ความคิดเห็นที่ 1 คำตอบง่ายๆก็คือประเทศไทยเต็มไปด้วยคนจบวุฒิสูงๆแต่สติปัญญาต่ำๆซึ่งไร้จินตนาการอันสร้างสรรค์และใช้เหตุผลในระดับพื้นฐานไม่เป็น และที่ต้องเรียนจบวุฒิสูงๆ(จากมหาลัยระดับปลายแถว)ให้ได้นั่นก็เพราะประเทศไทยกดขี่แรงงาน ดังนั้นเมื่อมี demand ก็มี supply นั่นก็คือมีมหาลัยระดับปลายแถวผุดกันขึ้นมาเหมือนดอกเห็ดเพื่อช่วยให้คนเรียนไม่เก่งได้ปริญญาเพื่อให้รอดพ้นจากการเป็นกรรมกร ^ ดังจะเห็นตัวอย่างได้ชัดเจนนั่นก็คือพอเราพูดแบบนี้ไป ก็มีคนที่แยกแยะระหว่างคำว่า some กับ all ไม่ได้เข้ามาแย้งเราว่า "ผมไม่เชื่อว่าจะมีคนจบวุฒิสูงๆแต่สติปัญญาต่ำๆในโลกนี้" กฎระเบียบเรื่องใบอนุญาตครูสร้างปัญหาอย่างแรงเพราะกฎระเบียบนี้มันสร้างขึ้นจากความเชื่อผิดๆที่ว่าใครจบครูต้องสอนได้ทุกอย่างและคนไม่จบครูถึงเก่งแค่ไหนก็สอนไม่ได้ (ซึ่งคนจบศึกษาศาสตร์จากมหาลัยหางแถวมันคิดขึ้นมาหลอกให้คนไทยโง่) เด็กไทยส่วนใหญ่ก็เลยไม่เก่งเพราะครูส่วนใหญ่ไม่เก่ง ลองไปอ่านกระทู้ข้างล่างอันหนึ่งดิ ขนาดครูจะสอนให้เด็กสร้าง interrogative sentences ครูก็ยังสอนไม่เป็นเลย แทนที่จะใช้จินตนาการอันสร้างสรรค์และตรรกะที่แม่นยำ ทำเรื่องง่ายๆคือ 1. นั่งคิดความเป็นไปได้ทั้งหมด (exhaust all possibilities) ที่จะ conjugate verbs (ผันกริยา) ให้มันออกมาเป็น tenses ได้ทุกรูปแบบ แล้วสังเกตดู patterns ของมัน แล้วเอาไปสอนเด็ก หรือ 2. หา textbooks ที่ฝรั่งเขียนอธิบายลำดับขั้นตอนไว้ว่าประโยคแบบไหนสร้างยังไง มาอ่าน แล้วเอาไปสอนเด็ก แต่กลับกลายเป็น "ทำงานวิจัยว่าระบบภาษาไทยกับภาษาอังกฤษมันต่างกันยังไงเด็กไทยจึงสร้าง interrogative sentences ไม่เป็น!" ^ เวรกรรม! ประเทศไทยเต็มไปด้วยคนจบวุฒิสูงๆแต่สติปัญญาต่ำๆเยอะมากๆ เมื่อวัดคุณภาพคนกันที่วุฒิการศึกษาเป็นหลักประเทศไทยถึงพัฒนาช้า ไปอ่านกระทู้ที่ว่านี้ได้ ตาม link นี้ไป http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K13040322/K13040322.html จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 09:18:50

ความคิดเห็นที่ 2 ผมคนหนึ่งหล่ะ ที่คุณภาพต่ำ อ่าน ประโยคพื้นๆ ไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่ เธอโรเกถีบเลย จากคุณ : letpost เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 09:30:24

ความคิดเห็นที่ 3 ^ ^ เรื่องที่เราพูด ใน คคห 1 หมายถึงคนที่ทำหน้าที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษอย่างน้อยๆที่สุดควรใช้เหตุผลในระดับพื้นฐานเป็นและแก้ปัญหาเรื่องการเรียนการสอนง่ายๆแบบนี้เป็น แต่คุณ letpost พูดใน คคห 2 ว่า "ผมคนหนึ่งหล่ะ ที่คุณภาพต่ำ อ่าน ประโยคพื้นๆ ไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่ เธอโรเกถีบเลย" ^ มันเป็นการใช้เหตุผลในระดับพื้นฐานที่ผิดพลาด (ใช้ false analogy) นั่นก็เพราะว่า คนจะคุณภาพต่ำหรือไม่ต่ำ มันไม่ได้วัดกันที่คนๆนั้นอ่านประโยคอังกฤษพื้นๆได้หรือไม่ เพราะคนๆนั้นอาจประกอบอาชีพอื่นที่ไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษแล้วประสบความสำเร็จก็ได้ หรือคนๆนั้นอาจแตกฉานภาษาอื่นๆอย่างเช่นภาษาจีนหรือภาษาญี่ปุ่นซึ่งก็เป็นแหล่งความรู้อันมีค่ามากๆไม่แพ้ภาษาอังกฤษก็ได้ คุณ letpost ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ใช้เหตุผลได้เลอะเลือนมากๆ แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 55 09:50:42 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 09:48:24

ความคิดเห็นที่ 4 เราขบคิดปริศนาอันหนึ่งมาหลายปีแล้ว นั่นก็คือทำไมเด็กฝรั่งที่ไม่เรียนหนังสือในโรงเรียนหรือมหาลัย ไม่มีทั้งวุฒิมัธยมหรือวุฒิปริญญาหลายๆคนกลายเป็นอัฉริยะได้...!!!??? ในขณะที่คนไทยที่เรียนจบแค่ ป.4 ก็ประสบความสำเร็จร่ำรวยได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่รวยเพราะคิดอะไรปราดเปรื่องแบบฝรั่งวุฒิต่ำๆแต่เป็นอัฉริยะ หากแต่คนไทยจบ ป.4 รวยได้เพราะรู้วิธีฮั๊วงานเวลาจัดซื้อจัดจ้าง รู้วิธีล็อคสเป็กคงาน รู้วิธียัดเงินใต้โต๊ะเพื่อทำอะไรที่คนอื่นทำไม่ได้ (เช่นเปิดบ่อนการพนัน) รู้ว่าทางการจะตัดถนนตรงไหนก็ไปซื้อที่ดินเก็งกำไรไว้ รู้ว่าบ้านเมืองตรงไหนมีทำเลทองที่จะไปตั้งของขายได้กำไรวันละหลายหมื่นบาทได้โดยไม่โดนมาเฟียหรือเทศกิจไล่ (ที่ ถ. เยาวราชมีอาหมวยคนหนึ่งขี่รถเบ็นซ์มาขายบะหมี่ข้างทาง!) แล้วตอนนี้เราได้คำตอบแล้วหละ! แปะไว้ข้างล่าง ลองอ่านดู จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 09:53:18

ความคิดเห็นที่ 5 คัดมาจาก คคห 18 ในกระทู้นี้ (เราตอบ ความคิดเห็นของ.. (Snowdust)ใน คคห 16) http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K13032090/K13032090.html เราอ่าน คคห 16 ที่บอกว่า จริงๆ มันก็ไม่แปลกนะ แล้วก็ไม่ควรถูกด่าด้วย ปัญหาคือ "ทำไมคนไทยต้องเก่งอังกฤษ" ด้วยล่ะ ในเมื่อ... ...(แล้วมาสรุปว่า)... "ไทยก็เหมือน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี นั่นแหละ แต่ต่างกันที่ประเทศเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเรียนเลยก็รุ่งได้" ^ ตรงนี้นั่นแหละที่ทำให้เราหวนคิดประเด็นหนึ่งที่เราขบคิดมาหลายปีแล้ว นั่นก็คือทำไมเด็กฝรั่งที่ไม่เรียนหนังสือในโรงเรียนหรือมหาลัย ไม่มีทั้งวุฒิมัธยมหรือวุฒิปริญญาหลายๆคนกลายเป็นอัฉริยะได้...!!!??? ในขณะที่คนไทยที่เรียนจบแค่ ป.4 ก็ประสบความสำเร็จร่ำรวยได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่รวยเพราะคิดอะไรปราดเปรื่องแบบฝรั่งวุฒิต่ำๆแต่เป็นอัฉริยะ หากแต่คนไทยจบ ป.4 รวยได้เพราะรู้วิธีฮั๊วงานเวลาจัดซื้อจัดจ้าง รู้วิธีล็อคสเป็กคงาน รู้วิธียัดเงินใต้โต๊ะเพื่อทำอะไรที่คนอื่นทำไม่ได้ (เช่นเปิดบ่อนการพนัน) รู้ว่าทางการจะตัดถนนตรงไหนก็ไปซื้อที่ดินเก็งกำไรไว้ รู้ว่าบ้านเมืองตรงไหนมีทำเลทองที่จะไปตั้งของขายได้กำไรวันละหลายหมื่นบาทได้โดยไม่โดนมาเฟียหรือเทศกิจไล่ (ที่ ถ. เยาวราชมีอาหมวยคนหนึ่งขี่รถเบ็นซ์มาขายบะหมี่ข้างทาง!) แล้วตอนนี้เราได้คำตอบแล้วหละ! Thomas Edison เรียนหนังสือที่โรงเรียนครูบอกสมองเขาสับสน แม่เลยให้ลูกเลิกเรียนหนังสือที่โรงเรียน แม่สอนเองที่บ้านโดยที่แม่หาหนังสือให้ Thomas อ่านเอง อ่านๆไปลูกกลายเป็นอัฉริยะได้ ^ ทำได้ไง? คำตอบก็คือว่าเป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วศาสตร์ต่างๆที่เป็นความรู้ลึกๆด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอื่นๆอีกหลายสาขาถูกบันทึกลงเป็น "ภาษาอังกฤษ" และสิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือว่า เราอ่านหนังสือภาษาจีนกับภาษาญี่ปุ่นที่เก่ามากถึง 200-300 ปีที่แปลเป็นอังกฤษ แล้วตกใจมากๆทึ่งมากๆกับความเป็นนักคิดระดับอัฉริยะของชาวจีนกับชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีน ซึ่งฝรั่งชื่อ Dr. Joseph Needham ซึ่งเป็น Professor ด้านจีนศึกษาของ University of Cambridge ค้นพบว่าจีนเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และอารยธรรมมานานแล้ว แต่ขบคิดปริศนาว่า "ทำไมจีนซึ่งมีความรู้ศาสตร์ต่างๆล้ำลึกเหลือเกินจึงไม่เป็นชาติมหาอำนาจไปตั้งนานแล้ว" ก็เลยลงทุนเดินทางไปศึกษาเรื่องพวกนี้ที่ประเทศจีน แล้วนำความรู้มา compile เป็นหนังสือยาวมากๆ ซึ่งมีชื่อว่า Science and Civilisation in China เราอ่าน Science and Civilisation in China แล้วเรียนรู้ว่า "คนจีนคิดค้นศาสตร์ชั้นสูงต่างๆตั้งมากมายมาได้ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีมาแล้ว และคิดว่าคนไทยไม่เคยคิดอะไรยากๆและหลักแหลมได้มากมายเช่นนั้นมาก่อนเลย!" ^ "นั่นก็หมายความว่าคนจีนไม่เรียนมหาลัยแล้วอ่านแต่ภาษาจีนให้เยอะมากๆ อาจเก่งระดับ Thomas Edison ที่ไม่เรียนมหาลัยแล้วอ่านภาษาอังกฤษให้เยอะมากๆได้เช่นกัน" แต่คนไทยต่อให้เรียนจบมหาลัยระดับสูงๆแต่ถ้าอ่านภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ได้แต่อ่านภาษาไทย จะเก่งรอบรู้แบบ Thomas Edison, Bill Gates หรือ Steve Jobs ที่ไม่จบปริญญา มันเป็นไปแทบจะไม่ได้เลย (เว้นเสียแต่จะมีเทวดามาดลใจให้เรียนรู้อะไรได้เอง) ดังนั้น กระบวนการใช้เหตุผลของเราหักล้างข้อความที่ คคห 16 ด่วนสรุปว่า "ไทยก็เหมือน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี นั่นแหละ แต่ต่างกันที่ประเทศเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเรียนเลยก็รุ่งได้" ^ คำว่า "ไม่จำเป็นต้องเรียน" ตามบริบทคุณหมายถึง "ไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาอังกฤษ" นะ เมื่อคุณพูดเช่นนี้นะ เราขอบอกได้เลยว่า "มันไม่เหมือนกันหรอก"  แต่จริงๆแล้ว "มันต่างกันลิบลับเลย" ^ เรื่องเกาหลีเราไม่รู้ แต่จีนกับญี่ปุ่นมีแหล่งขุมทรัพย์ของความรู้ในศาสตร์ต่างๆบันทึกไว้เป็นภาษาจีนกับภาษาญี่ปุ่นมากพอที่จะพัฒนาประเทศพวกเขาได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องอาศัยภาษาอังกฤษ ในขณะที่ไทยไม่มีขุมทรัพย์ทางปัญญามากขนาดนั้่นบันทึกไว้เป็นภาษาไทย สรุป หากประเทศไทยต้องการพัฒนาด้าน Science and Civilisation ให้ทันจีนกับญี่ปุ่นนะ ต่อให้ไทยพัฒนาไปอีก 100 ปีก็ตามพวกเขาไม่ทันหรอก ถ้าไม่รู้ภาษาอังกฤษ! *****ในขณะนี้ความรู้ภาษาอังกฤษจะช่วยให้คนไทยเข้าถึงขุมทรัพย์ทางปัญญาได้ง่ายๆ***** ดังนั้นความรู้ภาษาอังกฤษจึงจำเป็นมากๆสำหรับการพัฒนาประเทศไทย! จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 09:57:08

ความคิดเห็นที่ 6 จะสูงศักดิ์อัครฐานสักปานใด จะวิไลเลิศฟ้าสง่าศรี จะเก่งกาจฉลาดกล้าปัญญาดี หากไม่มี "คุณธรรม" ก็ "ต่ำคน" ดิฉันมักสอนนักเรียนด้วยบทกลอนบทนี้เสมอ พร้อมกับบอกว่าอย่าทำตัวเป็น "วัวลืมตีน" เพราะคนเราสมัยนี้ "เก่ง" แต่ไร้คุณธรรม มีเยอะมากในสังคม ซึ่งคนเก่งๆ พวกนี้ มันไม่มีประโยชน์ต่อสังคมเลย เกิดเป็นคน ต้องรู้จักเอื้ออาทรต่อผู้อื่น เพราะมันบ่งบอกถึงการถูกการขัดเกลาจาก "ภายในจิตใจ" เพราะสมัยนี้จะเก่งแต่ความรู้อย่างเดียว แต่เข้ากับคนอื่นไม่ได้ อยู่ไหนสังคมก็รังเกียจ มีแต่คนเอือมระอา เก่งแบบนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ต่อสังคม.. ครูต่างประเทศ เขาต้องทำเอกสาร ขอยกตัวอย่างสักส่วนนึงนะคะ แฟ้มสะสมผลงานครู แฟ้มสะสมผลงานนักเรียน คำสั่งแต่งตั้งใหปฏิบัติงาน บันทักการติดตามแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียน สถิติการปฏิบัติงาน แบบรายงานการเข้าสอน โล่/เกียรติบัตร/รางวัล ทะเบียนประวัติครู ภาพกิจกรรมการจัดการเรียนการสอน/ การมีส่วนร่วมกับชุมชน รายงานการเยี่ยมบ้าน รายงานการไปทัศนศึกษาภายในและ นอกสถานศึกษา รายงานการแข่งขันกีฬาภายในและนอกสถานศึกษา รายงานการประชุมผู้ปกครอง แผนการจัดการเรียนรู้ ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ รายงานการประชุม/อบรม/สัมมนา/ศึกษาดูงาน รายงานการปฏิบัติงานประจำปี แผนกลยุทธ์ แผนปฏิบัติการประจำปี หลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตร ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ แบบประเมินความพึงพอใจ ปฏิทินการปฏิบัติงานประจำปี แบบประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำและใช้หลักสูตรสถานศึกษา โครงงานนักเรียน ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ แฟ้มข้อมูลนักเรียนรายบุคคล บันทึกการใช้แหล่งเรียนรู้ภายในและภายนอกสถานศึกษา ข้อมูลการวิเคราะห์ข้อสอบ แบบนิเทศการจัดการเรียนการสอน แบบบันทึกการสอนซ่อมเสริม งานวิจัยในชั้นเรียน ทะเบียนคุมสื่อ โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา รายงานการประชุม รายงานผลการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ฯลฯ พวกนี้ด้วยหรือเปล่า สำหรับครูในประเทศไทยนั้น นี่เป็นเพียงแค่เอกสารเล้กน้อย ที่ต้องทำ ทุกๆ เดือน ทุกๆ เทอม ทุกๆ ปี ค่ะ และโรงเรียน 80% ทั้งหมดของประเทศมีครูอยู่เฉลี่ย 10-20 คน กับการสอนนักเรียนทั้งวัน ...สังคมคิดว่า ครูจะทำได้ดีแค่ไหนคะ ซึ่งมันไม่ใช่แค่ทำช่วงเวลานึง มันต้องทำจนกว่าจะอายุ 60 ปี กระทรวงศึกษาตอนนี้ก็เปลี่ยนไปตามการเมือง ครูก็เปลี่ยนสีไม่ทัน เพราะไม่ใช่จิ้งจก 3 ปี เปลี่ยนรัฐมนตรี 3-4 คน เปลี่ยนนโยบายตลอด ไม่รู้ว่า 30 ปี การศึกาาไทยจะนิ่งหรือเปล่า "ครู" อย่างเราๆ ก็ทำได้แค่ทำตามนโยบาย ที่ระบุไว้ในกฎหมาย ว่าต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา สังคมยิ่งอยู่ยากขึ้นทุกวัน การเปรียบเทียบเรากับบุคคลอื่นนั้น ต้องดูด้วยว่า ภาระงานมันเหมือนกันไหม ความรับผิดชอบในตัวเด็ก ก่อนเด็กเข้าเรียนพ่อแม่ผู้ปกครองเคยฝึกฝนเขามาไหม หรือปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของครู อยู่บ้านพ่อแม่ตามใจ ใครว่าอะไรไม่ได้ พอมาอยู่โรงเรียนก็มีปัญหากับเพื่อนเพราะเอาแต่ใจ ไม่มีใครคบ ก็เป็นปัญหาของครู ที่ไม่สามารถแก้สัน.... ที่พ่อกับแม่ฝึกให้ติดตัวมาจนแก้ไม่หายไม่ได้หรือเปล่า ครูพยายามบอกผู้ปกครองว่า ลุกสาวมีรอยมดกัดที่คอเต็มไปหมด ซึ่งขนาดปากของตัวมด ดูจากรอยแล้ว น่าจะใหญ่เท่าปากคน ให้ผู้ปกครองช่วยเช็คดูความสะอาดในห้องนอนหน่อย ว่ามีมดมั้ย?? เพราะนานๆ ไป ผลข้างเคียงจากการถูกมดกัด มันจะเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรได้ สุดท้าย.. สังคม ผู้ปกครอง มักมาโทษครูเสมอ ว่าไม่ดูแลลูกเขาให้ดี จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 10:25:44

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องภาษาครับ แต่ตามที่เข้าใจต้องดูด้วยว่าแล้วของไทยองค์ความรู้ต่างๆ ถูกบันทึกด้วยภาษาอะไร ถ้าเชื่อตามหนังช่อง ThaiPBS อำแดงเหมือนกับนายริศ http://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาไทย http://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาสันสกฤต http://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาบาลี -------------------------------------------------- สำหรับผลของ สสวท ตามลิงค์ข้าง จขกท (ของ ม.2) เฉลี่ยทั้งประเทศ วิชาคณิตศาสตร์ 427 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 28 วิชาวิทยาศาสตร์ 451 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 25 "นายปรีชาญ กล่าวต่อว่า... จำแนกตามรายสังกัด พบว่า โรงเรียนสาธิตมีคะแนนเฉลี่ย วิชาคณิตศาสตร์ 554 คะแนน ลดลงจากปี 2007 ซึ่งได้ 600 คะแนน วิชาวิทยาศาสตร์ 552 คะแนน ลดลงจากปี 2007 ซึ่งได้ 606 คะแนน แต่ทั้งสองวิชาก็ยังมีคะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติซึ่งอยู่ที่ 500 คะแนน ส่วนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีคะแนนเฉลี่ย วิชาคณิตศาสตร์ 440 คะแนน ลดลงจากปี 2007 ซึ่งได้ 445 คะแนน วิชาวิทยาศาสตร์ 464 คะแนน ลดลงจากปี 2007 ซึ่งได้ 474 คะแนน สังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) วิชาคณิตศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ย 433 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปี 2007 ซึ่งได้ 381 คะแนน วิชาวิทยาศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ย 457 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปี 2007 ซึ่งได้ 424 คะแนน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) วิชาคณิตศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ย 424 คะแนน ลดลงจากปี 2007 ซึ่งได้ 474 คะแนน วิชาวิทยาศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ย 450 คะแนน ลดลงจากปี 2007 ซึ่งได้ 501 คะแนน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) วิชาคณิตศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ย 419 คะแนน ลดลงจากปี 2007 ซึ่งได้ 504 คะแนน วิชาวิทยาศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ย 441 คะแนนลดลงจากปี 2007 ซึ่งได้ 528 คะแนน -------------------------------------------------- แปลกมากเลยที่ สังกัดเอกชนทำไมคะแนนถึงน้อยกว่าของ อปท สพฐ และ กทม ผมสงสัยว่าข้อมูลจัดเก็บมาถูกต้องหรือไม่? ส่วนถ้าดู รร สาธิต จะพบว่า สูงว่าเกณฑ์เฉลี่ยของนานาชาติ โดยรวมแล้วผมมองว่า การศึกษาไทยชอบที่จัด รร เฉพาะ รร พิเศษ เพื่ออะไรที่พิเศษๆ แล้วทุกคนก็ทิ้งอะไรที่ไม่พิเศษไปหมด ผมเสนอให้ยกเลิกให้หมดครับไอ้พวกพิเศษๆ ทั้งหลาย ถ้าอยากจะทำ ให้ไปทำในระบบ รร ปกติ ให้ดีทั้งระบบ เป็นมานานแล้วครับ ประเทศนี้ ชอบตั้ง รร พิเศษ หลักสูตรพิเศษ สำหรับคนพิเศษ จากคุณ : รร ไม่พิเศษ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 10:40:42 A:124.122.244.214 X: TicketID:353833

ความคิดเห็นที่ 8 ผมตลกมากเลยที่คนไทยมาภาคภูมิใจอะไรกับเด็กๆ ที่ต้องเรียนพิเศษ หรือเรียนก่อนวัย เพื่อที่จะมีความภูมิใจที่ทำคะแนนได้มากกว่าเด็กในรุ่นเดียวกัน อันที่จริงคิดว่าเด็กโดยทั้วไป IQ หรือความฉลาดไม่ได้ห่างกันมาก มันแล้วแต่ว่าใครจะเข้าถึงอะไรมากกว่ากัน (ความรู้ ทักษะ) จะว่าไปแล้ว ถ้าโภชนาการดี โอกาสในการศึกษามีเท่าๆ กัน ผมว่ามันไม่ต่างกันมากหรอกครับ จากคุณ : รร ไม่พิเศษ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 10:50:49 A:124.122.244.214 X: TicketID:353833

ความคิดเห็นที่ 9 ตอบ คคห 6 ของคุณ ][NuUnAn-- ที่ว่า "คนเราสมัยนี้ "เก่ง" แต่ไร้คุณธรรม มีเยอะมากในสังคม" ^ คำพูดแบบนี้บ่งบอกได้ชัดเจนว่าคุณใช้ lame logic (ตรรกะพิการ) นั่นก็เพราะคุณยังไม่คิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด นั่นก็คือว่า มันก็มีความเป็นไปได้พอๆกันนั่นแหละที่ว่า "คนเราสมัยนี้ "ไม่เก่ง" แล้วก็ "ไร้คุณธรรมอีกด้วย" มีเยอะมากในสังคม" แต่การเลือกครูมาสอนเด็กนั้นต่อให้ครูมีคุณธรรมมากแค่ไหนก็ตามแต่ถ้าครูไม่เก่ง เพราะเรียนไม่เก่งแล้วต้องไปเรียนมหาลัยระดับปลายแถว (เพื่อให้ได้ปริญญาเพื่อจะได้รอดพ้นจากการเป็นกรรมกร) แล้วจบออกมาสอนเด็ก มันต้องมีผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศชาติอย่างแน่นอน! เพราะระบบการคัดเลือกครูในปัจจุบันนี้มันผิดเพี้ยน นั่นเอง! ส่วนการอ้างว่าครูไทยสอนไม่ดีเป็นเพราะต้องทำงานเอกสารเยอะ มันก็เป็นการใช้ lame logic (ตรรกะพิการ)พอๆกันนั่นแหละ เพราะว่า "ครูที่จบจากมหาลัยปลายแถว ยกตัวอย่างเช่นจบศึกษาศาสตร์เอกการสอนภาษาอังกฤษ ถ้า ฟัง พูด อ่าน เขียนอังกฤษไม่กระดิกหูเลย ต่อให้ไม่มีงานเอกสารใดๆต้องทำ จะสอนให้เด็กฟัง พูด อ่าน เขียน อังกฤษได้รู้เรื่องเท่าครูที่เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษโดยไม่เรียนจบศึกษาศาตร์มา มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วหละ" คุณจะพูดชักแม่น้ำทั้งห้ามาอย่างไรก็ตาม แต่คุณก็ไม่มีทางหักล้างความจริงได้ว่า คนที่เรียนไม่เก่งด้านวิชาการในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างประเทศอังกฤษ ไม่เรียนปริญญา แต่ไปทำงานกรรมกรก่อสร้างก็รวยได้ เพราะค่าแรงกรรมกรก่อสร้างในประเทศอังกฤษแพงลิบลิ่ว เศรษฐีใหม่ในประเทศอังกฤษส่วนใหญ่มาจากคนเรียนไม่จบปริญญาแล้วทำงานกรรมกรก่อสร้าง แต่คนเรียนไม่เก่งในเมืองไทยโชคไม่ดี ทำงานกรรกรได้เงินไม่เยอะ เลยต้องไปเรียนเอาปริญญาจากมหาลัยปลายแถว และคนไม่เก่งพวกนี้ส่วนใหญ๋เรียนศึกษาศาสตร์จากมหาลัยปลายแถว การที่เราเถียงกับคุณ ][NuUnAn-- ซึ่งน่าจะจบปริญญาด้านศึกษาศาสตร์มาและเป็นครูนั้น (ดูข้อมูลคุณในกระทู้เก่าๆ) เราใช้แค่ความรู้แค่ระดับมัธยมเอง ซึ่งเราเรียนจากโรงเรียนมัธยมในประเทศอังกฤษ และเราใช้ประสบการณ์จากการทำงานเป็นกรรมกรในประเทศอังกฤษเท่านั้นเอง เพื่อมาเถียงกับคุณ เราเชื่อว่าคนจบปริญญาเอกจากมหาลัยระดับหางแถวในประเทศไทย หลายๆคนโง่กว่ากรรมกรก่อสร้างในประเทศอังกฤษ เราถึงกล้าโต้วาทีกับคุณ แล้วเราก็มั่นใจ 1000% ด้วยว่าคุณไม่มีทางชนะเราเว้นเสียแต่ว่าคุณจะมีพวกแห่เข้ามารุมเล่นงานเราด้วย fallacy (ทุตรรกบท) ที่เรียกว่า poisoning the well (ตีปลาหน้าไซ) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นักการเมืองในประเทศด้อยพัฒนาใช้กัน คือแทนที่จะเถียงกันด้วยเหตุผล แต่กลายเป็น discredit ฝ่ายตรงกันข้าม กระทู้เดิมที่เราตั้ง proposition บอกว่า "กฎระเบียบเรื่องใบอนุญาตครูสร้างปัญหาให้แก่ประเทศไทยอย่างแรง เพราะเป็นการปกป้องครูที่ไม่เก่ง ไม่ให้โดนคนเก่งๆแย่งงาน" ฝ่ายค้านเราโต้วาทีด้วย poisoning the well  แบบนี้ คือการ discredit เราแบบนี้ ม่าเป็นชุดเลยหละ! 1. คุณชั่วร้ายมากที่ต่อต้านกฎระเบียบครู คุณไม่สมควรเป็นครู 2. คนไม่มีปริญญาแล้วจะมาแสดงความคิดเห็นด้านการศึกษาได้ยังไงกัน 3. คุณแก่เกินไปที่จะเป็นครู 4. พิมพ์แค่นี้ยังสะกดผิดเลย แล้วสะเออะมาเถียง และอื่นๆที่ตลกๆ อีกมากมาย อันนี้ก็ตลก ฝ่ายตรงข้ามเรารายหนึ่งบอกว่า "ในฐานะที่เรียนคณะศึกษาศาสตร์นะคะ ขอบอกได้เลยว่าถ้าคนที่ไม่ได้เรียนศึกษาศาสตร์มาสอนหนังสือได้ ก็ให้ยุบคณะศึกษาศาสตร์ซะ" ^ มันเป็น lame logic อย่างแรงมากๆ เขียนเป็น syllogism ได้แบบนี้ premiss 1: คณะศึกษาศาสตร์ผลิตครู (แต่ก็ไม่แน่นะ อาจผลิตนักวิชาการด้านการศึกษาก็ได้) premiss 2: คนไม่จบศึกษาศาสตร์สอนหนังสือได้ conclusion: ให้ยุบคณะศึกษาศาสตร์เสีย ^ ตลกดีเรียนมหาลัยไหนเนี่ย ถึงใช้เหตุผลแบบนี้ แล้วทำไมไม่คิดล่ะว่า คนจบศึกษาศาสตร์หรือครุศาสตร์จากมหาลัยดีๆก็สอนหนังสือได้ (มีแต่จบจากมหาลัยปลายแถวเท่านั้นที่สอนแล้วมีปัญหา) และคนจบศึกษาศาสตร์ก็เป็นนักวิชาการด้านการศึกษาได้ ซึ่งทำงานร่วมกับครูเก่งๆที่ไม่จบศึกษาศาสตร์ได้ แล้วมันจะสรุปว่าต้องยุบคณะศึกษาศาสตร์ไปได้ยังไงกันเนี่ย คนเรียนศึกษาศาสตร์เพื่อที่จะออกมาเป็นครูใช้เหตุผลแบบนี้จริงๆหรือ...!!!?? "ถ้าไม่บอกว่าคิดได้ไง่กว่ากรรมกรก่อสร้างในประเทศที่เจริญแล้วจริงๆ แล้วเราจะพูดว่าไงดีล่ะ?" พอเราโต้กลับไปโดยการชี้ให้เห็นว่าเป็นการใช้เหตุผลที่ผิดๆอย่างแรงถึงขั้น lame logic (ตรรกะพิการ) ฝ่ายตรงข้ามใช้ fallacies 2 อันคือ Ad Misericordiam (เรียกคะแนนความสงสาร) กับ poisoning the well  (ตีปลาหน้าไซ) โดยการโต้ตอบกับเราว่า "คนอวดฉลาดแล้วดูถูกคนอื่นว่าโง่ ไม่สมควรเป็นครู ถ้าผมมีลูกผมไม่ส่งลูกไปเรียนด้วย" ^ ลองคิดดูว่าการโต้วาทีในญัตติที่สำคัญระดับชาติ ถ้าเราต้องมานั่งอธิบายว่าฝ่ายตรงข้ามเราใช้เหตุผลผิดๆ ให้คนอ่านไม่หลงเข้าใจผิด "มันเสียเวลาเรา" เราจึงประกาศยอมแพ้ในกระทู้นั้น แต่ขอให้รู้ด้วยว่าคนที่แพ้จริงๆนั้นไม่ใช่เรา เพราะเรายอมแพ้จากกระทู้แต่ไปทำงานแปลเอกสารได้เงินตั้งมากมายจะดีกว่า "แต่คนที่แพ้จริงๆนั้นเด็กไทยที่โดนระบบการศึกษาแบบไทยๆกับโดนครูหลายๆคนในระบบที่ไม่เก่ง สอนให้ใช้เหตุผลในระดับพื้นฐานไม่เป็นนั่นเอง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศชาติอย่างแน่นอน!" แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 55 12:14:26 แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 55 12:11:12 แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 55 11:38:39 แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 55 11:33:00 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 11:31:30

ความคิดเห็นที่ 10 นาน ๆ แวะมาอ่านทีก็ให้รู้สึกว่า คนที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวในตนอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น แต่ก่อนเคยเอาจักรวาลมาหมุนรอบตนเองอย่างไร ก็ยังคงไว้แบบนั้น หุหุหุ เสียเวลาจริง ๆ จากคุณ : นักแปลผู้แพ้อาหารทะเล เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 14:11:43

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยกับคุณ ][NuUnAn--   ที่สำคัญหลักสูตรการเรียนการสอนที่กลับไปกลับมา หนังสือเรียนที่เปลี่ยนตลอดเวลา นักการเมืองมีบทบาทมากเกินไป การศึกษาเลยไม่นิ่งซักที เปลี่ยนรัฐมนตรีเปลี่ยนนโยบาย เป็นกำลังใจครับ งานโรงเรียนไม่ได้มีแต่สอนหนังสือ ยี่สิบกว่าคาบ งานเอกสาร แม้แต่การสอบราคาก่อสร้าง คุมงานก่อสร้าง สังคม กิจกรรม การประเมินจากภายนอก อีกต่างๆ มากมาย ซึ่งต้องทำควบคู่กันไป ผมนับถือครูจริงๆ ครับ ที่มีความอดทน สำหรับผมเด็กจะดีจะเก่งต้องเริ่มที่บ้านแล้วมาโรงเรียน ไม่ใช่ผลักภาระทั้งหมด เด็กบางคนผู้ปกครองไม่เคยสนใจด้วยซ้ำ ที่สำคัญนโยบายห้ามเด็กตก ห้ามเด็กติดศูนย์ นี่สำคัญจริงๆ แม้แต่เด็กอ่านไม่ได้ยังต้องให้เลื่อนชั้น ไม่เช่นนั้นเข้าห้องเย็น และคงเป็นปัญหาอย่างนี้ต่อไป ตราบใดที่เราเอาใครก็ไม่รู้มาเป็นรัฐมนตรี แบ่งกันตามเก้าอี้ ส.ส. ซึ่งไม่ได้มีความรู้ความสามารถเลย ผู้บริหารต้องการแค่ผลสัมฤทธิ์ที่ดีเท่านั้น   ส่วน คห. อื่นผมอ่านหลายครั้งแล้วประเด็นเดิมๆ เหมือนก๊อปมาวาง อย่าใส่ใจเลยครับ  วนอยู่ในอ่าง จักรวาลที่่มีแต่ ... ผู้เดียว ไม่เคยสัมผัสจริงๆ   ปล. ผมเป็นนักศึกษานะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าผมเป็นครู คงไม่ได้เก่งกาจเช่นกรรมกรเมืองนอก ผมคนเรียนไม่เก่งเลยต้องเรียนอยู่เรื่อยไป ผมนับถือคนที่ผลงานความเสียสละครับ จากคุณ : TARASIN เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 14:39:35

ความคิดเห็นที่ 12 บ้านเราต้องให้ออกแบบการศึกษษในระบบ แบบ ง่ายๆ ก่อนครับ แค่ให้เด็ก สมัยนี้อ่านออก ก็ ยากแล้วครับ จะเอาคุณภาพจากเด็กได้ไงหว่าาา คือต้องพัฒนาที่พื้นฐานตามแบบที่ในหลวงทรงพูดถึงน่ะครับ แต่ในใจมานึกดูอีกที คนเก่งๆ เราก็ ถูกตูดไปอเมริกา 30-40 % เยอะนะครับ ไปทำธุรกิจที่โน่ กลับมารุ่นลูก ไม่มีใครพูดไทยซักคนเหอๆๆๆ แปลศัพเราก็มีคนทำได้หลายคนแล้ว หรือพูด ที่ทำได้ ก็ ในกรุงเทพแหละครับ จะเอามาตรฐานนี้ไปวัด กะตจว ไม่ได้ครับ เค้าต้องมีกรอบไห้เด็กฝึกนอกเวลาด้วยครับ เดี๋ยว นี้อิทธิพล คอมพิวเตอร์เยอะมาก จะไห้เปะๆๆ เหมือนรุ่นเราคงไม่ได้หรอกครับ จิตวิญญาณ ครูรุ่นไหม่น้อยลงครับ จากปัจจัยหลายๆด้าน คนเก่ง ไม่อยากเป็นครูบ้าง ถูกดูดสมองไปบ้าง เป็นส่วนใหญ๋ครับ จากคุณ : Mr Postman เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 17:06:16 A:110.169.208.24 X: TicketID:384122

ความคิดเห็นที่ 13 คุณนักแปลผู้แพ้อาหารทะเล จะพาดพิงถึงใครก็ทำใจกล้าๆระบุชื่อมาเลย คุณเคยโม้ทับเด็กอักษรศาสตร์จุฬาว่าแปลไม่ดีเท่าคุณ คุณคัดเลือกพวกเขามาทำงานแปล แล้วไม่พอใจเลยไล่กลับบ้าน จากนั้นก็เที่ยวได้พาดพิงถึงเราถึงคุณ K.Senior พอเขาโต้ตอบคุณก็หดหัวไป ถ้าคุณอยากโต้วาทีกับเราจะเปิดกระทู้ใหม่ หรืออยากดวลกับเด็กอักษรศาสตร์จุฬาที่อายุ 30 ต้นๆแปลไทยเป็นอังกฤษแล้วคำแปลภาษาอังกฤษเหมือนฝรั่งเจ้าของภาษาเขียน (ซึ่งเก่งกว่าคุณหลายเท่่า) ก็ได้นะ เราจะไปตามตัวมาให้คุณลองทดสอบดู เรารู้ว่าคุณโม้มาหลายกระทู้แล้วเรื่องความเก่งกาจในด้านภาษาอังกฤษและการแปลของคุณ แต่คุณพลาดท่าแปลไทยเป็นอังกฤษครั้งหนึ่งแล้วเราเห็น syntactic errors in the writing of second language learners (เขียนอังกฤษเพี้ยนๆเป็นอังกฤษแบบไทยๆ) ของคุณ เราถึงคิดว่าคุณต่างหากล่ะ ที่ "เอาจักรวาลมาหมุนรอบตนเองอย่างไร ก็ยังคงไว้แบบนั้น" คุณกล้าท้าดวลเรื่องการแปลไหมล่ะ ส่วนเรากล้าท้าดวลทั้งเรื่องการแปลและเรื่องการสอนภาษาอังกฤษ ถ้าเราไม่รู้ว่าครูสอนภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกหู (แต่กฎระเบียบเรื่องใบอนุญาตครูทำให้พวกเขาได้งานทำ) และเราไม่รอบรู้จริงพอที่จะโต้วาทีกันเรื่องการสอนภาษาอังกฤษโดยโต้กับครูพวกนี้เป็นภาษาอังกฤษ  เราจะไม่กล้าพูดแบบนี้หรอก ตกลงคุณจะไปเปิดกระทู้โต้วาทีกับเราเป็นภาษาอังกฤษหรือจะหดหัวอีก เหมือนที่หดหัวตอนคุณ K.Senior เขาโต้ตอบคุณ? จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 21:47:50

ความคิดเห็นที่ 14 อืม อยากจะให้คห.9ซัก100give จากคุณ : BonaPart เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 21:53:23

ความคิดเห็นที่ 15 ตอบ คคก 11 คุณกำลังใช้ fallacy ที่มีชื่อว่า  Ad Misericordiam (เรียกคะแนนความสงสาร) ประเด็นหลักไม่ใช่อยู่ที่ "ครูมีความอดทนน่าสงสารหรือไม่" แต่ประเด็นหลักอยู่ที่ "ระบบการศึกษาไทยคัดเลือกครูด้วยวิธีการที่ผิดๆ" ถ้าคุณจะสงสารครูควรสงสารด้วยการคิดว่า "สังคมไทยน่าจะสงสารกรรมกร และให้ค่าแรงเขาสูงๆมากว่านี้นะ คนเรียนไม่เก่งก็จะได้ไม่ต้องมาเป็นครู แต่เป็นกรรมกรที่ดี เพราะกรรมกรเก่งๆพัฒนาประเทศชาติได้ดีกว่า แต่ครูที่ไม่เก่งทำให้ประเทศชาติล้าหลัง เท่านั้นไม่พอ ครูที่ไม่เก่งก็ได้แต่แก้ตัวกันแบบใช้ lame logic (ตรรกะพิการ) เพื่อเชิดชูสถานภาพของพวกเขา เช่นมีงานเอกสารต้องทำมากเลยสอนไม่ได้ดี บล๊าบๆๆๆ...ก็บอกแล้วไงล่ะว่า ความรู้บางอย่างอย่างเช่นครูสอนภาษาอังกฤษทักษะพื้นฐานคือ ฟัง พูด อ่าน เขียน ถ้าคุณได้ใบอนุญาตครูมาโดยไม่กระดิกหูเรื่องทักษะพวกนี้เลย ต่อให้ไม่มีงานเอกสารคุณก็สอนเด็กให้ ฟัง พูด อ่าน เขียนอังกฤษในระดับพื้นฐานไม่ได้" คนที่ให้ gifts คุณน่ะ สมองระดับเดียวกับคุณ นั่นก็คือใช้ lame logic (ตรรกะพิการ)! แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 55 22:01:15 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 21:53:40

ความคิดเห็นที่ 16 อุ้ย ฟาดงวงฟาดงาไปเรื่อยนะคนเรา ที่สำคัญ ผมกับคุณ K.Seniors เนี่ยนะ ผมว่าคนเสี้ยมละมัง ที่ Logic ผิดพลาด อืม หากคิดว่าเรื่องงานที่ผมเคยเล่าไม่จริง ก็ไม่ต้องเชื่อครับ แต่คนในห้องนี้หลายคน ทำงานร่วมกับเราในงานนั้น เขาก็รู้เหมือนกันกับอย่างที่ผมเห็น ว่าแต่ คุณยอมรับหรือ ว่าผมว่าคุณ ? เพราะผมยังไม่ทราบเลยว่าผมว่าคุณ ? อีกอย่างนะ เห็นว่าเรื่องระบบการศึกษาไทยตลอด แล้วเหตุใดต้องอ้างคนนั้นคนนี้ในสถาบันการศึกษาใหญ่ ๆ ด้วยละครับ ไปนะครับ ไม่เข้ามาละ เบื่อ ^_^ จากคุณ : นักแปลผู้แพ้อาหารทะเล เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 22:44:16

ความคิดเห็นที่ 17 คห. 15 สมองความรู้ระดับผมเป็นยังไงเหรอครับ ผมเพิ่งไปนำเสนอผลงานวิชาการระดับประเทศ ที่ ม.เกษตร วิทยาเขตกำแพงแสน เมื่อวันที่ 7 ที่ผ่านมา สงสัยสมองผมไม่ดีนะครับที่เขารับงานของผมไปตีพิมพ์ ส่วนของคุณเห็นวนอยู่แต่เรื่องเดิมๆ ถ้าคุณบอกผมว่า ตรรกะผมพิการ บอกตรงๆ ผมสงสารคุณเช่นกัน ที่ชีวิตมีปมกับครู จากที่ผมเห็นมาเรื่องนี้คงเป็นปมในชีวิตคุณมานาน บอกตรงๆ น่าสงสารครับ ส่วนเรื่องที่บอกว่าคัดเลือกครูโดยการใช้วิธีที่ผิด ผมว่าถ้าคุณไปสอบบรรจุคุณสอบไม่ผ่านด้วยซ้ำอย่าว่าแต่ขึ้นบัญชี คุณไม่เคยเห็นด้วยซ้ำว่าวงการครูเป็นอย่างไร มีเบื้องหลังมากแค่ใหน ครูไม่สามารถทำตามที่ตัวเองคิดได้เพราะโดนบังคับจากผู้บริหารอีกทีนึง ชีวิตจริงไม่ได้สวยงามเช่นละครหลังข่าวนะครับ อย่าคิดว่านะครับ ต้องหา Ref. มาสนับสนุนด้วย ผมพูดในฐานะคนที่เคยสอนพิเศษเด็กมาก่อน และมีเพื่อนวงการนี้มากมาย ทราบดีว่าความสามารถของแต่ละคนมีมากแค่ใหน อีกอย่างนึงครูภาษาอังกฤษที่ภูเก็ตคงไม่กระจอกอย่างที่คุณคิดนะครับ ปล. ผมบอกแล้วว่าผมนักศึกษาไม่ใช่ครู และผมตั้งใจนะนำข้อความที่คุณว่าผมตรรกพิการไปให้อาจารย์และรุ่นน้องผมอ่านนะครับ บอกตรงๆ ผมอ่านแล้วอมยิ้มเลย อยากให้ทุกคนได้รู้จักคนที่บอกว่าตัวเองเก่งมากๆ เช่นคุณครับ อาจารย์ผมที่จบ MIT ยังไม่เคยบอกเลยว่าตัวเองเก่ง นับถือๆ จากคุณ : TARASIN เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 08:23:49

ความคิดเห็นที่ 18 ไม่เข้าใจหัวข้อกระทู้แฮะ จากคุณ : แพะภูเขาเจ้าเล่ห์ เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 17:46:15

ความคิดเห็นที่ 19 ตอบ คคห 17 ที่คุณบอกว่า "ผมว่าถ้าคุณไปสอบบรรจุคุณสอบไม่ผ่านด้วยซ้ำอย่าว่าแต่ขึ้นบัญชี" ^ ตรรกะคุณพิการจริงๆด้วย ถ้าคุณหรือคนอื่นๆสอบบรรจุครูผ่านก็ไม่ได้แสดงว่าพวกเขาเก่งการสอนภาษาอังกฤษเสมอไป เพราะการเรียนศึกษาศาสตร์หรือสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูผ่านไม่ได้แปลว่ารู้ภาษาอังกฤษดีพอที่จะสอนได้ เราทำงานด้านภาษาอังกฤษ (แปลเอกสาร) ทำงานแค่ 10 กว่าวันได้เงินมากกว่าเงินเดือนครูในระบบทำงานตั้งหลายเดือนเพราะเราหางานจากความสามารถจริงๆ โดยการเขียนภาษาอังกฤษให้ลูกค้าที่เป็นเจ้าของภาษาอ่านแล้วพอใจ  ไม่ใช่่มีแต่เศษกระดาษใบหนึ่งแต่ไม่รู้ภาษาอังกฤษแล้วได้ใบอนุญาตครูไปสอนเด็กให้โง่อังกฤษ เราไม่มีปมด้อยกับอาชีพครู เพียงแต่รำคาญที่พวกเขาได้รับการคัดเลือกมาด้วยวิธีการที่ผิดๆ แล้วปกป้องตนเองไม่พยามยอมรับความจริงว่า "ไม่รู้ภาษาอังกฤษ แต่ไปสอนนักเรียนผิดๆถูกๆ" รำคาญที่พวกเขาปกป้องตนเองโดยไม่คำนึงถึงประเทศชาติ การมีคนยอมรับงานคุณไปตีพิมพ์ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับการแสดงความคิดเห็นของคุณแบบตรรกะพิการในเรื่องระบบการคัดเลือกครูที่คัดเลือกผิดๆ การอ้างงานตีพิมพ์ของคุณก็ยิ่งเป็นการเน้นว่าคุณมีระบบตรรกะทีพิการอย่างแน่นอน คุณอย่าอวดฉลาดเรื่องงัดประเด็นว่่าเราสอบบรรจุครูไม่ผ่าน ถ้าอยากพิสูจน์ของจริงเรามาท้าดวลกันให้ครูสอนภาษาอังกฤษที่สอบผ่านบรรจุครูไปพูดเขียนอังกฤษให้ฝรั่งเจ้าของภาษาฟังแข่งกับเราตัดสินกันดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขียน thesis เป็นภาษาอังกฤษเรื่อง Teaching English to Speakers of Other Languages แข่งกับเรา แล้วส่งให้คณาจารย์ด้านนี้ใน University of Cambridge ให้คะแนนแข่งกัน มันจะเห็นชัดกว่า ไปแข่งกันสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูซึ่งเป็นข้อผิดพลาดของระบบการศึกษาไทย สรุปแล้วคุณคิดด้วยสมองที่ตรรกะพิการจริงๆนั่นแหละ และคนให้ gift คุณก็สมองใช้ตรรกะที่พิการเหมือนๆกัน น่าสงสารประเทศชาติมากๆนะ ที่มีคนอย่างพวกคุณอยู่ในระบบการศึกษา ลองไปอ่านกระทู้นี้ดิ ที่มีคนมาแปะ มันเป็นตัวอย่างของครูสอนภาษาอังกฤษที่ไม่มีความรู้ภาษาอังกฤษ แต่ได้รับการคัดเลือกด้วยวิธีการที่ผิดๆ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K13068531/K13068531.html แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 55 12:25:41 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 12:16:20

ความคิดเห็นที่ 20 คห. 19 ครับ ผมนึกว่าจะหายไปซะอีกคิดถึงจังครับ อยากบอกว่าทุกคนทั้งอาจารย์ รุ่นน้อง เจ้าหน้าที่ ที่ผมให้อ่านข้อความที่คุณบอกว่าผมตรรกะพิการ ทุกคนอมยิ้มครับ ต้องขอบคุณท่านนะครับที่ทำให้ทุกคนมีความสุข หลักจากที่เราทำวิจัยคร่ำเครียดกันมานาน จักรวาลมันกว้างจะครับ เสียดายจริงๆ ที่ผมไม่ได้เรียนภาษามาโดยตรงเลยไม่เก่งเท่าไร ไม่งั้นผมนี่ล่ะครับจะลงแข่งกับท่านเอง งั้นผมฝากอ่านกระทู้นี้นะครับ เผื่อคนเก่งแบบท่านจะคิดอะไรได้บ้าง http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X13054018/X13054018.html ส่วนคนที่ให้กิ๊ฟผมผมยินดีครับที่เขามีสมองพอๆกับผม แต่ถ้าให้กิ๊ฟคุณนี่ไม่อยากคิดเลยครับ อีกอย่างนึงนะครับ ผมเคยบอกแล้วว่าจะทำอะไรจะพูดอะไรหา Ref. มาหน่อย คิดเองเออเอง เขาไม่เอาหรอกครับ ไม่ใช่คิดว่าตัวเองทำงานนี้มานานแล้วจะเก่งกว่าคนอื่นเขา น่าสมเพชนะครับ คนเก่งจริงๆ ยังมีอีกมากนะครับคุณคนเก่ง จักรวาลไม่ได้มีแต่ทางช้างเผือกนะจ๊ะ ปล.นะครับ การเป็นข้าราชการครูไม่ได้จะรู้ภาษาอย่างเดียว ต้องรู้ถึงระเบียบราชการ หลักกฎหมายและอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ใช่นั่งนึกเอาได้นะครับ จากคุณ : TARASIN เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 14:40:22

ความคิดเห็นที่ 21 ขอยกข้อความประกอบซักนิดนะครับ Prof. David Dunning ศาสตราจารย์ทางด้านจิตวิทยา จาก Cornell University ค้นพบว่า "คนฉลาดจะยิ่งถ่อมตน และประเมิณ   ความสามารถของตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริง" และในทางตรงกันข้าม "คนโง่กลับยิ่งผยอง คิดว่าตนนั้นล้ำเลิศกว่าใครๆ" นี่งานวิจัยนะครับ ไม่ใช่การนั่งเทียนเขียนเอาแบบบางคน สนใจอ่านต่อตามกระทู้ที่ผมลิงค์ไปเลยครับ เพื่ออนาคตของคุณเองและคนรอบข้าง จากคุณ : TARASIN เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 14:43:12

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่จบไม่สิ้น หลวมตัวมาอ่านอีกแล้ว จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 55 22:57:41