ความคิดเห็นที่ 1 (1)ปวศ ล้านนา แบ่งออก เป็น 4 ยุคสมัย คือ 1. ยุคแรก ราชวงศ์มังราย 2. ยุคพม่ายึดครอง 3. ยุคราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ 4. ยุคราชวงศ์จักรี (2)ต้นกำเนิดราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ คือ หนานทิพย์ช้างแห่งเมืองลำปาง นายพรานนักรบผู้ช่วย พระยาตากและเจ้าพญามหากษัตริย์ศึก รบกับพม่ายึดเมืองเชียงใหม่ ตอนนั้นเชียงใหม่มีพญาจ่าบ้านเป็นผู้นำ ภายหลังสิ้นชีวิต ร.1 จึงแต่งตั้งตระกูลหนานทิพย์ช้างขึ้นเป็นราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ ครองลำปางและเชียงใหม่ด้วย ถือว่าเป็นราชสกุลที่มีคุณูปการต่อประเทศไทยมากๆ (3)ไม่ได้ถือเป็นราชวงศ์ แต่เป็นการปูนบำเหน็จ ทั้งยศบรรดาศักดิ์ให้เป็นเจ้าผู้ครองนครทางเมืองเหนือ บุคคลสำคัญในราชสกุลนี้ที่มีคุณูปการต่อประเทศไทย ได้แก่ แม่เจ้าศรีอโนชา พระชายาในกรมพระราชวังบวรฯ เป็นผู้วางแผนแยบยลแจ้งข่าวไปยัง ร.1และวังหน้า ว่าพม่ากำลังลอบตีตลบหลัง ในขณะที่ทั้ง 2 พระองค์กำลังยกทัพไปอีกทางหนึ่ง พระราชชายาดารารัศมี พระชายาลำดับ 4 ของ ร.5 ทำให้ผนวกล้านนาได้มากยิ่งขึ้น แม่เจ้าทิพเกสร พระสนมใน ร.5 และเป็นพระมารดาในพระองคฺเจ้าดิลกฯ เจ้าชายพระองค์แรกของราชวงศ์จักรีที่ศึกษาจบระดับปริญญาเอกจาก มหาวิทยาลัยในเยอรมัน ด้วยพระชนม์ยังเยาว์ จากคุณ : กุหลาบแวร์ซาย เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 55 14:45:58

ความคิดเห็นที่ 2 ราชวงศ์มังราย เป็นราชวงค์ที่เป็นเจ้า มาแต่โบราณกาล ส่วน ราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ เป็นราชวงศ์ที่ถูกสถาปนา ขึ้นเนื่องจากคุณงามความดีที่มีต่อแผ่นดี ผมเข้าใจถูกไหมครับ จากคุณ : ณ นนทบุรี เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 55 16:02:21

ความคิดเห็นที่ 3 จริงๆ แล้ว ทิพจักราธิวงศ์มิได้เป็นราชวงศ์มาแต่ต้น  เพราะต้นวงศ์คือ หนานทิพช้างเป็นเพียงพรานป่า  เมื่อทายาทได้รับสถาปนาให้ครองนครลำปาง  นครเชียงใหม่ และนครลำพูนนั้น  ก็อยู่ในฐานพระยากินเมือง มายกขึ้นเป็นเจ้าในรัชกาลที่ ๔  ต่อมาในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วก็มีการถกกันถึงฐานะของเจ้านายฝ่ายเหนือว่า  จะให้เป็นเจ้าแบบเจ้าเกาหลีที่ญี่ปุ่นสถาปนาขึ้น  โดยจะให้บรรดาเจ้าเมืองเหนิอมีฐานันดรเป็นพระองค์เจ้าแล้วลดหลั่นกันไปเหมือนเจ้านายในราชวงศ์จักรี  แต่สุดท้ายจอมพล ป. ไม่ให้เป็นอะไรทั้งนั้น  เจ้าทางเหนือทุกวันนี้จึงเหลือ "เจ้า" แท้ๆ โดยกำเนิดไม่กี่คน  ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าที่ยกกันเอง  ทำนอง "คุณหญิงบ่าวตั้ง" เสียมาก จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 55 17:06:19

ความคิดเห็นที่ 4 ผมว่ามันแล้วแต่มุมมองนะครับ เพราะสมัยที่พ่อเจ้าทิพย์ช้างขึ้นครองนครลำปางนั้น ห้วงเวลานั้นนครลำปางถือเป็น นครเอกราชไม่ขึ้นต่อม่าน หรือ โยธิยา (หลังจากสังหารท้าวมหายศจากเมืองลำพูน ชาวเมืองลำปางก็ต่างพากันสรงน้ำมุรธาภิเษก ตั้งเอาหนานทิพย์ช้าง ขึ้นเป็นพญาทิพย์จักรสุวลือไชยสงคราม นั่งเมืองนครลำปาง พญา ภาษาไท ไม่ใช่ แปลว่า กษัตริย์) ครั้งสมัยราชบุตร เจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว ก็ได้รับ สถาปนาจากทางม่านเป็น เจ้าฟ้าสิงหราชธานีนครลำปลง ช่วงนั้น นครลำปางเป็นประทศราชพม่า  ซึ่งผมคิดว่า ความเป็นราชวงศ์ของราชวงศ์นี้สมบูรณ์ก่อนจะมาเป็นประเทศราชสยามด้วยซ้ำ จากคุณ : seamas เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 55 06:46:37

ความคิดเห็นที่ 5 ขอโทษครับ พิมผิด หลายที่ คำว่า พญา ใน ภาษาไทสยาม คงไม่ได้มีความหมายแปลว่า กษัตริย์ แต่สำหรับภาษาไทกลุ่มเหนือ ทั้งคำว่า เจ้าฟ้า เจ้าหลวง เจ้าผู้ครองนคร พญา นั้นยังหมายถึง กษัตริย์ อยู่นะครับ ส่วนคำว่า พระเจ้า ชาวล้านนาใช้กับ พระพุทธเจ้าเท่านั้น จากคุณ : seamas เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 55 07:09:43

ความคิดเห็นที่ 6 ถามเพิ่มเติมหน่อยครับ เคยอ่านในสาสน์สมเด็จ ว่าเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ท่านที่ 1 ส่งคนมาขโมยน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ สระแก้วสระขวัญที่จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อทำการสรงมุรธาภิเษก อย่างนี้จะถือว่าความเป็น เจ้า เกิดแก่ท่านหรือยังครับ จากคุณ : หนุ่มจำปาศักดิ์ เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 55 11:11:25

ความคิดเห็นที่ 7 คห.6 ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ แต่โดยนิสัยคนล้านนา ไม่ได้ขี้ขโมย น้ำแถวบ้านเราน่าจะศักดิสิทธิ์มากกว่า ไปเอาน้ำจากดอยหลวงเชียงดาว ไม่ดีกว่าเหรอ.. หรือ ต้นน้ำปิง.. คนล้านนารักในชาติกำเนิดของตนเองมากๆ ถึงได้ยืนยงมาถึงทุกวัน แต่คนภาคกลางมีนิสัยที่ไม่ดี อาจเห็นว่าคนล้านนาบ้านนอก นึกอยากเขียนอะไรก็สักแต่เขียน ไม่ใช่มีแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว ที่เป็นเรื่องพูดกันภายในของเราก็มีอีกหลายเรื่อง ดังนั้น คนล้านนาจะเกลียดคนทางใต้มากๆ โดยเฉพาะเรื่อง:-) ไม่ได้พูดให้ทะเลาะ แต่พูดเรื่องจริงที่เกิดขึ้น จากคุณ : กุหลาบแวร์ซาย เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 55 15:57:11

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องที่คุณกุหลาบแวร์ซายกล่าวถึงคนเมืองใต้ว่า "นึกอยากเขียนอะไรก็สักแต่เขียน" นั้น น่าจะเป็นคำบอกเล่าในยุคปลุกกระแสท้องถิ่นนิยม  และความนิยมเจ้าในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ประวัติศาสตร์ล้านนาถูกบิดเบือนอย่างหนัก  จนคนรุ่นต่อมาพากันหลงเชื่อโดยสนิทใจ ตัวอย่างเช่นเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา  ไทยพีบีเอสไปสัมภาษณ์ผู้นำท้งถิ่นถึงเรื่องวัดอินทขีลและเสาอินทขีล  ท่านผู้นำนั้นก็ตอบอย่างเต็มปากว่า รัฐบาลสยามไปย้านเสาอินทขีลออกจากวัดสะดือเมืองไปไว้ที่วัดเจดีย์หลวงเพื่อจะเอาพื้นที่นั้นมาสร้างศาลารัฐบาลมณฑลพายัพ   เรื่องนี้เมื่อตรวจสอบจากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กับพงศาวดารโยนกที่เขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ กลับพบว่า ผู้ที่ย้าเสาอินทขีลไปไว้ที่วัดเจดีย์หลวงคือ พระเจ้ากาวิละ  และย้ายไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๔๓  ในช่วงรัชกาลที่ ๑  และที่ตั้งศาลารัฐบาลนั้นเดิมก็เป็นที่ตั้งหอพระแก้วหรืมหาวิหารที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต  ที่แปลงมาจากโลหะปราสาทที่ถูกฟ้าผ่าพัง  เมื่อพระเจ้ากาวิละมาฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่นั้นมหาวิหารนี้ผุพังจนเกินกว่าจะบูรณะ  เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จมาไล่พม่าไปจากเชียงใหม่เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๐  ก่อนจะเสด็จกลับจึงทรงปักเสาหลักเมืองไว้ที่ข้างมหาวิหารร้าง  ครั้นกรมพระราชวังบวรทิวงคตใน พ.ศ. ๒๓๔๓ แล้ว  พระเจ้ากาวิละจึงย้ายเสาอินทขิลไปไว้วัดเจดีย์หลวง  แล้วสร้างวิหารพระขาวขึ้นแทน  ถึงรัชกาลที่ ๕ วัดอินทขิลที่พระเจ้ากาวิละสร้างไว้ก็เป็นวัดร้างไปอีก  จึงทำให้พื้นที่บริเวณที่เป็นศาลารัฐบาลนั้นเป็นที่รกร้างไปหมด  นี่คือข้อเท็จจริงที่ประมวลมาจากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ที่คนเหนิอ้ป็นผู้บันทึกไว้ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 55 17:28:28

ความคิดเห็นที่ 9 อีกเรื่องก็เรื่องเวียงแก้ว  พระราชชายาฯ ก็ทรงเล่าไว้ว่า พื้นที่เวียงแก้วนั้นเจ้าอินทวโรรสฯ จัดแบ่งเป็น ๓ ส่วน  ส่วนหนึ่งยกให้ทำคุก  อีกส่วนเอาไปทำสวนสัตว์  และยกให้ยษติวงศ์และบริวารไปอีกส่วน  แต่ก็พูดกันอยู่แต่เพียงว่า รัฐบาลสยามไปยึดเอาเวียงแก้วมาทำคุก  แล้วที่เอาไปทำสวนสัตว์กับแจกบริวารนั้นมิใช่เวียงแก้วหรือ? ที่สำคัญจากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่เองก็ระบุว่า พระเจ้ากาวิละเป็นผู้สร้างหคำขึ้นในเวียงแก้ว  ต่อมาในสมัยเจ้าหลวงพุทธวงศ์ได้ย้ายลงมาสร้างหอเทียมที่ตอนใต้ของเวียงแก้ว  แล้วสมัยพระเจ้ากาวิโลรสฯ ได้สร้างกอคำขึ้นในเวียงแก้วตินใต้อีก  เมื่อพระเจ้าอินทวิชยานนท์ขึ้นครองนครเชียงใหม่จึงย้ายไปสร้างคุ้มหลวงแห่งใหม่ที่ปัจจุบันเป็นสนามกีฬาและตึกยุพราชในโรงเรียนยุพราชแทน  แล้วจดหมายเหตุเชียงใหม่ที่พระราชชายาฯ อาราธนาครูบารูปหนึ่งให้บันทึกไว้  ก็ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อเจ้าอินทวิชยานนท์สร้างคุ้มใหม่ขึ้นแล้ว  ก็ได้รื้อหอคำในเวียงแก้วไปถวายวัด ข้อมูลเหล่านี้ผู้ที่บันทึกไว้คนเชียงใหม่เป็นผู้บันทึกไว้ทั้งหมด  มิใช่คนเมืองใต้บันทึกเลย  แต่ผู้ที่บิดเบือนก็คือคนเเชียงใหม่นั่นแหละ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 55 17:35:20

ความคิดเห็นที่ 10 หึๆเจอลัทธิเลือดแท้อีกแล้ว ไม่ใช่ว่ามาจาก เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมืองหรอกรึ ธรรมเนียมพื้นฐานของเมืองทั่วไปเลยเนี้ย กลุ่มเลือดผสม ฟังแล้วลําบากใจจริงๆ แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 55 06:54:59 จากคุณ : ไม่ได้มีสิบมือ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 55 06:53:33