Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
คนดีแผ่นดินซ้อง (๓) vote ติดต่อทีมงาน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอน พี่น้องยอดกตัญญู

"เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่าย เปาบุ้นจิ้น ก็ให้คนสนิทไปเชิญ ชินซี้มุ้ยฮู่ม้า มาพิจารณาความที่ นางตันเพ็กเอ็ง ยื่นฟ้อง ชินซี้มุ้ยตกใจกลัวยิ่งนักแต่มิอาจขัด ก็มาตามคำสั่ง ครั้นเห็นเปาบุ้นจิ้นขึ้นนั่งอยู่บนบัลลังก์สำหรับชำระความ ก็คุกเข่าลงคำนับหมอบตัวสั่นอยู่ เปาบุ้นจิ้นจึงถามว่า

“……ท่านได้ทำทัณฑ์บนให้เราไว้ฉบับหนึ่ง เนื้อความในหนังสือทัณฑ์บนนั้นยังจำได้มิใช่หรือ……”

ชินซี้มุ้ยตอบว่ายังจำได้แม่นยำอยู่ เปาบุ้นจิ้นจึงว่า

“……..บัดนี้การก็ปรากฏขึ้นแล้วว่าท่านมีบุตรภรรยา เพราะฉะนั้นเราจะให้ประหารชีวิตท่านเสีย ตามหนังสือทัณฑ์บน……..”
ชินซี้มุ้ยมีความกลัวยิ่งนัก แต่เห็นว่าถ้ารับตามตรงก็คงถูกฆ่าเสีย ถ้าไม่รับบางทีจะมีหนทางรอดชีวิตได้บ้าง จึงยืนยันว่า

“……..ภรรยาของข้าพเจ้ามีคนเดียวคือกงจู๊เท่านั้น ซึ่งข้าพเจ้าจะได้เคยมีบุตรภรรยามาแต่ก่อน ดังท่านว่านั้นหามิได้ ถ้าท่านยังสงสัยว่าข้าพเจ้าเคยมีบุตรภรรยาแล้ว จงหาพยานหลักฐานมาแสดงให้ปรากฎเถิด……..”

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธยิ่งนัก จึงเขียนหนังสือให้คนถือไปให้นางตันไท้กุ๋น เวลานั้นนางกำลังนั่งอยู่กับ ชินชุนคี้ เมื่อบุตรชายรับหนังสือมาอ่านรู้ความแล้ว ก็ตกใจจึงเล่าให้มารดาฟัง นางตันไท้กุ๋นก็มีความยินดี จึงชวนชินชุนคี้ไปที่บ้านเปาบุ้นจิ้น

ชินชุนคี้มีความสงสารบิดาเป็นอันมาก จึงเขียนหนังสือให้คนใช้รีบนำไปถวาย นางชินฮองเฮา เชิญเสด็จมาช่วยขอโทษบิดาด้วย แล้วตามมารดาไปบ้านเปาบุ้นจิ้น

เจ้าบ้านก็เชื้อเชิญให้นั่งในที่อันสมควรแล้ว จึงถามชินซี้มุ้ยว่าท่านทั้งสองนี้คือใคร ท่านรู้จักหรือไม่ ชินซี้มุ้ยแข็งใจตอบว่าข้าพเจ้าหารู้จักไม่

นางตันไท้กุ๋นมีความโกรธเป็นอันมาก จึงลุกขึ้นชี้หน้าด่าว่า

“……อ้ายคนอกตัญญูไม่มีความสัตย์ เมื่อมืงจะจากกูมามืงได้พูดกับกูไว้อย่างไร ครั้นมืงมาได้ดีมีความสุข ก็ลืมกูผู้ได้เกื้อกูลเสีย แม้แต่บิดามารดาบังเกิดเกล้าของมืง ก้ไม่คิดถึงพระคุณ กูอุตส่าหืเลี้ยงพ่อแม่ของมืงโดยความยากแค้นจนตายจากกัน ก็โดยเห็นว่ามืงจะมีน้ำใจอย่างมนุษย์ทั้งลายบ้าง ครั้นกูคอยอยู่นานเกินกำหนด จึงพาลูกเต้ามาตาม มืงกลับให้คนขับไล่กูไปอย่างสัตว์เดรัจฉาน ครั้นกูนำความไปร้องเรียนขอความยุติธรรม มืงกลับใช้เตียเชงไปฆ่ากู แม่ลูกอีก หากเตียเชงมีความสงสารจึงได้ปล่อยให้กูแม่ลูกมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ มืงจะรับว่ากูเป็นเมียหรือไม่ก็ช่างมืง…….”

แล้วพูดกับเปาบุ้นจิ้นว่า

“…….ข้าพเจ้าไม่เอาธุระด้วย แล้วแต่ท่านจะจัดการเถิด ข้าพเจ้าไม่อยากอยู่ดูหน้าอ้ายคนทรยศต่อไปแล้ว……..”

พูดแล้วก็คำนับลาเปาบุ้นจิ้นขึ้นเกี้ยวกลับไป แต่ชินชุนคี้หาได้กลับไปกับมารดาไม่ เปาบุ้นจิ้นจึงถามชินชุนคี้ว่า ท่านจะให้เราทำประการใด ชินชุนคี้ก็คำนับขอโทษบิดาแล้วว่ากับบิดาว่า ขอบิดาจงรับสารภาพเสีย และอ้อนวอนขอโทษต่อท่านเปาก๊กกงเถิด ชินซี้มุ้ยได้ฟังดังนั้นครั้นจะสารภาพ ก็เกรงเปาบุ้นจิ้นจะลงโทษตามทัณฑ์บน จึงก้มหน้านิ่งอยู่

เปาบุ้นจิ้นจึงสั่งให้ทหารจับเอาชินซี้มุ้ยไปใส่ตะไกรเหล็กสำหรับหนีบคอนักโทษ ชินชุนคี้ก็ตกใจเข้ายื้อแย่งบิดาไว้ แล้วอ้อนวอนขอโทษต่าง ๆ ว่า

“………ถ้าท่านจะลงโทษบิดาข้าพเจ้าให้ได้แล้ว จงลงโทษข้าพเจ้าแทนเถิด……”

ในขณะนั้นชินฮองเฮาได้ทรงทราบหนังสือของพี่ชายแล้วก็ทรงวิตกยิ่งนัก รีบเสด็จมายังบ้านเปาบุ้นจิ้นกับขันที และทหารรักษาพระองค์พอสมควร แต่หาได้กราบทูลให็ฮ่องเต้ทรงทราบไม่ ครั้นมาถึงก็รีบเสด็จเข้าไปข้างในมิได้บอกกล่าวให้ใครรู้ เมื่อได้เห็นทหารกำลังฉุดคร่าบิดาอยู่ก็ตกพระทัยยิ่งนัก ชินชุนคี้เหลียวมาเห็นฮองเฮาก็คุกเข่าลงถวายคำนับทูลว่า เนี่ยเนี้ยโปรดช่วยชีวิตบิดาข้าพเจ้าด้วย

ชินฮองเฮาก็ตรงเข้าไปหาเปาบุ้นจิ้น คุกเข่าลงคำนับแล้วตรัสว่า

“…….ขอท่านจงกรุณายกโทษบิดาข้าพเจ้าเสียเถิด เพราะเรื่องนี้พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงทราบแล้ว แต่หาได้ดำริจะเอาโทษไม่………”

เปาบุ้นจิ้นเห็นฮองเฮามาคำนับตนเช่นนั้นก็ตกใจ รีบลุกจากที่นั่งลงถวายคำนับแล้วทูลว่า

“….ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเนี่ยเนี้ยเสด็จมา จึงมิได้รับรอง ขอประทานโทษให้ข้าพเจ้าด้วย การที่ข้าพเจ้าจะลงโทษบิดาของเนี่ยเนี้ย ก็เพราะบิดาของเนี่ยเนี้ยได้ทำทัณฑ์บนให้ไว้แก่ข้าพเจ้า เมื่อเนี่ยเนี้ยอุตส่าห์เสด็จมาขอโทษเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็จำต้องผ่อนผัน…….”

ชินฮองเฮาได้ฟังดังนั้นก็ดีพระทัย จึงเข้าไปคำนับบิดา ชินซี้มุ้ยตกใจคุกเข่าลงพยุงฮองเฮาให้ลุกขึ้น แล้วก้มหน้าน้ำตาไหลอยู่

เปาบุ้นจิ้นจึงไปหยิบหนังสือทัณฑ์บนมาฉีกทิ้งเสีย ต่อหน้า ชินซี้มุ้ยมีความยินดียิ่งนัก จึงคุกเข่าลงกราบไหว้เปาบุ้นจิ้นและชินฮองเฮา แล้วกอดชินชุนคี้ไว้ พลางร้องไห้รำพันขอโทษคนต่าง ๆ

ครั้นแล้วชินชุนคี้ก็ชวนบิดา คำนับลาเปาบุ้นจิ้นกลับมาบ้าน ชินฮองเฮาก็เสด็จมาด้วย นางตันไท้กุ๋นได้ทราบว่าบุตรทั้งสองไปขอโทษเอาชินซี้มุ้ยกลับมาก็โกรธ จึงออกมาพูดตัดพ้อต่าง ๆ ชินฮองเฮากับชินชุนคี้ก็ช่วยกันอ้อนวอนวอนมารดาให้หายโกรธบิดา และพูดไกล่เกลี่ยให้คืนดีกัน แล้วชินซี้มุ้ยก็กลับไป

ครั้นชินฮองเฮาเสด็จกลับมาถึงตำหนักเจียวเอี้ยงเกง เห็นฮ่องเต้มาประทับอยู่ก่อนแล้วก็ตกพระทัยยิ่งนัก จึงคุกเข่าลงถวายคำนับกราบทูลขอประทานโทษว่า

“……..การที่ข้าพเจ้าไปโดยมิได้กราบทูลให้ทรงทราบก่อนนั้น ก็โดยได้ทราบว่าเปาเล่งถูจะลงโทษบิดาข้าพเจ้าถึงชีวิต ครั้นจะกราบทูลให้ทรงทราบก่อน ก็เกรงจะไม่ทันการ ขอพระองค์โปรดประทานโทษแก่ข้าพเจ้าด้วย…….”

แล้วก็กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบทุกประการ พระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้ถอนพระทัยแล้วรับสั่งว่า

“…….ซึ่งเจ้าไปโดยมิได้บอกเรานั้น เรายกโทษให้ เพราะเจ้าไปโดยกตัญญูต่อบิดา แต่บิดาของเจ้ามีโทษใหญ่หลวงนัก เรามิได้ว่ากล่าวก็โดยเห็นแก่เจ้า บัดนี้ความปรากฎขึ้นแล้ว บิดาเจ้าจะอยู่ในวังกับพี่สาวของเราอีกไม่ได้ ต้องกลับไปอยู่กับมารดาของเจ้าตามเดิม….”

แล้วจึงมีรับสั่งให้ขันทีไปเชิญ นางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊ มาเฝ้า แล้วตรัสเล่าเรื่องให้ฟังทุกประการ นางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊ก็ทูลให้ทรงทราบ ตามที่ตนกับชินซี้มุ้ยได้ตัดขาดกัน ตั้งแต่ก่อนแล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงยินดี จึงรับสั่งกับชินฮองเฮาว่า

“……..ถ้าเช่นนั้นก้เป็นอันเรียบร้อยแล้ว เราจะตั้งให้บิดาเจ้าเป็นก๊กเจี๋ยงตามธรรมเนียม แต่ห้ามมิให้เข้าเฝ้าเป็นอันขาด……..”

แล้วจึงรับสั่งให้ขันทีไปบอกให้ชินซี้มุ้ยทราบ ตั้งแต่นั้นมาชินซี้มุ้ยก็ไปอยู่ที่บ้านชินชุนคี้บุตรชายของตนเป็นปกติ

ฝ่าย เพงไซอ๋อง หรือ เต็กเซง ซึ่งรับราชการเป็นแม่ทัพเมืองเปียนเหลียง ต่อมาได้กลับมาอยู่บ้านเดิมที่เมืองซัวไซ จนอายุได้เจ็ดสิบห้าปี ก็ถึงแก่กรรม เมื่อพระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้ได้ทรงทราบ ก็กันแสงอาลัยรักเพงไซอ๋องยิ่งนัก รำพันถึงความดีความชอบต่าง ๆ ขุนนางทั้งปวงได้ทราบ ต่างก็มีความเศร้าโศกทุกคน

ไท้อ๋องเซียงฮ่องเต้ก็เสด็จออกยังท้องพระโรง รับสั่งแก่พระราชบุตรว่า เพงไซอ๋องตายไปเสียเช่นนี้ เปรียบเหมือนแขนขวาของบิดาขาด แล้วก็ให้ฮ่องเต้แต่งตั้งให้ เต็กเหลง บุตรชายคนโตของเต็กเซง เป็นเพงไซอ๋องแทนบิดา แล้วรับสั่งให้เปาเล่งถูกับขุนนางอีกสามคน และขันทีแปดคน เป็นผู้แทนพระองค์ นำสิ่งของคำนับศพและหนังสือรับสั่งแต่งตั้ง ไปยังเมืองซัวไซมีความว่า

เราได้ทราบว่าเพงไซอ๋องถึงแก่กรรม ให้รู้สึกว้าเหว่ใจยิ่งนัก คล้ายกับกำแพงเมืองพังไปด้านหนึ่ง บัดนี้เราตั้งให้เต็กเหลงเป็นเพงไซอ๋องแทน ส่วนเพงไซอ๋องที่ถึงแก่กรรมไปแล้วนั้น ให้เป็นฮูก๊กเต๊กเล่าอ๋อง

ส่วนเปาเล่งถูหรือ เปาบุ้นจิ้น ได้เป็นผู้แทนพระองค์ฮ่องเต้ ออกไปตรวจราชการบ้านเมืองทั่วราชอาณาจักร ดูแลทุกข์สุขของราษฎร ตัดสินคดีความต่างพระเนตรพระกรรณด้วยความยุติธรรม อยู่จนอายุได้ร้อยปีเศษจึงได้ทราบว่า ตนนั้นถึงกำหนดเวลาที่จะตายแล้ว จึงเขียนหนังสือสำคัญมอบให้แก่ขุนนางตงฉินสามคน คนละฉบับ

เมื่อพระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางทั้งปวงก็คุกเข่าลงถวายคำนับพร้อมกันแล้วลุกขึ้น แต่เปาบุ้นจิ้นยังคุกเข่าอยู่หาลุกขึ้นไม่ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงรับสั่งถามว่า ท่านซินแสมีธุระสิ่งใดหรือ เปาบุ้นจิ้นกราบทูลว่า ข้าพเจ้าจะต้องขอทูลลาพระองค์ไปเสียแล้ว ทูลได้เท่านั้นก็ร้องไห้สอึกสอื้นอยู่ ฮ่องเต้ทรงสงสัยจึงรับสั่งถามว่า ที่ท่านซินแสพูดนั้น ยังแคลงใจนัก จงพูดให้ชัดเจนเถิด เปา
บุ้นจิ้นร้องไห้พลางกราบทูลว่า

“……..ข้าพเจ้ามีอายุได้ร้อยกับห้าปีแล้ว บัดนี้ฟ้าได้เรียกตัวข้าพเจ้ากลับ ข้าพเจ้าจะขัดขืนมิได้ แต่ข้าพเจ้าอยากจะขอถวายคำนับลาไท้เซียงอ๋องฮ่องเต้สักครั้งหนึ่ง…….”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็ตกพระทัย รีบเสด็จลงจากพระที่นั่งไปจับมือเปาบุ้นจิ้นไว้ แล้วกันแสงพลางตรัสว่า

“……..ท่านซินแสจะมาทิ้งข้าพเจ้าไปเสียแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว้าเหว่ใจนัก เมื่อสิ้นท่านเสียแล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้……..”

เปาบุ้นจิ้นกราบทูลว่า

“…….ข้าพเจ้ากราบทูลให้ชัดกว่านี้ไม่ได้ ด้วยจะเป็นการขัดขืนฟ้าดินไป แต่ขอให้พระองค์ทรงตั้งอยู่ในยุติธรรมเถิด………”

พระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้ทรงเศร้าพระทัยยิ่งนัก จึงคุกเข่าลงคำนับเปาบุ้นจิ้นอย่างศิษย์กับอาจารย์ เปาบุ้นจิ้นก็เข้ายึดพระองค์ไว้แล้วทูลว่า เจ้าจะคำนับข้าเช่นนี้ผิดประเพณียิ่งนัก ขณะนั้นขุนนางตงฉินทั้งปวงก็พากันร้องไห้เซ็งแซ่ไปทั้งท้องพระโรง

ขันที รู้ความก็รีบนำความไปกราบทูลไท้เซียงอ๋องฮ่องเต้ กับเล่าอ๋อง ทั้งสองพระองค์ทรงทราบก็ตกพระทัย อุตส่าห์ดำรงพระองค์เสด็จมาที่ท้องพระโรง พอเห็นหน้าเปาบุ้นจิ้น ก็กันแสง ไท้เซียงอ๋องฮ่องเต้ทรงรำพันว่า

“……ท่านกับเราเคยได้ร่วมทุกข์ยากกันมาช้านาน บัดนี้ท่านจะมาทิ้งเราไปเสียแล้ว เมื่อสิ้นท่านเสียคนหนึ่ง นัยตาของเราถึงจะมีอยู่ ก็เหมือนดังบอดไป บ้านเมืองจะเกิดความเดือดร้อนยิ่งนัก……”

และบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวง รวมทั้งฝ่ายในเมื่อทราบเรื่องก็ร้องไห้อาลัยเปาบุ้นจิ้นทั่วไปทั้งสามสิบหกตำหนัก


เมื่อเปาบุ้นจิ้นถึงแก่กรรมแล้ว ไท้เซียงอ๋องก็ประชวรลง หมอหลวงมารักษา พระอาการอยู่สามสี่เดือนก็เสด็จสวรรคต ส่วนพระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้นั้น ได้ครองราชสมบัติอยู่เพียงสี่ปีก็สวรรคต และราชวงศ์ซ้องก็ได้มีฮ่องเต้สืบราชสมบัติต่อไปอีก ๑๑ พระองค์ รวมเวลาทั้งสิ้น ตั้งแต่ต้นราชวงศ์ซ้อง ๓๑๗ ปี จึงเปลี่ยนเป็นราชวงศ์อื่น.

แต่ชื่อเสียงและคุณงามความดีของ เปาบุ้นจิ้น ในความซื่อตรง เที่ยงธรรม และสติปัญญาอันเป็นเลิศนั้น ยังคงปรากฏอยู่ต่อมาอีกนับพันปี.

#########จบบริบูรณฺ###########

นิตยสารโล่เงิน
เมษายน ๒๕๔๘

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 55 19:08:03




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com