ความคิดเห็นที่ 1 เรื่องหน้าตาบอกยากหรอกครับ ส่วนอันไหนไท ไม่ไท ก็บอกยาก จริงๆแล้วคนในประเทศไทยตอนนี้ ไม่มีใครที่เชื่อสายไทแท้ร้อยเปอร์เซนต์หรอกครับ (คนไทแท้ร้อยเปอร์เซนต์คืออะไร ยังบอกไม่ได้เล้ยยย) ก็เลยเพียงแต่บอกคร่าวๆได้ว่า ทางภาคกลางนั้น เป็นส่วนผสมของมอญ-เขมร และไท-ลาว ปนๆกัน ผมว่าเป็นไปได้ยากนะ ที่พอคนไทอพยพลงมา คนพื้นเมืองที่พูดภาษาคนละตระกูล ก็กลายพูดไทยไปหมด ยิ่งสมัยก่อนการเดินทางยากลำบาก แบ่งกันปกครองเป็นนครรัฐ แผ่อิทธิพลครอบคลุมกันเท่านั้นเอง (และมอญ-เขมร ในขณะนั้นมีวัฒนธรรมที่เจริญกว่าไท ที่อพยพลงมา) ก็เลยมีบางทฤษฏี ที่ว่าไทเราไม่ได้อพยพมาจากไหน เราอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ต้น ไงล่ะครับ อ้อบุญเดือนสิบน่ะ ทางภาคอิสานก็มีนะครับ เรียกว่าบุญข้าวสาก เป็นหนึ่งในฮีตสิบสองอย่างของชาวลาวเลยนะ แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 55 16:39:37 จากคุณ : ธัมมนันทิ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 16:33:05

ความคิดเห็นที่ 2 จขกท.ก็ยอมรับแล้วว่า คิดไปเอง จากคุณ : นายช่างปลูกเรือน เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 18:29:14

ความคิดเห็นที่ 3 เเละอีกอย่างชาวเขมรแถวสุรินทร์มีประเพณีสารทเดือนสิบ เหมือนภาคใต้ วันเดียวกันด้วย ซึ่งกลุ่มไทต่างๆไม่มี . . . ภาคเหนือ .. ตานก๋วยสลาก ภาคกลาง  ... สารทไทย ภาคอีสาน  ... บุญข้าวสาก ภาคใต้  ... สารทเดือนสิบ . . สาระสำคัญของประเพณีนี้เกี่ยวเนื่องกับการเซ่นไหว้บูชาวิญญาณบรรพบุรุษ ก็น่าจะสืบมาตั้งแต่ก่อนรับศาสนาพุทธ-พราหมณ์แล้ว แต่เมื่อรับศาสนาใหม่จากอินเดียก็มีการปรับแต่งให้เข้ากับความเชื่อใหม่ แต่ยังคงพื้นฐานแนวคิดเดิมในศาสนาผี (Animism) อยู่ จากคุณ : RX-ALCHEMIST เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 18:31:57

ความคิดเห็นที่ 4 ภาคกลาง-ใต้เป็นหัวเมืองติดทะเล การค้าขายเป็นสิ่งที่เป็นปกติ ไม่น่าแปลกที่คนมลายู คนแขก จะเข้ามาค้าขายและกลมกลืนชาติพันธุ์ ส่วนมอญ-เขมร ผมคิดว่าผสมมานานแล้ว คนไทสยามไม่ใช่ไทยบริสุทธิ์ เป็นเพียงลูกผสม หนึ่งอย่างที่ผมคิดได้คือ...ไทสยามนะเวลาออกรบสงคราม...อย่างเก่งก็ไปแบบกองทหารชาย ไม่มีหญิง ไปถึงบ้านเมืองใดก็เอาแม่หญิงเมืองนั้นเป็นเมีย นั้นทำให้คิดต่อได้ว่า กลางไปถึงใต้ คือการอพยพลงมากลืนชาติพันธุ์เดิมซะมากกว่า ไทยวย ไทลาว การเข้าถึงของชาวต่างชาติเป็นไปด้วยความยากลำบาก นั้นจึงทำให้เค้าอาจจะเรียกได้ว่าผสมน้อยกว่าไทสยาม จากคุณ : Elizarah เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 19:57:00

ความคิดเห็นที่ 5 คนไทยในปัจจุบัน ถ้าจะเอาว่าเชื้อชาติอะไรมันยากมากแล้ว แต่เดิม การคมนาคมไม่ได้เชื่อมกันง่ายๆ ก็อาจจะแยกได้ง่าย หน่อย ปัจจุบัน คนเหนือแต่งกับใต้ (ญาตผลอยู่เหนือ ครอบครัวก็อยู่เหนือ ไปแต่งกับสามีอยู่กระบี่) คนใต้แต่งอีสาน ฯลฯ ฉะนั้น ในอนาคต จะมันกลืนไปหมด อันที่จริง อยากให้มองว่า ตอนนี้ ขอบเขตของประเทศเป็นอย่างนี้ อันที่จริงขอบเขตประเทศก็เป็นสิ่งสมมุติเท่านั้นเอง การจะรักษาอะไรเดิม ๆ มันอาจจะยากนะ แต่มนุษย์ก็คงต้องการการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเหมือนกัน จะให้คงแบบเดิมๆ ไปตลอดก็คงยากไดโนเสาร์ยังหายสาบสูญไปเลย เพราะว่ามันไม่รู้จักการปรับตัว จากคุณ : bangkokguy เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 20:41:41

ความคิดเห็นที่ 6 ลองเช็คกันดูจริงๆ คนภาคเหนือ    ส่วนใหญ่ลูกหลานไทใหญ่สมัยที่เก็บผักใส่ซ้า   เก็บข้าใส่เมืองทั้งนั้น       เจ้ากาวิละไปกวาดต้อนมาจากทางเชียงตุง คนภาคอีสาน     จำนวนไม่น้อยที่ถูกกวาดต้อนมาเมื่อครั้งศึกเจ้าอนุวงศ์    แล้วยังคนอพยพข้ามโขงอีกไม่น้อยเมื่อรศ.112 คนภาคกลาง     ผสม มอญ  จีน  ขอม    เปอร์เซีย   อินเดีย คนภาคตะวันออก    ผสมเขมร    จาม คนภาคตะวันตก    ผสมมอญ คนภาคใต้     ผสมมลายู   ชวา  พ่อค้ามุสลิม-อาหรับ    จีน   อินเดีย สรุปว่าจะคนภาคไหนก็ไม่มีเชื้อสายบริสุทธิ์ดอก จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 20:49:32

ความคิดเห็นที่ 7 เรื่องงานเดือนสิบ เข้ามายืนยันตามคห.๓ ครับผมว่า มีทุกภาคและมีชื่อเรียกต่างกัน แต่จุดประสงค์หลักของงานคือทำบุญให้บรรพบุรุษ แต่งานเดือนสิบภาคอื่นๆ ที่ลักษณะใกล้เคียงเดือนสิบภาคใต้มากที่สุดคือที่สุรินทร์ ซึ่งเป็นงานเดือนสิบของชาติพันธ์ไทยเขมร เรียกว่าแซนโฎนตา อาจมีลักษณะปลีกย่อยต่างกันไปบ้างเช้น มีล่องเรือส่งวิญญาณบรรพบุรุษกลับปรโลก แต่เนื้อแท้แล้ว จุดประสงค์ก็คือทำบุญให้บรรพบุรุษเหมือนกันครับ จากคุณ : Cassiopeka เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 20:54:50

ความคิดเห็นที่ 8 ติดใจหนึ่งคำจากเจ้าของกระทู้ครับ คือคำว่า "พุทธมลายู" ว่ามีลักษณะวัฒนธรรมอย่างไร เพราะโดยทั่วไปแล้ว มลายู จะมาพร้อมกับ วัฒนธรรมอิสลาม อย่างแยกกันแทบไม่ออกทีเดียวครับ พุทธมลายู กับ ไทยพุทธ ต่างหรือเหมือนกันอย่างไร ? อีกหนึ่งชนชาติที่ไม่มีใครพูดถึงแล้วในภาคใต้คือกลุ่ม ซัมซัม หรือ สามสาม ที่ว่ากันว่าเพี้ยนมาจากคำว่า สยามนั่นเอง บ้างก็นิยามว่าเป็น ไทยมุสลิม หรือ มุสลิมสยาม คือผู้ที่อาศัยในดินแดนทางภาคใต้ และตอนเหนือในมาเลย์เซีย นับถือศาสนาอิสลาม แต่มีวิถีชีวิต วัฒนธรรมแบบ คนไทย เช่นพูดภาษาไทย (ไม่พูดมลายู) อาจจะรวมถึงการแต่งกายด้วย ปัจจุบันนี้อาจจะไม่มีแล้วกระมั่งครับ เพราะคงโดนกลืนไปหมดแล้วจากชาวมลายู จากคุณ : Oceanophila เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 23:12:15

ความคิดเห็นที่ 9 เอ่อ คนสงชลา ผิวขาว ที่คุณว่า อะ คนจีน ครับ ไม่ใช่ไทยภาคเหนือ หลังจากยุคสุลต่านสุไลมาน ซึ่งเป็นชาวชวา เป็นผู้ครองเมืองสงขลา เจ้าเมืองสงขลา ผู้ปกตรองสงขลา ยุคหลังมานี้ เป็นชาวจีน ที่มาค้าขายและรับราชการ ต้นตระกูล ณ สงขลา เป็นชาวจีน รวมไปถึง ชาวบ้าน้านตลาด เป็นชาวจีน อพยบ มาอยู่เป็นจำนวนมาก หลังจากยุคสุลต่านสุไลมาน ซึ่งเป็นชาวชวา เป็นผู้ครองเมืองสงขลา อย่างเมืองนครศรีธรรมราช มีการ สร้างเมืองใหม่ตั้งหลายหนครับ จึงระบุไม่ได้แน่ชัดว่า คนในเมืองนครนี่แท้จริงเป็นชนชาติใด อีกทั้งเป็นเพราะการเป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญ จึงมีการติดต่อค้าขายกับชนชาติต่างๆมากมายหลากหลายมากทั้ง จีน ชวา อินเดีย ลังกา และพวก ยุโรปอย่างชาวฮอลันดา มีการขุดค้นพบ ตะเกียงแบบโรมัน ที่เมืองกระบี่ ด้วย   อย่าเอาเส้นประเทศในปัจจุบันมาแบ่งชาติพันธุ์เลยคครับ จากคุณ : OFFBASS เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 00:10:18

ความคิดเห็นที่ 10 ทางแถบมลายูนั้นแต่เดิมเป็นพุทธครับ       ดังนั้นคนที่ชาติพันธุ์แบบมลายูไม่จำเป็นต้องเป็นมุสลิมหมด       อย่าง 3 จังหวัดชายแดนของเรานั่นก็มีทั้งพุทธทั้งมุสลิมอยู่      คนพุทธเหล่านั้นไม่ได้มีเฉพาะคนจีนรึคนสยามอพยพไปอยู่หรอกนะครับ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 00:12:03

ความคิดเห็นที่ 11 ในเมื่อ จขกท ตั้งคำถาม เรื่อง คนเชื้อสายไท ก็น่าจะให้คำนิยามมาก่อนว่า คนเชื้อสายไท เป็นอย่างไร แล้วที่ว่า  พระปฐมเจดีย์ เเละพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ไม่ได้สร้างจากชนพื้นเมืองชาวไท  เเต่สร้างจากชาวมอญ เเละชาวมลายู พื้นเมือง นั้น ไปเอามาจากไหน ที่ชาวมลายู พื้นเมือง สร้าง เพราะชาวมาลยูพื้นเมือง อยู่กันหนาตาตั้งแต่ราว ๓ ๔ จังหวัดภาคใต้ ลงไป ที่ว่า มีชาวสยามจากลุ่มน้ำกก จากจังหวัดเชียงราย  มาร่วมเดินขบวนสวนสนามที่เมืองพระนคร นั้น ก็เพียงแต่เป็นการตีความคำว่า สยามกก กันแค่นั้น ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า คนที่เขาจารึก เขาหมายถึงอย่างไร เพราะจากการแต่งกาย ไม่มีหลักฐานว่า ผู้ชายแถว เชียงราย นุ่งโสร่งกัน แต่แถวอีสาน นุ่งโสร่งกัน จนถึงทุกวันนี้ ก็มี เรื่องผิวนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เห็นกันง่าย คนไทยดำ ที่ถูกกวาดต้อนไปอยู่ในชนบทภาคกลางและเขาแต่งงานกันเอง ตอนนี้ก็ผิวคล้าเหมือนคนภาคกลางกันนะ จากคุณ : ธนิตา เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 02:34:12

ความคิดเห็นที่ 12 ยังไงก็ได้ คนไทยยุคโบราณเป็นใครสรุปยาก ไม่จําเป็นต้องปิดอะไร เพราะ คนในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่กลุ่มคนในอดีต ยกเว้นถ้าผสมกันเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ดูแล้วเป็นไปได้หรอเนี้ย ถ้ามีคนกล้าบอกว่าทั้งฝ่ายพ่อ ฝ่ายแม่ตลอดเวลา ตั้งแต่พระเจ้าเหาได้อยู่ในพื้นที่ตรงนี้ไม่เคยย้ายไปไหน และแต่งงานกันเองในหมู่มาตลอด หลายร้อยปีที่ผ่านมา ผมก็กล้าเชื่อ เชื่อคนง่าย แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 55 02:46:04 จากคุณ : ไม่ได้มีสิบมือ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 02:41:52

ความคิดเห็นที่ 13 กระทู้นี้สนุกมากเลยครับ มีขอสงสัยบางประการ อยากจะให้ผู้รู้ช่วยแสดงทรรศนะหน่อยครับ สงสัยมานานแล้วครับว่า ทำไมภาคใต้ของไทย จึงหลงเหลือร่องรอยทางประวัติศาสตร์น้อยกว่าภาคอื่นๆ (เป็นความคิดส่วนตัว) ที่ผมคิดเช่นนั้น เพราะว่า ทางภาคใต้ปรากฎลักษณะทางศิลปกรรม ประติมากรรม งานเขียน และอื่นๆน้อยกว่าภาคอื่นมาก และไม่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นชัดเจนเหมือนอย่างของทางล้านนา หรือแม้แต่ของภาคอีสานก็ตาม (ล้านช้าง) อย่างเรื่องของรูปแบบศิลปกรรมของพระอุโบสถ เจดีย์ และพุทธศิลป์ต่างๆ เป็นต้น อีกทั้งเรื่องของภาษา ภาษาไทยปักษ์ใต้ เป็นภาษาที่ไม่มีภาษาเขียน แต่ทางล้านนามีอักษรธรรมล้านนา ขณะที่อีสานก็มีอักษรไทน้อย ส่วนตัวผมคิดว่า อาจจะเนื่องมาจากทางปักษ์ใต้ไม่ค่อยสงบ มีการรุกรานจากอาณาจักรต่างๆตลอดเวลา และดินแดนแถบนั้นเป็นคาบสุทร เหมาะกับการค้าขาย จึงมุ่งเอาแต่การค้าขาย จนไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องของศิลปะมากนัก ท่านๆคิดกันว่าอย่างไรบ้างครับ จากคุณ : แมลงภู่บนหูกระต่าย เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 11:22:31

ความคิดเห็นที่ 14 ผมคิดว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ส่วนนึงน่าจะโดนทำลายไปในช่วงที่การเปลี่ยนศาสนาจากพุทธเป็นอิสลาม เพราะโดยปกติแล้ว ศาสนาทางพุทธ ฮินดู มักจะมีพวกรูปปั้น สลัก ที่เป็น คนหรือสัตว์ ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนศาสนา รุปปั้น รูปสลักที่เป็นคนหรือสัตว์ จึงถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดหลักศาสนา จึงอาจจะมีการทำลายทิ้งไปส่วนนึง ดังนั้นสิ่งที่หลงเหลือให้เห็นอยู่เช่นจากที่เมืองเก่ายะรัง ก็จะเป็นพวกสถูป เจดีย์ครับ (พวกพระพิมพ์ และเทวรูปของฮินดู ก็มีบ้างครับ แต่อาจจะไม่มากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับที่อื่นๆ) มีเพื่อนในพื้นที่เล่าว่า จริงๆแล้วพวกโบราณวัตุพวกนี้ ก็มีหลงเหลืออยู่ตามเรือกสวนไร่นาบ้าง แต่เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันนี้มีความไม่สงบ จึงไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาขุดแต่ง อีกทั้งยังมีชาวบ้านบางส่วนไม่ต้องการให้มีการขุดค้นอะไรมากนัก เพราะว่าพอเจอพวกพระเครื่อง หรือโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ ฮินดู ก็มีความไม่สบายใจ เพราะชาวบ้านบางส่วนยังมองตัดตอนประวัติศาสตร์แค่ในยุคหลังจากเปลี่ยนมานับถืออิสลามแล้ว และตั้งมั่นว่าดินแดนนี้เป็นดินแดนมลายูที่มีศาสนาอิสลามยืนหยัดอยู่ช้านานแล้วแต่แรกเริ่ม เมื่อมีการขุดเจอก็ทำลายบ้าง หรือก็ไม่ได้ดูแลอะไรปล่อยไว้อย่างนั้นในธรรมชาติตามไร่ ตามนา ส่วนเรื่องภาษาเขียนนั้น ถ้าดูจากบันทึกในหนังสือบุด (สมุดข่อย) โดยมากก็เขียนบันทึกกับอักษรขอมโบราณ  ในส่วนของมลายูมุสลิมก็จะบันทึกด้วยอักขระอาหรับ หรือที่เรียกว่าตัวญาวี สิ่งที่ผมสงสัยอย่างนึงคือ ภาษาทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ของดินแดนในภาคใต้ก่อนที่จะมีการเข้ามาของศาสนาอิสลามนั้น ประชาชน พูดและเขียนกันด้วยภาษาใด ? ส่วนตัวผมเชื่อว่าภาษาเขียนน่าจะเป็นภาษาสันสฤต เพราะเป็นวัฒนธรรมร่วมที่เหลืออยู่และพบได้ในคำมลายูหลายๆคำ แต่ภาษาพูดนี่ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่คิดว่าอาจจะเป็นภาษามลายู + สันสกฤต + ไท จากคุณ : Oceanophila เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 18:09:03

ความคิดเห็นที่ 15 ขอตอบ คห.13 หน่อย แต่ผมไม่ใช่นักวิชาการอะไรนะ เป็น แต่เป็นคนท้องถิ่นภาคใต้โดยกำเนิด เอาเท่าที่รู้นะครับ ---สงสัยมานานแล้วครับว่า ทำไมภาคใต้ของไทย จึงหลงเหลือร่องรอยทางประวัติศาสตร์น้อยกว่าภาคอื่นๆ --- เยอะนะครับ เอาแค่นครศรีธรรมราชจังหวัดเดียว ก็เยอะแยะแล้ว ยกเว้นพวกสิ่งก่อสร้างจะน้อย เพราะอาจ คนพื้นเมืองทางนี้ สร้างบ้านได้ไม้ และ ภาคใต้ อากาศชื้น ฝนตกชุก ตลอด แต่ก็พบไม่น้อยนะครับ อย่าง บริเวณ เมืองโบราณโมคลาน  นครศรีธรรมราชในสมัยราวพุทธศตวรรษที่ 10-11 พบโบราณสถาน สำคัญๆ คือ โบราณสถานเขาคา ที่ เขาคา อำเภอ สิชล โบราณสถานตุมปัง บริเวณ ม.วลัยลักษณ์ ท่าศาลา โบราณสถานโมคลาน อ.ท่าศาลา ที่จ.ปัตตานี  เมืองโบราณยะรัง ปัตตานี  ที่ตังอาณาจักรลังกาสุกะ --ที่ผมคิดเช่นนั้น เพราะว่า ทางภาคใต้ปรากฎลักษณะทางศิลปกรรม ประติมากรรม งานเขียน และอื่นๆน้อยกว่าภาคอื่นมาก และไม่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นชัดเจนเหมือนอย่างของทางล้านนา หรือแม้แต่ของภาคอีสานก็ตาม (ล้านช้าง) อย่างเรื่องของรูปแบบศิลปกรรมของพระอุโบสถ เจดีย์ และพุทธศิลป์ต่างๆ เป็นต้น-- ในบริเวณ ตำบลท่าเรือ อำเภอเมืองครศรีธรรมราข มีการ ขุดค้นพบ มโหระทึก หลายใบ พบโบราณวัตถุมากมาย ในส่วนอื่นๆมีพบทั้ง ศิลปวัตถุ ทั้ง พุทธ และพราหมณ์ มากมาย ที่ เด่นๆก็ พระพิฆเนศวร ศิลปะสกุลช่างนครศรีธรรมราช ที่เป็น ปาง ปิดตา  พระศิวนาฏราช และ พระพูทธรูป ทรงขนมต้ม งานวรรณกรรม ก็มี ที่โดดเด่น ก็มี สรรพลีหวน -อย่างเรื่องของรูปแบบศิลปกรรมของพระอุโบสถ เจดีย์ และพุทธศิลป์ต่างๆ เป็นต้น- ที่โดดเด่น เป็น เจดีย์ทรงลังกา อย่าง พระบรมธาตุเมืองนครฯ  เจดีย์ยักษ์(เจดีหัก)วัดพระเงิน ฯลฯ --อีกทั้งเรื่องของภาษา ภาษาไทยปักษ์ใต้ เป็นภาษาที่ไม่มีภาษาเขียน แต่ทางล้านนามีอักษรธรรมล้านนา ขณะที่อีสานก็มีอักษรไทน้อย-- อาจจะเป้นอย่างนั้นเพราะศิลาจารึกโบราณ ที่พบในนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่ เช่น จารึกหุบเชาช่องคอย จะเป็นอักษร ปัลละวะ  ยุคหลังมาก็เป็นอักษรขอม จากคุณ : OFFBASS เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 19:18:04

ความคิดเห็นที่ 16 แสดงความเห็นเพิ่มเติม กับคห. ที่ 15 ครับ ที่ท่านยกตัวอย่าง และมองว่าโบราณวัตุต่างๆ ยังมีเหลืออยู่มากมายในเขต นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานีนี้ อาจจะเพราะว่า 1. พื้นที่ดังกล่าวนี้ ไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องการเปลี่ยนแปลงการนับถือศาสนาของคนในพื้นที่ ดังนั้น คนดั้งเดิมในพื้นที่จึงยังคงดูแล รักษาอนุรักษ์โบราณวัตถุพวกนี้ไว้อยู่ คนในแถบนั้นส่วนมากก็ยังเป็นคนไทยพุทธ ถึงจะปนคติความเชื่อแบบฮินดู แต่ก็ไปด้วยกันได้โดยไม่ขัดแย้งอะไรกัน 2. พื้นที่นัน้ไม่มีผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบเหมือนอย่างในภาคใต้ตอนล่าง จึงง่ายต่อการที่นักโบราณคดีจะเข้ามาขุดแต่ง ศึกษา ทำให้มีข้อมูลในบริเวณนี้มากครับ จึงทำให้มีการศึกษาอย่างแพร่หลาย และเป็นที่รับรู้ของคนส่วนมากในสังคม ลองถามตัวเอง และคนรอบข้างดูครับว่า เรารู้อะไรเกี่ยวกับอาณาจักรตามพรลิงค์บ้าง เมื่อเปรียบเทียบกับอาณาจักรลังกาสุกะ ผมคิดว่าส่วนมากในสังคม คงจะรู้จักชื่อลังกาสุกะเมื่อไม่กี่ปีมานี้จากเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ เทียบเคียงกับความรู้ของอาณาจักรล้านนา คนโดยส่วนมากจะมีความรับรู้มากกว่า ลังกาสุกะ ทั้งที่จริงๆแล้ว ต่างก็เป็นอาณาจักรหัวเมือง ชายแดนเหมือนๆกัน  เราอาจจะต้องกลับมามองถึงเรื่องรากฐานการศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศเราครับ จากคุณ : Oceanophila เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 18:03:21

ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อปี พ.ศ. 1933 สมเด็จพระราเมศวร กษัติย์พระองค์ที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงยกกองทัพขึ้นไปยังเมืองเชียงใหม่... และได้กวาดต้อนผู้คนลงมาทางใต้โดยให้ไปอยู่ที่เมืองจันทบูร เมืองนครศรีธรรมราช เมืองพัทลุง และเมืองสงขลา ทำให้ชาวเหนือและชาวใต้มีวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมที่ใกล้เคียงกัน (จาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%A3) ท่านที่เป็นคนในภาคใต้สามจังหวัดนี้ ลองดูว่ามีอะไร คล้ายกับคนเหนือบ้าง เช่น ผิวกาย บางตระกูลผิวขาวมากอยู่ท่ามกลางคนผิวคล้ำ  รวมทั้ง ภาษา อาหาร เครื่องแต่งกาย เพื่อนที่อยู่แถบนั้นเคยเล่าว่า แถวบ้านเขารุ่นปู่ย่าตายายจะไม่นุ่งผ้าปาเต๊ะ แต่จะนุ่งผ้าซิ่นลายวนรอบตัว และบอกลูกหลานว่า ผ้าปาเต๊ะไม่ใช่ของคนไทย (ไท ?) ..คนบางพื้นที่ทำแกงชื่อว่า แกงมอบปู  ซึ่งเป็นชื่ออาหารชาวเหนือ กินข้าวเหนียวเป็นอาหารเช้าก่อนไปทำนา กินแมงกุดจี่ กินแมงดา ...ภาษาใต้สำเนียงสงขลา คล้ายสำเนียงลาวหลวงพระบาง เคยมีนักข่าวช่อง 3 ที่เป็นคนใต้ไปทำข่าวที่หลวงพระบาง บอกว่าพูดใต้กับคนที่นั่นได้เลย  คนปัตตานีไปอยุ่กาฬสินธุ์ พูดใต้สำเนียงปัตตานี คนที่นั่นคิดว่าเป็นคนอีสาน คนใต้เรียกตะกวดว่าแลนเหมือนคนอีสาน เรียกผลไม้เป็น หน่วย...หลายอย่างทำให้น่าเชื่อว่าเป็นผลพวงจากการอพยพย้ายคนทางเหนือลงมาตามข้อมูลข้างบน แต่นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานจากการพูดคุยกับเพื่อนที่มีประสบการณ์เท่านั้น จากคุณ : cubbie เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 03:02:33

ความคิดเห็นที่ 18 เทคนิคการทำผ้าปาเต๊ะ (บาติค) เป็นของวัฒนธรรมมลายู-ชวาครับ คนไทยพุทธเวลาเข้าวัดเข้าวาตามงานบุญ ก็ไม่นิยมใส่ผ้าปาเต๊ะคับ จะนุ่งเป็นผ้าซิ่น ผ้านุ่งลายดอก หรือไม่ก็เป็นพวกผ้าพิมพ์ลายไทยไปเลย แต่เวลาอยู่บ้านปกติก็จะใส่ผ้าปาเต๊ะ จากคุณ : Oceanophila เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 14:56:55

ความคิดเห็นที่ 19 เดิมแล้วคนเชื้อไต อาจจะอยู่แถบนี้มาก่อนแล้ว แล้วจึงมีอีกกลุ่มลงมาตั้งอาณาจักรที่ ล้านนา สุโขทัย ก็เป็นได้นะ ทำให้ภาษาที่พูดก้เป็นภาษาเดียวกัน แต่พอแยกถิ่นฐาน หรือมีศัพท์ใหม่มาเรื่อยๆ ก้ต้องตั้งเป็นภาษากลุ่มของตนขึ้นมาใหม่เป็นวิวัฒนาการของแต่ละภาษาไทย คือมีจุดร่วมที่้เหมือนกันแล้วแขนงอาจจะไม่เหมือย หรือมีบ้างที่ซ้อนกัน จากคุณ : หว่างฮั่น2011 เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 55 13:56:31

ความคิดเห็นที่ 20 บทความดีๆที่เกี่ยวกับประวัติศาตร์โบราณคดี -- ตามพรลิงค์ ศรีวิชัย อาณาจักรที่ถูกลืม http://www.dhammachak.net/board/viewtopic.php?f=14&t=71 จากคุณ : ซอนาย (nataraja) เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 55 14:24:20