|  | 
มาต่อกับความเห็นของคุณเอเธนาในความเห็นที่ ๑๘๗ คุณเอเธนากล่าวว่า
 #182 สมัยนั้นระบบราชการมีวัฒนธรรมเรื่องการฝากตัวกันเป็นขั้นๆ ผู้น้อยต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ไปตามลำดับ และลำดับสูงสุดทรงไว้ซึ่งอำนาจเด็ดขาดคือ พระมหากษัตริย์ ภายใต้วัฒนธรรมแบบนี้ ข้าราชการก็ต้องฟังว่า นายจะคิดอย่างไร สั่งอย่างไรแล้วทำตาม ขืนขัดใจ ก็จะไม่มีวันเติบโต
 นี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้การทดลองเลือกตั้งเทศบาล ในดุสิตธานีนั้นล้มเหลว เหมือนเล่นตุ๊กตา
 
 แต่ในความเห็นที่ ๑๘๖ คุณเอเธนากลับนำเสนอว่า
 เท่าที่จำได้ มีคดีที่ในหลวง ร. 7 ถูกฟ้องร้อง อยู่ 3 คดี
 คนงานรถไฟ ฟ้อง ร. 7 เรื่องขัดขวางการปกครองมั๊ง? ศาลยกฟ้อง
 ญาติของพระสนม ร. 6 ฟ้อง ร. 7 เรื่องไม่จัดการตามพินัยกรรมของ ร. 6 ศาลให้ ร. 7 แพ้คดี
 และรัฐบาลโดย จอมพล ป. ฟ้อง ร. 7 เรื่องเงินหลวงหายไป อย่างที่เล่าไว้แล้วนั่นแหละ
 
 ถ้าคิดว่า คดีสุดท้ายไม่ยุติธรรม โดนกลั่นแกล้ง ก็แสดงว่า 2 คดีก่อนหน้านั้น ก็ไม่ยุติธรรมด้วย อย่างคดีที่ 2 พระองค์ก็ยังทรงอยู่แก้ข้อกล่าวหาแล้ว แต่ศาลยังติดสินให้แพ้เลยค่ะ
 
 ความเห็น ๒ ความเห็นนี้ดูขัดกันอยู่  ความเห็น ๑ บอกว่า ในหลวงสามารถชี้นำข้าราชการได้ทุกเรื่อง  แต่อีกความเห็นกลับบอกว่า ในหลวงถูกราษฎรฟ้องจนต้องแพ้คดี
 
 แต่เพื่อให้เห็นภาพการบริหารงานแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ ๖ ที่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงมอบหมายให้เสนาบดีไปปฏิบัติราชการต่างพระเนตรพระกรรณแล้ว  ก็มิได้ทรงใช้พระราชอำนาจก้าวก่ายการบริหารราชการแผ่นดินอย่างที่คุณเอเธนาเข้าใจ คือ ความจากเอกสารจดหมายเหตุชุด ร.๖ ค.๘.๓/๒  เรื่องหนังสือราชการเรื่องเงินเสด็จประพาศที่ต่างๆ ปีกที่ ๒ (๑ เมษายน ๒๔๖๕  ๑๗ มิถุนายน ๒๔๖๗).  ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า
 
 ในท้ายจดหมายของเธอๆ กล่าวแสดงข้อวิตกถึงเหตุอันตรายแก่การเงิน  ซึ่งฉันขอกล่าวมาในฐานเป็นญาติแลเป็นนายว่าในเรื่องนี้พอกันด้วยเงินเพียง ๒๐๐๐๐ บาทเศษ  ไม่ควรเลยที่จะเป็นใหญ่เป็นโตราวกับเกี่ยวข้องด้วยเงินตั้งล้าน  ไม่ควรริอ่านพูดขยายความเล็กน้อยกระพือให้เป็นใหญ่  สำนวนที่เธอใช้มาถึงฉันถ้าเป็นลายพระหัดถ์กรมพระจันทบุรี  ฉันจำเป็นต้องฟังโดยความเคารพ  เพราะประการหนึ่งกรมพระจันทบุรีเป็นพี่ชายใหญ่ของฉัน  แหละได้ชื่อว่าเป็นเสนาบดีมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕  ถึงจะสอนฉันบ้างก็อภัยถวาย  แท้จริงมิใช่ว่าฉันเป็นเด็กหรือเป็นคนใหม่ในราชการ  ฉันก็เคยได้รับราชการเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๕ หลายปีก่อนที่สวรรคต  และฉันเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาเองก็ตั้ง ๑๒ ปีแล้ว  ควรต้องนับว่าฉันเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอในทางราชการ  ฉะนั้นพูดอะไรก็พูดกันดีๆ ไม่ต้องสอนกันก็ได้  นี่เป็นคำเตือนส่วนตัวของฉันซึ่งเป็นผู้เลือกชุบเลี้ยงเธอขึ้นเป็นใหญ่  ฉะนั้นอย่าเข้าใจผิด  แลอย่าถือว่าฉันกริ้ว  จงถือเสียว่า ฉันเตือนด้วยไมตรีเท่านั้น
 
 กับอีกฉบับหนึ่งมาจากเอกสารชุด ร.๖ บ..๑.๖๕/๓๓  เรื่อง พระราชนิยมเรื่องคลังจ่ายเงินแผ่นดินแลเรื่องข้าราชการกรมราชเลขาธิการ (๑๐  ๑๒ สิงหาคม ๒๔๖๕). ซึ่งรัชกาลที่ ๖ ทรงตำหนิเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติว่า
 
 ตามคำชี้แจงในเรื่องซื้อที่นี้  เข้าใจทุกประการแล้ว  แต่เมื่อจะต้องจ่ายเงินทองเปนจำนวนมากจากเงินคงพระคลังเช่นนี้, ต่อไปฉันอยากให้เธอบอกมาให้ฉันทราบเสียก่อน, และการบอกเรื่องเช่นนี้  เมื่อเกรงว่ามีจดหมายมาทางราชการโดยปรกติจะมีทางรั่วรู้ไปก่อนเวลาอันควร, เธอจะหมายเหตุที่หลังซองว่า ราชการลับ เช่นนี้ก็คงจะเปนการพอแล้ว, เพราะที่กรมราชเลขาธิการก็คงจะระวังมิให้บุคคลชั้นผู้น้อยได้รู้เห็นเปนแน่แท้.  แต่โดยที่เธอบางทีจะไม่คุ้นเคยกับกรมราชเลขาธิการ, ฉันขอรับรองว่าคนปากบอนหรือปากมากเขาไม่ใช้เลยในกรมนั้น, แลถ้าจับใครได้ว่าทำผิดกติกาในข้อนี้  ไม่เปนแต่เพียงไล่ออก, ถึงแก่ถอดเสียด้วย.  ในกระทรวงอื่นจะเปนอย่างไรไม่ทราบ, แต่ในเรื่องซื้อที่รายนี้กิติศัพท์ได้มาเข้าหูฉันหลายวันแล้วก่อนที่ได้รับจดหมายของเธอ, ฉะนั้นเธอคอยมองๆไว้ในกระทรวงของเธอบ้างก็ดี.
 
 ส่วนเรื่องซื้อที่, เมื่อเธอได้ทำความตกลงซื้อแล้วแลจ่ายเงินไปแล้ว ฉันก็ไม่มีทางอื่นนอกจากตอบว่าอนุญาต, แต่เมื่อมาคำนึงดูว่ากระทรวงอื่นๆ ทุกกระทรวง   จะใช้เงินแม้สักเล็กน้อยก็ต้องให้กระทรวงพระคลังทราบและเห็นชอบด้วยก่อนฉนี้, ฉันเห็นว่ากระทรวงพระคลังจะยอมอนุญาตตนเองให้ใช้เงินได้ไม่ว่ามากน้อยเท่าใดโดยไม่ต้องบอกใครหรือ ปฤกษาใครเลย  ดูเปนระเบียบการที่ไม่สู้เข้าทีนัก  อย่างน้อยก็เปนช่องให้ผู้อื่นเขานินทาว่าคลังเอาเปรียบโลกเหลือเกินนัก.  แต่ยังมีทางที่อาจถูกหาความร้ายกว่านั้น  เพราะไม่ว่าท่านกิติหรือตัวเธอจะคงเปนเสนาบดีไปได้ชั่วกัลปาวสาน,  อาจจะต้องเปลี่ยนตัวเสนาบดีคลังบ้างสักคราว ๑ ในเมื่อน่า, แลเสนาบดีคลังที่ทำงานยุ่งไม่เรียบร้อยก็เคยมีมากแล้ว  และไม่มีผู้ใดจะหาญพอที่จะประกันได้ว่าจะไม่มีอีกต่อไป  ฉนั้นขอให้วางลงเปนระเบียบเสียว่าถ้ากระทรวงพระคลังจะใช้เงินในการจรเปนจำนวนเกินกว่าเท่านั้นๆ ก็ต้องนำความกราบบังคมทูลก่อน.  ถ้าทำเช่นนี้จะเปนการตัดครหานินทาได้ดีกว่าอย่างอื่น.
 
 ที่ฉันทักท้วงแลขอให้วางระเบียบเช่นข้างบนี้  ไม่ใช่เพราะฉันไม่ไว้ใจเธอ.  การที่กระทรวงพระคลังต้องให้เจ้ากระทรวงอื่นๆ ปฤกษาหาฤาและชี้แจงและขออนุญาตคลังก่อนใช้เงินการจร  ก็คงจะไม่ใช่เพราะเห็นว่าเจ้ากระทรวงนั้นๆ จะจงใจฉ้อฉนอะไร, เปนแต่ปรารถนาจะป้องกันมิให้ใช้เงินแผ่นดินโดยสุรุ่ยสุร่ายเท่านั้นมิใช่ฤา?  ความปรารถนาของฉันในส่วนกระทรวงพระคลังก็มีเพียงแต่ขอให้ฉันรู้เห็น  แลเห็นชอบด้วยก่อนที่จะใช้เงินการจรมากๆ เพื่อหาทางป้องกันสุรุ่ยสุร่ายฉันเดียวกัน.
 
				 
				
					| จากคุณ | : 
V_Mee   |  
					| เขียนเมื่อ | : 
22 ธ.ค. 55 07:36:53   |  
					|  |  |  |  |