปเรื่อยๆ คุณอ่านหนังสือจบไปเล่มหนึ่ง ตัวคุณก่อนอ่านและหลังอ่านก็ไม่ใช่คนเดิมแล้วละในเชิงความรู้และความคิด สำหรับผมไม่มีหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งที่สำคัญที่สุดหรอก หนังสือทุกเล่มเป็นครู คนเรานั้นเป็นสัตว์ที่เรียนรู้ไปเรื่อยๆตั้งแต่เกิดจนตาย คงไม่ได้อาศัยครูแต่เพียงคนเดียวหรอก จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 06:10:49

ความคิดเห็นที่ 7 ....ลบออก...พิมพ์ผิดเยอะเกินไป... แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 07:30:34 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 07:04:23 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 06:52:24 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 06:40:08 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 06:34:43

ความคิดเห็นที่ 8 คราวนี้มาเรื่องสุขภาพและการเงิน สุขภาพเราดีขึ้นเรื่อยๆ เราเริ่มเดินได้เร็วขึ้น เรามีพลังพอที่จะฝึกมวยจีนหนักๆได้อีกทุกวัน แต่เราฝึกโยคะ กับฝึกนั่งสมาธิเดินลมปราณสลับกันไปด้วย หลังจากแก้ปัญหาสำคัญคือเรื่องกระดูกสันหลังไปได้ การฝึกวรยุทธ์อย่างหนักกลายเป็นว่ามันไปกระตุ้นต่อมที่ผลิต sex hormones มากจนผิดปกติ ทำให้เราตกใจมากๆที่อยู่ดีๆ ตอนนี้เราอายุย่างเข้า 62 แต่เรากลายเป็นเฒ่าตัณหากลับไปซะแล้ว เราจะ download หนังโป๊มาดูทุกคืนเพื่อกระตุ้นการผลิต sex hormones ให้มากๆ เพราะเราหวังฝึกคัมภีร์โบราณให้กลายเป็นเซียนให้ได้ด้วยวิธีการที่นักพรตเต๋าจีนและปราชญ์ฮินดูสอนไว้คือเรื่อง sublimation คือการเปลี่ยน sexual energy ให้กลายเป็นพลังแห่งการเรียนรู้ แต่ฝึกๆไปรู้สึกจะฝึกผิดแฮะ เพราะยิ่งฝึกวรยุทธ์จากคัมภีร์โบราณก็ยิ่งทำให้เรามีความต้องการทางเพศและมีสมรรถภาพทางเพศมากเกินกว่าสมัยเราเป็นเด็กวัยรุ่น แต่ที่ได้ประโยชน์มากสุดๆอย่างเห็นได้ชัด นั่นก็คือ sex hormones ที่่ร่างกายเราเร่งผลิตออกมาตั้งมากมายไปปรับเปลี่ยนคุณภาพกระดูก กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น อีกทั้งไปปรับเปลี่ยนผิวหน้ากับผิวกายเราตั้งมากมาย ใบหน้าที่ใต้ตาที่เคยมีตีนกา ตอนนี้มันไม่มีตีนกาแล้ว และผิวกายที่เคยหยาบกระด้าง อยู่ดีๆมันเนียนเรียบสวยงามกว่าเดิมมากๆ สรุปแล้วเมื่ออายุใกล้ๆจะ 62 เราไม่มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าหรือบนร่างกายเราเลยแม้แต่นิดเดียว และตอนนี้ความจำเรากำลังดีขึ้น สมองคิดอะไรพลิกแพลงได้มากขึ้นเรื่อยๆจนเรียนรู้อะไรใหม่ๆได้รวดเร็วกว่าปกติ เราน่าจะเพิ่ม iq ได้สำเร็จเอาตอนอายุมากๆ เพราะการเปลี่ยนแปลงระบบทั้งร่างกายเรา มันทำให้ร่างกายเรามีความสามารถมากขึ้นกว่าเดิมในการสลายสารพิษจากมลภาวะหรือสลายสารพิษจากอาหาร(ที่บางทีกินสารพิษเข้าไป) ความสามารถใหม่อันนี้มันทำให้คุณภาพเลือดเราดีขึ้น เมื่อคุณภาพเลือดดีขึ้นสมองก็ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งๆขึ้น จนเรากลายเป็นทำตัวขวางโลกนั่นก็คือ เรากลายเป็นมั่นใจในตัวเองมากๆยิ่งๆขึ้นจนเราไม่คิดจะเรียนต่อในระดับมหาลัย แต่อยากจะเรียนรู้ด้วยตัวเองต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง คือเมื่อปีที่แล้ว มสธ เปิดศิลปศาสตร์เอกอังกฤษ เราน่าจะไปเรียนเอาวุฒิปริญญาตรีได้ง่ายๆนะ เพราะเราทำงานด้านภาษาอังกฤษมาหลายสิบปี คงออกแรงน้อยกว่าคนอื่น ที่เราไม่เรียนรามฯเพราะเราไม่มีวุฒิ ม.6 แต่ถ้าเราเรียน มสธ เราใช้วุฒิ มศ.3 (เทียบเท่า ม.4 สมัยนี้) สมัครเรียนปริญญาตรีได้ แต่อยู่ดีๆ เรา think positive แล้วมั่นใจในตัวเองมากๆ ว่า เราเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองเราเก่งกว่าเรียนมหาลัยไทยแน่ๆ มันดีกว่าการไปเสียเวลาตั้ง 4 ปี ในมหาลัยไทย (เพราะจริงๆแล้วมหาลัยควรเชิญเราไปสอน ไม่ใช่เราไปเรียนกะอีแค่ต้องการกระดาษมาใบหนึ่ง แล้วเสียเวลาไปเรียนเรื่องที่เรารู้แล้ว) think positive ออกมาได้ ก็คือ การไม่มีปริญญา เป็น "แรงขับเคลื่อน ผลักดัน" ทำให้เราต้องเรียนหนักกว่าและใช้สมองพลิกแพลงมากกว่าคนเรียนภาษาอังกฤษในมหาลัยระดับปริญญาโทกับปริญญาเอก เราว่าเรามีวุฒิแค่ มศ.3 (เทียบเท่า ม.4 สมัยนี้) แต่พยายามเรียนรู้ด้วยตัวเองให้เก่งกว่าพวกเขา มันท้าทายดีกว่า ^ การ think positive แบบนี้ มันทำให้เรายิ่งอายุมากขึ้นเรื่อยๆแต่กลับจะทรงพลังมากยิ่งๆขึ้นเรื่อย ^ เพราะเราอยากเจริญรอยตามปรมาจารย์ตั๊กม้อ (ผู้ก่อตั้งวัดเส้าหลิน) กับ จางซันฟง (ผู้ก่อตัวสำนัก Wudang (อ่านแบบคนจีนในเมืองไทยคือ "บู๊ตึง") เพราะทั้ง 2 ท่านนี้ กลายเป็นมีพลังมากยิ่งๆขึ้น เมื่ออายุเกิน 100 ปี ก็ยังสามารถใช้วรยุทธ์เอาชนะเด็กหนุ่มๆสาวๆได้ แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 09:53:49 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 07:33:28 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 07:31:05

ความคิดเห็นที่ 9 ตอนนี้สิ่งที่เราเรียนรู้ด้วยตัวเองได้รวดเร็วมากๆ นั่นก็คือคอมพิวเตอร์ เมื่อก่อนเคยซื้อหนังสือมาอ่าน แต่สมัยนี้เราเรียนจาก google ลูกเดียว จนความรู้คอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ตเรารุดหน้าไปไกลมากๆ ซึ่งตอนนี้เราฝันเฟื่องอยากจะใช้ computer software ช่วยเรียนรู้ด้านอื่นๆเช่นเรียนภาษาอังกฤษหรือเรียนวิชาอื่นๆทบทวนใหม่หมด ส่วนเรื่องการเงินมันดีขึ้นระยะหนึ่งแล้วมันตกลงมา แต่ตอนนี้เราพอจะรู้ว่าเพราะอะไร? เราว่า "อาจเป็นเพราะฟ้าลิขิตต้องการให้เราเดินทางบางสาย ที่ปรมาจารย์ (นักพรตเต๋าที่เขียนคัมภีร์ที่เราศึกษา) ได้เลือกทางไว้ให้กับเรา" ก่อนเรียนรู้เรื่อง The Secret เราเคยทำงานแปลก๋วยเตี๋ยวเรือ คืองานแปลราคาถูกๆ แปลลวกๆ ที่รับจากร้านแปล แถวๆ ถ.เพลินจิต กับ ถ.วิทยุ ร้านแปลรับหน้าร้านหน้าละ 400 บาท แล้วกินหัวคิวเราครึ่งหนึ่งแล้วจ่ายเราหน้าละ 200 บาท แต่งานมีให้ทำทุกวัน เราเคยดูถูกงานแบบี้นะ แต่พอคิดย้อนหลังแล้วถ้าเราแปลวันละ 10 หน้า แล้วทำงานเดือนละ 22 วัน คือหยุดเสาร์อาทิตย์ เราน่าจะมีรายได้เดือนละ 44,000 บาท ทุกเดือน ซึ่งก็นับว่าไม่เลวเลยสำหรับคนจบแค่มัธยมต้นอย่างเรา แทนที่จะพยายามไปเรียนจนจบปริญญาเอกแล้วไปสอนในมหาลัยเงินเดือนแค่ไม่กี่บาท ^ แต่เรื่องอาชีพการแปลเราพลิกผันไปเพราะอยู่ดีๆเราไม่ได้ลงเอยเป็นแฟนกับสาวคนที่เราคุยจีบกันทุกคืนหรอก เรากลายเป็นไปได้แฟนใหม่เป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งอายุคราวลูกเรา แล้วแฟนใหม่เราเอาวุฒิปริญญาโททางด้านภาษาอังกฤษของเธอไปรับงานแปลมาเป็นชื่อเธอ เธอรับงานแปลได้ราคาแพงกว่าที่เราได้ั 5 เท่า คือรับมาหน้าละตั้ง 1,000 บาทแน่ะ มีช่วงดีๆที่เราทำเงินได้ค่อนข้างมากเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว คือบางทีทำงานแค่ 2-3 วันได้เงินค่าแปลไป 2-3 หมื่นบาท คือแฟนใหม่เราคนนี้ไม่อยากให้เราเป็นหมอดูยังไงล่ะ (สงสัยเธอคงกลัวเราไปจับไม้จับมือชีกอลูกค้าสาวๆสวยๆ) เธอก็เลยหางานแปลราคาแพงๆมาให้เราทำ แต่มาช่วงนี้งานแปลราคาดีๆชักจะลดลง เราเลยไปรับงานแปลนิยายกับงานบรรณาธิการต้นฉบับตรวจแก้งานแปลจากสำนักพิมพ์มาทำสลับกัน ซึ่งตอนแรกก็กำลังจะไปได้สวยเพราะเราไปได้ deal ดีๆ จากสำนักพิมพ์คือเราเป็นคนแปลแล้วระบุให้แฟนตัวเองเป็นบรรณาธิการต้นฉบับได้ เงินก็เลยไม่รั่วไปไหน ทั้งค่าแปลค่าตรวจแก้งานแปลได้มาหมด เขาเรียกว่า "เรือล่มในหนองทองก็ไม่ไปไหน" ^ แต่ทำๆไป ชักจะยุ่ง งานที่เคยได้ง่ายๆ เพราะรู้จักบรรณาธิการหลายคน แต่ทีนี้พวกเขาลาออกไปกันหมด เราผู้เป็นเด็กเส้นเลยตอนนี้ติดต่อสำนักพิมพ์ลำบากหน่อยแฮะ เพราะไม่รู้จะโทรไปคุยกับใคร เจอแต่พวกทำงาน freelance จนคุยแทบไม่รู้เรื่อง แต่สงสัยจันทร์หน้าต้องโทรไปขอหนังสือมาแปลใหม่อีกเล่มให้ได้ ถ้าได้ก็ดีสินะ เพราะอยู่ดีๆตกใจหนังสือเล่มที่แล้วสำนักพิมพ์ให้ค่าแปลเพิ่มอีกตั้งเกือบ 2 เท่าแน่ะ! ^ แต่ทำๆไปอะนะ เราเลยฝันเฟื่อง กะจะเรียนภาษาจีนแบบพริบตาเดียวแปลจีนเป็นอังกฤษได้ กะจะไปเอาค่าแปลจากร้านแปลก๋วยเตี่ยวเรือ 2 เท่าของงานแปลไทยเป็นอังกฤษ คือเขารับงานแปลภาษาจีนหน้าร้าน หน้าละ 800 บาท (หรืออาจมากกว่านั้น) แล้วให้เรา หน้าละ 400 บาท (หรือมากกว่านั้น) เราแปลได้วันละ 10 หน้า ทำงานเดือนละ 22 วันได้ค่าแปล 88,000 บาททุกเดือน (หรือมากกว่านั้น) ยิ่งถ้ารับโดยตรงจากลูกค้าให้ได้หน้าละ 1,000 บาทเหมือนที่แฟนเราเคยรับได้อะนะ (มันต้องหาวิธีทำการตลาดแบบ online ให้สำเร็จ ถ้าจะไม่รับงานจากร้านแปลก๋วยเตี๋ยวเรือ) มันน่าจะทำให้เรียนภาษาจีนด้วยตัวเองแต่ไม่มีปริญญา มันกลายเป็นหาเงินได้มากกว่าการไปเรียนภาษาอังกฤษที่เรารู้อยู่แล้วในมหาลัยไทยเพื่อเอาปริญญาตรีมาเดินย่ำต๊อกๆสมัครงาน อะนะ เรื่องแปลกๆแบบนี้บางทีคนอยากเรียนต่อสูงๆอาจคิดไม่เหมือนเราก็ได้ เพราะบางคนมีความสุขกับวุฒิการศึกษา แต่เรามีความสุขกับความรู้จริงๆที่เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองจากชีวิตจริง ซะมากกว่า แต่พอเราเรียนๆภาษาจีนไปอะนะ ดันทำซ่า ทดสอบ computer software มากไป (เพราะกะจะเอา computer software มาช่วยในการเรียนรู้) เลยหลังจากไป download ของฟรีที่จะใช้เรียนภาษาจีน มาได้จนเต็ม hard disk เรา เราดันมัวแต่ทดสอบ computer software จนกลายเป็นเซียน software ไปซะแล้ว ซึ่งบางทีเราน่าจะเขียนตำราคอมพิวเตอร์ขายซะมากกว่านะ บ้าที่สุดเลย ตอนนี้พอกำลังมองๆหางานเพิ่มรายได้ สมัครเป็นครูสอนภาษาอังกฤษก็โชคไม่ดี แค่จะไปสอนภาษาอังกฤษ เด็ก ม.6 อะนะ เราโดนเจ้าของโรงเรียนไล่ออกมาบอกว่า "เขาจะเอาคนจบปริญญาโท" มันทำให้เรายิ่ง think positive มากขึ้น โดยการพูดกับตัวเองว่า "จริงๆแล้วเราจะสอนภาษาอังกฤษให้ครูที่จบปริญญาโทพวกนั้นเราก็ทำได้ เจ้าของโรงเรียนตาไม่ถึงเอง" เราก็เลยต้องค่อยๆกลับมามองหางานแปลอีก บางทีอาจกลับไปเอางานแปลก๋วยเตี๋ยวเรือมาทำเหมือนเดิมบ้าง แต่คิดๆไปแล้ว "สัมผัสพิเศษบอกอะไรเราบางอย่าง" คือตอนที่เราเพิ่งเปลื่ยน login เราเป็น fortuneteller อะนะ เรากำลังเรียน Feng Shui อยู่ กะจะออกไปเป็นหมอดู แต่แฟนเราคัดค้าน แล้วหางานแปลราคาแพงๆมาให้เราทำ แต่ตอนนี้นะ สัมผัสพิเศษบอกเราว่า เราน่าจะลองไปทำงานเป็นหมอดูจริงๆนะ เพราะความสามารถพิเศษที่จะทำให้เราทำเงินได้มากนั่นก็คือ "รักษาผู้ชายที่เป็นกามตายด้าน" เพราะในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา เราเรียนรู้เคล็ดลับตั้งมากมายจากคัมภีร์โบราณที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิต sex hormones ได้ ด้วยการฝึกกำลังภายในและการใช้สมุนไพร ^ จากเป็นหมอดูแล้วได้งาน "หมอรักนกเขา" ได้ยังไงหรือ? ก็ตอนดูดวงและดูเรื่องสุขภาพให้ลูกค้าผู้ชาย แค่ดูความแข็งแรงของข้อมือและสัมผัสจุดชีพจร แตะหนักแตะเบา ที่ข้อมือละ 3 จุด เท่ากับฟังการไหลเวียนของกระแสลมปราณในอวัยวะภายในได้มากถึง 12 อวัยวะตามหลักวิชาการแพทย์จีนแผนโบราณ เราก็สามารถบอกได้เลยว่าลูกค้าผู้ชายคนไหนเป็นกามตายด้าน เราคาดว่า "ลูกค้าคงตกใจมากๆว่าเรารู้ได้ไง และคงเลื่อมใสพอที่จะยอมจ่ายเงินให้เรารักษาเขานะ"...555+++...ถ้าเเราเปลี่ยนอาชีพไปเป็นหมอรักษานกเขาได้จริงๆปรมาจารย์นักพรตเต๋า (ผู้เขียนคัมภีร์ที่เราศึกษา) คงจะดีใจมากๆนะ ที่เราได้ใช้วิชาที่ร่ำเรียนมา ไปรักษาผู้อื่น...555+++... เลยปีใหม่ฟ้าใหม่ มันอาจกลายเป็นช่วงหักเหของชีวิตก็ได้ บางทีเราน่าจะปล่อยให้ "สัมผัสพิเศษนำทางเราไปนะ" นำทางเราไปตาม the law of attraction แต่จะได้ผลอย่างไร (หมายถึงเรื่องการเงิน) เราจะมารายงานให้ทราบ ในภายหลัง เดี๋ยวขอตัดสินใจอีกนิดหนึ่งว่าจะหารายได้เพิ่มยังไงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ แต่เท่าที่เป็นอยู่การเงินก็อย่างว่านั่นแหละ มีช่วงขึ้น แล้วลงมาหน่อย (มันคงเป็นเพราะฟ้าลิขิตให้เราต้องไปทำงานเป็นหมอรักษานกเขาหรืออะไรอย่างอื่นนอกจากนักแปล อ้ะ) แต่ก็ไม่ถึงกับตายสนิทเพราะยังมีทางเอาตัวรอดหลายทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมหัศจรรย์บางอย่างเกิดขึ้นหลังจากเราเรียนรู้เรื่อง The Secret กับ the law of attraction นั่นก็คือพ่อเราซึ่งไม่เคยให้เงินเรามาตั้ง 20 ปี แล้ว แต่อยู่ดีๆไม่รู้พ่อนึกยังไงเอาเงินมาแบ่งให้เราใช้บ้างพอสมควรทุกๆเดือน เรื่องสุขภาพที่ดีเยี่ยมถึงจุดสุดยอดของมัน เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตมากกว่าอย่างอื่นตั้งหลายเท่า  จนกระทั่งตอนนี้เราเชื่อสนิทแล้วว่า "สิ่งที่คัมภีร์โบราณที่นักพรตเต๋าจีนเขียนไว้เรื่องเคล็ดลับในการคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยตลอดกาล มันต้องเป็นของจริงแน่ๆ ไม่ใช่ของโกหก ไม่ใช่ของที่มีแต่ในตำนาน เพราะตอนนี้เรารู้สึกว่า ร่ายกายและจิตใจของบเรากำลังค่อยๆจะกลับเป็นเด็กวัยรุ่นได้จริงๆด้วย!" ขอบคุณ The Secret และ the law of attraction ที่ช่วยทำให้เราฝึกคัมภีร์โบราณได้ถูกวิธี หลังจากฝึกผิดๆมาแล้วตั้งหลายสิบปี! จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 07:33:46

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณ คุณ fortuneteller มากค่ะ ที่มาแบ่งประสบการณ์ชีวิตที่ดี พยายามคิดบวกทั้งๆที่คนอื่น เค้าดูถูกคุณไว้ตั้งมากมาย ชีวิตคนเรากว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ผ่านอะไรมาเยอะจริงๆแหละค่ะ เราสนับสนุนคุณมากเลยนะคะเรื่องเรียนรู้สิ่งที่สนใจด้วยตัวเอง ถึงจะไปเรียนแต่ถ้าไม่รู้จักต่อยอดเองก็คงเป็นการเรียนแล้วก็ลืมไปเองค่ะ แต่ จขกท. ศรัทธาคนที่เรียนต่อ ป.โท ป.เอก นะคะ จขกท. ว่าเค้าเป็นคนที่ใฝ่รู้และอยากพัฒนาต่อยอดความรู้ของตัวเอง คนเรียน ป.ตรี สมัยนี้ค่านิยมคือ ก็ขอให้จบ ป.ตรีเพื่อจะได้อยู่ในสังคมได้ เพราะสมัยนี้คนที่จบระดับ ม.6 หรือต่ำกว่า จะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม พูดง่ายๆคือ สังคมจะประเมินพวกเค้าในแง่ลบหน่ะค่ะ แต่ความเป็นจริงแล้วคนที่จบไม่สูง บางทีมีหัวคิดมากกว่าคนที่จบสูงกว่าเค้าด้วยซ้ำ อันนี้ จขกท. ไม่พลาดพิงถึงใครคนใดคนนึงนะคะ  คนเราจะเป็นยังไง การศึกษาก็วัดได้แค่บางส่วนเท่านั้นเอง   ส่วนเรื่อง The raw of attraction ใช้ได้ผลจริงๆค่ะ มันเหมือนเป็นส่วนนึงที่กระตุ้นด้านดีในจิตใต้สำนึกเราให้ทำงานเกือบจะตลอดเวลาที่เรามีสติ คล้ายๆกับหลักธรรมะบางข้อเลยนะคะ แล้วก็ขอบคุณสำหรับการแนะนำหนังสือ As a Man Thinketh มากๆด้วย แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 09:33:59 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 09:33:08 จากคุณ : Fairy_Engine เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 09:31:46

ความคิดเห็นที่ 11 ข้อสรุป  จากหนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ต เปลี่ยนชีวิต 1. แรงขับ แรงบันดาลใจ  ความมุ่งมั่น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ภาพแห่งความสำเร็จชัด   สุภาษิตที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น  ความจริงแล้วต้องกลับกัน คือ ความสำเร็จอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น 2. โชค เป็นสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า  คนที่มองเห็นแล้วเตรียมตัวอย่างดี เมื่อถึงจังหวะนั้น จะถูกมองว่าโชคดี ความจริงเป็นการคาดการณ์อนาคตได้อย่างถูกต้องมากกว่า 3.ต้อง “กล้าเสีย”  เพราะพลังแฝงที่อยู่ในความกล้าเสีย จะสูงพอๆกับพลังที่จะขับให้ไปสู่ความสำเร็จ  ที่พูดกันว่า กล้าได้ ต้องกล้าเสีย  ความจริงแล้วไม่ใช่ “กล้าได้”  แต่หมายความว่า คนที่ใจไม่ถึงไม่ควรจะได้ 4.การไม่กล้าตัดสินใจ ความลังเลสงสัย เป็นหนทางแห่งการพ่ายแพ้  พระพุทธองค์ทรงยกให้ความลังเลไม่แน่ใจ เป็นเครื่องกั้นความเจริญก้าวหน้า และถือว่า เป็นหนึ่งในนิวรณ์ห้า   5. แรงผลักกำหนดทิศทางยากกว่าแรงดูด พยายามมองหาแรงจูงใจให้พบ  มิฉะนั้นแรงขับที่มีอยู่ก็ปราศจากประโยชน์ 6. คนที่ไม่ลืมความลำบากที่เคยเผชิญมาในช่วงวัยต้นของชีวิต จะมีแรงขับอยู่ตลอดเวลา และเมื่อใดที่เขาเจอแรงดูด ชีวิตจะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว 7. การเชี่ยวชาญอย่างยอดเยี่ยมเพียงไม่กี่อย่าง ดีกว่า การที่รู้ทุกอย่าง แต่ไม่ชำนาญสักอย่าง   8. การไม่ตัดสินใจ หรือกลัวการเปลี่ยนแปลง ก็คือการเสียโอกาสอย่างยิ่งใหญ่ 9. ในชีวิตของคนคนหนึ่ง จะมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญถึงขนาดพลิกชีวิต ไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง 10. โอกาสมักจะวิ่งมาชน โดยไม่ทันตั้งตัว คนที่จะฉวยโอกาสได้ คือคนที่เตรียมตัวพร้อมอยู่เสมอเท่านั้น 11.วิกฤตในบางครั้ง ก็คือจุดเปลี่ยนของชีวิต ที่กลับจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้นกว่าเดิม 12. มิ๊คกี้เม้าท์ จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้า วอลซ์ ดิชนี่ย์ คิดลบกับหนู   13. “ผิดเป็นครู” พยายามเรียนรู้จากความผิดพลาดให้มากที่สุด 14. การรู้ตัวว่าก้าวผิด จะทำให้ก้าวต่อไปถูก 15. การศึกษาทุกแขนงถือว่าเป็นศาสตร์  แต่การนำไปใช้เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ 16. เสียดาย ดีกว่า เสียใจ  เสียดายเป็นเรื่องของสมอง แต่เสียใจเป็นเรื่องของจิตวิญญาน 17. คนเรามักเสียดาย การสูญเสียสิ่งที่ตัวเองมีอยู่  แต่ ไม่เสียดายการสูญเสีย สิ่งที่ควรจะมี 18. ผู้ที่ขาดวินัยทางการเงิน ชอบเอาเงินในอนาคตมาใช้ก่อนฉันใด ผู้ที่ขาดวินัยทางการทำงาน ก็จะเอาเวลาในอนาคต มาใช้ก่อนฉันนั้น (ผัดวันประกันพรุ่ง) แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 11:19:06 จากคุณ : รักหลอกจึงบอกให้ เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 10:28:39

ความคิดเห็นที่ 12 แล้วแต่คนค่ะ เห็นแบบคุณแอ๊ดว่าทุกเล่มเปลี่ยนหมด แต่ส่วนตัวแล้วเล่มที่เป็น turning pt สำคัญคือ พุทธธรรม ของ พระธรรมปิฎก ค่ะ จากคุณ : jackfruit_k เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 10:34:37

ความคิดเห็นที่ 13 โดยส่วนตัวนะคะ คิดว่าไม่มีหนังสือนั้นสำหรับเราค่ะ บางเล่มอ่านแล้วได้ข้อคิดที่ดี สามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน หรือ ส่งผลได้ในระยะที่เรียกว่า ชั่วคราวหรือระยะเวลาหนึ่ง การที่จะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับตัวเราไปตลอดกาล สำหรับเราน่าจะเกิดจากประสบการณ์ และตัวเองมากกว่า ต้องขออภัยนะคะหากคิดเห็นไม่เหมือนเพื่อนๆ แต่ทั้งนี้หนังสือดังกล่าวข้างต้นที่เพื่อนๆแนะนำมาเป็นหนังสือที่ดีทั้งนั้นนะคะ เราไม่ได้แอนตี้หนังสือ กลุ่มพัฒนาตัวเองแต่อย่างใดค่ะ ด้วยความเคารพ จากคุณ : kendosan เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 10:51:29

ความคิดเห็นที่ 14 คุณ fortuneteller เรื่องของคุณน่าสนใจมาก ๆ สามารถทำเงินได้เป็นล้าน ไม่ใช่แค่หมื่นหรือแสน สามารถเขียนหนังสือขาย สอนวิธีทำ เปิดเวิร์คช็อพ seminar ได้ และไม่ใช่ทำในไทยเท่านั้น ภาษาอังกฤษของคุณดีมาก ทำขายได้ทั่วโลก โดยเฉพาะอเมริกา ลองหาหนังสือ ชื่อ Millionnair Messenger มาอ่าน แล้วคุณจะเข้าใจที่พูด ว่าเป็นไปได้อย่างไร จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 11:10:39 A:58.8.166.110 X: TicketID:098315

ความคิดเห็นที่ 15 As A Man Thinketh เป็นหนังสือที่เก่ามากๆนะ คิดว่าเก่าประมาณ 107 ปี นั่นก็แสดงว่าปราชญ์โบราณหลายๆท่านคิดอะไรได้ลึกซึ้งน่าทึ่งมากๆ แต่ก็จริงอย่างที่คุณแอ๊ด ปากเกร็ด พูดนั่นแหละว่า "ไม่มีหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งที่สำคัญที่สุดหรอก หนังสือทุกเล่มเป็นครู" ยกตัวอย่างเช่นกรณีเรา ที่อยู่ดีๆเรา คิดค้นหาวิธีเรียนรู้อะไรได้ด้วยตัวเองอยู่เรื่อยๆ นั้น มันก็เป็นเพราะหนังสืออีกหลายๆเล่มสอนเราไว้ด้วย เล่มที่สำคัญก็คือ textbooks วิชา logic กับตำราหมากรุกฝรั่ง ที่เราอ่านมาตั้งมากมายก่ายกองตอนอยู่ต่างแดนในช่วงสมัยที่เราค้นพบว่าตัวเอง iq ต่ำกว่าเด็กวัยรุ่นวัยเรียนทั่วๆไป เราเลยอ่านหนังสือพวกนี้เพื่อพยายามเพิ่ม iq ให้ตัวเอง  โดยการออกไปฝึกเล่นหมากรุกฝรั่งทุกวันหลังจากที่เราได้ข้อมูลมาว่าระบบการศึกษาในประเทศรัสเซียสอนวิชาหมากรุกฝรั่งให้เด็กนักเรียนเป็นวิชาบังคับ เพื่อสอนให้เด็กหัดใช้เหตุผล และที่เราจับพลัดจับพลูหลงไปเรียน logic ก็เพราะเราคิดว่าเราน่าจะเพิ่ม iq ได้ด้วยการเรียน philosophy และ วิชา logic มันเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งใน philosophy แต่เรากลายเป็นไม่สนใจอ่านปรัชญาของพวก Socrates, Plato และ Aristotle แต่อยู่ดีๆกระโดดพรวดไปเรียนปรัชญาจีนของนักพรตเต๋าจีน นั่นก็เพราะอิทธิพลจาก wuxia ที่เราอ่านสำนวนการแปลจากจีนเป็นไทยของท่าน ว. ณ เมืองลุงนั่นเอง ประกอบกับการอ่านหนังสือพวก howtos แนวเพิ่ม iq อย่างของ Tony Buzan (คนที่เขียนหนังสือเรื่อง mindmapping) กับหนังสือสอนวิธีคิดพลิกแพลงเพื่อทำโจทย์คณิตศาสตร์ระดับเซียน ซึ่งเอามาสอนวิธีคิดเรื่องยากๆอย่างอื่นได้เช่นเอามาเรียนคอมพิวเตอร์ได้ด้วยตัวเอง การที่ครั้งหนึ่งเราเคยเห็น และศึกษา flowchat ที่  Mikhail Botvinnik (ชาวรัสเซีย ซึ่งเป็น computer programmer และ อดีตแชมป์โลกหมากรุกฝรั่ง) ที่เขียนขึ้นมาเพื่อสอนให้คอมพิวเตอร์เล่นหมากรุกฝรั่ง มันทำให้เรานำ concepts ของมันมาคิดหาวิธีสอนภาษาอังกฤษให้ตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสอนการแปล และตอนนี้เราใช้ flowchart อันนี้สอนคอมพิวเตอร์ให้ตัวเอง และสอนศาสตร์อื่นๆที่เราอยากเรียนรู้ด้วยตัวเอง ลองไปดู concepts ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สอนการแปล ที่เราดัดแปลงมาจาก flowchat ของ  Mikhail Botvinnik ที่เราเคยปั่นไว้ในกระทู้เก่าอันนี้ได้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/06/K7934208/K7934208.html หนึ่งในคัมภีร์โบราณรวมทั้งตำราวิชาแทงเข็ม (acupuncture) ที่เราอ่านมา ทำให้อยู่ดีๆเราเริ่มเข้าใจว่าปรมาจารย์เล่าจื้อหลอกบัณฑิตได้เก่งมากๆ ตอนที่ท่านเขียน Dao De Jing คือมันตีความได้หลายระดับมากๆ อ่านไม่ดีกลายเป็นเรื่องจริยธรรม ปรัชญา รัฐศาสตร์ หรือบทกวีอันงดงาม แต่แท้จริงแล้วท่าน "เล่นคำ" โดยเอา technical terms ภาษาจีน ซึ่งเป็นชื่อทางเดินของสายลมปราณสำคัญๆในร่างมนุษย์ มาเขียนให้พวกบัณฑิตอ่านแล้วเขว หลงคิดว่าเป็นเรื่อง "การปกครองโดยไม่ปกครอง" หรือ "การกระทำโดยไม่กระทำ" หรือ แม้กระทั่งเรื่อง "การถ่อมตน" ที่ท่านเขียนเช่นนี้ก็เพราะไม่อยากให้ศาสตร์โบราณอันมีค่าต้องตกไปอยู่ในมือคนที่สวรรค์ไม่กำหนดมาให้มาได้ล่วงรู้ความลับเหล่านี้ ปรมาจารย์เล่าจื้อหลักแหลมมากๆ ในการเขียนคัมภีร์ Dao De Jing (ซึ่งมีอายุเก่าหลายพันปี) ซึ่งแท้จริงแล้วมันคือ วิชา alchemy (เล่นแร่แปรธาตุ) ซึ่งเป็นสุดยอดของวิชาของนักพรตเต๋า ในการผสาน jing(น้ำอสุจิหรือน้ำในช่องคลอดเมื่อสตรีถึงจุดสุดยอด) + qi (ลมปราณ)  + shen (วิญญาณ) ให้กลายเป็น elixir of life (ยาอายุวัฒนะ) เพื่อสร้าง immortal fetus (ทารกน้อยในร่างผู้ฝึกที่จะดึงออกจากร่าง (ละทิ้งสังขาร) แล้วกลายเป็นเซียนไปได้) เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ไม่มีบุญได้วิชานี้ไป เล่าจื้อเขียนคัมภีร์ Dao De Jing ให้ตีความได้หลายอย่าง จนฟังดูเหมือนเป็นบทกวี เป็นจริยธรรม หรือเป็นรัฐศาสตร์ จนสามารถหลอกบัณฑิตทั้งหลาย ให้เข้าใจผิดกันมาหลายศตวรรษแล้ว ไปดูการตีความ Dao De Jing ของเรา ว่าเล่าจื้อหลักแหลมแค่ไหน การตีความแบบถอดรหัส Dao De Jing  (version 1) เราเขียนบทความทำนองนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2547 (2004)  (อาจมีเขียนไว้ก่อนหน้านี้อีกด้วย แต่หาไม่เจอ) แล้ว (ตอนนั้นเราใช้ชื่อ tansy แต่ไม่ได้ใช้ login) ตาม link นี้ไป http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/W2699854/W2699854.html การตีความแบบถอดรหัส Dao De Jing (version2) ที่เราทำไว้ (เมื่อตอนใช้ login เดิมคือ agelesstansy...ในกระทู้ทีว่านี้ (เราเขียนไว้เมื่อปี 2008) เราเริ่มตีความ Dao De Jing ตั้งแต่ คคห 11 - 15) ตาม link นี้ไป http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/07/K6813048/K6813048.html ระหว่าง 2 versions นี้ อันที่เขียนในปี 2004 มีเรื่องแนวคิดของ Zen ปนอยู่หน่อยๆและมีตัวสะกดผิดเยอะหน่อย  แต่ใน version ที่เขียนปี 2008 สะกดผิดน้อยลง แล้วเอาเรื่อง Zen ออก แต่เติม technical terms เป็นภาษา sanskrit เข้าไป ซึ่งเอามาจากวิชา tantra ของฮินดู ^ ในอดีตเราไม่เคยเข้าใจเลยว่าปรมาจารย์เล่าจื้อพยายามจะพูดว่าอะไรใน Dao De Jing จนกระทั่งเราได้ คัมภีร์เล่มหนึ่งมา ซึ่งมีชื่อว่า Hsin Ming Fa Chueh Ming Chih (เทียบเสียงก่อนสมัยมีระบบ Pinyin เพราะคัมภีร์มันแปลเป็นอังกฤษก่อนมี Pinyin) ชื่อคัมภีร์ Hsin Ming Fa Chueh Ming Chih แปลเป็นอังกฤษได้ว่า The Secrets of Cultivating Essential Nature and Eternal Life คัมภีร์เล่มนี้ เขียนโดย Taoist Master (ปรมาจารย์นักพรตเต๋า) ชื่อ Chao Pi Ch’en ซึ่งเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1860  จากการอ่านคัมภีร์เล่มนี้ เราจึงเริ่มที่จะเข้าใจ Dao De Jing เนื่องจาก technical terms (ศัพท์เทคนิค) ต่างๆที่ Chao Pi Ch’en ใช้อธิบายกระบวนการทางเคมีในการเล่นแร่แปรธาตุแบบ biological transmutation (การเปลี่ยนแปลงทางชีวะแบบผ่าเหล่าผ่ากอ) ในร่างกายมนุษย์ซึ่งปราชญ์จีนโบราณคิดขึ้นมาได้นั้น "มันพ้องกันกับคำศัพท์ที่ปรมาจารย์เล่าจื้อใช้เขียน Dao De Jing แล้วหลอกให้บัณฑิตตีความผิดหลงคิดว่า เป็นบทกวี จริยธรรม และรัฐศาสตร์" ไปอ่านกระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/06/K7974186/K7974186.html สรุปแล้วที่เราดื้อรั้นทำตัวขวางโลกไม่ยอมไปเรียนมหาลัยเอาปริญญา นั่นก็เพราะว่าเราอยากเป็นเหมือน Thomas Edison ที่สมัยเด็กๆเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ครูบอกสมองสับสน แม่เลยรับเขามาสอนเองที่บ้าน แต่จากการเรียนรู้ด้วยตนเอง Edison กลายเป็นอัฉริยะได้ เขาใช้ความเพียรพยายามมากๆ ตอนเขาพยายามค้นคว้าว่าจะใช้สารอะไรสร้างเป็น filament (ใส้หลอดไฟ) ได้่ เขานำพันธ์ไม้มามากกว่า 6,000 ชนิดมาทดลอง จนประสบความสำเร็จ ^ แต่เราต้องต่อสู้กับอาการเจ็บป่วยมาหลายสิบปี ดังนั้นกว่าเราจะประสบความสำเร็จโดยไม่มีปริญญาได้แบบ Bill Gates หรือ Steve Jobs เราจะต้องฝึกคัมภีร์ Alchemy ของเต๋าให้ย้อนกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นให้ได้ ^ เพราะตอนนี้จากการค้นคว้ามาหลายสิบปีเพื่อเป็นการชดเชยกับการเรียนไม่จบมหาลับ เราพิสูจน์ได้จริงๆแล้วว่า "วิชา alchemy ของนักพรตเต๋ามันเป็่นของจริง ใช้ได้ผลจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ในตำนาน" เราไม่อยากเรียนสาขาวิชาที่ชาวบ้านเขาเรียนกัน เราจึงเลือกเดินทางสายนี้ คือมุ่งหน้าเรียนแต่ esoteric arts จากคัมภีร์โบราณ ^ ซึ่งในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มปิดคัมภัร์ทุกเล่ม แล้วพยายาม unlearn (คือขจัดความรู้ทุกอย่างที่เรียนมา) ออกไปจากหน่วยความจำให้หมด (ทำเหมือนที่ Dao De Jing บทหนึ่งสอนว่า "ให้ทำตัวเป็นคนโง่ ไม่รู้เรื่องอะไร") แล้วปล่อยให้ the law of attraction มันนำทางเรา ให้เราสร้าง "สัมผัสพิเศษ" ขึ้นมา เพื่อหาวิธีเขียนคัมภีร์วิชา alchemy ขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเรานั่งสมาธิเดินลมปราณ และให้สัมผัสพิเศษมันบอกทางให้ลมปราณไหลเวียนไปเองตามธรรมชาติ ^ "ซึ่งแท้จริงๆแล้ววิชา Qi Gong (การฝึกกำลังภายใน) มันมีความสัมพันธ์กับ the law of gravitation ที่ Isaac Newton คิดขึ้นมาได้!" เรากลายเป็นยิ่งคิดๆไปเราก็ยิ่งเริ่มมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคำสอนของเต๋ากับ The Bible ดังนั้นเราจึงแนะนำหนังสืออีกเล่มหนึ่งคือ The Bible ซึ่งกำความลับหลายๆอย่างของวิวัฒนาการมนุษย์ เอาไว้ จริงๆแล้วเราไม่ใช่คริสต์ เราเกิดมาเป็นพุทธแบบเถรวาทแบบไทยๆตามพ่อแม่เรา แต่เพื่อสุขภาพของเราเองเราจึงเปลี่ยนศาสนาไปเป็นนับถือพุทธแบบเซนแบบพระวัดเส้าหลิน เพราะมันเป็นแนวพุทธแบบรักษาโรคได้นั่นก็เพราะว่าเราได้รับอิทธพลมาจากตำรา Zen Macrobiotics จากประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง จากนั้นเราจึงหันไปศึกษาคัมภีร์โบราณของนักพรตเต๋าและปราชญ์ฮินดู  ซึ่งกว่าจะศึกษาศาสตร์ที่ซับซ้อนพวกนี้ได้หมดนี่ ชั่วชีวิต เราคงต้องเรียนรู้มากกว่าเรียนเพื่อเอาปริญญาเอกในมหาลัยซะอีก ดังนั้น วิชาเอกที่เราต้องค้นคว้าศึกษาอย่างหนักในตอนนี้ นั่นก็คือ "ศาสตร์เร้นลับในการคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยตลอดกาล" ตกลงเราก็แนะนำหนังสืออีก 2 เล่มที่น่าศึกษาค้นคว้าให้ดีๆ คือ Dao De Jing กับ The Bible  นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 14:14:02 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 11:57:23 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 11:43:19 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 11:29:46

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณ แอ๊ด ปากเกร็ด  คุณ  jackfruit_k  ค่ะ ก็คงจะจริงนะคะ เพราะการอ่านหนังสือในส่วนของสิ่งที่เราไม่รู้ แล้วเมื่ออ่านจบเราก็รู้ในสิ่งนั้นขึ้นมา แล้วหากเรานำสิ่งที่ได้รู้มา มาใช้ประโยชน์ได้ดีในชีวิตก็จะเป็นสิ่งที่ล้ำค่าค่ะ เหมือนที่    คุณ รักหลอกจึงบอกให้ บอกไว้ในข้อ 15 ของหนังสือ The top secret .......................................................................................................... คุณ kendosan  ไม่เป็นไรค่ะ   แล้วแต่บุคคลจริงๆค่ะ ว่ามีความคิดเห็นยังไง อย่างที่ จขกท. บอกไว้แต่ตอนตนค่ะว่าอยากรวบรวมรายชื่อหนังสือที่ เพื่อนๆ เคยอ่านแล้วคิดว่าดี เพียงเท่านั้นเอง   เพราะหนังสือในโลกใบนี้มีเป็นล้านๆ เล่ม  หากเพื่อนๆ คนไหนมีหนังสือที่คิดว่าอ่านแล้วได้อะไรมากมาย ก็อยากให้แชร์ต่อๆกันค่ะ  เราก็อยากแชร์สิ่งดีๆให้คนรู้จักและคนที่เรารัก โดยเลือกหนังสือดีๆให้ซักเล่มในวันสำคัญค่ะ ขอบคุณทุกความเห็นอีกครั้งนึงนะคะ จากคุณ : Fairy_Engine เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 11:38:47

ความคิดเห็นที่ 17 ของเราเล่มนี้เลยค่ะ จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 13:04:30

ความคิดเห็นที่ 18 คุณFairy_Engine  คะ ของเราเป็นเล่มที่แปลโดย ศิระ โอภาสพงษ์ ชื่อ "ศิลปะการผูกมิตรและจูงใจคน"ค่ะ แปลได้โอเคมากแต่คงต่างจากเล่มของคุณอาษา ขอจิตต์เมตต์ในแง่ภาษาบ้าง เพราะเล่มหลังนี้แปลมานานระยะหนึ่งแล้ว แต่เนื้อหาคงไม่ต่างกันมากค่ะ ส่วนซื้อที่ไหนเราก็จำไม่ได้แน่ แต่ซื้อนานแล้วตามร้านหนังสือทั่วไปนี่หล่ะค่ะ ^^ จากคุณ : PakaPaka เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 13:32:01

ความคิดเห็นที่ 19 หนังสือที่ คนแนะนำไว้ในกระทู้นี้ คือ How to Win Friends and Influence People  ซึ่ง Dale Carnegie เขียนไว้เมื่อ ปี 1936 เป็นหนังสือที่มีชื่อเสียงมากๆ ซึ่งเราไม่ได้อ่าน แต่เราอ่านอีกเล่มหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากๆ ของ Dale Carnegie ที่เขาเขียนไว้เมื่อปี 1948 คือ How to Stop Worrying and Start Living ซึ่งเรื่องมันก็ตลกดีว่าเรามาอ่านหนังสือเล่มนี้ได้เพราะอะไร ความเป็นมาก็คือสมัยที่แม่เราป่วยมากๆต้องเข้ารับการบำบัดทางจิต แม่เราโดนพิษยาระงับประสาท จนเสียสุขภาพ จนแม่เดินไม่ตรง แล้วเบลอพูดไม่รู้เรื่อง พ่อเราเลยพยายาม "หาจิตแพทย์ที่รักษาด้วยการพูดให้คนไข้สบายใจ แทนการรักษาด้วยยา"   ^ และหมอคนนั้นก็แนะนำหนังสือเรื่อง How to Stop Worrying and Start Living ฉบับแปลเป็นไทยมาให้แม่เราอ่าน เรารู้สึกทึ่งในการรู้จักใช้หลักจิตวิทยาของ Dale Carnegie ที่พยายามพูดโน้มน้าวให้คนที่ป่วยเป็นโรควิตกจริต คลายความกังวลลงไปได้ โดยการใช้ตรรกะง่ายๆ แบบนี้คือ (ถ้อยคำประมาณนี้ จำไม่ได้ทุกถ้อยคำ) "ให้ลองคิดดูว่าสิ่งที่เรากำลังกังวลอยู่ ถ้ามันสร้างความเสียหายสูงสุด มันจะเสียหายแค่ไหนกัน (โดยหวังว่าผู้ป่วยมีมีอาการวิตกจริตส่วนใหญ่พอค้นพบว่า แท้จริงแล้วความเสียหายมันน้อยนิดก็จะเลิกกังวล) แล้วเขาก็สอนต่อไปว่า "ลองพิจารณาดูดีๆว่ายอมรับความเสียหายได้หรือไม่ ถ้ายอมรับไม่ได้ก็ค่อยๆหาทางแก้ไขในภายหลัง" " ^ มันเป็นคำสอนที่ฉลาดมากๆ "แต่อนิจจา มันช่วยผู้ป่วย ocd (ย้ำคิดย้ำทำ) อย่างแม่เรา และอย่างเรา (ที่ป่วยตามแม่เรา) แทบไม่ได้เลย" ^ นั่นก็เพราะ "ผู้ป่วยที่มีจิตวิตกจริตแบบนี้ จะอยู่ภายใต้ "แรงผลักดันอะไรบางอย่าง" ให้ perform rituals (ทำพิธีกรรม) ซ้ำๆกัน"   ^ perform rituals เป็นศัพท์เทคนิคเกี่ยวกับ ocd คือการทำอะไรซ้ำๆกันเพราะความวิตกจริต ต่อให้ใช้เหตุผลอันชาญฉลาด จิตประสาทมันก็ยังมี phobias (ความหวาดกลัวอันไร้เหตุผล) อย่างใหญ่หลวงอยู่ดี นั้นแหละ ดังนั้น การพูดให้คนไข้สบายใจ มันช่วยคลายความกังวลได้ แต่มันก็ยังไม่ได้รักษาที่ต้นตออยู่ดีนั่นแหละ เราก็เลยต้องคิดค้นหาวิธีการอย่างอื่นเพื่อรักษาตัวเอง ให้ได้ และแน่นอน เราก็จะยิ่งหาหนังสืออย่างอื่นมาค้นคว้าหาข้อมูลให้ได้ แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 15:04:16 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 14:59:44

ความคิดเห็นที่ 20 สมัยที่เราป่วยเป็น ocd หนักอยู่ในประเทศอังกฤษจนเรียนหนังสือไม่ได้ ต้องหยุดเรียนกลางคัน จิตแพทย์ที่เรียนมาแนว Freudian ที่รักษาแม่เราเผอิญไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ และเธอนัดพบเราเพื่อหาทางเยียวยารักษาเรา แต่พอพบกัน มันมีแรงดลใจอะไรบางอย่างที่ทำให้เรา "ปฏิเสธความช่วยเหลือของจิตแพทย์" เราเลยบ้าระห่ำ ไปหาตำราที่ Sigmund Freud เขียนไว้ (แต่เป็นฉบับแปลจากเยอรมันเป็นอังกฤษ) มาศึกษาเพื่อหวังที่จะเยียวยารักษาตนเองให้ได้ โดยไม่พึ่งจิตแพทย์ แต่เราค้นพบว่า กระบวนการ psychoanalysis ของ Sigmund Freud กินเวลานานมากๆกว่าจะบรรลุเป้าหมายได้ เราว่าปัจจุบันนี้จิตแพทย์บางคนก็ยังพยายามรักษา ocd ด้วยพฤติกรรมบำบัดคือ "สอนให้คนไข้ฝึกใช้เหตุผลเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่กลัวมันไม่เลวร้ายมากนัก คล้ายๆแนวคิดที่ Dale Carnegie พูดไว้ใน How to Stop Worrying and Start Living นั่นแหละ" แต่จากการเรียนวิชา Zen Macrobiotics ชาวญี่ปุ่นที่สอนวิชานี้นำวิชา Wu Xing (ธาตุทั้ง 5)ของนักพรตเต๋าจีนมาใช้ มันทำให้เราไปอ่านตำราแทงเข็ม (acupuncture) ของจีน แล้วค้นพบว่า "แพทย์จีนโบราณไม่แบ่งเป็นสรีรแพทย์ กับ จิตแพทย์ แต่แพทย์จีนโบราณรักษาอาการป่วยทางจิต ในแนวที่ว่า อาการป่วยทางจิตเป็นสัญญาณธรรมชาติซึ่งเตือนมนุษย์ว่า "อวัยวะภายในอันไหนป่วย" ดังนั้นแพทย์จีนแผนโบราณจะรักษาอาการป่วยทางจิตโดยการรักษาอวัยวะภายในที่เกี่ยวกับอารมณ์ต่างๆ" ซึ่งในกรณี ocd อาการของโรค มันคือ "phobias (ความกลัวอันไร้เหตุผล)" ที่เกิดจากความอ่อนแอของธาตุน้ำ และอวัยวะของธาตุน้ำก็คือไต 2 ข้างกับกระเพาะปัสสาวะ นั่นเอง ดังนั้นเราจึงใช้ความรู้เรื่องพลังหยินกับหยางของอาหารจากการเรียนวิชา Zen Macrobiotics เพื่อเลือกกินอาหาร ที่มีพลังรักษาธาตุน้ำ และฝึกโยคะท่าที่กระตุ้นลมปราณให้ไตและกระเพาะปัสสาวะแข็งแรงขึ้นเพื่อเอาชนะ phobias ทั้งหลาย แต่เราทำได้สำเร็จแค่กินอาหาร macrobiotic ตั้งหลายสิบปี เพื่อทำให้จิตสงบ ไม่ให้ ocd กำเริบลุกลามเกินกว่าที่จะควบคุมได้ ทั้งๆที่เราน่าจะรู้ความไม่สมดุลย์กันระหว่างน้ำหนักด้านซ้ายและขวาของร่างเราที่เกิดจากปัญหากระดูกสันหลัง (spinal misalignment) นั่นก็แสดงว่า "เราเหมือนอยู่ในความฝันมาตั้งหลายสิบปี โดยพยายามหลอกตัวเองว่า กระดูกสันหลังเราไม่มีปัญหา" ^ จนกระทั่งถึงวันที่ขาซ้ายแม่เราพิการและขาขวาเราก็กำลังจะพิการตามขาซ้ายแม่ไป (ปัญหาคนละข้างเพราะกระดูกสันหลังบิดเบี้ยวกันคนละทาง)   เราจึงยอมรับปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังของตัวเอง และพยายามหาทางแก้ไขมัน แต่ก็ไม่มีพลังมากพอที่จะทำได้สำเร็จ จนกระทั่งเราเรียนรู้เรื่อง think positive จาก The Secret กับ the law of attraction โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เราดู The Secret Movie ซึ่งฉากเป็นภาพผู้ป่วยที่นอนในโรงพยาบาลเพราะบาดเจ็บจากเครื่องบินตก "ที่ผู้ป่วยเล่าให้ฟังว่า "ใช้พลังจิต จนลุกขึ้นจากเตียงหายเป็นปกติได้" " ^ ซึ่งการ think positive แบบนี้ มันส่งผลโดยดรงให้ตอนเรานั่งสมาธิฝึกเดินลมปราณ กระดูกเราลั่นทั้งร่างเหมือนใน wuxia (นิยายกำลังภายใน) ได้จริงๆ โดยอาศัยความเข้าใจเรื่อง govern without governing (การปกครองโดยไม่ปกครอง) และ non-action action (การกระทำโดยไม่กระทำ) ซึ่งเป็นคำสอนที่เราอ่านเจอจาก Dao De Jing ที่ท่านปรมาจารย์เล่าจื้อสอนไว้นั่นเอง ^ และเมื่อแก้ไขปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังของเราได้ เราจึงสามารถพิชิต ocd ได้ในที่สุด ^ แนวคิดที่ต่อยอดออกไปก็คือ เมื่อ gravitational force (แรงโน้มถ่วง) มันผลักดันให้โครงสร้างกระดูกเรากลับเข้าแนวธรรมชาติได้ ในขณะทำสมาธิ (จนมันนำทางเราไปสู่การรักษา ocd ได้สำเร็จด้วยตัวเอง) เราถึงรู้ว่า แท้จริงแล้วเคล็ดวิชาของ Qi Gong (การฝึกกำลังภายใน) มันต้องมีความสัมพันธ์กับ the law of gravitation ที่ Isaac Newton คิดค้นขึ้นมาได้  นั่นก็แสดงว่านักพรตเต๋าคงจะรู้เรื่อง gravitation มาก่อน Isaac Newton แล้วตั้งหลายพันปี! สรุปแล้วเราต้องใช้หนังสือหลายเล่มมากๆ กว่าจะรักษาตัวเองได้สำเร็จ และมีชีวิตเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ^ หนังสือทุกเล่มที่เราใช้ประกอบกัน เพื่อหาทางรักษาตัวเอง ให้หายป่วย มันสำคัญหมดทุกเล่ม แต่พลังที่ดลบันดาลให้หนังสือดีๆเล่มไหนเข้ามาในชีวิตของคุณ มันก็น่าที่จะเป็นพลังหรือแรงดึงดูดตามหลัก the law of attraction ในหนังสือ The Secret นั่นเอง! มันเป็น universal force (พลังจักรวาล) ถ้าเรามองพลังนี้ในรูปแบบของ "เต๋า" หรือ "God" หละ เราก็น่าที่จะศึกษา The Bible ให้ดีๆ หรือศึกษาคัมภีร์ชื่อ Mahanirvana Tantra (หนังสืออีกเล่มที่แนะนำ) ให้ดีๆ เพราะตอนอ่าน Mahanirvana Tantra มันเป็นบทสนทนาระหว่าง Shiva กับ Shakti ก็จริง แต่เราคาดว่า "Mahanirvana Tantra อาจถูกเขียนขึ้น เพื่อเป็นกลลวงเหมือนๆกับ Dao De Jing นั่นแหละ คือหลอกให้บัณฑิตหรือผู้คงแก่เรียนที่อ่านหนังสือทื่อๆเพื่อการจำลูกเดียว แต่คิดพลิกแพลงแหกคอกไม่เป็น ตีความออกมาผิดๆนั่นเอง" ^ บทสนทนาระหว่าง Shiva กับ Shakti อาจเป็นเคล็ดวิชาอะไรบางอย่างก็ได้ ซึ่งเราก็ยังพยายามตีความอยู่อีกหลายตลบ แต่จนป่านนี้ก็ยังคิดไม่ออก ^ คงเหมือนกับที่ จักรพรรดิ์ Fu Xi (伏羲) ตอนมองดู bāgùa (八卦) (รู้สึกคนไทยจะเรียก "ยันต์ 8 ทิศ") ท่านบอกว่า "bāgùa (八卦) มีความลับแห่งสวรรค์อยู่มากมาย ต้องใช้เวลาศึกษามันชั่วชีวิตกว่าจะเข้าใจความเร้นลับของมัน" แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 15:34:20 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 15:27:04 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 15:18:38 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 15:00:00

ความคิดเห็นที่ 21 ^ ^ ^ พอพูดถึง "bāgùa (八卦) มันก็ทำให้คิดถึงหนังสือเล่มสำคัญของโลกอีกเล่มหนึ่ง นั่นก็คือ คัมภีร์ Yì Jīng (易经) นั่นเอง ^ สมัยที่ Qin Shi Huang (秦始皇) (รู้สึกคนไทยจะเรียกจิ๋นซีฮ่องเต้นะ) ฆ่าบัณฑิตและเผาตำราทิ้งเพื่อไม่ให้มีคนเรียนรู้เก่งพอที่จะโค่นอำนาจตนเองได้ หนังสือเล่มสำคัญที่จิ๋นซีไม่กล้าเผาก็คือ คัมภีร์ Yì Jīng (易经) นั่นเอง ^ ลองไปศึกษา คัมภีร์ Yì Jīng (易经) ดูว่าทำไมมันถึงสำคัญปานนั้นสำหรับจิ๋นซี นี่เป็นหนังสือสำคัญอีกเล่มหนึ่งที่เราแนะนำ แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 15:43:51 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 15:42:39

ความคิดเห็นที่ 22 อ่านเรื่อง"ที่เห็นและเป็นอยู่" เจอร์ซี่โคซินสกี้ ความคิดเกี่ยวกับความรักเปลี่ยน,  "สวนเที่ยงคืน" ทำให้หัวเราะและมีความสุขกับสิ่งง่ายๆมากขึ้น , "ชายเฒ่ากลางทะเลลึก" ทำให้อดทนและบากบั่นมากขึ้น, "แผ่นดินนี้เราจอง" กับ "ดอนกิโฆเต้" ทำให้มุ่งมั่นทำในสิ่งที่อยากทำมากขึ้น, และหนังสือธรรมะ "คู่มือมนุษย์" "ชั่วขณะสุดท้าย..." "ตื่นก่อนตาย" ทำให้พยายามไม่เสียใจ และไม่โกรธนานนัก...ฯลฯ จากคุณ : เพลินเพลิน (normalization) เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 16:17:33

ความคิดเห็นที่ 23 พ่อรวยสอนลูก ครับ เปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการลงทุน อ่านครั้งแรกก็ยังเข้าไม่ถึงหรอกครับ ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอีกนานเหมือนกัน เดิมซื้อคอนโดฯ ไม่อยู่ก็ทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ให้ใครเช่า เพราะคิดว่าเรามีทรัพย์สิน ตอนหลังถึงมาเข้าใจว่า มันคือค่าใช้จ่าย เพราะต้องจ่ายค่าส่วนกลางทุกเดือน จากคุณ : vision เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 16:54:39

ความคิดเห็นที่ 24 อย่างนี้ซิรวย  หนังสือเล่มบางๆ เล็กๆ ที่สอนเรื่องการบริหารการเงินแบบง่าย ๆ เป็นหนังสือที่ทำให้รู้จักวิธีบริหารการเงินแบบที่พ่อแม่ไม่เคยสอน จากคุณ : susijang เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 17:19:45

ความคิดเห็นที่ 25 The Little Prince อ่านฉบับแปล สองฉบับ ไม่รู้กี่รอบ จากนั้นอ่านภาษาอังกฤษอีกสองรอบ ถ้าอ่านภาษาฝรั่งเศสออก ก็จะอ่าน ตอบไม่ได้หรอก ว่าเปลี่ยนไปขนาดนั้นรึเปล่า แต่มันหนังสือที่ให้มุมมองที่ลึกซึ้งแต่เรียบง่ายมากๆ อ่านแล้วอินไปเป็นปี แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 20:34:19 จากคุณ : ZzIqka เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 20:33:50

ความคิดเห็นที่ 26 คุณ fortuneteller - ต้องขอบคุณมากๆนะคะ ที่สละเวลามาแบ่งประสบการณ์ให้ จขกท. ได้รับทราบเป็นวิทยาธาร ต่อไป  คุณเก่งมากค่ะที่สามารถนำ the raw of attraction มาใช้กับการบำบัดรักษาโรคได้ เราไม่เคยทำแต่ก็เชื่อนะคะว่ามันสามารถทำได้จริง คุณ เพลินเพลิน (normalization) - ชื่อหนังสือคุ้นมากๆค่ะ เหมือนเคยเห็นผ่านตาในร้านหนังสือบ่อยเลยทีเดียวค่ะ วันหลังต้องไม่พลาดสอยมาอ่านซะและ คุณ vision - เซอร์ไพร์ส มากๆเลย เพราะตอนนี้เรากำลังอ่าน พ่อรวยสอนลูก อยู่ค่ะ ถือว่าเปิดประสบการณ์ และวิธีคิดที่เราเชื่อมาตลอด (เพราะพ่อแม่เป็นข้าราชการว่าเค้าคิดแบบพ่อจน จริงๆอะค่ะ) คุณ susijang - ถ้าเจอจะรีบซื้อเก็บไว้อ่านเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่าา ^__^  ไม่ทราบว่าปกหนังสือเป็นยังไงคะ ขอชื่อผู้แต่งด้วยได้รีป่าวเอ่ย? คุณ ZzIqka  - The Little Prince นี่ ใช้หนังสือในเรื่อง "เพื่อนสนิท" รึเปล่าคะ? จากคุณ : Fairy_Engine เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 00:32:36

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ เพลินเพลิน (normalization) ใช่เล่มนี้รึป่าวคะ จากคุณ : Fairy_Engine เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 00:34:45

ความคิดเห็นที่ 28 ใช่เลยคะ เล่มนี้แหละ แต่ในเนื้อเรื่องมันไม่เกี่ยวกับความรักหรอก เนื้อเรื่องคล้ายหนังเรื่องสุภาพบุรุษปัญญานิ่ม หรือ ฟอร์เรสกั้ม เขียนงี้เปล่าไม่รุ ไม่ค่อยรู้ภาษาตปท. คือ หนังสือไม่ได้บอกชัดว่า พระเอกเป็น ปญอ. หรือเปล่า แต่ถูกเลี้ยงดูแบบขาดสังคม ดูแต่ ทีวี ป้าด แต่ทีวีกลับไม่ได้ทำให้เขาเป็นคนที่ขาดความอดทน ขี้โวยวาย กลายเป็นว่า ถ้าไม่เปิดทีวี เราก็จะไม่ได้รู้เรื่องราว ซึ่งแล้วเราจะไปรู้ทำหยั่งไรอะ คุณเพลินก็เลยได้คิดว่า นั่นสินะ "ถ้าเราไม่เปิดทีวี ที่จะอยากรู้ว่า ไอ้คนที่ทิ้งเราไป มันคิดถึงเราหรือเปล่า เราก็จะไม่เสียใจ ไม่เสียเวลา...ฉะนั้นเราจะเปิดทีวีทำไม" มันมีไรให้คิดเยอะแล้วแต่ว่าเราจะนำมาเทียบกับเรื่องไร แต่สำหรับคุณเพลิน มันกลับมาโดนเรื่อง ความรักความคิดถึง ซะงั้น.... จากคุณ : normalization เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 09:52:14

ความคิดเห็นที่ 29 หนังสือ "กู" ของโน้ต อุดม จากคุณ : CCE9PASS เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 13:00:05

ความคิดเห็นที่ 30 หนังสือ เงินหรือชีวิต(your money or your life) เขียนโดย โจ โดมิงเกซและวิคกี้ โรบิน สโลแกนหนังสือคือ เปลี่ยนทัศนคติต่อเงิน สู่อิสระภาพของชีวิต เขียนจากประสบการณ์จริงของคนวอลล์สตรีทที่ผันตัวเอง มาทำงานอาสาสมัคร อ่านแล้วรู้วิธีเอาตัวรอดในระบบบริโภคนิยม หลุดพ้นจากระบบไล่ล่าหาเงินอย่างไม่หยุดหย่อน เล่มนี้แหละเปลี่ยนชีวิตเราหมดเลย จากคุณ : คอยดู (koidu) เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 16:43:06

ความคิดเห็นที่ 31 หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตของเราน่าจะเป็น "เข็มทิศชีวิต" นะ เพราะเพิ่งได้มุมมองแบบนั้นเป็นครั้งแรก แต่ถ้าจขกท. กะว่าอยากจะรวบรวมรายชื่อหนังสือดีๆ เอาไว้ซื้อเก็บไว้อ่านหรือว่าเป็นของขวัญ เราแนะนำได้หลายเล่มเลยค่ะ 1. Tuesday with Morrie เป็นหนังสือที่ดีมากเหมาะแก่การให้เป็นของขวัญ เราก็ซื้อให้เพื่อนด้วย 2. Who moved my cheese? ออกแนวพัฒนาตัวเองค่ะ ชอบมากค่ะ 3. 5 people you meet in heaven เคยรีวิวไว้ในบล็อคด้วยค่ะ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=narumoltama&month=05-2007&date=05&group=1&gblog=5 4. PING ออกแนวพัฒนาตัวเองเหมือนกันอีกเล่มค่ะ จากคุณ : TaMaChaN (narumol_tama) เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 18:10:59

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณ คุณ normalization ที่กลับมาตอบให้หายข้องใจว่าหนังสือมันประมาณไหนนะ ขอบคุณ คุณ CCE9PASS  - เหมือนเราจะเคยอ่านมานานมากแล้ว แต่จำไม่ได้ อิอิ สงสัยต้องไปหามาเก็บไว้อ่านแล้วค่ะ ขอบคุณ คุณ koidu - ขอบคุณมากๆค่ะ ช่วงนี้รู้สึกว่าชอบอ่านหนังสือแนวเงินๆ ทองๆ อยู่เหมือนกัน ตอนนี้เราอ่าน "พ่อรวยสอนลูก" อยู่ค่ะ ^^ ขอบคุณ คุณ TaMaChaN (narumol_tama) - แนะนำมาเยอะเลย ขอบคุณจริงๆค่ะที่ช่วยแนะนำหนังสือดีๆ ที่ จขกท. ไม่เคยรู้จักมาก่อนค่ะ จากคุณ : Fairy_Engine เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 20:07:37

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่เคยอ่านหนังสือแนวธรรมะ จน 3ปีที่แล้ว คนรักที่สุด ได้ตายจากไป ทำใจ ทำอยู่ทุกวิถีทาง ก็ยังไม่สามารถผ่านพ้นไปได้  จนได้มาอ่าน หนังสือธรรมะ หลายๆเล่มคะ จากคนที่ไม่เคยใส่บาตร ตอนเช้าเลย  ก็ตื่นมาใส่บาตรให้เค้าค่ะ น่าจะเป็นหนังสือที่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนที่สุดคะ จากคุณ : นกเอี้ยง_เอง เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 55 20:34:34

ความคิดเห็นที่ 34 หนังสือที่สั่งสมให้เป็นตัวตนทุกวันนี้: 1. ทุกเล่มของ พจนา จันทรสันติ โดยเฉพาะ "คืนฟ้าฉ่ำฝน" - ให้คำสวย อ่านแล้วยิ้มหลับตาคิดตามอย่างมีความสุข ตอบหลายเรื่องในใจได้ 2. ทุกเล่มของ นพ.วิทยา นาควัชระ โดยเฉพาะ "อยู่อย่างสง่า" - สร้างความสมดุลให้กับชีวิตในแต่ละด้าน อ่านมาตั้งแต่มัธยม คนอื่นติดการ์ตูนแต่เราติดหนังสือชื่อ "รู้จักชีวิต" ที่ออกทุกเดือน ต้องไปเฝ้าหน้าแผง 3. ทุกเล่มของ โรเบิร์ต ฟูลกรัม (Robert Fulghum) โดยเฉพาะ "Rituals" - ท่านคือสุดยอดแห่งผู้มองโลกในแง่ดีและมีชีวิตที่สบายกายสบายใจ (เล่มอื่นๆเช่น True Love, It was on fire when I lay down on it) แนะนำให้อ่านภาษาอังกฤษนะครับ อ่านไม่ยาก จะสัมผัสสิ่งที่ผู้แต่งต้องการนำเสนอได้ลึกซึ้งกว่า 4. "สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดีเสมอ" นพ. เทอดศักดิ์ เดชคง - เล่มนี้ช่วยให้ยิ้มรับได้กับทุกสภาพชีวิตที่ชะตาดึงขึ้นดึงลง 5. "สร้างสุขจากทุกข์" ท่านพุทธทาส ภิกขุ - เล่มเล็กนิดเดียว ไม่เกิน 30 หน้า แต่เราอ่านมาเกือบ 11 ปีแล้ว ไม่จบสะที เอาไว้หัวนอนตลอด อ่านแล้วเหมือนได้ล้างใจก่อนนอน หลับสบาย 6. "หมวก 6 ใบ ความคิด 6 แบบ" เอ็ดเวิร์ด เดอ โบ โน - ทำให้เข้าใจ เห็นใจ และพร้อมจะคิดต่างด้วยรอยยิ้มกับเพื่อนร่วมงานและทุกคนที่ ประสบในชีวิต หนังสือที่อ่านแล้วประทับใจไม่รู้ลืม: ต้นส้มแสนรัก, Little Prince, เวลาในขวดแก้ว, หลงจอ (คำคมจากภาพยนตร์), เวียงแว่นฟ้า, เรือนมยุรา, ทุกเล่มของ รงค์, เหมืองแร่, หลังอาน และอื่นๆอีกมากมาย จากคุณ : นายเอ็กซ์ เขียนเมื่อ : 15 มี.ค. 55 09:41:03

ความคิดเห็นที่ 35 นักเขียนโปรดอีกท่านคือ มูราคามิ ครับ เป็น unpredictable คนหนึ่ง ทุกเล่มล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อ่านแล้วเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลก จากคุณ : นายเอ็กซ์ เขียนเมื่อ : 15 มี.ค. 55 10:13:32

ความคิดเห็นที่ 36 อ่าน ทุกเล่มของ นพ.วิทยา นาควัชระ และชอบ "อยู่อย่างสง่า" มากที่สุดค่ะ - ช่วยให้หยุดความทุกข์ได้ เข้าใจคนอื่นมากขึ้น เข้าใจชีวิต ปัญหาในชีวิตหลายๆ เรื่อง เข้าใจความรัก และผู้แต่ง ใช้คำพูดอ่อนโยนมากๆ เป็นต้นเรื่องให้สนใจหนังสือแนวจิตวิทยา ใครมีปัญหาชีวิต อกหักรักคุด แนะนำให้อ่านเลยค่ะ เข้าใจมากกว่าหนังสือธรรมะอีกค่ะ เหมือนคุณ นายเอ็กซ์ เลยค่ะ เราตามเก็บทุกเล่ม เป็นหนังสือสำหรับชีวิตของเรา หนังสือ เงินหรือชีวิต และ Millionaire Next Door ช่วยให้เรามีความคิดเปลี่ยนไปเรื่องการเงินและชีวิต เงินหรือชีวิต ทำให้เราตีค่าให้เงินเปลี่ยนไป และฉุกคิดได้ว่า อะไรสำคัญในชีวิตกันแน่ Millionaire Next Door บอกความจริง ในวิถีชีวิตจริงๆ ของคนที่นับได้ว่ารวย มันคนละเรื่องกับการมีของหรูๆ อย่างที่เห็นทั่วๆ ไปเลยค่ะ มันช่วยให้เรามีทัศนคติเปลี่ยนไป มีสติกับการใช้เงินมากขึ้น แต่ไม่ถึงขั้นรวยนะคะ ยังไปไม่ถึง มันต่อมีอีกเยอะ :) Tuesday with Morries ช่วยเราได้มากๆ ตอนเราป่วย ทำให้เรามีความสุข แม้จะป่วยทรมานมากแค่ไหน หัวใจมันเป็นสุข เราก็หัวเราะได้ (เราเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง หนักมาก คือ ปวดข้อ ทรมานไปทั้งตัว ทั้งยามหลับและยามตื่น) ดอนกิโฆเต้ ไม่ได้เปลี่ยนชีวิตเรา แต่เป็นหนังสือในดวงใจค่ะ ทำให้มีแรงจูงใจ ไม่เคยดับ แม้ฝันมันจะไกลริบๆ หรี่ ขอให้มีฝันในหัวใจ ชีวิตมันก็มีพลังให้พุ่งไป เรารู้ว่ามีความฝันอยู่ข้างหน้า เราอ่านเล่มนี้ ตอนที่นอนป่วยโรคข้อค่ะ เพลินมากๆ ทั้งที่ปวดทรมานไปทั้งตัวนี่แหละ หัวเราะเรื่อยๆ ทั้งวัน ทั้งๆ ที่ถ้าหัวเราะเราจะปวดข้อทรมานมากขึ้น แต่วางไม่ลงเลยทีเดียว แต่หัวใจเป็นสุข สนุกมากมายค่ะ ชีวิตไม่ได้เปลี่ยน แต่หัวใจคุณเปลี่ยน เลยอยากแนะนำเล่มนี้ The Secret เล่มนี้ โดยส่วนตัวเราเชื่อแบบนั้นค่ะ อีกเล่ม จำชื่อไม่ได้ แต่จะแนวๆ ชีวิตเรียบง่าย ทำให้วิถีชีวิตเราเปลี่ยนไปพอสมควร ลดความวุ่นวายในชีวิตไปได้เยอะเลย หนังสือ ท่านพุทธทาส และ เซน ไม่ได้เปลี่ยนชีวิต แต่นำทางชีวิตมาเสมอๆ อีกเล่มที่น่ามีเก็บไว้ ปรัชญาชีวิต ของ คาริล ยิบบราน จริงๆ น่าจะยังมีอีกเยอะ แต่คงต้องค่อยๆ นึก และเราก็ตามหาเพิ่ม เหมือนคุณ จขกท. นี่แหละ :) สำหรับเราแล้ว หนังสือดีๆ มีพลังพิเศษ เป็นเพื่อนผู้วิเศษ ในบรรดา หนังสือเป็นล้านเล่ม จะมีอยู่จำนวนหนึ่ง ที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับโลกใบนี้ และควรหามาเก็บไว้ จากคุณ : คนต่างดาว เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 22:28:28 A:103.4.218.36 X: TicketID:102465